เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 35 วันธรรมดาๆแบบใหม่ (4)

วันรุ่งขึ้น

 

“ เมื่อวานสนุกสุดๆไปเลยน้าา …….ถึงตอนสุดท้ายนั่นจะทำเอาตกใจนิดๆเลยก็เหอะ ”

 

ระหว่างเดินทางตรงไปยังโรงเรียนนักผจญภัย ผมก็หวนนึกถึงเหตุการณ์แสนระทึกขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปด้วย

เท่าที่ถามมา ดูเหมือนคุณลีโอเน่เค้าจะแค่อยากให้ผมได้สนุกสนานไปกับ [การดูการแข่ง] มากยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง ผมได้ฟังแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นพระคุณอย่างยิ่งยวดเลยหรอกนะครับแต่……แต่เล่นทำถึงขนาดนั้นมันก็เกินเหตุไปจริงๆนั่นแหละเนอะ……

คงจะเพราะช่วยคิดและเอาใจใส่ในอนาคตของผมอย่างจริงจังมากๆเลยรึเปล่านะ พวกคุณลีโอเน่ที่เป็นถึงนักผจญภัยระดับ S แสนมากล้นประสบการณ์เค้าจึงทำตัวเกินเหตุเกินพอดีไปหมดซะทุกอย่าง โดยจะโอนเอนไปในแบบป่าเถื่อนรุนแรงซะเรื่อย อย่างที่ทะเลาะวิวาทกันใหญ่โตเพราะกับอีเรื่องเล็กๆอย่างจะใช้เวลาช่วงวันหยุดยังไงเมื่อวันก่อนนี่ก็เป็นตัวอย่างที่ดี

……..หวนนึกถึงอากัปกิริยาและคำพูดของพวกอาจารย์ดูแล้ว ความสุดยอดและสุดขั้วของพวกเค้าทั้งสามก็ทำเอาผมถึงกับต้องทึ่งซ้ำใหม่อีกครั้ง แต่ยิ่งเข้าใกล้โรงเรียนมากขึ้น ความคิดเรื่องอื่นก็พลันปรากฎขึ้นมาครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในหัวผมเอาไว้แทน

จิเซล สตริงก์

นั่นคือชื่อของหญิงสาวที่เป็นเด็กของสถานกำพร้ารุ่นเดียวกันกับผม รวมทั้งยังเป็นคนที่กลั่นแกล้งรังแกผมมาเป็นเวลายาวนานด้วย

จะบอกว่าวันนี้แหละคือวันแรกที่ผมจะได้โผล่หน้าไปโรงเรียน หลังจากที่โค่นร็อกลิซาร์ด วอริเออร์ลงได้ในวันนั้น กล่าวคือจะได้พบหน้าเจอะเจอกันกับจิเซลอีกรอบก็วันนี้แหละวันแรก

ในตอนนั้นผมกับจิเซลร่วมแรงร่วมใจช่วยกันสู้ หากคิดตามนั้นก็น่าจะถือว่าคืนดีกันได้แล้วหรอก แต่ในความจริงแล้วตกลงคืนดีกันได้จริงๆรึเปล่านี่ผมก็ยังพะวงอยู่หน่อยๆ

ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงก้าวเข้าไปภายในห้องเล็คเชอร์ของโรงเรียนด้วยหัวใจที่เต้นแรงตึ๊กตั๊ก

เท่านั้นแหละ

——กริบ

ห้องเล็คเชอร์ที่กำลังครึกครื้นไปด้วยบทสนทนาเรื่อยเปื่อยยามเช้าพลันเงียบกริบรอบทิศในคราเดียว

แถมดวงตาของทุกคนภายในห้องยังจับจ้องมองตรงมารวมกันอยู่ที่ผม พร้อมกับมีการแลกเปลี่ยนคำพูดคุยกันด้วยเสียงค่อยซุบซิบๆ

 

“ เฮ้ยเจ้านั่นไง……. <<ไร้อาชีพ>> ที่ว่า……… ”

“ ที่ลือกันว่าชนะริสก์ 4 ได้นั่นเป็นเรื่องจริงรึเปล่านะ? ”

“ ก็คงแค่โม้โอเวอร์เกินจริงไปเท่านั้นแหละมั้ง….. ”

“ เฮ้ยเอ็งลองไปถามมันตรงๆเลยดิ้ จะเป็น <<ไร้อาชีพ>> หรือจิเซล สตริงก์ก็ได้ ”

“ ไม่ดิแต่ว่า…… ”

 

อะ อะไรน่ะ……?

บรรยากาศที่จับต้นชนปลายไม่ถูกของห้องเล็คเชอร์ส่งผลทำให้ผมเกร็งขึ้นมานิดๆ ก่อนที่จะหันมองไปรอบๆเพื่อสอดส่ายสายตาตามหาจิเซล

และก็พบเธอในทันทีเลย

นั่งตัวแข็งทื่ออยู่กับเหล่าเพื่อนๆที่เป็นเด็กกำพร้าด้วยกัน อยู่ตรงบริเวณจุดที่กลุ่มเด็กกำพร้ายึดเป็นพื้นที่ประจำนั่น

พอผมส่งสายตาไปทางนั้น ก็เผอิญสบตากันกับจิเซลที่นั่งเอามือเอากางอยู่พอดี

เท่านั้นแหละ

 

“ ………ขึก! ”

“ เอ๊ะ ”

 

โดนเค้าหลบตาหนีสุดฤทธิ์เฉย

ไม่สิ เรียกว่าหลบตาไม่ได้ด้วยซ้ำมั้ง เบือนหน้าหนีอย่างรุนแรงระดับที่กระดูกคอแทบจะหักเลยต่างหาก

 

(เป็นอะไรของเค้าน่ะ…….หรือว่าจะจริงอย่างที่กลัว ผมแค่มโนด่วนสรุปไปเอง จริงๆแล้วคือยังไม่ได้คืนดีกันหรอกเหรอ……..?)

 

 

แม้จะถูกรุมเร้าอยู่ด้วยความกังวลอย่างหนักหน่วง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ฝืนเค้นความกล้าก้าวเข้าไปหาจิเซล

 

“ เอ่อ…จิเซล? อาการบาดเจ็บหายขาดดีแล้วรึยัง? ”

 

ก็ได้ยินว่าคุณเทโลเมียร์เค้าใช้สกิลฟื้นฟูรักษาให้แล้วอยู่หรอก แต่ลองถามเผื่อเป็นการทักทายไปด้วยในตัวดู และคำตอบที่ถูกส่งกลับมาก็คือ

 

“ อ๊าาา!? ”

 

ไม่รู้ทำไมจิเซลถึงจ้องเขม็งตรงดิ่งมาหยั่งกะจะหาเรื่องกันเฉย แถมผิวสีน้ำตาลนั่นยังถูกย้อมกลายเป็นสีแดงเรื่อไปหมดทั้งตัวอีกต่างหากนี่เค้าโมโหสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย!

 

(ทะ ทำไงดีเนี่ย โมโหเหรอ!? แต่เพราะอะไรกันน่ะ!?)

 

พอผมงงงวยอยู่ กลุ่มเด็กกำพร้ารอบๆก็เริ่มจะซุบซิบอะไรอยู่ข้างหูจิเซล

 

“ เฮ้ยจิเซล ทำบ้าอะไรของเธอน่ะ!? ”

“ เธอบอกเองไม่ใช่เรอะว่าถูกครอสช่วยเอาไว้ในตอนที่กำลังจะถูกริสก์ 4 ฆ่า ฉะนั้นเลยจะไม่หาเรื่องทะเลาะขัดใจกับหมอนั่นอีกแล้วอะ!? ”

“ นะ หนวกหูเว้ย! เพราะจู่ๆมันก็พุ่งเข้ามาทักแบบไม่ให้ตั้งตัวฉันเลยสะดุ้งนิดหน่อยแค่นั้นแหละ! ”

“ สะดุ้งเนี่ยนะ….เธอไม่ใช่คนจิตอ่อนแบบนั้นซะหน่อยไม่ใช่เหรอยะ…..? ”

 

นะ นั่นเค้าเถียงอะไรกันน่ะ?

แถมยังดูเหมือนจะเถียงกันเพราะเรื่องที่เกี่ยวกับผมด้วย?

อะ อืม….ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจหรอก แต่วันนี้ถอยเว้นระยะห่างซะหน่อยคงจะดีกว่าละมั้ง……?

ผมที่คิดแบบนั้น พลันหันหลังให้จิเซลเพื่อที่จะเดินไปนั่งอยู่ตรงจุดที่ห่างออกไปทันที  

แต่เป็นในตอนนั้นแหละ

 

“ อะ…. ”

 

ตึง

จิเซลเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาพลางลุกขึ้นยืน

เอ๊ะ…..แล้วพอผมหยุดกึกอยู่กับที่ด้วยความฉงนปุ๊บ

 

“ อะ…อุ……. ”

 

จิเซลครวญคร่ำด้วยใบหน้าที่แดงแจ๋ซะจนชวนให้สงสัยเลยว่านั่นเค้าเป็นไข้รึเปล่า

ก่อนที่จะพูดออกมาทั้งๆที่เบือนหน้าหนีจากผมอย่างเห็นได้ชัด

 

“ ……จะ จะไปนั่งไกลๆหาพระแสงของ้าวอะไรเล่า ……ตรงนั้น ยังว่างอยู่ไม่ใช่เรอะ ”

 

และที่จิเซลชี้นิ้วไปหาพร้อมกับพูดออกมา…..ก็คือที่นั่งข้างหน้าจิเซล ที่บังเอิญว่างอยู่พอดีราวกับว่ามีใครจงใจจองเอาไว้ให้โดยเฉพาะเลยยังไงยังงั้น…..กล่าวคือเป็นที่นั่งในอาณาเขตของกลุ่มเด็กกำพร้านั่นแหละ

พอผมอึ้งค้างอยู่อย่างนั้น จิเซลก็พลันทำปากมุบมิบเหมือนกับร้อนรนอยู่ไม่สุข

 

“ ……มัวเอ๋อแดกอยู่ทำไมวะ นั่งลงได้แล้ว เล็คเชอร์มันจะเริ่มแล้วนะ ”

“ อะ อือ! ”

 

วาจาคำพูดของจิเซลยังฟังดูรุนแรงอยู่นิดหน่อย

แต่กิริยาท่าทางที่ปฎิบัติกับผมซึ่งแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสมบูรณ์นั่น ก็ทำให้ผมที่นั่งลงเหนือเก้าอี้ตรงนั้นเผลอหลุดยิ้มออกมาเองเลย

 

 

“““ ขอโทษที่ทำไม่ดีกับนาย/เธอลงไปนะ! ”””

 

ฉับพลันหลังจากที่เล็คเชอร์จบลง

กลุ่มเด็กกำพร้าที่รุมล้อมทำร้ายผมในป่าทิศตะวันตกก็พลันแห่วิ่งเข้ามาก้มหัวให้กันหมดเลย

เอะ เอ๋……?

 

“ เข้าใจแหละว่าเพิ่งจะแจ้นมาขอโทษหลังจากที่จิเซลบอกว่า [เลิกหาเรื่องแล้ว] แบบนี้มันดูกวนประสาทสิ้นดี! อยากให้ชดใช้ยังไงก็จะทำให้ทั้งหมดเลย พูดมาเลยเถอะไม่ต้องเกรงใจ ”

 

ปาร์ตี้ลีดเดอร์ที่เป็นคนเชื้อเชิญผมไปร่วมเควสต์พลันออกมากล่าวเช่นนั้นเป็นตัวแทนของทุกคน

แต่เห็นทุกคนมาก้มหัวขอโทษแบบนี้แล้วผมกลับยิ่งรู้สึกแย่หนักเข้าไปใหญ่

 

“ มะ ไม่เป็นไรหรอกนะ! สุดท้ายทุกคนก็ปลอดภัยกันหมดนี่นา! ผมไม่ได้ติดใจอะไรแล้วล่ะ ”

 

ถ้าอยากจะชดใช้ งั้นก็ช่วยเลิกประหม่าเหมือนเกรงใจกันแบบนั้นทีเถอะ

ผมว่าอย่างนั้นพลางขอร้องให้ทุกคนช่วยเงยหน้าขึ้น

เท่านั้นแหละทุกคนถึงกับพูดออกมาด้วยสีหน้าอึ้งเลย

 

“ พะ พ่อพระเหรอเนี่ย……. ”

“ พ่อพระตัวเป็นๆ…….เอ้อก็ไม่ใช่จิเซลหรอกนะ แต่เห็นงี้ก็ชักกังวลแล้วเหมือนกันว่าจะเป็นนักผจญภัยไปรอดได้แน่รึเปล่า……. ”

“ ต้องปกป้องเอาไว้……. ”

 

ถอนหายใจอย่างโล่งอกมั่ง ทำหน้าเหมือนเพลียจับจิตมั่ง…..มีแต่ปฎิกิริยาที่ยากจะเข้าใจทั้งนั้นเลย

อะไรหว่า ผมพูดอะไรแปลกๆไปหรือไง?

แต่เอ้อ เท่านี้ก็น่าจะทำความเข้าใจคืนดีกันได้อย่างเป็นทางการแล้วละมั้ง จากนี้ไปก็จะสามารถสนิทสนมกับทุกคนในกลุ่มเด็กกำพร้าได้โดยไม่ต้องประหม่ากลัวอะไรอีกแล้ว

ผมคิดเช่นนั้นพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกด้วยเช่นกัน เป็นในฉับพลันให้หลังนั่นแหละ

 

“ งั้นก็ ในเมื่อครอสยอมยกโทษให้แล้ว…… ”

 

ทุกคนในกลุ่มเด็กกำพร้าพลันมองหน้ากันด้วยท่าทางเหมือนอยู่ไม่สุข

แต่แล้วก็ทะยานรุดเข้ามาใส่ผมพร้อมกันในคราเดียวด้วยแววตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเร่าร้อน

 

“ นี่ๆนายน่ะ ที่บอกว่านายปราบริสก์ 4 ลงได้ด้วยตัวคนเดียวนั่นเป็นเรื่องจริงเหรอ!? ”

“ เอ๊ะ ”

“ จิเซลยืนกรานกับพวกเราไว้ว่าแบบนั้นน่ะ แต่สรุปแล้วมันเป็นแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ!? ”

“ เอาจริงๆคือแค่รอดตายกลับมาได้ก็เหลือเชื่อมากแล้วนะเว้ย ใช้ลูกไม้แบบไหนกันน่ะ!? ”

“ เอ๊ะ เอ๋—!? ”

 

จู่ๆก็โดนยิงคำถามใส่รัวๆ ผมนี่คือถึงกับไปไม่เป็นขั้นหนักเลย

แถมยังเหมือนว่าข่าวลือที่แพร่ออกไปมันจะโดนปรับเกินจริงให้กลายเป็นผมชนะริสก์ 4 ได้ด้วยตัวคนเดียวอีกต่างหาก แม้จะสับสนเพราะเรื่องมันกะทันหันเกินไป แต่ผมก็รีบทำการแก้ไขข้อมูลทันที

 

“ มะ ไม่หรอกไม่ๆ! ไม่ใช่หรอกนะ ริสก์ 4 น่ะชนะได้เพราะร่วมมือกันกับจิเซลต่างหาก…….ถ้ามีแค่ผมคนเดียวละก็ไม่มีทางชนะได้เด็ดขาดเลยล่ะ! ”

 

แต่การแก้ไขของผมกลับเป็นการกระตุ้นให้ความตื่นเต้นของกลุ่มเด็กกำพร้ายิ่งมอดไหม้แรงหนักมากเข้าไปใหญ่ซะนี่

 

“ …….หรือก็คือ ที่บอกว่าชนะได้นั่นเป็นเรื่องจริงงั้นสินะ!? ไม่งั้นพวกนายก็คงไม่ได้รอดมายืนอยู่ตรงนี้หรอกเนอะ แถมจิเซลยังเอาวัตถุดิบส่วนหนึ่งของริสก์ 4 ไปส่งให้กับกิลด์ด้วยนี่เนอะ! ”  

“ พับผ่าเหอะว่ะนายนี่มันอะไรกันเนี่ยเฮ้ย! ยังเห็นโดนให้ออกจากโรงเรียนอยู่ไวๆ แต่พอหนึ่งเดือนให้หลังจากพิธีประทาน <<คลาส>> ก็ดันกลับมาชนะจิเซลได้เฉยเลย แถมยังโค่นได้แม้กระทั่งริสก์ 4 เลยเหรอเนี่ย! ”

“ ให้ว่าแล้วนี่เธอ พัฒนาสกิลได้อย่างเร๊วเร็วในเวลาสั้นๆเลยไม่ใช่เหรอ!? แถมยังไม่ได้มีแค่สกิลระยะประชิดอย่างเดียว ใช้ได้ไปยันสกิลเวทมนตร์เลยอีกต่างหาก มันยังไงกันแน่น่ะ!? มีเคล็ดลับที่ช่วยได้ดีชะงัดนักอยู่เหรอ!? ”

“ เอ็งฝึกยังไงถึงเทพแบบนี้ได้วะเนี่ยโคตรจะอิจฉาเลย! นี่ๆ แค่นิดเดียวก็ยังดีช่วยบอกสูตรลับการฝึกให้กันมั่งดิ! ขอร้องนะเพื่อน! ”

 

พายุคำถามอันแสนรุนแรงถาโถมถล่มเข้ามาจนผมหัวหมุนมึนไปหมดแล้ว

นะ นี่หรือว่าที่ทุกคนเข้ามาหาผม ไม่ได้เพราะหวังอยากจะคืนดีแต่เพราะอยากรู้เรื่องนี้มากกว่าหรือไงเนี่ย!?

อะ เอ้อ…แต่จะอยากรู้มันก็สมควรแล้วนั่นแหละนะ

ความเร็วการเติบโตของตัวผมในช่วงหนึ่งเดือนครึ่งนี่ สามารถพูดเองได้ไม่อายปากเลยว่าหลุดสามัญสุดๆไปเลย

หากพิจารณาจากจุดที่ว่า <<คลาส>> ของผมคือ <<ไร้อาชีพ>> ที่แทบจะไม่มีการเติบโตเลยแล้ว ไอ้ความก้าวหน้าแบบนี้มันก็คือตัวแหวกสามัญสำนึกดีๆนี่เอง

หากเป็นนักผจญภัยที่จำนวนเลเวลและระดับความชำนาญของสกิลจะมีผลต่อชะตาชีวิตโดยตรงแล้วละก็ ย่อมต้องอยากที่จะรู้ความลับที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของผมแหงอยู่แล้ว

แต่ความเร็วการเติบโตของผม มันไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดจากความสามารถและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของตัวผมเองน่ะสิ

ทั้งหมดเป็นทรัพย์สมบัติที่ผมได้รับสืบทอดมาจากการฝึกวิชาอันแสนอบอุ่นของเหล่าอาจารย์ที่อุตส่าห์มีพระคุณเก็บ <<ไร้อาชีพ>> อย่างผมมาเลี้ยงดูต่างหาก

และตัวผมก็ถูกห้ามไม่ให้แพร่งพรายบอกกับใคร ว่าตนเองนั้นกำลังถูกเลี้ยงดูอยู่โดยนักผจญภัยระดับ S ถึงสามคน

เพราะถ้าความแตกแล้วมันจะเกิดเรื่องน่าปวดหัวขึ้น…..เป็นสัญญาอันแสนสำคัญที่ผมให้เอาไว้กับเหล่าอาจารย์เลย

ฉะนั้นผมจึงต้องหาทางกลบเกลื่อนเอาตัวรอดไปจากตรงนี้ให้ได้…..ตะ แต่จะทำยังไงดีล่ะ

ความตื่นเต้นของทุกคนที่ได้ยินว่าผมชนะริสก์ 4 ได้นั่นมันเกินขีดธรรมดาไปไกลเลย

ไม่อาจตอบเลี่ยงประเด็นแบบส่งๆได้เลยซักนิดเดียว

แต่ก็จะยอมบอกความจริงไม่ได้เด็ดขาดอีก……. เป็นในระหว่างที่ผมกำลังอ้ำอึ้งไปไม่เป็นอยู่นั่นเอง—–

 

“ เฮ้ย พอได้แล้วพวกแก ”

 

ในฉับพลันนั้น

จิเซลที่เงียบกริบมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็พลันเร่งเสียงพูดออกมา

 

“ การจะบีบจี้ให้นักผจญภัยคายข้อมูลสกิลออกมาแบบนั้นมันผิดกฎนะเว้ย แถมวิธีการฝึกนี่ก็ไม่ใช่อะไรที่เราสมควรถามง่ายๆแบบนั้นซะหน่อยไม่ใช่เรอะ ”

“ เอ๋~ แต่ว่านา ”

“ ไม่ต้องมาต่งมาแต่! ”

 

จิเซลตวาดอัดใส่กลุ่มเด็กกำพร้าที่พยายามดึงดันจะรั้งอยู่ต่อ

เท่านั้นแหละ ทุกคนที่รัวคำถามใส่ผมมาตลอดจนถึงเมื่อครู่ก็พลันสงบลงราวกับได้สติกลับมากันทันที

สะ สุดยอดเลย ทำให้ทุกคนที่คลั่งหยุดไม่อยู่กันถึงขนาดนั้นสงบได้ง่ายๆขนาดนี้เลยเหรอ

ให้ว่าแล้ว เมื่อตะกี้หรือว่าจิเซล….ช่วยปกป้องผมเอาไว้เหรอ…….?

 

“ แต่ก็นะ แกเองก็พอตัวเหมือนกันเว้ย ”

 

จิเซลหันขวับมาจ้องหน้าผมเขม็ง

ก่อนจะกระชากแขน—–แต่ก็หยุดกึก แตกตื่นลนลานหันมากระชากมุมเสื้อของผมแทนซะงั้น

 

“ มานี่เดี๋ยวดิ้ มีเรื่องจะคุยด้วย ”

“ เอ๊ะ จิเซล? เดี๋ยวสิ มีอะไรเหรอ? ”

 

จิเซลไม่ยอมตอบคำถามของผม เอาแต่เดินตึงตึงลากผมออกไปนอกห้องเล็คเชอร์ท่าเดียว ราวกับจะไม่ยอมรับคำคัดค้านใดๆทั้งสิ้น

 

 

จุดที่ผมถูกลากเอาตัวมา ก็คือมุมขอบทางเดินอันเปล่าเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คน

พอตรวจเช็คอย่างถี่ถ้วนว่าไม่มีใครอยู่รอบๆเสร็จปุ๊บ จิเซลก็เบาเสียงลงเพื่อพูดเข้าประเด็นหลักในทันที

 

“ แกนี่น้า เรื่องที่ว่าแกเรียนวิชาอยู่กับไอ้พวกสัตว์ประหลาดนั่นมันเป็นความลับไม่ใช่เรอะ? งั้นก็เตรียมแผนกลบเกลื่อนเอาไว้ให้พร้อม ไม่ก็ตอบปฎิเสธไปให้มันชัดเจนเน้นๆซะสิวะ เห็นแล้วมันหวาดเสียวแทน ”

 

จิเซลพูดออกมาอย่างเพลียๆ ทำเอาผมถึงกับเผลอหลุดออกมาดัง “เอ๊ะ?” เลย

นี่จิเซล รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเหล่าอาจารย์หรอกเหรอเนี่ย

 

(อ๋อ จริงสินะ คุณลูด์มิร่าเค้าพูดอยู่เหมือนกันว่าสอบถามเรื่องราวความเป็นมาของเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าทิศตะวันตกจากจิเซล แสดงว่าจิเซลก็มีโอกาสได้รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกผมในตอนนั้นเองงั้นสิ)

 

งั้นก็แสดงว่า เมื่อกี้จิเซลรู้ถึงสถานการณ์ของผมแล้วจงใจเข้ามาช่วยเหลือจริงๆด้วยสินะ

ความจริงตรงนี้มันทำให้รู้สึกมีความสุขเหลือเกิน จนผมเผลอยิ้มให้กับจิเซลที่ทำหน้าตาเหมือนเพลียจับจิตขึ้นมาเลย

 

“ ขอโทษที่ต้องให้เป็นห่วงนะ แล้วก็ขอบคุณด้วย ”

“ ห้ะ…..! ยะ อย่าเข้าใจผิดไปเชียวนะเว้ย!? ”

 

แล้วไม่รู้ทำไมจิเซลถึงได้หน้าแดงเรื่อขึ้นมา ก่อนจะเบือนหน้าหนีห่างไปจากผมอีกรอบ

 

“ ถ้าไอ้พวกจากสถานกำพร้ามันรู้เรื่องความลับของแกเข้า แบบนั้นพวกมันก็ได้คิดว่าฉันเป็นคนปากพล่อยปล่อยข้อมูลต่างหากหรอก! ……..ไม่เว้ยอันนี้คือพูดจริงว่ะ โดนแก๊งสัตว์ประหลาดแบบนั้นหมายหัวนี่ฉันขอบายไม่เอาด้วยเด็ดขาดอะ…… ”

 

จิเซลพูดเสียงสั่นพลางหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาท่วมกาย

จะ จิเซลคนนั้นถึงกับหวาดกลัวหัวหดเลย…….?

เกิดอะไรขึ้นระหว่างจิเซลกับพวกอาจารย์กันแน่น่ะ

แต่พวกคุณลูด์มิร่าเค้าก็พูดแค่ว่า [สอบถามความเป็นมาแบบเบาๆนุ่มๆอ่อนโยน] เท่านั้นเองนี่นา…..

พอผมเอียงหัวสับสนกับท่าทางของจิเซลไปซักพัก

 

“ ………แล้วไง? ”

 

จิเซลก็พลันส่งแววตาเฉียบคมตรงเข้ามาราวกับเป็นการกดดันให้พูดแต่โดยดี

 

“ เอ๊ะ? ”

“ จะเอ๊ะทำแป๊ะอะไรเล่า ที่แกเรียนวิชาอยู่กับพวกคนสวย…..เอ้ย เรียนวิชาอยู่กับแก๊งสัตว์ประหลาดนั่นนี่ คือ แบบว่านั่นไง……พวกแกอาศัยอยู่ด้วยกันเลยเรอะ? ”

“ อะ เอ่อ เรื่องนั้น….. ”

 

เห็นท่าทางของจิเซลที่ดูจริงจังสุดขั้วแล้ว ผมก็ลังเลอยู่ชั่วขณะว่าควรจะพูดให้ฟังถึงแค่ไหนดี

 

“ พูดมาเหอะน่า ถึงยังไงฉันก็รู้ไปหลายเรื่องแล้วนะเว้ย มาป่านนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้แล้วความล้งความลับอะ ”

“ อ่า~ อะ อือ นั่นสินะ อยู่ด้วยกันเลยแหละ พวกเค้าเก็บผมมาเลี้ยงในวันที่โดนให้ออกจากโรงเรียนน่ะ แล้วหลังจากนั้นก็เป็นภาระให้พวกอาจารย์ดูแลมาตลอดเลย ในหลายๆด้าน ”

“ หลายๆด้าน…….. ”

 

ฉับพลันนั้น ไม่รู้ทำไมแต่สีหน้าของจิเซลพลันตายสนิทหายลับไปโดยพลัน

กะ เกิดอะไรขึ้น!?

 

“ …….ฮ้า~น ก็อยู่ร่วมกับไอ้พวกคนสวยหยาดเยิ้มแบบนั้นตั้งเดือนกว่าเลยนี่เนาะ ”

“ จะ จิเซล? นี่โมโหอยู่สุดๆเลยรึเปล่าน่ะ? ”

“ หาา!? ไม่ได้ปรี๊ดแตกซะหน่อยโว้ย! ไปตายซะ! ”

 

โมโหสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอน่ะ!?

ไล่ให้ไปตายด้วยนั่น!

 

“ ……….ชิ มันอะไรกันวะ……ลำพังแค่นี้ก็จนปัญญาไม่รู้จะทำยังไงดีอยู่แล้ว นี่มันยังอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับพวกอีนังสัตว์ประหลาดสุดสวยนั่นอีกเรอะ แบบนี้ฉันก็อับจนหนทางเลยไม่ใช่เหรอวะเนี่ย………. ”

 

แถมจิเซลยังถึงกับเอามือโอบหน้าผาก เริ่มพึมพำอะไรไม่รู้อยู่ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอีกต่างหากนั่น

ตะ ตั้งแต่ตะกี้นี้แล้ว จิเซลเป็นอะไรไปน่ะ…….

ไม่รู้เลยว่าควรพูดกับจิเซลยังไงดี

แต่ในท้ายที่สุด คำพูดที่สลัดหลุดความลังเลออกมาจากปาก ก็คือความรู้สึกจากใจจริงที่พลันปรากฎขึ้นมาอยู่ในหัวของผมเมื่อครู่นี้

 

“ ……..แบบว่ายังไงดี เพราะต้องคอยปกปิดห้ามบอกไม่ให้คนอื่นรู้มาตลอด….พอได้พูดแบ่งปันเรื่องที่ผมคอยเป็นภาระของพวกอาจารย์อยู่นั่นกับคนอื่นแล้ว ก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้หน่อยนึงเลยล่ะ ”

 

และแล้ว จิเซลที่ได้ยินคำพูดของผมเข้าไปก็พลันหยุดกึกเป็นการตอบสนอง

 

“ ตะกี้นี้ก็เหมือนกัน ผมน่ะพอถูกรัวคำถามใส่แบบนั้นแล้วจะแตกตื่นทำตัวไม่ถูกสุดๆไปเลย ฉะนั้นขอบคุณมากนะที่ช่วยหยุดพวกเค้าเอาไว้ให้ ผมโชคดีจริงๆเลยที่คนที่ล่วงรู้ความลับเพียงหนึ่งเดียวคือจิเซล ”

 

ไม่รู้หรอกนะว่าตอบสนองต่อส่วนไหนของคำพูดนั้นของผม

 

“ ………ชิ ”

 

แต่จิเซลที่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกระเดาะลิ้นกลับมีสีหน้าที่ดูมีความสุขเหลือเกิน

 

“ ………ถ้างั้นก็เอางี้ ไอ้เรื่องที่แกถูกดูแลอยู่โดยเจ้าพวกสัตว์ประหลาดนั่นน่ะ ถือซะว่าเป็นความลับของแกกับฉันแค่สองคนก็แล้วกัน ”

 

ตุบ

จิเซลเอาหมัดดันแนบไว้กับอกของผม ราวกับหยอกล้อกันเล่นๆ  

แล้วจากนั้นจิเซลก็หันหลังให้ผมราวกับเป็นการแก้เขินเลยยังไงยังงั้น

 

“ เอ้อ คุยเรื่องที่อยากจะคุยเรียบร้อยไปแล้วด้วย กลับห้องเล็คเชอร์ดีกว่าแฮะ …….อ่า แต่ก็นะ ถ้ากลับไปด้วยกันมันก็น่าอายไงประเด็น แกน่ะรอเวลาอยู่ซักแปปนึงก่อนแล้วค่อยกลับไปซะ เข้าใจใช่มั้ย? ”

“ เอ๊ะ? อะ อือ ”

 

จิเซลทิ้งคำสั่งอันเป็นปริศนาเอาไว้ ก่อนจะวิ่งเตาะแตะจากไป

ผมเฝ้ามองหลังของเธอหายลับไปตรงมุมทางเดิน พลางยกมือขึ้นมาแตะจุดที่โดนแนบหมัดอยู่จนถึงเมื่อครู่ ก่อนจะเผลอตัวหลุดพึมพำออกมา

 

“ ค่อยยังชั่ว…….ท่าทางจิเซลดูแปลกๆนิดนึงก็จริง แต่ดูเหมือนว่าเรา จะคืนดีกันได้แล้วสินะ ”

 

ลิ้มรสความจริงที่ในที่สุดก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนนั่นให้ถึงใจ

แล้วผมก็เชื่อฟังตามคำสั่งอันเป็นปริศนาของจิเซล ทำการรอเวลาซักระยะก่อนจะก้าวเท้ามุ่งหน้าจะกลับไปยังห้องเล็คเชอร์ แต่เป็นในฉับพลันนั้นเอง

 

“ จ้อง……. ”

“ ฮึก!? ”

 

ที่ผมเผอิญสบตากับ—–คุณเอลิเซียที่แอบมองดูอยู่ตรงซอกหลืบเข้าพอดี   

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset