เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 44 อยากหาเรื่องก็พร้อมรบ (1)

นั่นก็คือกลุ่มคนราวสิบคนที่ห่อหุ้มปกคลุมร่างกายเอาไว้ด้วยเครื่องสวมใส่ที่แสนหรูหรางามสง่าอย่างท่วมท้นชวนให้ใจหาย

อาชีพระยะประชิดหลายคนที่หุ้มร่างเอาไว้ด้วยชุดเกราะโลหะทั้งตัว แล้วก็เหล่าอาชีพเวทมนตร์ที่พกพาคทาเอาไว้อยู่ข้างกาย

และผู้ที่คอยชักนำพวกเขาเหล่านั้น ก็คือสาวน้อยผู้งดงามที่ผมคุ้นหน้า

 

“ นั่นมัน……คนที่เฉิดฉายอยู่ในการแข่งปราบปรามสไลม์ปุกปุย……… ”

 

คุณแคทลียา ริชมอนด์……..?

หญิงสาวตระกูลขุนนางที่ใช้เวททิ้งระเบิดจัดการมอนสเตอร์จำนวนมหาศาลให้ราบคาบได้ในเปรี้ยงเดียว

ที่ยืนขนาบข้างซ้ายขวาของเธอซึ่งมียศถาสูงส่ง ราวกับคอยเฝ้ารับใช้ในฐานะตัวแทนของผู้ติดตาม ก็คือชายร่างผอมเพรียวที่ดูเจ้าอารมณ์ กับชายร่างใหญ่ที่ดูจริงจัง…..อาชีพระยะประชิดระดับกลางทั้งสองคนที่ใช้ความสามารถอันมากล้นเหนือล้ำกว่าชาวบ้านต้านเหล่าสไลม์ที่ถาโถมเข้ามาให้ไม่อาจขยับเข้าใกล้ได้เลยแม้แต่นิดในวันการแข่งปราบปรามนั่นน่ะเอง

แล้วทำไมคนเหล่านั้นถึงได้มาอยู่ที่นี่…….พอผมถูกถาโถมจนพูดอะไรไม่ออกอยู่ คุณแคทลียาเค้าก็มองกวาดไปรอบๆสนามฝึกซ้อม ก่อนจะปั้นรอยยิ้มหน้าบานขึ้นมา

 

“ อืมๆ เป็น ที่ว่างโล่ง ที่สวยสดงดงามไม่เลวนี่นา กำลังอยากได้สนามฝึกซ้อมที่ใช้งานได้อย่างอิสระเพื่อฝึกให้ทำตัวเลขในการแข่งปราบปรามได้มากยิ่งขึ้นอยู่พอดีเลย! ถ้าต้องคอยออกไปข้างนอกกำแพงเอยถ่อไปถึงทางเดินปราการเอยอยู่เรื่อยแบบนั้นมันก็น่ารำคาญนี่เนอะ เอาตรงนี้แหละตรงนี้นี่คือเหมาะเหม็งเลย! ”

 

ว่าแบบนั้นแล้วคุณแคทลียาก็เดินนำกลุ่มของตน ก้าวฉับๆเข้ามาภายในสนามฝึกซ้อมพร้อมกับผลักไสไล่ส่งกลุ่มเด็กกำพร้าที่กำลังง่วนอยู่กับการฝึกปรือตนเองไปด้วย

 

“ อ๊าาา!? อะไรของพวกแกวะ ”

 

เรื่องมันฉุกละหุกมากเกินไปจนพวกผมได้แต่อึ้งตะลึงงันตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ แต่แล้วคนที่ชิงขยับตัวได้ก่อนใครๆ ก็คือจิเซล

โพล่งออกมาแบบท้าหาเรื่องสุดกู่ตั้งแต่แรกเริ่ม

พร้อมกับจ้องเขม่นราวกับจะสื่อว่าต่อให้อีกฝั่งจะเป็นขุนนางหรืออะไรก็ไม่เกี่ยง ไม่มีเหตุจำเป็นต้องก้มหัวตัวหดให้กับใครหน้าไหนที่บังอาจหาญกล้าเข้ามาภายในถิ่นของตนเลยซักนิด

 

“ อุ๊ยตาย? ”

 

เท่านั้นแหละ คุณแคทลียาพลันหันสายตามองมาทางนี้ด้วยสีหน้าเหมือนกับจะสื่อว่า “เพิ่งจะเห็นหัวเมื่อตะกี้นี้” พร้อมกับหยิบเอาพัดพับได้ที่ถูกเสริมเติมแต่งจนหรูหราขึ้นมาปิดริมฝีปาก เข้าปะทะชนกับจิเซล

 

“ อุ๊ยว้ายตายจริงแหม่ๆๆ มีไอ้ตัวที่ดูเหมือนจะหลุดออกมานอกคอกอยู่ด้วยนี่นา เด็กสามัญชนแสนน่าสังเวชมาทำอะไรอยู่ในสนามฝึกซ้อมที่หรูหราถึงขนาดนี้กันละเนี่ย? ”

“ อ๊า…….? ”

 

คำพูดของคุณแคทลียาที่ดูแสนจะหยิ่งยโสนั่น พลันทำให้เสียงของจิเซลต่ำทุ้มลงไปอีกระดับ

แถมกลุ่มเด็กกำพร้าที่อึ้งตะลึงงันมาตลอดจนถึงเมื่อครู่ก็ยังพึมพำกันว่า “อะไรวะไอ้พวกนี้” พลางเริ่มปลดปล่อยบรรยากาศตึงเครียดส่อแววจะระเบิดออกมากันในคราเดียว รู้ตัวอีกทีก็เกิดเป็นศึกจ้องหน้าจ้องตากันระหว่างกองกำลังฝั่งกลุ่มเด็กกำพร้าและฝั่งขุนนางขึ้นมาในสนามฝึกซ้อมซะแล้ว

 

(เอ๊ะ เอ๊ะ นี่มันอะไรกันน่ะ…….!? ทำไมจู่ๆถึงได้กลายเป็นบรรยากาศเหมือนพร้อมจะฆ่าฟันกันแบบนี้เฉย!?)

 

ผมที่แตกตื่นลนลานนั้นไม่มีใครสนใจ ส่วนบทสนทนาอันชวนให้หวาดเสียวที่มีจิเซลกับคุณแคทลียาเป็นศูนย์กลางนั่นก็ยังคงดำเนินต่อไป

 

“ ทำอะไรงั้นเรอะ มันก็ต้องฝึกแหงอยู่แล้วสิวะ ที่นี่มันคือสนามฝึกซ้อมที่พวกฉันกลุ่มเด็กกำพร้าใช้งานกันมาหลายต่อหลายรุ่นนะ ถ้าทั่นขุนนางเข้าใจแล้วก็รีบๆไสหัวออกไปทีดิ้ พวกเธอก็มีสนามฝึกซ้อมของตัวเองที่สามารถใช้งานได้อย่างอิสระอยู่ไม่ใช่เรอะ ”

“ เห~ สนามฝึกซ้อมที่พวกสามัญชนไม่มีพ่อไม่มีแม่ใช้กันมาหลายต่อหลายรุ่นเหรอ~ ”

 

 

คุณแคทลียามองไปรอบๆพวกจิเซลกับสนามฝึกซ้อม แล้วพอหันมามองผมเป็นอย่างสุดท้ายแล้ว ก็พลันหลุดขำดัง “พรึ่ด” อย่างเยาะเย้ยออกมา

 

“ แต่ว่าน้าา? ถ้าให้พวกคนที่แพ้ให้กับ <<ไร้อาชีพ>> เลเวล 0 ใช้งานสนามฝึกซ้อมที่สุดจะหรูหราแบบนี้ไป แบบนั้นมันก็เสียของสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอจ๊ะตัวเธอ? ถ้าถูกส่งต่อให้กับผู้ที่มีพรสวรรค์มากยิ่งกว่า—–กล่าวคือตัวดิฉันผู้นี้ซึ่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเอิร์ลของตระกูลริชมอนด์ซะ แบบนั้นสิถึงจะเป็นวิธีการที่จะทำให้สนามฝึกซ้อมแห่งนี้ถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและสมเกียรติยิ่งมากที่สุดน่ะ ว่าไงล่ะเห็นตรงกันไหมจ๊ะ? ”

 

คำพูดที่ดูจะกดขี่ข่มเหงกันมากเกินเหตุนั่น ทำให้จิเซลปรี๊ดแตกเข้าจนได้

แต่จะโกรธมันก็แหงอยู่แล้ว

ก็คุณแคทลียาที่จู่ๆก็โผล่มาที่นี่เค้ากำลังพูดเป็นนัยๆ——ไม่สิ พูดแบบค่อนข้างชัดเจนเลยล่ะ ว่าจงส่งสนามฝึกซ้อมแห่งนี้มาให้กับตนซะ น่ะ แถมยังด้วยเหตุผลที่ว่า “เพราะคนที่อ่อนแออย่างพวกเธอไม่จำเป็นต้องใช้” อีกต่างหาก

อะ อะไรของพวกเค้าน่ะคนพวกนี้…….

คำพูดกับท่าทางที่แสนจะเห็นแก่ตัวเกินเหตุนั่นทำให้ผมสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ส่วนจิเซลที่แบกรับชะตาของกลุ่มเด็กกำพร้าเอาไว้เหนือไหล่ก็พลันแผดเสียงร้อง

 

 

คำผรุสวาทของจิเซลที่ยั๊วะหนักเกินไปหน่อย ทำให้ผู้ติดตามที่ยืนประจำการอยู่เบื้องหลังคุณแคทลียาตลอดมาจนถึงเมื่อกี้พลันก้าวออกมาข้างหน้า เป็นหนึ่งในคนอาชีพระยะประชิดระดับกลางที่แสดงท่วงท่าอันเหนือล้ำสุดยอดให้เห็นเด่นอยู่ในการแข่งปราบปรามนั่นเอง

ผู้ติดตามร่างผอมที่ดูเจ้าอารมณ์คนนั้น พลันยกดวงตาซัมปาคุขึ้นมาเขม่นมองจิเซลในทันใด

 

“ พวกแกไม่ได้ยินคำประกาศชื่อสกุลอันแสนน่ารักน่าชังของท่านแคทลียาเมื่อซักครู่นี้หรือไร ไอ้พวกสมองหมาปัญญาควาย! ท่านผู้นี้คือผู้สืบทอดของตระกูลท่านเอิร์ลริชมอนด์ ท่านแคทลียา ริชมอนด์เลยเชียวนะ!? ตามเดิมแล้วไม่ใช่คนระดับที่สามัญชนหน้าโง่อย่างพวกแกจะมีโอกาสได้พูดคุยด้วยคำต่อคำแบบนี้หรอกนะโว้ย! ท่านอุตส่าห์ยอมเปิดช่องให้โอกาสได้คุยต่อรองกันแบบนี้พวกแกก็สมควรร่ำไห้ด้วยความปลื้มปีติแล้วแท้ๆ………แต่นี่มันอะไรกัน พอเงียบฟังเข้าหน่อยก็เอาแต่สาดห่าผรุสวาทาแสนหยาบคายเสียจนอดรนทนฟังอยู่ไม่ได้เลย! คิดจะรับผิดชอบยังไงไม่ทราบ! ”

“ หา? ไปไกลๆส้นตีนดิ้ไอ้ชั้นต่ำ ฉันกำลังยุ่งคุยกับเจ้านายปัญญานิ่มของแกอยู่นะเว้ย ”

“ นั่นว่าอะไรน้าา……!? ”

 

พอได้รับคำพูดอันท้าทายของจิเซลเข้าไป ผู้ติดตามร่างผอมก็ยิ่งพิโรธหนัก

 

“ น่าๆ ไม่จำเป็นต้องเลือดร้อนกันแบบนั้นหรอกนะพวกเธอสองคน ”

 

และผู้ที่เข้ามาปรามสถานการณ์ที่เหมือนใกล้จะระเบิดนั่น ก็คือตัวคุณแคทลียาที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดเรื่องขึ้นมาตั้งแต่แรกนั่นแหละ

 

“ ตะ แต่ว่านะครับท่านแคทลียา…… ”

“ เอาเถอะน่า ใจเย็นๆไว้ก่อน ”

 

พอคุณแคทลียากล่าวให้ผู้ติดตามร่างผอมถอยกลับมาแบบนั้นแล้ว เค้าก็จ้องมองไปยังจิเซลอีกครั้ง

 

“ ดูเธอจะข้องใจน่าดูเลยนี่นา? ”

 

นั่นไม่รู้สึกตัวเลยหรือยังไงกันว่าพวกตนกำลังพูดเอาแต่ได้ขนาดไหนอยู่ คุณแคทลียาเค้าถึงเอียงหัวด้วยท่าทางเหมือนกับประหลาดใจจากก้นบึ้งของหัวใจแบบนั้นได้ แล้วพอเห็นจิเซลทำท่าจะแว้งพุ่งเข้ามากัดอีกครั้ง เค้าก็ทำการปรบมือพลางพูดต่อออกมาว่า “งั้นเอาแบบนี้เป็นยังไงล่ะ”

 

“ ดิฉันก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำเป็นยักษ์เป็นมารซะหน่อย ถ้าพวกเธอต้องการแล้วละก็ จะใจบุญสุนทานโปรดสัตว์ยอมปล่อยให้ใช้สนามฝึกซ้อมแห่งนี้ต่อไปเหมือนเดิมได้เอาไหมล่ะ? แต่ต้องเป็นในช่วงที่พวกดิฉันไม่ได้ใช้งานอยู่เท่านั้นนะ อ้อแล้วก็ จะช่วยปกป้องสถานที่แห่งนี้เอาไว้ไม่ให้ถูกขุนนางใจยักษ์คนอื่นแย่งมันเอาไปจากพวกเธอให้ด้วย นี่คิดจะช่วยไอ้พวกเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ไม่มีคนคอยคุ้มครองแสนกระจอกอ่อนแอหยั่งกับแมงเม่าแบบพวกเธอขนาดนี้เลยนะ …….แต่มีข้อแม้ นั่นก็คือพวกเธอจะต้องยอมก้มหัวมาเป็นลูกไล่ของดิฉัน แล้วสัญญาว่าจะทำงานให้อย่างจงรักภักดี ว่าไง? ”

 

ถ้าแบบนี้ก็หมดข้อข้องใจแล้วใช่มั้ยเอ่ย? ……คุณแคทลียาอมยิ้มที่ราวกับจะสื่อว่าแบบนั้น

คือคำพูดประนีประนอม (?) อันฉุกละหุก ที่ราวกับเห็นว่าสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นของพวกตนไปเรียบร้อยแล้วยังไงยังงั้น

ผู้ติดตามร่างผอมที่ได้ยินแบบนั้นเข้า พลันกล่าวสรรเสริญ “ช่างมีเมตตาเสียนี่กระไร!” ออกมายกใหญ่ ส่วนผู้ติดตามร่างใหญ่ที่ดูจริงจังซึ่งยืนอยู่ข้างๆก็คอยเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ด้วยสีหน้าที่เหมือนเจ็บปวดใจยังไงชอบกล

ส่วนจิเซลที่ได้ยินข้อเสนอประนีประนอมอันฉุกละหุกของคุณแคทลียาเข้านั้น

 

“ ……..ชิ แท้จริงแล้วกะจะมาเก็บบริวารจริงๆด้วยงั้นเรอะ บังอาจหมิ่นกันได้นะ ”

 

พอพึมพำอะไรบางอย่างแล้ว จิเซลก็กล่าวออกไปอย่างเงียบเชียบแต่แฝงเร้นเต็มเปี่ยมไว้ซึ่งความดุร้ายราวกับพร้อมจะกระโจนเข้าฟันได้ทุกเมื่อ

 

“ ไม่จำเป็นต้องมาปกป้องหรอกเว้ย ทางเนี้ยเป็นถึงอาชีพระดับกลางเรียบร้อยแล้ว ”

“ ………นั่นเธอว่าอะไรนะ? ”

 

พอคุณแคทลียาเอ่ยเสียงออกมาด้วยท่าทางเหมือนว่าเผลอตัว จิเซลก็ยกสเตตัสเพลทขึ้นมาโชว์

และด้วยเจตนาของจิเซล ก็เลยทำให้มีเพียงชื่อของตัวจิเซลกับ <<คลาส>> ปรากฎขึ้นมาอย่างชัดเจนบนนั้น

เหล่าผู้ติดตามข้างหลังต่างก็พากันโหวกเหวกกันว่า “ทั้งที่พิธีประทาน <<คลาส>> ยังผ่านไปได้ไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำเนี่ยนะ!?” , “อย่าบอกนะว่า…..” ——ส่วนคุณแคทลียาก็ตีหน้าสับสนพลางพูด “อุ๊ยตาย เรื่องจริงซะด้วย”

แต่ความตกตะลึงของพวกเค้าที่มีต่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของจิเซลก็พลันดับมอดลงในทันที

และคุณแคทลียาก็กล่าวต่อออกมาว่าแบบนี้ ด้วยอารมณ์ที่ราวกับว่าเตรียมพร้อมเผื่อเอาไว้แล้วเลยยังไงยังงั้น

 

“ ตกใจเลยนะเนี่ย พิธีประทาน <<คลาส>> ยังผ่านไปได้ไม่ถึงสองเดือนเลยด้วยซ้ำ แต่กลับคลาสอัพขึ้นมาเป็นอาชีพระดับกลางได้แล้วเหรอ สุดยอดเลยนี่นา ถ้าพูดถึงพรสวรรค์อย่างเดียวแล้วละก็ ต่อให้เป็นในเหล่าขุนนางแต่ก็ถือว่าเป็นระดับต้นๆเลยนะนั่น อืม สุดยอดของแท้แน่นอนเลยนั่นแหละนะ ก็ลองคิดดูสิ—- ”

 

คุณแคทลียายกพัดพับได้ขึ้นมามากางปิดริมฝีปาก ก่อนจะ

 

“ เกิดมาโดยที่มีพรสวรรค์แพรวพราวขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับมาแพ้ยับให้กับ <<ไร้อาชีพ>> เลเวล 0 เนี่ยนะอุ๊ยตายว้ายกรี๊ด มันต้องห่วยแตกไร้คุณสมบัติในฐานะนักผจญภัยถึงขนาดไหนเลยเชียวน่ะ! ต่อให้กะจะล้มมวยแต่แรก แต่ยับเยินดูไม่ได้ซะขนาดนั้นมันก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆนะให้ว่าแล้วคือผลงานอันยิ่งใหญ่โลกไม่ลืมเลยเชียวนะ!? สุดยอดไปเล้ย! ขึหึ ขึหึหึหึหึ ว่าแล้วเชียวกระจอกงอกง่อยอย่างพวกเธอไม่เหมาะสมกับสนามฝึกซ้อมแห่งนี้จริงๆนั่นแหละ! ดิฉันผู้นี้จะคอยปกป้องดูแลให้อย่างดีเอง ฉะนั้นจงยอมมาเป็นลูกไล่แต่โดยดีซะเถอะนะ? อะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะ! ”

 

พร้อมกับที่คุณแคทลียาหัวเราะเยาะเย้ยออกมา เหล่าผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังเองก็พลันส่งเสียงหัวร่อซะใหญ่โตตามไปด้วย

แต่ก็มีเพียงหนึ่ง มีเพียงคุณผู้ติดตามร่างใหญ่คนเดียวเท่านั้นที่เหมือนจะกำลังถอนหายใจที่ดูเหนื่อยล้าจับจิตดัง “เฮ้อ———-” อยู่ ……แต่นั่นก็ถูกกลบเลือนหายไปในเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจนสิ้น

ทว่า เป็นในจังหวะนั้นเอง

เปรี๊ยงง!

ที่เกิดเสียงราวกับว่าชั้นบรรยากาศสั่นสะเทือนเลือนลั่นดังสนั่นขึ้น

ไม่ต้องพูดก็น่าจะรู้ ต้นเสียงก็คือจิเซลนั่นเอง

จิเซลพูดด้วยสีหน้าเหมือนพร้อมจะกระโจนเข้าไปฟันพวกคุณแคทลียาให้ตายคามือ

 

“ ถ้าพูดถึงขั้นนั้นงั้นก็ลองวัดกันดูมั้ยล่ะ? ว่าพวกฉันมันเป็นไอ้กระจอกจริงอย่างที่ว่ามั้ยอะเว้ยย…….!? ”

 

พริบตานั้น

ตาของคุณแคทลียาก็พลันหรี่ลงจนดูประหนึ่งว่าเป็นหน้าไม้

ใช้พัดปิดริมฝีปากอยู่แท้ๆ แต่กลับเห็นเหมือนว่ามุมปากของเค้ามันกำลังถูกยกขึ้นมาเป็นเสียงดัง “แสยะ” เลยยังไงยังงั้น——-

 

“ ถ้างั้นก็เอาแบบนี้ไหม! ”

 

ชิ้ง!

พัดถูกพับกลับอย่างรุนแรง พร้อมกับที่คุณแคทลียาประกาศกร้าว

 

“ มาประลองเดิมพันกันว่าผู้ใดจะเหมาะสมคู่ควรที่จะใช้สนามฝึกซ้อมแห่งนี้กันแน่! รูปแบบการประลองนี่ นั่นสินะ……เราจะสู้แก่งแย่งสถานที่ฝึกซ้อมเพื่อเตรียมรับมือกับการแข่งปราบปรามนี่เนอะ งั้นมาสู้กันด้วยปาร์ตี้ระดับกลางแบบ 10 ต่อ 10 เป็นยังไงล่ะ ……..เธอเป็นออกปากพูดว่า [ลองวัดกันดูมั้ยล่ะ?] ออกมาเองเลยนะจ๊ะ คงจะไม่กลับคำปฎิเสธหรอกใช่มั้ยเอ่ย…..? ”

“ ก็มาดิวะ…….! จะซัดเข้าเน้นๆเอาให้หน้างามๆของขุนนางอย่างพวกแกแตกกระจายหมอไม่รับเย็บต่อหน้าธารกำนัลซะเลยเว้ย…….! ”

“ เอ้ย จิเซล!? ”

 

เป็นตรงนี้เองที่ผมเพิ่งจะสัมผัสได้ว่าเรื่องราวมันชักจะดำเนินไปในทิศทางที่ส่อแววฉิบหายแล้ว ผมจึงรีบทะยานเข้าไปจะหยุดจิเซลอย่างแตกตื่นทันที

ถึงแม้จิเซลจะมียูนีคสกิล <<ลอบรี่เมจิค>>  ที่ทำให้แก่งแย่งสิทธิควบคุมเวทมนตร์ได้ก็เถอะ แต่เล่นท้าประลองกับปาร์ตี้อีกฝั่งที่ประกอบไปด้วยอาชีพระดับกลางเกือบจะทั้งหมดแบบนั้นมันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว

แถมยังเหมือนกับว่า พวกคุณแคทลียาเค้าจะเล็งให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้อยู่ตั้งแต่แรกเริ่มแล้วด้วย……ผมก็เลยพยายามเร่งเสียงคัดค้าน แต่ว่า

 

“ ได้ยินชัดถ้อยชัดคำเรียบร้อย ตกลงรับคำท้าประลองสินะจ๊ะ คิดดูจากที่ต้องทำเรื่องถึงสมาคมกับเตรียมตัวแล้ว วันสู้ตัดสินน่าจะเป็นราวๆในอีกสองอาทิตย์ให้หลังละมั้งนะ จะตั้งตารอก็แล้วกันจ้า พวกคุณสามัญชนที่โม้เสียดิบดีว่า [ปราบริสก์ 4 ได้] ทั้งหลายเอ๋ย ”

“ ทางนี้ก็ตั้งตารอที่จะอัดเบ้าหน้าพวกแกให้ยับโชว์คนทั้งเมือง เอาให้โดนถีบหัวส่งออกจากตระกูลที่สุดจะภาคภูมิใจนักหนานั่นอยู่เหมือนกันเว้ย อีนังผู้หญิงสารเลว ”

 

กลับไม่มีใครสนใจฟังผมเลยซักคนเดียว

ถึงแม้สมาชิกกลุ่มเด็กกำพร้าจะทำหน้าเหมือนว่า “กลายเป็นเรื่องยุ่งซะแล้วแฮะ” แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเข้ามาหยุดมาปรามเลยแม้แต่คนเดียว

 

“ ขึหึหึ ถ้าอย่างนั้นก็ ขอให้โชคดีน้า ”

 

พอเหม่อมองหลังของคุณแคทลียาที่ยิ้มเยาะอย่างพึงพอใจก่อนจะเดินจากไปแล้ว ผมก็วิ่งตรงกลับมาหาจิเซลอีกครั้ง

 

“ นะ นี่เดี๋ยวก่อนสิจิเซล!? จะยังไงก็เถอะนี่มันต่อล้อต่อเถียงกันจนใจร้อนมากไปแล้วนะ! เห็นเหมือนว่าอีกฝั่งเค้าก็มีสนามฝึกซ้อมของตัวเองอยู่เหมือนกันสินะ ตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ ถ้าเข้าไปคุยกันอย่างสงบอารมณ์ดีๆแล้วละก็ อาจจะมีทางเลี่ยงการประลอง—– ”

“ หนวกหูว้อยไอ้เบื๊อก! ทั้งหมดมันเป็นความผิดของแกเต็มๆเลยไม่ใช่เหรอวะ! ”

“ เอ๋!? ”

 

ผมเหรอ!?

จู่ๆก็โดนโพล่งใส่แบบนั้น เล่นทำเอาผมถึงกับตาค้างไปเลย

หมายความว่ายังไงกันน่ะ…….พอผมงงเต๊กอยู่แบบนั้น จิเซลก็กระเดาะลิ้นพลางพูดออกมา

 

“ เป้าหมายแท้จริงของพวกมันไม่ใช่สนามฝึกซ้อมหรอกเว้ย มันเล็งหาโอกาสที่จะสำแดงพลังของพวกตนแบบนั้นเพื่อเพิ่มบริวาร แล้วขยายกองกำลังให้กว้างไกลออกไปต่างหากล่ะ หากสร้างชื่อได้ในเมืองแห่งนี้ที่มีผู้ทรงอำนาจจากทั่วทั้งโลกเดินทางมารวมตัวกันเพราะไอ้คุณทั่นผู้สืบสายเลือดของผู้กล้า ก็จะทำหน้าที่ในฐานะขุนนางลุล่วงได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอะนะ ตรรกะมันราวๆนั้นแหละ ”

“ หน้าที่ในฐานะขุนนางนี่…….เอ่อ หมายถึงบริหารอาณาเขตอะไรพวกนั้นสินะ? ถ้าสร้างชื่อเสียงได้ในเมืองนี้แล้วมันจะโยงไปสู่การบริหารอาณาเขตได้ยังไงกันน่ะ? ”

“ ได้ยังไงเรอะ……ให้ตายเหอะน้าไอ้พวกที่เอาแต่มุ่งฝึกปรือตัวเองอยู่คนเดียวมันก็ไม่รู้ห่าเหวอะไรเลยซะหยั่งงี้ ”

 

คำถามของผม เล่นทำเอาจิเซลถึงกับทำหน้าเหมือนเพลียจับจิตเลย

 

“ สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยของการบริหารอาณาเขตก็คือการปกป้องประชาชนจากอาชญากรและมอนสเตอร์เว้ย หรือก็คือต้องมีกำลังรบยังไงล่ะ แค่ที่ดินมีขุนนางแกร่งๆเฝ้าจับตาคอยดูแลอยู่เท่านั้น ผู้คนกับทรัพยากรมันก็จะแห่กันมารวมตัวกันจนพัฒนาไปได้เอง กลับกันแล้วที่ดินซึ่งมีขุนนางกากกะหลั่วปกครองอยู่เนี่ยคนมันก็คงจะกลัวหัวหดเผ่นหนีหายไม่กล้าอยู่ ทำให้เจ๊งบ๊งกลายเป็นที่รกร้างได้อย่างง่าย ถ้าเป็นแบบนั้นซะก็ไม่ต้องพูดถึงบริหารอาณาเขตเลย ได้ตกอับกลายเป็นขุนนางยาจกชัวร์ป๊าบ ตรรกะแบบถ้าโดนดูหมิ่นเข้าก็จบเห่เอวังเนี่ยมันก็ใช้กับพวกทั่นๆขุนนางทั้งหลายได้เหมือนกันยังไงล่ะ ”

 

ฉะนั้นภายในบัสเคิลเบียร์ช่วงนี้ที่กลายเป็นโลกขนาดย่อส่วนเนื่องจากการมารวมตัวกันของผู้ทรงอำนาจทั่วสารทิศ เหล่าผู้สืบทอดตระกูลขุนนางทั้งหลายจึงไม่เลือกวิธีการที่จะใช้แผ่ขยายกองกำลังให้กว้างไกลออกไปนั่นเอง

ต่อให้ไม่ได้เล็งที่จะเป็นคู่ชีวิตของผู้กล้า

แต่วีรกรรมเฉิดฉายภายในเมืองแห่งนี้ ก็จะมีผลต่อฐานะและความเป็นอยู่ในอนาคตโดยตรงเลย

 

“ ไอ้พวกขุนนางที่ตลอดจนถึงตอนนี้เอาแต่รอดูท่าทีอยู่อย่างเดียว มันเริ่มที่จะเคลื่อนไหวกันเข้าแล้วไง และพวกเราก็โดนมันเลือกเป็นเป้าหมายแรกสุดเข้าแล้วเว้ย เพราะคิดว่า [ถ้าเป็นเด็กกำพร้าที่แพ้ให้กับ <<ไร้อาชีพ>> ละก็ลากมาใช้ได้ง่ายแน่ ต่อให้มันสู้กลับก็ไม่น่ากลัว ถือเป็นตัวประดับพื้นหลังของการขยายกองกำลังได้เป๊ะเลย] น่ะนะ ”

 

จิเซลคายคำพูดออกมาอย่างชิงชัง

 

“ ถ้าโดนพวกมันเพ่งเล็งเข้าครั้งนึงก็จบเห่ ตราบเท่าที่พวกเราไม่ชนะ ต่อให้พยายามเลี่ยงการประลองยังไงใช้ลูกไม้แบบไหนมันก็จะตามติดมาหาเรื่องไม่มีจบมีสิ้นเลยเว้ย ก็ไอ้พวกนั้นศักดิ์ศรีมันสูงล้นกันหยั่งกะอะไรดี ชิ หาเรื่องให้กันแท้ๆเลยว่ะระยำเอ๊ย! ”

“ อะ อะไรกัน…… ”

 

เป็นเพราะผมจริงๆเหรอ…….?

แต่ถ้าลองคิดดูแล้ว พวกคุณแคทลียาเค้าก็เลือกเน้นตรงที่ว่า [แพ้ให้กับ <<ไร้อาชีพ>> เลเวล 0] เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหัวเราะเยาะเย้ยพวกผมจริงๆนั่นแหละ เห็นได้ชัดเจนเลยว่ากลุ่มเด็กกำพร้าทั้งมวลที่จิเซลเป็นคนคุม กำลังถูก “ดูหมิ่น” เนื่องจากการสอบชิงสิทธิที่ผมขอร้องกับคุณลีโอเน่ไปนั่น

และสิ่งที่พลันแล่นเข้ามาในหัวผม ณ ตอนนั้น ก็คือคำพูดของจิเซลที่ถาโถมเข้ามาเล่นงานกันในป่าทิศตะวันตก

เสียงแผดร้องที่กู่ก้องบอกว่าหากถูกโดยรอบดูหมิ่นแล้วจะเป็นยังไงนั่น

ในที่สุดผมก็ได้รู้ซึ้ง ว่าสิ่งที่จิเซลหวาดกลัวอยู่ในตอนนั้น มันได้แปลงโฉมกลายมาเป็นภยันตรายของแท้แล้วดิ่งลงมาคุกคามซะแล้ว

 

“ ขะ ขอโทษนะจิเซล……ผม ผมไม่ได้คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้……! ”

“ เฮ้ย จะ จะบ้าเรอะ! อย่าเอาหน้าหงอยแดกเข้ามาใกล้ๆแบบนั้นสิวะ! เออโดนขุนนางหน้าโง่มันเพ่งเล็งแบบนี้ก็ดวงโคตรซวยเลยจริงแหละ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสิ้นหวังไร้หนทางชนะเลยซะหน่อย! ”

 

จิเซลที่ไม่รู้ทำไมถึงแตกตื่นลนลานยกใหญ่พลันพูดต่อ

 

“ การประลองเป็นกลุ่มที่มีความต่างชั้นของพลังชัดเจนหยั่งงี้อะนะ ตามหลักแล้วมันจะเป็น [แข่งโค่นตัวลีดเดอร์] ไง หรือก็คือมีกฎว่าฝ่ายไหนเด็ดหัวบอสของฝั่งศัตรูได้ก่อนก็จะชนะไปอะนะ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้เว้ย คิดว่าไอ้เจ้าพวกนั้นมันน่าจะไม่รู้เรื่องยูนีคสกิลของฉันกันหรอก ตัวบอสของอีกฝั่งน่ะจะต้องเป็นนังแคทลียาที่เป็นอาชีพเวทมนตร์แน่ๆ ฉะนั้นถ้าสะท้อนเวททิ้งระเบิดอันแสนจะตระการตาของมันกลับไป แล้วอาศัยจังหวะช่วงที่อีกฝั่งกำลังแตกตื่นสับสนบุกเข้าตีพร้อมกันในรวดเดียวซะ ก็มีโอกาสจะชิงเอาชนะไปแบบเล่นทีเผลอได้อยู่ ถ้าพูดกันในเชิงนี้แล้ว เผลอๆถือว่าโชคดีซะอีกมั้งที่โดนหาเรื่องโดยขุนนางหน้าโง่ที่แพ้ทางสกิลของฉันเต็มๆเนี่ย เป็นโอกาสทองที่จะได้กู้หน้ากลับมาเลยนี่หว่า ”

 

พอจิเซลพูดแบบพยายามปลอบใจผมยังไงชอบกลแล้ว เค้าก็ทำสีหน้าเข้มขึ้นมา

 

“ แต่ก็นะ ถึงยังไงมันก็คงไปได้ไม่สวยขนาดนั้นหรอก ฉะนั้นต่อจากนี้ไปคงต้องเปลี่ยนแนวทางฝึกซ้อมจากฝึกรับมือการแข่งปราบปราม ไปเป็นฝึกเพื่อเตรียมพร้อมรับศึกเป็นกลุ่มแล้วล่ะ ”

 

ได้ยินคำพูดอันจริงจังของจิเซลแล้ว กลุ่มเด็กกำพร้าคนอื่นๆก็พลันฮึกเหิมพูดกันว่า “จะซัดมันให้ยับเลย!” บ้างล่ะ “จะสั่งสอนให้ไอ้พวกขุนนางกวนส้นนั่นมันต้องรู้ซึ้ง!” บ้างล่ะ……แทบไม่มีท่าทางแตกตื่นสับสนต่อการประลองกับขุนนางที่จู่ๆก็ถูกกำหนดให้อย่างฉุกละหุกกันเลย

คาดว่า พวกเค้าคงจะถูกจิเซลเล่าให้ฟังมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วละมั้ง ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นน่ะ ก็เลยหวาดระแวงกันเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

เพราะแบบนี้เองสินะ พวกเพื่อนๆกลุ่มเด็กกำพร้าทุกคนจึงได้ร่วมมือกับจิเซลเพื่อบดขยี้ผมเมื่อตอนก่อนหน้านี้ โดยรู้ทั้งรู้ว่าอาจจะผิดกฎหมายอย่างใหญ่หลวงน่ะ

ต้องทำ เพื่อไม่ให้โดนรอบข้างดูหมิ่น

 

“ ทะ ทำยังไงดี……. ”

 

ในระหว่างที่กลุ่มเด็กกำพร้ากำลังฮึกเหิมสร้างขวัญกำลังใจเพื่อเตรียมพร้อมรับศึกตัดสินนั่นเอง

ที่ผมซึ่งได้ประจักษ์เหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นเนื่องจากการกลับเข้ามาเรียนของ <<ไร้อาชีพ>> ….พลันเอ่ยเสียงออกมาอย่างสับสนอยู่เพียงคนเดียว ภายในสนามฝึกซ้อมที่จะไม่ได้ถูกใช้เพื่อเตรียมพร้อมรับการแข่งปราบปรามอีกต่อไปแล้วนั่น  

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset