เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 23 ไร้อาชีพแผลงฤทธิ์ (3)

“ จิเซล……!? ขุ่ก!? ”

 

ใช้ <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> เอี้ยวตัวหลบการโจมตีได้ทันการ ก่อนจะกลิ้งตัวหลุนๆหนีไปตามพื้น

จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นมาทันทีเนื่องจากหวาดระแวงการโจมตีซ้ำเข้ามา ทว่าเป็นในตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว

เหล่าผู้คนจากสถานกำพร้า—ซึ่งรวมพวกลีดเดอร์ที่เชื้อเชิญผมมาเข้าร่วมปาร์ตี้ด้วย—พลันตีกระหนาบล้อมรอบตัวผมเอาไว้แล้วเรียบร้อย

 

“ นี่มัน……อะไรกันน่ะ……หมายความว่ายังไง…….!? ”

 

ผมหันมองไปรอบบริเวณอย่างสับสนอลหม่าน ก่อนจะเอ่ยเสียงออกมาเช่นนั้นพลางกำดาบสั้นในมือเอาไว้แน่น

 

“ ยังไม่รู้อีกเรอะ? ”

 

และแล้ว สาวน้อยผู้ปกครองอยู่เหนือที่แห่งนี้—–จิเซล สตริงก์ ก็พลันตั้งบัสตาร์ดซอร์ดใหม่อีกครา พลางเพ่งดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตมุ่งร้ายทะยานตรงเข้ามาหาผม

 

“ ทั้งหมดเป็นแผนของฉันเองยังไงล่ะ เพื่อที่จะขยี้แกให้เละคาตีนไปเลยอะนะ ”

“ ขยี้……!? ทำไมถึง……!? ”

 

เหตุผลแรกที่ลอยเข้ามาในหัว ก็คือเหตุการณ์ที่ผมโจมตีอัดเข้ากลางหน้าจิเซลเต็มแรงในการสอบชิงสิทธินั่น

แต่ต่อให้โมโหขนาดไหนก็ไม่น่าจะทำอะไรเลยเถิดถึงขั้นนี้เลยนี่นา….และสิ่งที่ตัวผมซึ่งคิดฉงนสงสัยขึ้นมาเช่นนั้นพลันนึกขึ้นได้ด้วยหัวอันสับสน ก็คือเหตุการณ์ในวันที่ได้รับ <<คลาส>> ….ตอนที่จิเซลซ้อมทำร้ายทารุณผมด้วยความรุนแรงอย่างไร้ปรานีนั่น—ความพิโรธอันไม่ปกติของจิเซลที่ถึงกับเรียกใช้สกิล แล้วตะโกนด่าทอบอกว่าเห็น <<ไร้อาชีพ>> สุดกระจอกงอกง่อยแบบผมใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักผจญภัยแล้วมันหงุดหงิดนั่น

ผมที่นึกถึงเหตุผลอื่นใดนอกเหนือไปจากนั้นไม่ออก จึงอ้าปากส่งเสียงตะโกนออกมาสุดชีวิต

 

“ ผมน่ะ….เพราะพระคุณของเหล่าผู้คนที่อุตส่าห์เก็บผมที่สุดแสนจะกระจอกงอกง่อยมาเลี้ยงดู ทำให้ผมน่ะแข็งแกร่งขึ้นมาอยู่ในระดับไล่เลี่ยพอๆกันกับเธอแล้วนะ….! ไม่ใช่ไอ้ครอส 0 ตลอดศกที่เธอเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดอีกต่อไปแล้ว! มีคุณสมบัติที่จะเป็นนักผจญภัย—– ”

“ ยังโลกสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนี่หว่าแกน่ะ……! แกจะเป็นหรือไม่เป็นนักผจญภัยอะไรนั่นอะ แม่งไม่ได้สำคัญ อีกต่อไป แล้วเว้ย! ”

 

จิเซลคำรามขึ้นขัดคำร้องของผม

และแล้วสาวน้อยก็เปิดเผยสาเหตุอันยากจะเชื่อที่เป็นตัวการนำมาสู่การกระทำอันก้าวร้าวครั้งนี้ออกมา

 

“ แกริอาจทำให้ฉันเสียหน้ากลางการสอบที่มีคนมุงดูอยู่เต็มนั่นนะ ฉันผู้นี้ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับ <<ไร้อาชีพ>> เลเวล 0….จะยอมปล่อยให้ตัวเองอยู่กลางสถานการณ์ที่โคตรจะอัปยศอดสูแบบนั้นได้ที่ไหนกันล่ะวะ…….! ”

“ เสียหน้า!? แค่นั้นเองเนี่ยนะ……!? ”

 

หากพ่ายแพ้ให้กับน้ำหน้าอย่างผมต่อหน้าธารกำนัล มันก็คงจะเจ็บใจจริงๆนั่นแหละ เข้าใจอยู่

แต่ถึงกับทำอะไรเลยเถิดระดับนี้เพียงเพราะเหตุผลแค่นั้นเนี่ยนะ คิดยังไงมันก็โอเวอร์เกินเหตุไปแล้ว

ใช้สกิลอัดเข้าใส่คนอื่นนอกสนามฝึกเนี่ยมันยังพอจะอนุโลมให้ว่าเป็นแค่การทะเลาะวิวาทกันได้แบบหวุดหวิดอยู่หรอก แต่ใช้ประโยชน์จากเควสต์เพื่อลอบทำร้ายทีเผลอหรือสะสางความแค้นแบบนี้ มันคือการกระทำที่ละเมิดกฎหมายอย่างใหญ่หลวง ไม่มีทางจะช่วยเหลือแก้ต่างใดๆให้ได้เลยแม้แต่น้อยนิด

อีกฝั่งคือจิเซล คงเตรียมแผนและขั้นตอนกลบเกลื่อนปิดบังความผิดมาไว้พร้อมแล้วนั่นแหละ……แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ไม่ใช่อะไรที่น่าจะเอาศักดิ์ศรีเข้าว่าวางไว้เหนือตราชั่งแล้วเริ่มต้นลงมือทำจริงๆเลยซักนิดเดียว

พอผมอึ้งตะลึงงันเพราะเหตุผลที่นอกเหนือความคาดหมาย รวมทั้งยังไม่อาจเข้าใจได้เลยแม้แต่นิดอยู่แบบนั้นแล้ว

 

“ แค่นั้นเอง อย่างงั้นเรอะ……..!? น้ำหน้าอย่างแกมีหน้ามาพูดแบบนั้นใส่คนอื่นเค้าด้วยเหรอวะ ไอ้ครอส 0 ตลอดศก! ”

“ หวา…….!? ”

 

กลุ่มอาชีพระยะประชิดหลายคนที่ได้รับคำสั่งจากจิเซล พลันพุ่งทะยานเข้ามาโจมตีใส่ผมพร้อมๆกันในคราเดียว!

 

“ แกน่าจะรู้ดีมากยิ่งกว่าใครเลยไม่ใช่เรอะ ว่าการถูกผู้คนรอบข้างดูหมิ่นดูแคลนมันรู้สึกยังไงน่ะ! ”

“ ขุ่ก!? ”

 

หลบหลีกการโจมตีที่กระหน่ำเข้ามาพร้อมๆกันสุดกำลัง ถ้าจวนตัวเห็นว่าจำเป็นก็ใช้สกิลต้านทานรับเอาไว้

แต่การโจมตีของจิเซลมันก็รุนแรงแล้วก็ทรงพลังเป็นพิเศษมากกว่าใครๆ ราวกับว่าเสียงคำรามหยั่งกะยักษ์กะมารนั่นมันช่วยฉุดอานุภาพการทำลายล้างและความเร็วให้สูงมากยิ่งขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัวเลยงั้นแหละ

 

“ หากถูกผู้คนโดยรอบดูแคลนแล้วทุกอย่างก็เป็นอันจบ สนามประลองที่มีจำนวนจำกัด ความเชื่อมั่นที่มีผลต่ออนาคต โควตาเข้าเรียนในคาบปฎิบัติของอาจารย์ที่สอนวิชาเก่ง ทุกอย่างมันจะถูกแย่งเอาไปหมด! ต่อให้พยายามกระชากเอากลับคืนมาแต่ก็ไม่มีจบมีสิ้น! และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเลยอะนะ มันก็คือดวงตาของผู้คนโดยรอบเว้ย! คือแววตาระยำบัดซบที่จ้องมองดูถูกเหมือนเห็นฉันเป็นไอ้โง่นั่นอะเว้ย! ไอ้เจ้านั่นมันจะกัดกินหัวใจจนเน่าเปื่อย! แทรกซึมฝังลึกเข้าไปในร่างประดุจพิษร้ายแล้วกร่อนทำลายความมั่นใจจนหมดสิ้นไม่เหลือซาก! บ่อนทำลายความคิดจนหมดสิ้นไม่เหลือหลอ! แล้วถ้าโดนฉีดด้วยพิษร้ายนั่นไปเรื่อยๆมันจะเป็นยังไงแกรู้มั้ย!? รู้สินะ? มันก็จะเน่าไงล่ะ! มันก็จะเหลวแหลกยังไงล่ะ! ในฐานะนักผจญภัย! แล้วก็ในฐานะมนุษย์ด้วย…..! ฉะนั้นฉัน จึงต้องอัดเข้าหัวให้แกเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งไปเลยในตอนนี้ยังไงล่ะ ว่าไอ้ระยำที่มันบังอาจมาดูหมิ่นฉันคนนี้มันจะต้องเจอกับอะไร!! ”

“ อ๊าาา!? ”

 

การโจมตีที่แรงมากยิ่งกว่าปกติพลันเป่าแนวป้องกันของดาบสั้นกระเด็นไป

เค้าจริงจัง จิเซลคิดที่จะขยี้ผมเพราะกะอีแค่เสียหน้าอะไรนั่น แบบจริงๆจังๆเลย

เสียงแผดร้องที่เกินเลยขอบเขตของคำว่าสามัญ กับการโจมตีที่มีอานุภาพอัดเอาไว้เต็มเปี่ยม มันช่วยทำให้ผมตระหนักรู้เช่นนั้น

เกินเลยระดับที่จะคืนดีปรับความเข้าใจกันได้ไปแล้ว

แต่ว่า มันมีอะไรทะแม่งๆ

 

(เพื่อกู้หน้าของจิเซล……สาเหตุมีแค่นั้นจริงๆน่ะเหรอ ที่ผู้คนจำนวนมากมายขนาดนี้ ยอมตกลงเห็นตรงด้วยกับการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างใหญ่หลวง อย่างใช้ประโยชน์จากเควสต์เพื่อสะสางความแค้นแบบนี้ มันมีสาเหตุเพียงเพราะแค่นั้นเองจริงๆน่ะเหรอ…….!?)

 

จะบอกว่าทุกคนยอมตกลงเอาด้วย เพราะคำสั่งของจิเซล—ที่เสียหน้ายับเยินจนถูกผู้คนโดยรอบดูหมิ่นดูแคลนเนี่ยนะ

คำพูดของจิเซลไม่มีคำโกหกใดๆอยู่เลย แต่ว่า ที่พูดออกมาเมื่อกี้นั่นมันคือทั้งหมดของเรื่องราวแล้วจริงๆน่ะเหรอ

……..หรือว่าจริงๆแล้วมันจะไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลย แค่ผมถูกทุกคนเกลียดขี้หน้ามากยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้เยอะก็เท่านั้นรึเปล่า

แม้ข้อสงสัยมันจะปรากฎเข้ามาในหัว แต่ก็ไม่มีปัญญาที่จะคิดอะไรไม่เข้าเรื่องมากไปกว่านั้นแล้ว

 

(เพราะถูกพวกคุณลีโอเน่ช่วยเอาไว้ ผมถึงมายืนอยู่หน้าจุดเริ่มต้นหนทางในฐานะนักผจญภัยได้ในที่สุด…..! จะยอมให้ถูกขยี้ลงตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย!)

 

วางแผนรับมือใหม่ ทดลองหาทางโจมตีสวนกลับดู

แต่แล้วสถานการณ์ก็ยังคงเดิม ผมถูกบีบให้ต้องต่อสู้ป้องกันตัวในฐานะฝ่ายรับอย่างมิอาจเลี่ยง ทำไมน่ะเหรอ

 

(………ขึก! ว่าแล้วเชียว เค้าเตรียมแผนรับมือกับเคาน์เตอร์เอาไว้แล้วจริงๆด้วย……!?)

 

ก็เพราะตำแหน่งของพวกจิเซลมันอยู่ในจุดยืนที่ถูกกำหนดขึ้นมาล่วงหน้าเพื่อให้รับมือกับ <<ครอสเคาน์เตอร์>> ของผมได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยนั่นเอง

โจมตีจากรอบทิศทางในจังหวะเดียวกัน ไม่คิดที่จะลงมือเผด็จศึกให้ได้ในครั้งเดียว แต่เลือกที่จะค่อยๆผลาญทำลายเรี่ยวแรงโดยการกระหน่ำฟาดฟันเข้าใส่แบบเบาๆจากระยะตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปเพื่อไม่ให้ผมกระชั้นชิดเข้าไปใกล้ได้  

ไม่ใช่สถานการณ์ที่เหมาะสมต่อการเปิดใช้ <<ครอสเคาน์เตอร์>> อันเป็นสกิลที่จะสำแดงพลังที่แท้จริงก็ต่อเมื่อเป็นการดวล 1 ต่อ 1 แถมยังมีระดับความชำนาญไม่ถึง 5 ด้วยซ้ำนี้เลยแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำ

 

“ ฮึก!? ”

 

ระหว่างที่ต่อกรอยู่กับการรุกรับที่จะเผลอประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียวนั่นเอง ที่ <<ตรวจจับพลังเวท>> ของผมพลันสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดเล็กๆ

 

“ ในนามของเทพแห่งวารี ผู้สืบสายเลือดแห่งเนทร่า ค้อนแห่งการทำลายล้างที่จักชำระล้างและถล่มทำลาย เปลเด็กแห่งชีวิตที่แผ่กระจายไหลซ่าน—— ”

 

และสิ่งที่ลอยเข้าหูในฉับพลันถัดมา ก็คือเสียงร่ายเวทอันดังกังวานของ <<ผู้ใช้เวทน้ำ>> …..!

ถึงอยากจะหยุด แต่รอบๆก็มีเหล่าอาชีพระยะประชิดที่มีจิเซลเป็นตัวนำขบวนขวางอยู่

การร่ายเวทที่น่าจะจำเป็นต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะประกอบสร้างเสร็จ พลันสมบูรณ์โดยไม่มีช่องเปิดให้ผมเข้าไปหยุดได้

 

“ ——เวทสายน้ำระดับต่ำ <<วอเตอร์แคนน่อน>> ! ”

“ ตอนนี้แหละ! แตกตัว! ”

 

ในฉับพลันเดียวกับที่ร่ายจบ ทุกคนก็พากันแยกกระจายตัวไปคนละทางตามคำสั่งของจิเซล

ก้อนมวลน้ำพลันทะยานถาโถมตรงดิ่งเข้ามาใส่ตัวผมที่ถูกทิ้งอยู่คนเดียว!

 

(แต่เดิมเวทมนตร์มันก็มีอานุภาพสูงลิ่วอยู่แล้ว ถ้าผมที่มีสเตตัสป้องกันเวทเป็น 0 โดนเข้าครั้งนึงละก็จบเห่กันเลยแน่ๆ!)

“ อุ ว๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!? ”

 

ทำการเปิดใช้สกิลซ้อนทับกันจนหลบมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

แต่การรุกรับเมื่อครู่มันก็ผลาญเรี่ยวแรงไปอย่างมาก ความเหนื่อยล้าค่อยๆก่อตัวสั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าอีกฝั่งนั้นไม่ใช่ เหล่าอาชีพระยะประชิดที่แตกกระจายตัวออกไปนั่น ตอนนี้กำลังได้รับเวทมนตร์ฟื้นฟูเบาๆจาก <<พรีส (ฝึกหัด)>> ที่ประจำตัวรออยู่ในแนวหลัง และพอเมื่อได้รับการฟื้นฟูพอสมควรแล้ว พวกเค้าก็ถาโถมกันเข้ามาสร้างแนวตีกระหนาบห้อมล้อมใหม่อีกครา

นี่แหละคือการต่อสู้แบบเป็นปาร์ตี้ ไม่ใช่การดวลหนึ่งต่อหลายคนธรรมดาๆทั่วไป เพราะแต่ละคนต่างก็มุ่งมั่นเน้นทำเฉพาะในหน้าที่ของตนเอง จึงเร่งยกระดับความแข็งแกร่งของส่วนรวมขึ้นมาได้หลายต่อหลายเท่า ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ก็มีแต่ต้องรอเวลาตายเท่านั้นแหละ

 

“ ถ้าอย่างงั้น……! ”

 

ผมพยายามกลิ้งตัวไปหลบอยู่เบื้องหลังแมกไม้ที่งอกขึ้นมาอยู่เป็นหย่อมๆ ทุ่มกำลังทั้งหมดไปกับการหลบหลีกและป้องกันเพียงอย่างเดียว และในระหว่างนั้น ก็ทำการขยับริมฝีปากเบาๆไปด้วย

 

“ หมู่มวลอากาศที่ห่อหุ้มปกคลุมอยู่ทั่วเอ๋ยเชื่อฟังเราเสีย จงก่อตัวผสานอยู่ในมือข้างนี้ นามนั้นก็คือลมกรรโชก ลูกศรหนึ่งดอกเอยจงปรากฎ วาโยหนึ่งดอกเอยจงผงาด ลมหนาวหนึ่งกำมือเอยจงเผยโฉม—- ”

 

ค่อยๆพูด ค่อยๆขับขาน ค่อยๆประกอบคำร่ายขึ้นมาโดยใช้เวลาอันยาวนานซะจนเหมือนกับเป็นชั่วนิจนิรันดร์ ท่ามกลางศึกจริงที่จะเผลอประมาทไม่ได้แม้เพียงเสี้ยววินาที

คำร่ายเวทที่จำเป็นต้องกล่าวในตอนใช้เวทมนตร์นั้น ใช่ว่าแค่พูดปาวๆออกมาจากปากแค่นั้นมันจะพอ

คำร่ายเวทเนี่ยก็คือ ขั้นตอนการประกอบสร้างแบบแปลนที่จำเป็นต่อการใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ในนามเวทมนตร์ขึ้นมาแล้วเปิดใช้มันซะตรงนั้นเลย ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจดจ่อเพ่งเน้นสมาธิไปยังทุกๆคำพูด ใช้เวลามากมายมหาศาลไปกับการเชื่อมต่อพลังเวทที่แผ่กระจายอยู่ในร่างกับพลังเวทที่แผ่ล้นเหลืออยู่นอกร่าง

และในยามที่ชีพจรซึ่งถี่รัวเต้นขยับร่างไปได้ราว 30…40 ครั้งนั่นแหละ

พลันมีกลุ่มก้อนมวลอากาศมาจับตัว อัดแน่นอยู่เหนือฝ่ามือ

 

“ ——ภูตแห่งสายลมเจ้าจงก่อตัว ภายในมือของเราผู้นี้ ไขว่คว้าไว้ซึ่งท้องนภาทั้งมวลกลายมาเป็นกระสุนแห่งเราแล้วปัดเป่ามารศัตรูให้หมดไป—–เวทสายลมระดับต่ำ <<วินด์ชู๊ต>> ! ”

 

เวทมนตร์เสร็จสมบูรณ์ และผมก็ยิงปลดปล่อยเจ้าสิ่งนั้นออกไป

 

“““ ห้ะ!? อ๊าาากกกกกกกกกก!? ”””

 

การโจมตีทีเผลอโดยสมบูรณ์ที่ถูกยิงออกมาในระยะประชิด

เวทลมที่ผมใช้เวลายาวนานกว่าจะประกอบสร้างขึ้นมาได้นั่น มันเป่าร่างของเหล่าอาชีพระยะประชิด 3 คนที่อยู่ใกล้ๆจนลอยปลิวกระเด็นไปเลย

 

“ ดีล่ะ! ”

 

เพราะระดับความชำนาญกับสเตตัสพลังเวทโจมตีต่ำ บวกกับเพราะโดนทีเดียวสามคนอานุภาพมันเลยกระจายตัวเบาขึ้นละมั้ง ก็เลยทำให้ทั้งสามคนหมดสติน็อคไปภายในเปรี้ยงเดียวไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถสร้างความเสียหายระดับที่ใช้เวทฟื้นฟูระดับต่ำรักษาได้ไม่ทันสำเร็จล่ะ เผลอๆแล้วอานุภาพแค่นี้อาจจะกำลังดีเลยด้วยซ้ำมั้ง ก็จะทิ้งให้เค้าหมดสติอยู่ในป่าไม่ได้นี่นะ…..ถ้าทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆหลายครั้ง ก็จะต้องถล่มทำลายการโจมตีประสานและแนวตีกระหนาบของศัตรูได้แน่ๆ

 

“ หมู่มวลอากาศที่ห่อหุ้มปกคลุมอยู่ทั่วเอ๋ยเชื่อฟังเราเสีย จงก่อตัวผสานอยู่ในมือข้างนี้ นามนั้นก็คือลมกรรโชก——- ”

 

ผมที่เชื่อมั่นสุดใจเช่นนั้นพลันทำการกล่าวคำร่ายใหม่อีกครั้งทันที

 

“ โกหกใช่มั้ยเนี่ย!? ไหงไอ้หมอนี่ถึง…ใช้สกิลเวทมนตร์ได้ด้วยเล่า!? ”

 

เสียงอันตื่นตระหนกดังขึ้นมาจากรอบทิศ

และความตื่นตระหนกนั่นก็เชื่อมโยงไปสู่ความแตกตื่น ทำให้การโจมตีเข้ามาใส่ผมดูหยาบๆและรับมือได้ง่ายกว่าเมื่อครู่หลายเท่าตัวนัก

อาศัยจังหวะนั้นร่ายเวทจบโดยใช้เวลาไปมหาศาลอีกครา……ทว่าเป็นตรงนี้เอง ที่ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนักหน่วงพลันเอ่อล้นถาโถมเข้ามาในใจ

 

(……..ฮึก!? อะไรน่ะ!? ผมร่ายเวทเสร็จเรียบร้อยแล้วแท้ๆ แต่ทำไมทุกคนถึงได้….พุ่งอัดเข้ามาใส่โดยไม่มีเตรียมการรับมืออะไรเลยล่ะ!?)

 

คราวนี้ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกแล้ว ก็เลยพูดออกปากแบบปกติเพื่อข่มขู่ไปด้วยในตัวเลยนะ

แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ยังคงเอาแต่ปลดปล่อยการโจมตีเข้ามาใส่ผมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

มันชักจะทะแม่งๆแล้ว

แต่จะไม่ใช้เวทมนตร์ที่อุตส่าห์ประกอบจนเสร็จมันก็ใช่ที่ ผมปลดปล่อยไพ่ตายเพียงหนึ่งเดียวที่จะใช้ทลายสถานการณ์นี้ลงได้อัดเข้าใส่อาชีพระยะประชิดใกล้ๆ——ซะที่ไหน นั่นแค่หลอกตาเฉยๆ เป้าหมายจริงที่ผมยิงเวทมนตร์อัดเข้าใส่คือกลุ่มอาชีพระยะประชิดที่ก่อตัวสร้างแนวตีกระหนาบและฮีลเลอร์ที่อยู่ข้างหลังโน่นต่างหาก ทว่า

 

“ เอ๊ะ……..!? ”

 

ฉับพลันนั้น ผมถึงกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยทีเดียว

ทำไมน่ะรึ ก็เพราะเวทลมที่ยิงปล่อยออกไปเมื่อกี้นั่น มันพลันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ก่อนจะเริ่มวาดวงวิถีไปในทิศที่ผมไม่ได้คาดคิดเลยซักนิดนั่นเอง

มันเกิดอะไรขึ้น……พอผมรับการโจมตีจากโดยรอบไปพลาง ตกตะลึงจนดวงตาแทบถลนออกจากเบ้าแบบนั้นไปด้วยแล้ว

 

“ ใช้ได้ไปยันสกิลเวทมนตร์เลยเหรอวะ แกมันเป็นตัวบ้าอะไรกันแน่น่ะ ”

 

จู่ๆจิเซลที่ถอยห่างเว้นระยะออกไปคอยสั่งการภาพรวมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ก็พลันเอ่ยปากออกมาเช่นนั้นด้วยท่าทางเหมือนทึ่ง ทว่าใบหน้านั้นกลับหวนคืนมาดูเปี่ยมล้นไปด้วยความดุดันเหมือนเดิมแล้ว—–สาวน้อยแสยะยิ้มอย่างป่าเถื่อนราวกับมั่นใจในชัยชนะ ก่อนจะเอ่ยต่อ

 

“ แต่ว่านะ คนที่ยังมีไพ่ตายเก็บเอาไว้น่ะไม่ได้มีแค่แกคนเดียวนะเว้ย……! ”

 

พริบตาที่จิเซลสะบัดมือลงมาพลางกล่าวเช่นนั้น —–<<วินด์ชู๊ต>> ที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศก็พลันพุ่งตรงดิ่งเข้ามาหาผมซะเอง!?

 

“ ทำไมถึง……!? ว๊าาาาาากกกกกกกกกก!? ”

 

คราวนี้ถึงตาผมถูกเล่นทีเผลอโดยสมบูรณ์บ้าง แม้จะใช้สกิลหาทางหลบการโจมตีตรงๆมาได้ แต่คลื่นกระแทกของลมมันก็พัดร่างผมปลิวกระเด็นไปกระแทกคะมำเข้ากับแมกไม้

 

“ ขุ่ก…..อุก……ทำไมถึง…..มันอะไร…….!? ”

 

แม้จะเผลอแผดเสียงร้องออกมาเนื่องจากพบเจอเข้ากับปรากฎการณ์ที่ไม่อาจเข้าใจ แต่ผมก็รีบลุกกลับขึ้นมาทันทีเพื่อรับการโจมตีที่ถาโถมกระหน่ำเข้ามาใส่ไม่หยุด

 

“ จะว่าไปแล้วแกไม่รู้นี่นะ ครอส เอฟเฟคยูนีคสกิล <<ลอบรี่เมจิค>> (ผู้แก่งแย่งอันหยิ่งผยอง) ของฉันคนนี้น่ะ ”

 

และแล้วจิเซลซึ่งอยู่ปลายสายตาก็พลันแสยะยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะบิดงอนิ้วยั่วยุผม

 

“ จัดมาดิวะ ยิงเข้ามาเลยเป็นไง ตะกี้นี้ยังมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่เลยนี่หว่า ไหนล่ะไหนๆ ทางเดียวที่จะใช้ทลายสถานการณ์นี้ก็คือต้องใช้ไอ้เวทมนตร์สุดเจ๋งนั่นเท่านั้นไม่ใช่เรอะ? อ๋า? ”

 

พอเห็นท่าทางแบบนั้นแล้ว ผมก็มั่นใจขึ้นมาเองแบบเกือบๆอัตโนมัติ

อย่าบอกนะว่า……ยูนีคสกิลของจิเซล คือการแก่งแย่งสิทธิควบคุมเหนือเวทมนตร์ของคนอื่น!?

 

“ กะ โกงกันชัดๆเลยไม่ใช่เหรอน่ะ……! ”

 

เผลอตัวส่งเสียงออกมาแบบนั้นเลย

น่าจะมีจำนวนครั้งที่ใช้ได้หรือข้อจำกัดอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆล่ะ……แต่ดูจากที่พวกรุ่นพี่ในสถานกำพร้ายอมแหกกฎระเบียบเพื่อพาจิเซลไปทำเควสต์ด้วยก็ดี ที่จิเซลก่อนจะได้รับ <<คลาส>> สามารถเอาชนะนักผจญภัยที่ได้รับ <<คลาส>> ไปแล้วลงได้นั่นก็ดีแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงเลยว่ายูนีคสกิลนั่นน่าจะสามารถแก่งแย่งได้แม้กระทั่งเวทมนตร์ระดับสูงเลยด้วยซ้ำ

แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรไปมากกว่านั้น หรือก็คือตัวผมตอนนี้ถูกผนึกเวทมนตร์ไปโดยมิอาจเลี่ยงได้แล้วนั่นแหละ

และแล้วพวกจิเซลก็กระชั้นชิดตรงรี่เข้ามาหาผมด้วยท่าทางเหมือนจะสื่อว่า “ยอมจำนนแล้วสินะ?”

 

“ โธ่เว้ย……ถ้าลงแบบนี้……! ”

 

เป็นตรงนี้เอง ที่ผมตัดสินใจลองเสี่ยงดวงไปตายเอาดาบหน้าดู

 

“ ว๊าาากกกกกกกกก! ”

 

ทะยานอัดตรงเข้าหาจิเซลที่เป็นตัวหัวหน้าสุดกำลัง—–ซะที่ไหน หลอกให้เห็นเป็นแบบนั้นแล้วจึงบิดเอี้ยวตัวอย่างฉับพลัน

ผมพุ่งเข้าใส่ขอบของแนวตีกระหนาบที่มีการป้องกันค่อนข้างเบาบางเนื่องจากไม่ใช่ทิศที่เชื่อมอยู่กับทางเดินหลัก  

 

“ ขึก!? ไอ้นี่!? ”

 

แน่นอนว่ามีหลายคนเข้ามาพยายามจะหยุดต้านผมเอาไว้ พวกจิเซลเองก็รีบวิ่งไล่ตามมากะจะฟาดฟันใส่หลังของผมที่ถูกหยุดกึกอยู่กับที่ ทว่าในฉับพลันก่อนที่การโจมตีนั่นจะลงมาถึงตัว

 

(——–ตอนนี้แหละ <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> !)

 

เปิดใช้สกิลหลบหลีก

ผมที่หลบพ้นจากแนวตีกระหนาบไปได้อย่างหวุดหวิดเส้นยาแดงผ่าแปด พลันพุ่งตรงดิ่งเข้าไปในป่าทั้งๆอย่างนั้นเลย

 

(วิ่งลึกเข้าไปในป่าที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก ในสภาพที่ไม่ได้พา <<เรนเจอร์>> ติดตามมาด้วย…..เพราะคิดแต่จะฝ่าแนวตีกระหนาบอย่างเดียวเลยไม่รู้ทิศทางอะไรเลย…….แต่)

 

กลุ่มนักล่าซึ่งมีสเตตัสสูงกว่าที่กำลังแผดเสียงคำรามอยู่ข้างหลัง นักผจญภัยจำนวนมากที่เชี่ยวชาญกับการเดินทัพในป่ามากกว่าผมหลายเท่า ทางวิบากที่ไม่รู้ว่าจะมีมอนสเตอร์โผล่ออกมาขัดจังหวะเมื่อไหร่—-ผมดิ้นรนทุรนทุรายกับเงื่อนไขอันแสนเป็นรองเช่นนี้ไปพลาง กัดริมฝีปากตนเองไปด้วย

 

(ต่อให้มีความเสี่ยงที่จะหลง แต่ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากหนีไปพลาง ลากเข้ามาให้เป็นสถานการณ์แบบสู้ 1 ต่อ 1 แล้วค่อยๆตอดลดกำลังรบของอีกฝั่งไปเรื่อยๆเท่านั้นแล้ว……!)

 

ผมถลำตัวเองจมดิ่งลงไปในการเดิมพันที่ตนเป็นรองอย่างยิ่งยวด ภายในป่าที่ไม่รู้ซ้ายรู้ขวา หนำซ้ำยังมีแต่ศัตรูเต็มไปหมดแห่งนี้

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset