เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 27 ไร้อาชีพแผลงฤทธิ์ (7)

 

สภาวะจดจ่อเพ่งเน้นสมาธิสุดขีดยังคงดำเนินต่อเนื่อง

หากตัดสินใจพลาดแม้ครั้งเดียวก็ตายทันที ที่จะสูญเสียไปไม่ได้มีเพียงชีวิตของตนเองเท่านั้น หวังให้มีคนมาช่วยไปก็ไร้ค่าเปล่า

สภาวะสุดขีดนั่นกำจัดทุกสิ่งอย่างยกเว้นการต่อสู้ให้เลือนหายไปจากหัวของครอส ทำให้สามารถเพ่งประสาทสัมผัสทั้งหมดทั้งมวลอัดเน้นเข้าไปในการเข่นฆ่าเอาชีวิตอย่างดุเดือดกับมอนสเตอร์ที่แผดร้องอยู่เบื้องหน้าเพียงอย่างเดียวได้

แต่แม้จะอยู่ในสภาพเช่นนั้น ก็ยังคงมีเสียงอันแสนอ่อนโยนจำนวนนึงดังก้องขึ้นอยู่ภายในหัวของครอส

——-ฟังให้ดีนะ? เวลาใช้ <<ฟันแหวก>> น่ะ หัดใช้ด้วยความรู้สึกแบบหุ้มพลังเวทไปยังส่วนนอกของร่างกาย…พูดง่ายๆก็คือหุ้มพลังเวทเข้าไปยังอาวุธที่ถือด้วยซะมันจะได้ผลดีกว่าแหละ แต่สัมผัสมันจะต่างไปจากเวทมนตร์นิดนึง ลองคิดว่าอาวุธมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแล้วหลั่งพลังเวทเข้าไปดูดิ

——-ส่วนตอนที่เปิดใช้ <<บัพสมรรถภาพร่างกาย>> ก็เอาให้สัมผัสได้ว่ามีพลังเวทแผ่กระจายไปอยู่ทั่วทั้งร่างกายซะนะ เวลาที่อยากจะเร่งระดับความเร็วให้เน้นไปที่ขา ส่วนเวลาที่อยากจะเร่งพลังโจมตีก็นึกภาพให้พลังเวทเดินทางขึ้นจากขามาอยู่ในแขนแทนซะ เอ้า ลองทำดูสิ

(ครับ!)

 

“ <<บัพสมรรถภาพร่างกาย>> ! , <<ฟันแหวก>> ! ”

 

ใช้สกิลโจมตีฟาดอัดใส่แขนอันล่ำสันของไอ้สัตว์ประหลาดที่ถาโถมตรงเข้ามาหา ทำให้ปัดป้องเบี่ยงวิถีไปได้แบบหวาดเสียว

 

 

<<เสริมกำลัง Lv6  (+47)>>  ——->  <<เสริมกำลัง Lv7  (+55)>>

<<เสริมความว่องไว Lv6 (+47)>>  ——->  <<เสริมความว่องไว Lv7  (+58)>>

<<ฟันแหวก Lv7>>            ——->            <<ฟันแหวก Lv8>>

<<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (เล็ก) Lv3>>  ——->  <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (เล๋็ก) Lv4>>

<<ควบคุมพลังเวทในร่าง Lv3>>  ——->  <<ควบคุมพลังเวทในร่าง Lv4>>

 

 

——-ครอส ในยามที่ใช้เวทมนตร์นั้น การมีความรู้ความเข้าใจในเอกลักษณ์จุดเด่นของเวทแต่ละประเภทมันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเลย <<วินด์ชู๊ต>> คือเวทที่จะทำการอัดแน่นบีบเค้นสายลมแล้วจึงยิงปลดปล่อยออกไปใส่ศัตรู จงเพ่งสมาธิคิดภาพให้พลังเวทที่แผ่อยู่ในสายลมเข้ามารวมตัวอัดแน่นอยู่ภายในมือเสีย หากทำเช่นนั้นแล้วสายลมก็จะยิ่งหนาแน่นและเร็วไว กลายมาเป็นกระสุนแห่งเราที่จะปัดเป่าศัตรูจนแหลกสลายให้

(จะลองดูครับ!)

 

 

“ ——-ไขว่คว้าไว้ซึ่งท้องนภาทั้งมวลกลายมาเป็นกระสุนแห่งเราแล้วปัดเป่ามารศัตรูให้หมดไป <<วินด์ชู๊ต>> ! ”

“ ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา! ”

 

เวทมนตร์ที่ถูกปลดปล่อยออกไปเพื่อใช้พรางตาพลันกระแทกเข้ากลางใบหน้าของริสก์ 4 ส่งผลให้ร่างนั้นเซเสียสูญอย่างรุนแรง

 

 

<<เสริมพลังเวทโจมตี Lv1  (+7)>>  ——->  <<เสริมพลังเวทโจมตี Lv4  (+32)>>  

<<วินด์ชู๊ต Lv1>>             ——->             <<วินด์ชู๊ต Lv3>>

<<ควบคุมพลังเวทนอกร่าง Lv1>>  ——->  <<ควบคุมพลังเวทนอกร่าง Lv2>>

 

 

——-สิ่งสำคัญของสกิลสายมารน่ะน้าา ก็คือความรู้สึกอันแรงกล้าที่อยากจะย่ำยีบีฑาเข่นฆ่าเอาให้อีกฝั่งต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสระดับไม่มีนรกบนดินที่ไหนจะโหดร้ายมากไปกว่านี้ได้อีกแล้วยังไงล่าา เอ้าจ้าา ลองนึกภาพของคนที่ครอสคุงเกลียดขี้หน้าสุดๆไปเลยขึ้นมาน้าา

(ผมทำไม่ลงหรอกครับอะไรแบบนั้น……!)

 

“ ตายไปซ้าาาาาาาาาาาา! <<การ์ดเอาท์>> ! ”

 

หมอกสีดำถูกปล่อยพวยพุ่งออกจากฝ่ามือของครอส เข้าปกคลุมรอบกายของร็อกลิซาร์ด วอริเออร์ที่หุ้มทั่วทั้งร่างเอาไว้ด้วยเกล็ดอันแสนแข็งแกร่ง

 

 

<<เสริมพลังเวทพิเศษ Lv1  (+6)>>  ——->  <<เสริมพลังเวทพิเศษ Lv4  (+33)>>

<<การ์ดเอาท์ Lv1>>            ——->            <<การ์ดเอาท์ Lv4>>  

 

 

ใช้งานสกิล กระหน่ำยิง ทุ่มกำลังทั้งกายใจปลดปล่อยมันออกมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่อยๆเรื่อยๆเรื่อยๆเรื่อยๆไม่หยุดยั้ง

เล่นซ้ำคำสอนอันอ่อนโยนให้ดังก้องอยู่ภายในหัว ขัดเกลาเทคนิควิชาที่ได้รับสืบทอดมาต่อเนื่อง

ให้ทรงพลังมากยิ่งขึ้น ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น กระแทกกระทั้นอัดการโจมตีที่ก้าวล้ำไปเหนือขีดจำกัดเข้าใส่ไอ้สัตว์ประหลาดที่ขวางอยู่เบื้องหน้าไม่รู้จบ

นี่แหละคือการฝึกวิชาขั้นสุดยอดที่จะสามารถทำได้เหนือเส้นคั่นกลางระหว่างเป็นและตายเท่านั้น

แม้จะถูกส่งกลิ้งเกลือกไปตามพื้นซักกี่รอบ สำรอกโลหิตออกมาซักกี่ครั้ง อาวุธบิ่นแตกกระจายกลายเป็นคลื่นกลับมาบดขยี้ฝ่ามือซักกี่ครา แต่ครอสก็ไม่หยุด การเติบโตของครอสมันพัฒนาไม่ยอมหยุด

 

 

<<เสริมป้องกัน Lv6 (+50)>>  ——->  <<เสริมป้องกัน Lv7 (+58)>>

<<หลบหลีกฉุกเฉิน Lv6>>   ——->   <<หลบหลีกฉุกเฉิน Lv7>>  

<<ครอสเคาน์เตอร์ Lv4>>      ——->     <<ครอสเคาน์เตอร์ Lv6>>

<<ตรวจจับพลังเวทในร่าง Lv3>>  ——->  <<ตรวจจับพลังเวทในร่าง Lv4>>

<<ตรวจจับพลังเวทนอกร่าง Lv1>>  ——->  <<ตรวจจับพลังเวทนอกร่าง Lv2>>

 

 

ยิ่งใช้สกิลระดับความชำนาญมันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เร่งให้อานุภาพมัน ความเร็วมัน ประสิทธิภาพในการผลาญพลังเวทมัน เพิ่มพูนสูงส่งมากยิ่งขึ้น

ตัวครอสในตอนนี้ไม่อาจตรวจสอบสเตตัสเพลทของตนเองได้

แต่ร่างกายที่เบาหวิวขึ้นเรื่อยๆนั่น การโจมตีที่หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆนั่น สกิลที่สามารถใช้ปลดปล่อยออกไปได้อย่างง่ายดายเหมือนกับหายใจเข้าออกนั่น มันก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเองที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดท่ามกลางการปะทะเดือด ให้ครอสรับทราบได้อย่างเหลือแหล่

การต่อสู้ของครอส ได้ก้าวล้ำไปอยู่คนละมิติกับในตอนที่ถูกพวกจิเซลโจมตีนั่นแล้ว

ใช้สกิลของกองหน้าทานทนรับการโจมตี แล้วจึงแหวกสร้างช่องโหว่ซัดเวทโจมตีและเวทสนับสนุนอัดเข้าไป การกระหน่ำรัวสกิลที่มีระดับความชำนาญสูงขึ้นจนใช้งานได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้นนั่น ดูมีสภาพราวกับว่าครอสทำหน้าที่ทั้งหมดทุกแบบของปาร์ตี้ได้ด้วยตัวเองเพียงคนเลยก็มิปาน

แต่ทว่า——สุดท้ายของสุดท้ายแล้ว มันก็ได้แค่ในขอบเขตของนักผจญภัยระดับต่ำเท่านั้นแหละ

 

“ ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา! ”

 

ริสก์ 4 ที่รับสกิลเข้าไปอย่างต่อเนื่องเป็นสิบๆกว่ารอบ พลันแผดเสียงก้องคำรามอย่างชิงชัง

จนถึงตอนนี้ร่างกายที่ถูกหุ้มปกคลุมไปด้วยเกล็ดราวกับหินผานั่นก็ยังไร้ซึ่งบาดแผลใดๆ จิตสังหารที่รั่วไหลออกมาจากดวงตาที่ส่องประกายแสงแวววาวของไอ้สัตว์ประหลาดมันไม่ได้มีความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยนิด

 

(ทำขนาดนี้แล้วก็ยัง…….ไปไม่ถึงอีกเหรอ……..!?)

 

สีหน้าของครอสบิดเบี้ยวอย่างขมขื่น

สัมผัสได้ว่าตนเองเติบโตขึ้นในระหว่างต่อสู้ อานุภาพของสกิลมันพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สเตตัสที่ยกระดับขึ้นมาด้วยสกิลเสริมก็ส่งผลกระทบทำให้ความสามารถในการต่อสู้เหนือล้ำมากขึ้นในแบบที่เอาไปเปรียบกับตัวเขาก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย

แต่ถึงจะอย่างนั้น ครอสก็ยังไม่อาจตีสร้างความเสียหายได้เลยแม้ซักนัดเดียวก็ไม่ได้

ความแตกต่างมากที่สุดก็แค่ พอใช้ <<ครอสเคาน์เตอร์>> ปุ๊บ อาวุธไม่ค่อยจะหักเหมือนเดิมแล้วเท่านั้นแหละ แต่ก็ยังสร้างบาดแผลใดๆให้กับเกล็ดอันหนาแน่นทรงพลังของศัตรูไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว คิดไม่ออกเลยว่าต้องทำยังไงจึงจะสามารถสร้างความเสียหายแบบจริงๆจังๆสำเร็จ

 

(เพราะได้การฝึกของพวกคุณลูด์มิร่า เลยยังมีพลังเวทหลงเหลืออยู่มากพอสมควร…….! แต่มันจะคงทนได้ไปจนกว่าที่ผมจะปราบไอ้เจ้านี่ได้รึเปล่านี่ก็…….)

 

ไม่มีทางคงทนไปถึงตอนนั้นได้อย่างแน่นอน ทั้งพลังเวท ทั้งพลังกายเลย

ความร้อนรนที่บังเกิดจากความเชื่อมั่นสุดใจมันทำให้สมาธิของครอสเกิดวอกแวกขึ้นมานิดๆ เป็นในฉับพลันนั้นเอง

 

“ กรรรรรรรรรรรร! ”

 

ร็อกลิซาร์ด วอริเออร์พลันปลดปล่อยเสียงประหลาดออกมาจากลำคอ ราวกับว่าหมดความอดทนแล้วยังไงยังงั้น

และที่ตามต่อออกมานั่น ที่เผยโฉมออกมาจากระหว่างคมเขี้ยวราวกับแสดงออกถึงความพิโรธที่มีต่อมดปลวกตัวจ้อยที่ตามกัดดื้อด้านไม่ยอมปล่อยนั่น ก็คือดวงไฟสีแดงเข้ม ลมหายใจจากอเวจี เปลวเพลิงแห่งนรกที่จะทำการปิดฉากเผด็จศึกการต่อสู้ครั้งนี้โดยสมบูรณ์

 

“ ————ขึก!? ”

 

พริบตานั้น สิ่งที่ย้อนเข้ามาในหัวของครอสภายในช่วงเวลาที่ยืดยาวราวกับเป็นภาพความทรงจำก่อนตาย—–ก็คือเอกลักษณ์จุดเด่นของพันธุ์กิ้งก่าที่เขาซึ่งจดจ่อจมปลักอยู่กับการปะทะในระยะประชิดเป็นเวลายาวนาน เผลอตัวลืมไปซะสนิท

ไพ่ตายพิฆาตที่เหล่ามอนสเตอร์ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับมังกรต่างก็มีอยู่ในครอบครอง

เนื่องจากเป็นแค่พันธุ์เกรดต่ำของมังกร หนำซ้ำยังใช้เวลาสะสมพลังงานสั้นมาก อานุภาพจึงต่ำ แต่เจ้าสิ่งนี้ก็คือสกิลของร็อกลิซาร์ด วอริเออร์ที่สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลให้แก่นักผจญภัยระดับกลางได้เลยด้วยซ้ำ นามนั้นก็คือ——ไฟร์เบรธ

 

“ โกร้ววววววววววววววววววววววววววววววว! ”

 

คำราม เสียงดังสนั่น เปลวเพลิงที่พุ่งทะยานถาโถมเข้ามา

 

“ แย่แล้……!? ”

 

เปลวเพลิงระยะกว้างไกลที่ไม่อาจหลบและไม่อาจป้องกันพลันแผ่กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งทัศนวิสัย ครอสเตรียมใจที่จะตายทันที ในฉับพลันนั้นแหละ

 

“ เอ๊ะ……..!? ”

 

จู่ๆเพลิงที่กระชั้นชิดเข้ามาหมายจะเผาร่างตนทั้งเป็นก็พลันลอยหวนกลับ ถูกเบี่ยงวิถีไปยังทิศทางอื่นแทน

 

“ ให้ตายเหอะว่ะ คนอุตส่าห์ทึ่งเพราะเห็นว่าแกร่งขึ้นมาซะจนไม่อยากเชื่อ แต่ดันจะมาพลาดโง่ๆเอาในช่วงจังหวะสำคัญซะได้ ”

 

มันเกิดอะไรขึ้น—-ข้อสงสัยของครอสพลันถูกเสียงที่ดังก้องลอยเข้ามาจากข้างหลังช่วยปัดเป่าหายไป

 

“ <<ลอบรี่เมจิค>> ของฉันมันแก่งแย่งสกิลเวทมนตร์ของมอนสเตอร์ได้ด้วยเหมือนกันเว้ย……! ”

 

พริบตานั้น ดวงไฟที่น่าจะพุ่งเข้าคลอกร่างของครอสให้มอดไหม้เป็นตอตะโก ก็พลันถูกจิเซลควบคุมให้ลอยถาโถมกลับเข้าไปใส่มอนสเตอร์ซะเอง

 

“ ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!? ”

 

เสียงกรีดร้องของมอนสเตอร์พลันดังสนั่นลั่นไปทั่ว

มันน่าตกตะลึงตรงที่ขนาดโดนไฟแรงระดับนั้นเข้าไป แต่ก็ทำให้เกราะหุ้มกายของร็อกลิซาร์ด วอริเออร์เกิดเป็นรอยไหม้ขึ้นมาแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ทว่าถึงจะอย่างนั้น ครอสที่เอาชีวิตรอดพ้นจากวิกฤตมาได้ก็ยังอดตัวเองไม่อยู่ เอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทึ่งสุดใจว่า

 

“ จิเซล…….สุดยอดเลย! ”

“ ไม่ต้องพล่ามรำคาญ! ยังไม่จบซะหน่อยนะเว้ย! ส่งเวทลมของแกออกมาให้ฉันด้วยอย่ามัวโอ้เอ้อยู่! ”

“ อะ อือ!? ”

 

ครอสเชื่อฟังทำตามเสียงตะโกนกร้าวของจิเซล เริ่มต้นทำการกล่าวคำร่ายโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

 

“ ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา! ”

 

พริบตาให้หลัง มอนสเตอร์ที่หลุดพ้นจากความสับสนก็พลันแผดเสียงร้องที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร

เกิดบ้าอะไรขึ้นนี่ไม่รู้ แต่คราวนี้แหละจะเอาให้ตาย—–พอมันสะบัดหัวไปมาราวกับจะสื่อเช่นนั้น ลมหายใจจากอเวจีก็ถูกปลดปล่อยรั่วไหลออกมาจากช่องปากนั่นอีกครา ทว่า

 

“ <<ลอบรี่เมจิค>> ! ”

“ <<วินด์ชู๊ต>> ! ”

 

เสียงของสุดแกร่งและสุดกากแห่งสถานกำพร้าพลันดังขึ้นซ้อนทับกัน

และที่ถูกก่อสร้างรังสรรค์ขึ้นมานั่นก็คือปรากฎการณ์อันยากยิ่งที่จะเชื่อ

ก้อนมวลสายลมและม่านกำแพงเพลิงถูกจิเซลบังคับควบคุมให้เบี่ยงวิถี มาหลอมรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกลางอากาศ

เพลิงยิ่งทวีความร้อนแรงหนัก แผ่ไอร้อนมหาศาลที่เกือบๆจะทำให้แมกไม้ในบริเวณโดยรอบมอดไหม้ตามไปด้วย

 

“ ครอส ประสานให้พร้อม! ”

“ ฮึก! อือ! ”

 

แม้จะเป็นบทสนทนาสั้นๆ แต่ร่างกายของครอสก็ขยับออกไปแบบเกือบๆตามสัญชาติญาณ

เปิดใช้สกิลโจมตี ฟาดฟันสะบั้นเข้าใส่ร่างยักษ์ของศัตรู

ฉับพลันนั้น สายลมแห่งเพลิงที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศก็ถูกส่งตรงเข้ามาบรรจบกับอาวุธของครอส เวทเพลิงวายุที่ถูกเพิ่มพูนอานุภาพกับคมดาบพิชิตมันทับซ้อนประสาน กระแทกกระทั้นอัดเข้าไปใส่เกล็ดอันแน่นหนาของริสก์ 4 ในทีเดียว

 

“ กลั๊วว๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!? ”

 

สัตว์ประหลาดแผดเสียง แต่มันต่างออกไปจากเสียงร้องที่ระคนไปด้วยความหงุดหงิดเหมือนตลอดมานี้ นั่นคือเสียงกรีดร้องที่เปี่ยมล้นไปด้วยความตกตะลึงและความเจ็บปวดดีๆนี่แหละ

แขนอันกำยำที่ถูกครอสและจิเซลร่วมมือกันฟาดการโจมตีอัดเข้าใส่นั่น พลันเกิดเป็นรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ เลือดที่หลั่งไหลออกมาปะทะเข้ากับความร้อนส่งเสียงดังชู่วๆ

 

“ ขึก! สำเร็จ…….! ”

 

การโจมตีที่ได้ผลครั้งแรกสุด

แสงแห่งความหวังที่ปรากฎขึ้นมาในดวงตา ทำให้ครอสร้องออกมาเสียงใส ทว่าก็เป็นในฉับพลันนั้นอีกเช่นกัน

ที่ท่าทีของเจ้ามอนสเตอร์พลันเปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์

 

“ ———กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร! ”

 

ไม่รู้ว่าใช้ <<ตรวจจับพลังเวท>> หรือทักษะทางชีวภาพบางอย่างหรือยังไง แต่ดูเหมือนว่ามันจะตระหนักรู้ได้แล้วว่าใครลงมือทำอะไร——แววตาของริสก์ 4 หันขวับไปยังทิศทางคนละขั้วกับตลอดมานี้ในทันที

หรือก็คือ หันไปหาผู้ที่นอกจากจะปัดป้องลมหายใจเผด็จศึกได้ถึงสองครั้ง ยังจะสามารถสะท้อนมันกลับมาได้อีกด้วย—-จิเซลนั่นเอง

 

“ ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา! ”

“ ห้ะ!? ”

“ …………ขึก! ระยำเอ้ย ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วยเรอะ……..!? ”

 

ร่างมหึมาของมอนสเตอร์พลันพุ่งทะยาน ตรงดิ่งเข้าใส่จิเซลที่ก้าวเข้ามาใกล้สมรภูมิเดือดเพื่อใช้ <<ลอบรี่เมจิค>> ช่วยเหลือครอส

ครอสได้แต่ตกตะลึง ส่วนจิเซลก็เปิดใช้ <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> ราวกับว่าเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วล่วงหน้า

 

“ ขุ่ก……….! ”

 

แม้จะหลบรอดพ้นได้แบบหวุดหวิด แต่ขาขวาที่หักก็ปลดปล่อยความเจ็บปวดเหลือล้นจนใบหน้าของจิเซลบิดเบี้ยวไปหมด และการพุ่งทะยานเข้าชนของมอนสเตอร์มันก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวด้วย

 

“ โกร้วววววววววววววววววววววววววววววว! ”

“ นะ…..! หนอยแน่! เล็งมาที่ผมสิ! มาสู้กับผมนี่สิวะไอ้ชั่วเอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย! ”

 

ครอสพ่นคำผรุสวาทพลางวิ่งไล่ตามไป แต่ก็ไร้ซึ่งหนทางจะโค่นมันลงได้

การโจมตีที่ต่อให้เล็งไปตรงไหนก็กระเด้งกลับมาอยู่ทุกทีนั่นถูกเมินโดยสมบูรณ์ เวทลมที่ต้องใช้เวลานานแสนนานกว่าจะปลดปล่อยออกไปได้ก็ทำได้แค่ผลักให้มันเสียสูญโซเซเท่านั้น กับคู่ต่อสู้ที่ในหัวคิดแต่จะพุ่งทะลวงเข้าชนอย่างเดียว อำพรางตาไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก

 

“ ขุ่ก ขะฮั่ก!? ”

 

และแล้วขีดจำกัดก็มาถึงในทันที

<<หลบหลีกฉุกเฉิน>> ในสภาพที่ขาหักไปข้างนั้นไม่อาจหลีกการพุ่งชนได้พ้น จิเซลที่ถูกเป่าปลิวกระเด็นพลันกระดอนไปตามพื้นหลายตลบ

ความเจ็บปวดแสนสาหัสมันช่วงชิงพลังกายกับกำลังใจไป หนำซ้ำยังผลาญพลังเวทมหาศาลหมดไปกับการใช้ <<ลอบรี่เมจิค>> อีกต่างหาก…..ตัวจิเซลในตอนนี้ไม่อาจที่จะเปิดใช้สกิลใดๆได้อีกแล้ว

 

“ จิเซล!? ”

“ ไอ้บรรลัยนี่! หยุดได้แล้ว มันไม่ไหวแล้ว! ”

 

ครอสโอบร่างของจิเซลที่เยินไปหมดขึ้นมาอุ้มแล้ววิ่งหนี

แต่นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นการดิ้นทุรนทุรายต่อต้านชะตากรรมแล้วด้วยซ้ำ

 

“ ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา! ”

“ อ๊าาาาาาาาาาาาาากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!? ”

 

พุ่งเข้าชน แม้จะค่อนข้างเชื่องช้า แต่อำนาจการขับเคลื่อนของริสก์ 4 มันก็มหาศาลมากพอจะพุ่งทะลวงแหวกฝ่าแมกไม้ได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว

ไม่มีทางที่นักผจญภัยระดับต่ำซึ่งแบกคนเจ็บไปด้วยจะหนีรอดได้เลยซักนิดเดียว

แล้วก็ไม่พลาด ครอสถูกเฉี่ยวปลิวไปพร้อมๆกับจิเซล ได้แต่นอนกองแผ่หราอยู่เหนือพื้นในสภาพยับเยินไปทั้งตัว

มองเห็นความหวังได้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว แนบรบก็พังโค่นลงโดยสมบูรณ์ สถานการณ์พลิกกลับตาลปัตร

บทสรุปในนามความพ่ายแพ้ที่ถูกกำหนดมาให้ตั้งแต่แรกเริ่ม ผงาดขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าของทั้งสองราวกับว่าเป็นเรื่องสมควรแล้วที่จะจบลงเช่นนี้

 

(โธ่เว้ย……! ทำยังไงดี!? ต้องทำยังไงดี!? ยังมีวิธีการแบบอื่นเหลืออยู่อีกรึเปล่า!? ต้องทำแบบไหน…….!?)

 

ความร้อนรนและสิ้นหวังรุมเร้าอยู่ในหัวของครอสที่ล้มฟุบอยู่กับพื้น แทบจะไม่เหลือกำลังใจมากพอที่จะยืนกลับขึ้นมาแล้ว

ทว่า ณ ข้างๆของเด็กหนุ่มนั่น

 

“ อาา เวรเอ้ย ก็ถึงได้บอกไงล่ะไอ้ควาย ว่าไม่ไหวแล้วน่ะ…….. ”

 

จิเซลที่ล้มหน้าคว่ำอยู่ด้วยสติอันมัวหมอง พลันเปล่งเสียงอันแหบพร่าออกมา

 

“ ช่างหัวฉันไปเหอะ แค่แกคนเดียวก็ยังดี หนีไปซะสิวะ…….คิดว่าฉันพุ่งออกมาใช้ <<ลอบรี่เมจิค>> เพื่อใครกันน่ะ…….เพราะงั้นแหละ ขอร้องล่ะ……..อย่าให้ต้องมีใครตายต่อหน้าฉันอีกเลย……. ”

“ ……….ฮึก! ”

 

ออกจะน่าเศร้าหน่อย แต่คำพูดนั่นมันยิ่งเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟไปใหญ่เลย

 

(เออใช่สิ…….ต้องทำยังไงอะไรนี่ มันถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วนี่นา)

 

กำดาบในมือ เหยียบย่ำผืนดิน…..ครอสลุกยืนหยัดขึ้นโดยเอาหลังปกป้องจิเซลเอาไว้

 

(ในเมื่อไม่อาจเลือกที่จะหนีได้ ก็เหลือสิ่งที่ต้องทำแค่อย่างเดียวเท่านั้นแล้วไม่ใช่เรอะ!)

 

เข้าประจันหน้ากับไอ้สัตว์ประหลาดที่ปรับทิศทางหลังจากพุ่งชน และกำลังจะทะยานอัดตรงดิ่งเข้ามาใส่อีกครา……ครอสตัดสินใจเด็ดขาด ว่าจะทุ่มเททั้งหมดทั้งมวลเท่าที่ตนเองมีใส่เข้าไปในการโจมตีเดียวในครั้งถัดไป

และสิ่งที่ปรากฎในจิตที่รวดเร็วมากขึ้นเนื่องจากความตายที่คืบคลานมาใกล้ ก็คือท่าประสานที่ปลดปล่อยออกไปพร้อมกับจิเซลเมื่อครู่นี้

กล่าวคือ เปิดใช้สกิลพร้อมกันทีเดียว

 

(จริงสิ…….ถ้าอานุภาพของสกิลเดี่ยวๆแต่ละอย่างมันไม่เพียงพอแล้วละก็ ถ้าแค่กระหน่ำยิงรัวๆเข้าใส่อย่างเดียวมันไม่มีความหมายแล้วละก็ สู้ทุ่มทั้งหมดทุกอย่างที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ออกมาพร้อมกันทีเดียวเลยซะจะดีกว่า………!)

 

ครอสที่ตั้งดาบสั้นขึ้นมาเตรียมพร้อม พลันถูกไอ้สัตว์ประหลาดทะยานถาโถมเข้ามาคุกคามอีกครา

แม้เสียงตะกุยดินและคำรามมันจะสะเทือนแมกไม้ แก้วหู แล้วก็หัวใจจนสั่นสะเทือนด้วยความกลัว แต่สมาธิกลับจดจ่อพุ่งสูงมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

(เค้นมันออกมา! ขัดเกลาให้ถึงขีดสุด! สำแดงแผลงฤทธิ์ของทุกสรรพสิ่งที่ได้รับมาจากพวกเค้าเหล่านั้น! ออกมาเต็มกำลังที่นี่เดี๋ยวนี้!)

 

นั่นมันคือ…..การเปิดใช้สกิลที่ไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดอื่นใดได้แล้วนอกจากคำว่าบ้าระห่ำ

เปิดใช้สกิลระยะประชิดอย่าง <<บัพสมรรถภาพร่างกาย (เล็ก)>> และ <<ครอสเคาน์เตอร์>> จนถึงขีดสุด ในระหว่างนั้นปากก็กล่าวขับขานคำร่ายของ <<วินด์ชู๊ต>> เพื่อบีบอัดสายลมอยู่ภายในฝ่ามือ หนำซ้ำยังผายมืออีกข้างออกมาระนาบกัน ทดลองร่ำร้องบทกลอนแห่งมารอยู่ภายในหัว ดูว่าจะสามารถใช้ <<การ์ดเอาท์>> ได้หรือไม่

 

“ ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา! ”

 

เผชิญหน้าไม่ยอมเบี่ยงสายตาหนีจากมอนสเตอร์ที่ทะยานตรงเข้ามาเลยแม้แต่นิดเดียว หมายมั่นที่จะฟาดสกิลทั้งหมดทั้งมวลนี่อัดเข้าใส่ทีเดียวพร้อมๆกัน——เป็นในฉับพลันนั้นเอง

 

“ ———ขึก!? ”

 

ท่ามกลางเวลาที่ถูกบีบย่อให้ทุกสรรพสิ่งเคลื่อนไหวไปอย่างเชื่องช้า พลันมีอะไรบางอย่างระเบิดขึ้นมาภายในร่างกายของครอส

ไม่สิ ต้องพูดว่าผลิดอกออกผลต่างหาก

นั่นมันคือสัมผัสที่ละม้ายคล้ายกับตอนที่ <<ครอสเคาน์เตอร์>> ปรากฎขึ้นมา…..แต่ก็แปลกประหลาดต่างออกไปอย่างชัดเจน เจ้าสิ่งนั้นมันงอกเงยออกผลขึ้นมาภายในตัวครอส

ผลไม้ที่แสนพิลึกพิลั่นพลันแปรสภาพกลายเป็นวาจาคำพูด เอ่อล้นออกมาจากปากของครอส

 

“ สิ่งนั้นคือลมหนาวยามโพล้เพล้ ไขว่คว้าไว้ซึ่งท้องนภาทั้งมวลแล้วจงก้มหัวศิโรราบต่อทางสายมารแห่งเรา—— ”

 

คำร่ายสั้นๆที่เหมือนกับเอา <<วินด์ชู๊ต>> และ <<การ์ดเอาท์>> เข้ามาผสมผสานรวมกัน

ในทันใดนั้น หมอกสีดำที่ซึมออกมาจากฝ่ามือของครอสก็พลันถูกบีบอัดเข้าไปพร้อมกับมวลอากาศ

หมอกสีดำที่แน่นหนาราวกับความมืดมิดอันล้ำลึกเข้าห่อหุ้มปกคลุมดาบของเด็กหนุ่ม และครอสก็เข้าสู่ทวงท่าเตรียมพร้อมจะใช้เคาน์เตอร์ทั้งๆอย่างนั้น

 

(นี่ มัน…..อะไรน่ะ…….!?)

 

สัมผัสแปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยจนถึงตอนนี้

แม้ความสับสนและฉงนสงสัยจะปรากฎเข้ามาในหัว แต่ครอสก็เกิดความเชื่อมั่นอย่างประหลาดว่าสกิลนี้มันจะต้องทำงานได้แน่ๆ ก่อนจะถลำเท้าก้าวพุ่งออกไป

พุ่งเข้าใส่ไอ้สัตว์ประหลาดร่างยักษ์ที่กระชั้นชิดเข้ามาหมายจะดับลมหายใจ

 

“ ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา! ”

 

ในฉับพลันเดียวกับที่พุ่งเข้ามา ร็อกลิซาร์ด วอริเออร์ก็ยกขาหน้าอันกำยำล่ำสันสองข้างนั้นขึ้นมาด้วย

แขนประดุจหินผาที่หนามากยิ่งกว่าท่อนซุง พลันถาโถมเข้าใส่ครอสพร้อมๆกับกรงเล็บอันคมกริบ

ลมกรรโชกที่ปรากฎขึ้นในตอนที่แขนเจ้าพลังเฉี่ยวหน้าไปมันกระแทกอัดเข้าใส่ดวงตา ปลายกรงเล็บหวิดจะแทงลึกเข้าไปในคอแล้ว

แต่ก็ไม่โดน ครอสที่ทะยานตรงเข้ามาโดยไม่หวั่นไหวต่อความตายเอี้ยวตัวหลบการโจมตีได้ด้วยระยะแบบกระดาษเส้นเดียวคั่น และในฉับพลันนั้น

 

“ ……….ฮึก! ”

 

หมอกสีดำอันหนาแน่นที่หุ้มดาบไว้มันยิ่งบีบตัวรัดเข้าไปอีก ก้อนมวลสีดำที่ลดขนาดลงกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆตรงปลายดาบนั่น พลันแล่นผ่านอากาศราวกับว่ามีด้ายเชื่อมดาบติดเอาไว้กับคอของไอ้สัตว์ประหลาดเลยก็มิปาน

จุดที่สมควรจะเล็งไปก็คือบริเวณที่เชื่อมต่อติดอยู่กับด้ายดำ

ครอสที่สัมผัสเช่นนั้นได้ด้วยสัญชาติญาณ พลันกล่าววาจาคำพูดหลุดออกมาจากปากอีกครา

 

“ เอเรอร์สกิล—— ”

 

——-นั่นก็คือ สกิลที่ไม่สมควรจะมีอยู่บนโลกใบนี้ได้

สกิลที่ไม่อาจเรียนได้พร้อมกันเนื่องจากมีข้อจำกัดของ <<คลาส>> ขวางกั้นอยู่มันผสมผสานรวมตัวแล้วกำเนิดออกมา——สกิลแบบพิเศษถึงขีดสุดที่มีเพียง <<ไร้อาชีพ>> เท่านั้นจึงจะใช้ได้

แต่ก็เป็นอำนาจประหลาด ที่ตามเดิมแล้ว <<ไร้อาชีพ>> ซึ่งไม่อาจยกระดับสกิลได้อย่างคนอื่นเขา ไม่น่าจะมีทางไขว่คว้าเอามาครองได้

นามของเอเรอร์สกิล ที่ถูกก่อสร้างรังสรรค์ขึ้นมาจากยูนีคสกิลที่เป็นไปไม่ได้กับสภาพแวดล้อมการฝึกฝนที่เป็นไปไม่ได้นั่นก็คือ

 

 

“ ——- <<อีจิสช็อต>> ! ”

 

 

นั่นก็คือเคาน์เตอร์ที่จะทำการบีบอัดหมอกลดพลังป้องกันควบคู่กับสายลมให้มีขนาดเล็กลงถึงขีดสุด แล้วจึงเจาะหาจุดอ่อนที่ร้ายแรงมากที่สุดบนร่างของเป้าหมายภายในพริบตาเดียว เอาทฤษฎีสุดบ้าระห่ำอย่าง [ต่อให้พลังโจมตีของเรามีเพียงแค่ 1 แต่หากลดพลังป้องกันของอีกฝั่งลงมาเป็น 0 ได้ก็ชนะ] มาแปลงโฉมใช้จริงกลายเป็นการโจมตีเพื่อพิชิตยักษ์ใหญ่ ท่าสุดโกงที่อาศัยจุดเด่นเดียวกับเอ็กตร้าสกิล ทำให้มีอานุภาพเพิ่มพูนสูงส่งกว่าหากใช้สกิลที่เป็นฐานพร้อมกันทีเดียวมากมายหลายเท่าตัวนัก

เช่นเดียวกับ <<ครอสเคาน์เตอร์>> ….คมดาบที่ใช้ประโยชน์จากแม้กระทั่งการพุ่งชนของอีกฝั่งมาเสริมอานุภาพให้กับตนเองนั่น ถูกปล่อยกระแทกกระทั้นอัดเข้าไปกลางจุดที่พลังป้องกันถูกลดหลั่นลงมาสุดขั้วมากที่สุด

 

“ กะ———!? ”

 

ปลายดาบแทงทะลุเข้าไปในจุดสีดำขนาดเล็กไม่ต่างกับรูเข็ม

ฉีกกระชากทะลวงผ่านเกล็ดหินผาที่ไม่เคยพ่ายต่อการโจมตีใดๆมาก่อนได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นบัตเตอร์

พลันมีเสียงร้องก่อนสิ้นลมอันแหบแห้งหลุดรอดออกมาจากปากของไอ้สัตว์ประหลาดที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และเลือดสดๆที่พุ่งพวยกระฉูดออกมาต่อก็ดังก้องกลบเสียงนั่นไปในทันที พริบตาให้หลัง

 

 

ขวั่ก!

ดาบของครอสที่ส่งเสียงคำรามลั่นพลันฉีกกระชากคอของไอ้สัตว์ประหลาดเป็นวงกว้าง ส่งร่างยักษ์มหึมานั่นร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน

เสียงการต่อสู้ที่ดังก้องอย่างดุเดือดและเสียงแผดร้องคำรามของไอ้สัตว์ประหลาดที่สนั่นลั่นขึ้นตลอดมาจนถึงเมื่อครู่พลันเลือนหายไป ความเงียบงันระดับที่ชวนให้แปลกใจกลับมาเปี่ยมล้นไปทั่วป่า

 

“ ——-แค่ก……แฮ่ก………..แฮ่ก………! ”

 

ที่ได้ยินแว่วๆมามีเพียงเสียงหอบหายใจอย่างรุนแรงของเด็กหนุ่มที่ก้าวข้ามสภาวะจดจ่อสมาธิสุดขีดไปโค่นไอ้สัตว์ประหลาดล้มคะมำลงมาได้—–โดยมีภยันตรายอันไร้เทียมทานที่ไล่ต้อนทารุณทั้งสองให้ถึงที่ตาย นอนสิ้นลมหายใจแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เคียงข้าง

 

 

 

“ ………ห้ะ……..ระ…….เรื่องจริง เหรอวะเนี่ย……..? ”

 

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนั้น จิเซลที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้วแหงนหน้ามองขึ้นมา ก็ถึงกับเปล่งเสียงหลุดออกมาอย่างตกตะลึง

 

“ ชนะได้…….เฉยเลย……..? ”

 

สิ่งที่แววตาข้างนั่นแหงนมองจ้องขึ้นไปอย่างไม่อยากเชื่อ ก็คือเด็กหนุ่ม <<ไร้อาชีพ>> ที่กำลังหอบหายใจ

หลั่งเลือดกับเหงื่อออกมาท่วมทั้งตัว ผลจากการใช้เรี่ยวแรงกำลังและสมาธิจนถึงขีดสุด ทำให้มดตัวน้อยเลเวล 0 ที่กระโจนเข้าขย้ำคอหอยฆ่ายักษ์ใหญ่ลงได้นั่นถึงกับหอบหายใจออกมาอย่างรุนแรง

ใบหน้าด้านข้างนั่นไม่เหลือแววของเด็กหนุ่มขี้แยที่พ่ายแพ้ต่อการรังแกของจิเซลอย่างน่าสมเพชเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเลยซักนิดเดียว แต่เป็นโฉมหน้าของนักผจญภัยผู้แสนกล้าหาญองอาจที่ก้าวข้ามความตาย เติบโตขึ้น และปกป้องสิ่งที่ตนอยากจะปกป้องเอาไว้ได้จนที่สุดของที่สุด

พอจิเซลผงะนิ่งคาที่ไปแบบนั้น

 

“ ………สำเร็จ…….. ”

 

ในที่สุดปากข้างนั้นก็ขยับขึ้นนิดๆ ในฉับพลันที่คิดเช่นนั้น

 

“ สำเร็จ…….สำเร็จแล้วล่ะจิเซล! ”

 

โฉมหน้าของนักผจญภัยผู้แสนองอาจพลันพังโค่นหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอในบัดดล

ครอสที่กลับมายิ้มร่าอย่างไร้เดียงสาสมวัยในทันที พลันล้มลงเอาเข่าดันพื้นไว้ราวกับหมดเรี่ยวแรง ก่อนจะจับกุมมือของจิเซลพลางร้องเฮฮาหยั่งกับเป็นเด็กเล็กๆ

 

“ สุดยอดไปเลย! สุดยอดไปเลยจิเซล! พวกเรา มีกันแค่สองคนแท้ๆแต่ชนะไอ้เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นได้ด้วยล่ะ! ”

“ เฮ้ย……..!? ”

 

จิเซลถึงกับงุนงงอย่างใหญ่หลวง

เจอกับเด็กหนุ่มที่ยิ้มร่าเริงพลางจับมือไว้อย่างไม่มีอ้อมค้อมแล้ว ก็พลันเกิดความคิดมากมายขึ้นมาอยู่ในหัว

 

(จะบ้าเรอะ นั่นแกปราบได้ด้วยตัวเองเกือบทั้งหมดเลยไม่ใช่เรอะ! แล้วไอ้สกิลนั่นมันอะไรกันน่ะ!?)

(ให้ว่าแล้วไอ้โง่นี่ มันลืมไปสนิทเลยใช่มั้ยเนี่ยว่าเมื่อกี้ตัวเองยังถูกฉันไล่ขยี้อยู่เลยน่ะ!?)

(แล้วก็ทำไมถึงได้ดื้อแพ่งไม่ยอมหนีจนถึงที่สุดล่ะวะเดี๋ยวปั๊ดฆ่าทิ้งซะหรอก!)

 

แต่ความคิดมากมายหลากหลายที่เอ่อล้นขึ้นมาในอกนั่นมันกลับไม่หลุดออกมาเป็นคำพูด ทำไมน่ะเหรอ

 

“ ………ขึก!! ”

 

เพราะใบหน้าด้านข้างของนักผจญภัยผู้แสนกล้าหาญที่ปรากฎให้เห็นเพียงชั่วครู่เมื่อตะกี้นั่น รอยยิ้มอันแสนไร้เดียงสาที่คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าเป็นคนคนเดียวกันนั่น ความเป็นจริงที่ตัวเองถูกช่วยให้รอดชีวิตแล้วนั่น ไอ้นิสัยคนดีที่หนึ่งระดับเห็นแล้วต้องละเหี่ยใจเลยนั่น——-ทั้งหมดนั่นมันกลายเป็นไอร้อนแล่นจากมือที่ถูกกุมเอาไว้กระจายไปทั่วร่าง ย้อมใบหน้าของจิเซลกลายเป็นสีแดงแจ๋ไปภายในบัดดล

 

“ กะ กล้าดียังไงมาจับมือฉันง่ายๆแบบนี้วะไอ้เบื๊อก! ”

 

ที่กล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ผ่านใจที่เต้นระรัว มีเพียงคำก่นด่าเช่นนั้นเอง

 

“ อ๊ะ ขะ ขอโทษนะ!? ”

 

และครอสที่ถูกตะคอกพร้อมสะบัดมือไล่ก็ไหล่ตกซึมกะทือไปตามระเบียบ

 

“ อ๊ะ……. ”

 

เห็นสภาพครอสแบบนั้นแล้ว จิเซลก็ถึงกับอ้ำอึ้งไปไม่เป็นระดับที่ไม่เคยเจอมาก่อน อกบีบรัดแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…..แต่สาวน้อยที่ยังมีอายุแค่ 14 อย่างเธอนั่นก็ไร้ซึ่งความรู้อับจนปัญญาที่จะควบคุมความรู้สึกนั่นได้

 

“ เอ่อ…….อ๊ะ มะ ไม่ใช่เวลามามัวทำอะไรแบบนี้อยู่นี่หว่า! เฮ้ย แกยังใช้สกิลได้อยู่ใช่มั้ย? รีบชำแหละร่างของร็อกลิซาร์ด วอริเออร์แล้วเอาวัตถุดิบร่างกายมันมาเร็วเข้า! ”

“ เอ๊ะ? ทำไมล่ะ? ”

“ อาจจะมีมอนสเตอร์แกร่งๆตัวอื่นหลงเข้ามาอยู่อีกก็ได้ ต่อให้เป็นตัวอ่อนๆแต่สภาพพวกเราโทรมซะหยั่งงี้ถ้าโดนล้อมเข้าก็ตายโหงอยู่ดี! เพราะงั้นแหละถึงต้องเอาวัตถุดิบของไอ้เจ้านั่นมาทำเป็นไม้กันหมา จะได้เผ่นออกไปจากป่านี่ได้ซะทีไงล่ะ! ”

“ อ๊ะ แบบนี้นี่เอง! ”

 

จิเซลมอบคำสั่งให้แก่ครอสราวกับกลบเกลื่อนอะไรหลายๆอย่าง ก่อนจะอาศัยจังหวะนั้นพยายามควบคุมทำใบหน้าตัวเองให้เย็นลงมาสุดชีวิต

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset