เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 65 ทิฐิของลูกผู้ชาย (2)

“ เห โดนไอ้พวกตัวน่ารำคาญมันหมายหัวเข้าอีกแล้วสินะนั่น ”

“ ครับ ผมผิดเองแหละครับที่สะเพร่าไม่ทันระวัง แต่ก็กลายเป็นเรื่องชวนกลุ้มเลยจนได้ ”

 

หลังจากที่เทศกาลวิวาทวันแรกสิ้นสุดลงไป

ผมที่กลับมายังคฤหาสน์ ก็ได้ทำการเล่าปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กับพวกคุณลีโอเน่

 

“ แค่ไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกันอย่างซึ่งหน้าโดยสมบูรณ์เหมือนคราวคุณแคทลียาก็นับว่าดีมากแล้วหรอกนะครับ……แต่พวกการแก่งแย่งอำนาจเอยกู้หน้าเอย พอจะมีวิธีแก้ไขความขัดแย้งทำนองนี้ได้อย่างสันติบ้างมั้ยนะครับ ”

 

ในตอนนี้ ยังไม่ได้เกิดเรื่องน่ากลุ้มใจอะไรขึ้นหรอก

แต่ก็สังหรณ์ใจว่าความขัดแย้งจากการแก่งแย่งอำนาจที่สืบต่อเนื่องมาจากการประลองกับคุณแคทลียานั่นคงจะดำเนินต่อไปพักใหญ่ ผมจึงตัดสินใจลองถามความเห็นจากพวกอาจารย์ที่ดูน่าจะมีความรู้ประสบการณ์มากมายดูแน่ะ

แล้วทีนี้ คุณลูด์มิร่าผู้ทำสีหน้ารอบรู้หลักแหลมก็เอามือแตะคางพร้อมกับ

 

“ ฮื่ม นั่นสินะ วิธีการอย่างสันติที่สุด ก็คงเป็นการถล่มขุมกำลังของศัตรูให้วอดวายไม่มีเหลือหลอเลยแม้แต่รายเดียวกระมัง ”

“ เอ๊ะ ”

 

หูแว่วไปเองรึเปล่าหว่า?

ในขณะที่ผมกำลังฉงนสงสัยไม่เชื่อในหูตัวเองอยู่ คุณลีโอเน่ก็เอามือกอดอกไปพลางพูดต่อออกมา

 

“ เอ้อแผนถล่มให้ยับนั่นก็คงเป็นทางที่รวดเร็วดีสุดจริงๆนั่นละนะ สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้การแก่งแย่งอำนาจทวีความรุนแรงขึ้นนี่ก็เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างคิดแค้นเอาคืนกันและกันไม่เลิกลาด้วย ดังนั้นถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายนึงล่มสลายหายไปซะ ความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้นส่งผลให้เคลียร์เรื่องได้อย่างสันติชื่นมื่นไง ”

“ เอ๊ะ ”

 

ไม่พอ คุณเทโลเมียร์ยังปั้นรอยยิ้มขึ้นมาพร้อม

 

“ พวกแผนเชือดไก่ให้ลิงดูก็ได้ผลลัพธ์ดีเหมือนกันน้าา ทำให้ตัวชาเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวไม่ได้แล้วใช้พิษเล่นงานจนค่อยๆเจ็บปวดทรมานไปทีละนิดทีละหน่อยเอย ร่ายเวทฟื้นฟูอัตโนมัติใส่เอาให้ไม่มีทางตายแล้วจึงโยนเข้าไปให้ฝูงมอนสเตอร์รุมทึ้งซักสามสี่วันเอย รับรองว่าจะทำให้อีกฝั่งหมดสิ้นกำลังใจไม่กล้าคิดขัดขืนได้อีกเลยล่าา แถมยังจบเรื่องได้โดยไม่ต้องมือเปื้อนเลือดมากด้วย เหมาะกับครอสคุงที่เป็นคนใจดีอ่อนโยนสุดๆไปเลยน้าา~ ”

 

ชะ ใช้อ้างอิงไม่ได้เลยซักนิด!?

‘วิธีคลี่คลายปัญหาอย่างสันติ’ ที่เหล่านักผจญภัยสุดแกร่งของโลกเสนอออกมานั่นเล่นทำเอาผมถึงกับอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบสนองยังไง และเป็นในทันใดนั้นเองที่พวกอาจารย์พลันกล่าวเพิ่มเติมออกมา

 

“ เอ้อ ต่อให้จะใช้วิธีไหนแต่ก็จำเป็นต้องมีพลังมากพอจะซัดหน้าศัตรูให้ลอยปลิวได้ทุกตัวก่อนนั่นแหละ เป้าหมายในช่วงนี้ก็คงเป็นประมาณฝึกเสริมสร้างพลังให้ถล่มขุมกำลังขุนนางได้อยางราบคาบละมั้งนะ ”

“ อืม คงเห็นทีต้องใช้เวลานานมากพอสมควรเลยก็จริงหรอก แต่ก็น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว ”

“ ถึงจะดูคลุมเครือไปนิดหน่อย แต่ก็ได้เป้าหมายถัดไปแล้วดีจังเลยน้าา~ ”

“ เอะ เอ๋… ”

 

นะ นี่เค้าพูดจริงจังถึงขนาดไหนกันน่ะ……

ไม่สิแต่ ในเมื่อยังไม่รู้ว่าคุณกิมเล็ตเขาจะมาไม้ไหน ฝึกเสริมสร้างพลังเอาไว้ก็ไม่ได้เสียหายหรอก

เรื่องจะตกลงรับ ‘วิธีคลี่คลายปัญหาอย่างสันติ’ ที่คุณลีโอเน่พูดรึเปล่านี่ก็ว่าไปอย่าง ผมตัดสินใจให้มั่นว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเพ่งสมาธิไปกับการฝึกเหมือนดังตลอดมานี้เท่านั้น

 

 

——โดยที่ยังไม่ได้รับรู้เลยในตอนนี้ ว่าจะไม่มีเวลาให้ได้มามัวอ้อยอิ่งอยู่แบบนั้นซักนิด

 

 

 

 

วันถัดมาหลังจากที่เทศกาลวิวาทซึ่งถูกจัดขึ้นเป็นเวลาสองวันเต็มได้จบสิ้นลงไปอย่างราบรื่นไร้ปัญหา

พวกผมกลุ่มเด็กกำพร้าที่เข้าฟังคาบเล็คเชอร์ในโรงเรียนจบเรียบร้อย ต่างก็มารวมตัวกันพร้อมหน้าอยู่ภายในสนามฝึกซ้อม

สถานที่ฝึกซ้อมเฉพาะสำหรับกลุ่มเด็กกำพร้า ที่สู้ตายปกป้องเอาไว้ได้ในการประลองกับคุณแคทลียาน่ะ

แต่ตอนนี้สนามฝึกซ้อมแห่งนั้น กลับมีเหล่าผู้คนที่ไม่ใช่กลุ่มเด็กกำพร้าอยู่กันประปราย

 

“ โอ้ว ไอ้หนู <<ไร้อาชีพ>> ! วันนี้แหละจะพิชิตสกิลเซ็ตที่สุดจะบ้าบอของแกให้จงได้เลย! ”

“ ทางนี้ก็เช่นกันครับ จะพยายามเต็มที่เพื่อให้เอาชนะได้แม้ในสภาวะที่ถูกรู้ไพ่ในมือหมดแล้วครับ ”

 

การฝึกซ้อมต่อสู้จริงในวันนี้ จะมีเหล่านักผจญภัยจากภายนอกจำนวนนึงซึ่งนำโดยคุณดวอร์ฟที่ได้รู้จักกันในเทศกาลวิวาทมาเข้าร่วมด้วย จิเซลใช้ประโยชน์จากการสร้างเส้นสายที่ถือเป็นจุดขายของเทศกาลวิวาทจนถึงขีดสุด แล้วจัดขึ้นมาโดยหวังจะขยายขอบเขตของการฝึกซ้อมด้วยตนเองให้หลากหลายขึ้นน่ะ

ได้ต่อสู้กับพวกคุณดวอร์ฟอีกครั้งแบบนี้เรียกได้ว่าเข้าทางเลย วันนี้ผมตั้งตารอถึงเวลาที่จะได้ฝึกซ้อมด้วยตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั่งฟังเล็คเชอร์เลยเชียวล่ะ

เพราะแบบนั้นเอง พวกผมจึงกำลังเริ่มต้นเตรียมการให้พร้อมจัดการประลองฝีมือได้ในทันทีหรอกนะ——

 

“ จิเซล ช่วยมานี่เดี๋ยวสิ ”

 

แต่แล้ว เอรินที่เป็น <<เรนเจอร์>> ก็วิ่งมาจากฝั่งสถานกำพร้าด้วยท่าทางดูสับสน

 

“ อ๋า? มีอะไรวะเอริน ให้ว่าแล้วไหนล่ะอุปกรณ์สำหรับใช้ประลองฝีมือน่ะ? ”

“ คือว่าเรื่องนั้น……เอาเป็นว่ารีบมาเถอะ ”

 

เอรินรบเร้าจิเซลให้มุ่งหน้าไปทางฝั่งสถานกำพร้า

 

“ ? มีอะไรกันนะ ”

 

เนื่องจากดูมีท่าทีแปลกๆยังไงชอบกล ผมจึงวิ่งตามเอรินมาด้วยกันกับทุกคน จนมาโผล่ที่ห้องเก็บของใช้ร่วมกันของกลุ่มเด็กกำพร้า

เป็นห้องเก็บของธรรมดาๆที่มีไว้เพื่อเก็บรักษาโพชั่นและอาหารพกพา

แต่ในตอนนี้ห้องเก็บของที่เห็นจนชินตานั่นกลับ——อยู่ในสภาพที่เละเทะยับเยินจนทนดูไม่ได้เลย

 

“ อะไรกันวะเนี่ย……!? ”

 

จิเซลจะแผดเสียงลั่นออกมาก็ช่วยไม่ได้

เพราะสภาพภายในห้องเก็บของใช้ร่วมกันนั้นถูกรื้อค้นไปทั่ว แถมไอเท็มที่ซื้อมาเก็บตุนเอาไว้ก็ยังหายไปแทบจะทั้งหมดเลยด้วยอีกต่างหาก

 

“ มีขโมยแอบเข้ามาเรอะ……? ”

“ เอ้ยแต่มันจะลำบากถ่อมาปล้นที่แบบนี้จริงๆเรอะ? เป็นห้องเก็บของในสถานกำพร้าที่ไม่มีของมีค่าอะไรซักอย่างเดียวนะเว้ย ”

 

เกิดเป็นเสียงอย่างสับสนดังขึ้นมาจากกลุ่มเด็กกำพร้าที่ได้เห็นสภาพห้องเก็บของ

แต่ท่ามกลางระหว่างนั้น……ก็มีผมคนนึงที่กำลังหลั่งเหงื่อน่าขยะแขยงออกมาท่วมตัวไปหมด

 

“ จิเซล……นี่มันหรือว่า ”

“ ไม่หรอกเว้ย……ไอ้เจ้าขุนนางลำดับสูงนั่นมันจ้องหมายหัวแค่แกคนเดียวเท่านั้น แล้วก็อาจจะเป็นแค่เหตุบังเอิญเฉยๆก็ได้เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าได้สะเออะคิดเองเออเองไปเชียว ”

 

จิเซลปัดปฎิเสธคำพูดของผมที่ถูกผลักดันโดยลางสังหรณ์ไม่สู้ดี

เพราะแบบนั้น ภายหลังจากที่ทำการเก็บกวาดห้องเก็บของและไปแจ้งเรื่องความเสียหายที่กิลด์เรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เคลื่อนไปทำการสู้ประลองฝีมือกันโดยพยายามไม่คิดอะไรมากหรอกนะ……แต่ว่า เหตุผิดปกติก็ไม่ได้จบสิ้นอยู่แค่นี้แต่อย่างใดเลย

 

 

 

“ เฮ้ย หุ่นซ้อมสำหรับใช้ในการฝึกฝนหายไปไหนแล้ว!? ”

 

บางครั้งก็มีอุปกรณ์สำหรับใช้ฝึกฝนสกิลหายไป

 

“ ว๊าก!? หวิดไปแล้ว จู่ๆพื้นก็ถล่มเฉยเลย!? ”

 

บางครั้งเครื่องอำนวยความสะดวกภายในหอพักเด็กกำพร้าก็เกิดชำรุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ตั้งแต่ที่เทศกาลวิวาทจบลงเป็นต้นมา ก็เกิดเหตุการณ์แสนประหลาดขึ้นรอบตัวพวกผมต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

และในวันนี้ที่ผ่านมาได้หลายวันนับจากที่ห้องเก็บของถูกรื้อ

ความสงสัยก็ได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นความมั่นใจไปเรียบร้อยแล้ว

 

“ นี่มัน อะไรกันน่ะ…… ”

 

เมื่อเห็นสนามฝึกซ้อมของกลุ่มเด็กกำพร้าที่ถูกโปรยขยะเกลื่อนกลาดไปทั่วเป็นปริมาณมหาศาลอยู่ต่อหน้า ผมก็ทนไม่ไหวถึงกับต้องแผดเสียงแหบแห้งออกมา

แบบนี้มัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว

มีใครบางคนกำลังทำการกลั่นแกล้งรังแกพวกผมอย่างต่อเนื่องอยู่ด้วยใจประสงค์ร้าย

และคนร้ายที่คิดออกก็มีได้แค่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

อันดับ 4 ของพรรคดิออสเกรฟที่ถูกพวกผมเล่นงานจนเสียหน้า, กิมเล็ต วอลเดรีย  

 

“ นี่ผมเป็นต้นเหตุ ทำให้ทุกคนต้องลำบากอีกแล้วเหรอ……!? ”

 

เพราะเลือกวิธีปฎิเสธการชักชวนผิดไป เพราะว่า <<ไร้อาชีพ>> ดันสะเออะกลับเข้ามาเรียนแล้วล่อดึงดูดคุณแคทลียาให้เข้ามาหา  

แต่แล้วผมที่กำลังถูกรุมเร้าโดยความคิดเหล่านั้นจนแน่นิ่งขยับไม่ได้ก็พลันถูกจิเซลตบไหล่เข้าอย่างแรง

 

“ ไม่หรอก เรื่องมันประหลาดเกินกว่าจะเป็นแบบนั้น คราวนี้ไม่ใช่ความผิดของแกหรอกเว้ย ”

 

ถึงจิเซลจะปฎิเสธคำพูดของผม แต่เธอเองก็ไม่ได้พูดว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว

ไม่มีอะไรให้ใช้ปฎิเสธว่าการกลั่นแกล้งตลอดมานี้เป็นฝีมือของคุณกิมเล็ตได้อีกแล้ว

ผมอดรนทนไม่ไหว พุ่งกระชั้นชิดเข้าไปใส่จิเซล

 

“ แต่ว่านะจิเซล แบบนี้มันไม่ใช่แค่หยอกกันเล่นแล้ว! ทั้งที่การแก่งแย่งอำนาจภายในบัสเคิลเบียร์จะถูกดำเนินไปได้แค่ในรูปแบบของการแข่งขันเท่านั้นแท้ๆ……! ลงแบบนี้ก็ต้องฟ้องร้องเนื่องในข้อหาละเมิดกฎระเบียบแล้วให้ท่านอธิการบดีซาริเอล่ากับกิลด์ช่วยลงดาบจัดการ—— ”

“ ไม่ได้เว้ย อย่าผลีผลามไป ”

 

จิเซลกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ เราไม่มีหลักฐาน ถ้าฟ้องร้องเพราะกะอีแค่โดนกลั่นแกล้งแล้วเกิดตัดสินได้ความออกมาว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีขึ้นมาละก็ นั่นแหละจะเป็นการมอบข้ออ้างให้พวกมันได้ตอบโต้เอาคืนอย่างเป็นธรรมเลยเชียวละเว้ย นั่นอาจจะเป็นเป้าหมายของพวกมันก็ได้ คราวนี้ไม่ใช่ความผิดแกจริงๆ ไม่ต้องทำเป็นโอดโอยไปหรอก ”

 

และแล้วจิเซลจึงพูดออกมาเป็นการทำให้ผมกับกลุ่มเด็กกำพร้าโดยรอบรู้สึกอุ่นใจ

 

“ จะรีบทำการต่อรองเรื่องเข้าร่วมใต้สังกัดขุมกำลังขุนนางกลุ่มอื่นให้เสร็จไวๆ เพราะงั้นช่วยอดทนกันต่ออีกหน่อยเหอะ ”

 

เพราะถ้าเข้าไปอยู่ใต้สังกัดของขุมกำลังหลักทั้งสามได้ พวกไอ้กิมเล็ตก็คงจะลงมือลำบากด้วยแหละนะ……จิเซลว่าเอาไว้แบบนั้น

ทว่า——

 

“ แต่ว่านะจิเซล การต่อรอง……ไม่เป็นไปอย่างที่คิดใช่มั้ย? ”

“ …… ”

 

คำพูดของผมเล่นเอาจิเซลทำหน้ามุ่ย

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่การต่อรองกับเหล่าขุนนางระดับกลางที่พยายามเข้ามาชักชวนพวกผมอย่างกระตือรือร้นมากขนาดนั้นในวันแรกของเทศกาลวิวาท กลับเป็นไปได้อย่างล่าช้าไม่คืบหน้าเลยซะที

อย่าว่าแต่ต่อรองเลย อีกฝั่งยังจะทำตัวห่างเหิน เดินทางมาพบปะพูดคุยกันน้อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปละก็ข้อเสนอเรื่องเข้าร่วมใต้สังกัดคงจะต้องหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเป็นแน่

 

[ไอ้เจ้าขุนนางพวกนั้น ไหงจู่ๆถึงได้……!]

 

จิเซลเพิ่งจะพ่นคำผรุสวาสใส่พรรคทั้งสองที่เริ่มจะเว้นระยะห่างออกจากพวกผมอย่างกะทันหันมาหมาดๆเมื่อวานนี้เอง

แต่จิเซลกลับไม่ยอมพูดถึงประเด็นตรงนั้นออกมาเลยแม้แต่นิด

 

“ เหอะน่า เรื่องเล่นลิ้นประชันฝีปากกับไอ้พวกขุนนางนี่ให้ฉันจัดการเองเหอะ เอาเป็นว่าจะขอกับทางโรงเรียนให้มีเรนเจอร์ระดับกลางมาคอยเฝ้ายามเอาไว้ก็แล้วกัน แกอย่าได้ผลีผลามทำอะไรไม่เข้าเรื่องเด็ดขาดเลยเชียวนะเว้ย ”

“ ……อือ ”

 

ความจริงจังของจิเซลที่พูดจามีเหตุผลอย่างไม่อาจแย้ง บีบให้ผมต้องยอมพยักหน้าให้อย่างไม่เต็มใจ

แต่ว่า——คิดผิดไปถนัดเลยล่ะที่ยอมถอยเอาตรงนี้

เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว มันบังเกิดขึ้นในตอนที่ผมกำลังเอ้อระเหยไม่ทำอะไรอย่างว่านอนสอนง่ายอยู่เลยยังไงล่ะ

 

 

 

 

นั่นคือวันที่ตรงกับวันหยุดของโรงเรียนนักผจญภัย

ผมที่หยุดทำการฝึกวิชาแต่เนิ่นๆ ได้ออกมาทำการซื้อของภายในเมือง

ของที่ซื้อก็คือ โพชั่นกับอาวุธสำหรับใช้ซ้อม——เครื่องใช้ต่างๆที่กลุ่มเด็กกำพร้าสูญเสียไปจากการกลั่นแกล้งในตลอดระยะนี้นั่นเอง

 

“ ถึงจิเซลจะบอกว่าไม่ใช่ความผิดของผมก็เถอะ…… ”

 

แต่เรื่องที่ติดใจยังไงมันก็ยังติดใจอยู่วันยังค่ำ

ดังนั้นผมที่มีเงินเก็บเหลือติดมืออยู่เยอะ จึงคิดที่จะช่วยเหลือในด้านการชดเชยสิ่งที่เสียหายไปน่ะ

 

“ จิเซลน่าจะหัวแข็งไม่ยอมรับเอาไว้แน่ เพราะงั้นแหละถึงต้องฉวยโอกาสในตอนนี้ที่ทุกคนกำลังไปทำเควสต์ล่าเหยื่อในป่าทิศตะวันตกเพื่อแอบขนไปยังหอพัก ถ้าเป็นกลุ่มน้องๆหรือกลุ่มที่เฝ้ารออยู่ที่หอละก็ต้องช่วยรับเอาไว้อย่างไม่มีติดใจแน่ๆล่ะ ”

 

ดูจากเวลาแล้ว พวกจิเซลน่าจะใกล้กลับมากันแล้วละมั้ง

ผมย้อนดูกระดาษรายการที่ต้องซื้ออีกครั้งเพื่อเช็คว่าไม่มีอะไรตกหล่นไปพลาง วิ่งทะยานไปตามถนนอันเซ็งแซ่ของบัสเคิลเบียร์

ไม่ลืมจะซื้อขนมที่จิเซลน่าจะชอบติดมาด้วย ถ้าใช้ช่วยผ่อนบรรยากาศอึมครึมระหว่างเราในช่วงนี้ได้ซักหน่อยก็คงดีสินะ……คิดเรื่อยเปื่อยแบบนั้นไปพลาง

——แต่มันเป็นในฉับพลันนั้นเอง

ที่หูของผมซึ่งกำลังมุ่งไปยังสถานกำพร้า พลันได้ยินเสียงเอะอะอย่างประหลาดขึ้นมา

 

“ เฮ้ยพวกเธอไหวกันรึเปล่าน่ะ!? เกิดอะไรขึ้น!? ”

“ จะไปเรียก <<พรีส>> จากโบสถ์มาให้เดี๋ยวนี้แหละ ช่วยอดทนเอาไว้เดี๋ยวนะ! ”

 

นั่นคือเหตุการณ์ในตอนที่ผมกำลังวิ่งผ่านประตูทิศตะวันตกของเมือง

เกิดเป็นกลุ่มคนมุงอยู่รอบบริเวณประตูเมืองขนาดใหญ่ ห่อหุ้มสถานที่เอาไว้ด้วยบรรยากาศน่ากลัว

 

“ มีอะไรกันน่ะ……? ”

 

รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด

ก็ประตูทิศตะวันตกนี่มัน คือทิศทางที่พวกจิเซลมุ่งหน้าไปทำเควสต์กันเลยนี่

 

“ ขอโทษครับ ขอทางให้ผมผ่านหน่อยครับ! ”

 

รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจนเผลอแหวกฝ่าดงผู้คนเข้าไป

และภาพที่แล่นฉายเข้ามาภายในดวงตานั่น ก็ทำเอาหัวผมกลายเป็นสีขาวโพลนไปชั่วขณะเลย

 

 

ที่อยู่ตรงนั้นก็คือ ทุกคนในกลุ่มเด็กกำพร้าซึ่งกำลังนั่งนิ่งอยู่กับที่ในสภาพสะบักสะบอมไปทั่วทั้งตัว

 

 

“ ทุกคนเป็นอะไรไปน่ะ!? เกิดอะไรขึ้นเหรอ!? ”

 

เหวี่ยงดาบจำลองที่แบกอยู่ทิ้งไป ผมฉุดเอาโพชั่นที่เพิ่งซื้อหมาดๆออกมาไปพลางวิ่งตรงแหน่วเข้าไปหาทุกคน

เท่านั้นแหละทุกคนพลันร้อง “อ๊ะ ครอส!” พร้อมสังเกตเห็นผมกันได้ในทันที

 

“ คือว่า……พอกำลังเดินในป่าทิศตะวันตกอยู่ดีๆ พวกเราก็ถูกรุมล้อมเล่นงานโดยฝูงมอนสเตอร์เข้าอย่างกะทันหันเลยน่ะ! ”

“ เอ๊ะ!? ”

 

ที่ย้อนกลับเข้ามา ก็คือความทรงจำในตอนที่ถูก ริสก์ 4 เล่นงานในป่าทิศตะวันตก

เกิดอุบัติเหตุแบบนั้นขึ้นอีกแล้วงั้นเหรอ ทุกคนปลอดภัยกันครบถ้วนรึเปล่า……และตัวผมที่เป็นห่วงหน้าซีดอยู่แบบนั้น ก็พลันได้รับทราบถึงความจริงอันปักใจเชื่อไม่ลงเรื่องถัดมา

 

“ ไม่ใช่! ไม่ได้ถูกมอนสเตอร์รุมล้อมเล่นงานเฉยๆ! ”

 

เอรินซึ่งเป็น <<เรนเจอร์>> ที่มักจะพูดจาสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอคนนั้น เค้าแผดเสียงคำรามลั่นโดยที่มีกระทั่งน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตา

 

“ ฉันเห็นเข้าล่ะ คนสนิทของกิมเล็ต วอลเดรีย——นังผู้หญิงผมดำนั่นมันเป็นคนพามอนสเตอร์มา แถมยังเข้าขัดขวางปิดทางหนีทีไล่ของพวกเราด้วย……! ”

“ ห้ะ……!? ”

 

อุกอาจเกินเหตุมากไปจนทำให้พูดอะไรไม่ออก

ฉงนสงสัยขึ้นมาอย่างจริงจังเลยว่าต่อให้ยังไงแต่ก็คงตาฝาดไปเองรึเปล่า

แต่คงเป็นเพราะกลุ่มเด็กกำพร้าส่วนใหญ่ต่างก็มีโอกาสได้เห็นคนสนิทผมดำเหมือนกันละมั้ง

ทุกคนจึงดื่มโพชั่นที่ได้รับจากผมไปพลาง แผดเสียงอย่างโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างไม่ขาดสาย

 

“ ไอ้เจ้าขุนนางสารเลว ทำกันถึงขั้นนี้เลยเชียวเรอะ! จะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด! ”

“ แต่คราวนี้ก็ไม่มีหลักฐานให้ใช้จับมันแบบคาหนังคาเขาได้อีกเหมือนกัน แค่จะหนีเอาตัวรอดก็แทบเต็มกลืนแล้ว……โธ่เว้ย! มันคำนวณเอาไว้ไปถึงขนาดนั้นเลยงั้นเรอะ!? ”

“ ระยำบัดซบ! เพราะมีเงินเก็บที่ได้จากการแข่งปราบปรามก็เลยน่าจะพออยู่ได้ไปอีกซักพักหรอก แต่ถ้าถูกกลั่นแกล้งต่อเนื่องไม่ขาดสายแบบนี้ละก็ขนาดจะหาเงินประทังชีพก็ยังจะไม่มีปัญญาเลยนะเว้ย!? ”

“ ที่สำคัญกว่านั้นคือจิเซลต่างหาก! นังผู้หญิงคนสนิทผมดำนั่น มันริอาจโจมตีทีเผลอใส่จิเซลที่เอาตัวต้านไว้เพื่อถ่วงเวลาให้พวกเราหลบหนีเข้าซะได้! ถ้าไม่งั้นละก็จิเซลคงไม่มีทางพลาดท่าเสียทีให้กับกะอีแค่ ริสก์ 3 หรอก……! ”

“ ฮึก!? จิเซลน่ะนะ!? ”

 

คำพูดของกลุ่มเด็กกำพร้าที่เอาหมัดทุบพื้นอย่างเจ็บใจนั่น ทำให้ผมสาดส่องสายตามองไปรอบๆอย่างแตกตื่น

แล้วจึงพบตัวจิเซลได้ในทันทีพร้อมวิ่งตรงดิ่งเข้าไปหาสุดกำลัง

จิเซลที่มีบาดแผลท่วมไปทั้งตัวกำลังนั่งนิ่งอยู่กับที่ เอาผ้าแผ่นใหญ่กดรอบแขนเอาไว้

 

“ จิเซล! เห็นเขาบอกว่าบาดเจ็บนี่นา ไม่เป็นอะไรนะ!? ”

“ อ๋า? ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเว้ยกะอีแค่นั้น! ที่สำคัญ……! ”

 

จิเซลส่งสายตาอย่างรำคาญมาใส่ผมที่กังวลเป็นห่วง ก่อนที่จะแผดเสียงตะโกนลั่นด้วยใบหน้าที่ย้อมไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

“ ไอ้บัดซบกิมเล็ต! ต่อให้ครอสจะเข้าร่วมใต้สังกัดหรือไม่เข้า มันก็คิดจะเอาคืนใส่พวกเราทุกคนแบบนี้อยู่ดีงั้นสินะ!? นึกว่ามันคงไม่น่ากลั่นแกล้งหนักขนาดละเมิดกฎระเบียบร้ายแรงระดับที่มีโทษถึงขั้นเนรเทศออกจากเมืองแบบนี้ซะอีก……ที่ไหนได้ไอ้เจ้าขุนนางสติแตกเอ๊ย! ”

 

จิเซลเตะขวดโพชั่นที่หมดเกลี้ยงแล้วให้กลิ้งกระเด็นไปราวกับเป็นการระบายความพิโรธ

 

“ บัดซบ อ่านเกมผิดเข้าเต็มเปาเลย! ไอ้พวกขุนนางจากพรรคอื่นมันคาดเดาได้ว่าจะต้อง เป็นแบบนี้ ก็เลยหยุดทำการชักชวนพวกเราไปอย่างกะทันหันนี่เอง! เพราะไอ้พวกห่ารากนั่นในใจลึกๆแล้วก็คงไม่สบอารมณ์กับการต้องเห็นสามัญชนได้ดิบได้ดีเหมือนกันนั่นแหละ! มันคิดกันว่าถ้ากิมเล็ตจะอุตส่าห์ลงทุนยอมเสี่ยงเพื่อขยี้พวกเราทิ้งแล้วแบบนั้นก็ไม่เลวเลยเหมือนกันไงล่ะ! ”

“ จิ จิเซล รู้แล้วล่ะเพราะงั้นช่วยสงบอารมณ์ก่อนเถอะนะ ถึงจะไม่ได้เป็นแผลฉกรรจ์อะไรแต่ก็ยังบาดเจ็บอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ? ผมมีโพชั่นให้ แล้วก็ถึงจะยัง Lv ต่ำอยู่แต่ก็ใช้เวทฟื้นฟูช่วยให้ได้นะ ”

 

รู้สึกอุ่นใจที่เห็นจิเซลแข็งแรงดีกว่าที่คิด แล้วจึงยื่นมือเข้าไปหมายจะทำการรักษาให้กับเธอที่ก็ยังคงมีบาดแผลท่วมตัวอยู่ดี

แต่ไหงจิเซลถึงตวาด “ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงวะ!” แล้วเตะผมกระเด็นออกห่างไปพลาง แผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราดออกมามากยิ่งขึ้น

 

“ มากวนประสาทกันได้! แต่ว่าทำไมกันวะ……! ไอ้บัดซบกิมเล็ต ไหงถึงได้เมินครอสที่จ้องหมายหัวมากขนาดนั้นซะสนิท แล้วหันมาตามตื๊อเล่นงานเฉพาะแค่พวกเรากลุ่มเด็กกำพร้าซะงั้นล่ะ……!? ทั้งที่น่าจะจ้องอยากขยี้ครอสมากที่สุดแท้ๆคิดบ้าอะไรของมันอยู่กันแน่……อึ๊ก!? ”

“ จิเซล!? ”

 

เป็นในตอนนั้นเอง

ที่จิเซลซึ่งแผดเสียงกระโชกโฮกฮากราวกับเป็นการจัดเรียงสถานการณ์พลันทำหน้าเบี้ยวขึ้นมา

บิดงอตัวดั่งกับว่าความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นไหลไปทั่วร่าง ผ้าผืนใหญ่ที่หุ้มปกปิดแขนอันเรียวเล็กนั่นเอาไว้ร่วงหลุดลงมา และในพริบตาให้หลัง——

 

“ ……ฮึก!? ”

 

บาดแผลบนแขนที่จิเซลน่าจะพยายามปกปิดอย่างสุดชีวิตมาตลอดจนตอนนี้ ก็ได้ทะยานฉายเข้ามาภายในสายตาของผม

ต่อให้จะดูยังไง แต่นั่นก็ช่างห่างไกลกับ ‘แผลที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่’ ซะเหลือเกิน

เนื้อสีแดงสดที่ถูกข่วนฉีกขาดโดยกรงเล็บขนาดใหญ่ยักษ์

ปากแผลใหญ่เบ้อเริ่มที่คงจะถูกลนด้วยไฟเพื่อหยุดเลือด กระดูกที่แพลมโผล่ออกมาให้เห็น

บาดแผลฉกรรจ์ระดับที่อย่าว่าแต่โพชั่นระดับต่ำเลย ต่อให้ใช้เวทฟื้นฟูระดับต่ำ Lv สูงสุดแต่ก็ยังไม่มีทางจะรักษาได้ทันเวลา

แผลสาหัสระดับที่หากไม่ได้ทำการหยุดเลือดด้วยเวทเปลวเพลิงละก็ อาจจะส่งผลกระทบถึงชีวิตได้เลย

แผลสุดน่ากลัว ที่ถึงแม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ปักใจเชื่อไม่ลงเลยว่าจิเซลจะสามารถฝืนกลั้นความเจ็บปวดเพื่อไม่ให้ผมรับรู้ถึงอาการบาดเจ็บได้

 

“ จิ เซล……? แผลนั่น……? ”

“ ……ขึก! ชิ ก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรไงวะ! แกน่ะเลิกทำเป็นรู้สึกผิดไปหมดซะทุกเรื่องได้แล้วเว้ยมันน่าหงุดหงิดฉิบหายเลย! ”

 

ถึงจิเซลจะตวาดออกมาอย่างแตกตื่นตะลีตะลาน——แต่เสียงนั่นก็ไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่น้อย

สัมผัสราวกับว่าเสียงและภาพทิวทัศน์โดยรอบกำลังแล่นห่างออกไป

ที่ลอยเข้าหัวผมมาในระหว่างนั้น ก็คือฝันร้ายจากเมื่อหลายปีก่อน

ภาพติดค้างภายในใจสุดแสนเลวร้าย เมื่อคราวหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดถูกบุกรุกโจมตีโดยมอนสเตอร์ และต้องพบเห็นพวกผู้ใหญ่ค่อยๆล้มฟุบหมดสภาพกันไปทีละคนทีละคน

ในพริบตาที่ภาพของพวกผู้ใหญ่ที่ถูกมอนสเตอร์เล่นงานในตอนนั้นมันซ้อนทับเข้ากับร่างของพวกจิเซล

อะไรบางอย่างในตัวผม ก็ได้ส่งเสียงปริขาดเหมือนกับเหลืออด

ร่างกายเริ่มต้นขยับออกไปแบบเกือบๆโดยพลการ

 

“ จิเซล ผมให้เจ้านี่นะ ช่วยดื่มทีเถอะ ”

 

หยิบเอาโพชั่นออกมาจากภายในกระเป๋า

ขวดรุ่นพิเศษที่ภายหลังจากเหตุการณ์ ริสก์ 4 พวกอาจารย์ก็ได้สั่งกำชับให้ผมพกไว้ติดตัวเผื่อถึงคราวจำเป็นน่ะ

แต่ถ้าอธิบายให้ฟังแบบนั้นแล้ว จิเซลก็คงจะไม่ยอมรับเอาไว้เป็นแน่ ดังนั้นผมจึงฉวยจังหวะทีเผลอยัดเข้าปากเค้าไปทั้งอย่างนั้นเลย

 

“ บุ๊!? เดี๋ยว!? จู่ๆทำบ้าอะไร——เอ้ย อ๊าา!? แก เฮ้ยนี่มัน โพชั่นระดับสูงสุดเลยไม่ใช่เรอะ!? ไหงถึงได้มีของแบบนี้——อะ เอ๊ะ ”

 

และแล้ว จิเซลซึ่งกระชากขวดโพชั่นออกจากปากในภายหลังจากที่กลืนเข้าไปได้ราวครึ่งขวด ก็แหงนขึ้นมามองหน้าของผมแล้วนิ่งค้างไป

แต่ผมก็ไม่มีความเยือกเย็นหลงเหลือมากพอจะสนใจ

หลังจากตรวจสอบว่าแผลของจิเซลเริ่มจะสมานขึ้นมาแล้ว ผมก็วิ่งทะยานออกไปสุดกำลังโดยพลัน

 

 

 

 

ในภายหลังจากที่ครอสวิ่งแล่นจากไป

จิเซลที่เหม่อลอยอยู่ด้วยแก้มแดงเรื่อเป็นเวลาซักระยะ ก็พลันแผดเสียงอย่างแตกตื่นดั่งกับว่าเพิ่งจะหลุดจากภวังค์

 

“ ——ห้ะ!? หะ เฮ้ยพวกแก! รีบหยุดไอ้บ้านั่นเอาไว้เร็วเข้า! ”

“ อ๋า!? ตะกี้ยังเห็นเหม่อลอยสติหลุดอยู่เลยแท้ๆแต่จู่ๆเป็นอะไรขึ้นมาอีกเล่าจิเซล! ถ้าบาดเจ็บหนักงั้นก็อยู่ให้มันนิ่งๆ——อะ อ้าว!? แผลเริ่มจะสมานแล้ว——!? ”

“ เรื่องฉันน่ะช่างแม่งไปเหอะเอาเป็นว่ารีบไปลากตัวครอสกลับมาเร็วเข้า! เดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องหรอกนะเว้ย! ”

 

จิเซลตะโกนกร้าวออกมาด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

 

“ ไอ้โคตรบ้าห้าร้อยจำพวกนั่น……มันทำหน้าแบบเดียวกับในตอนที่พุ่งเข้าใส่ ริสก์ 4 เด๊ะๆเลย! ”

 

 

 

 

“ ……ฮึก! ”

 

ทั่วทั้งร่างร้อนรุ่มไปหมด

แต่ความเร่าร้อนนั่นมันต่างสุดขั้วไปจากความเร่าร้อนชวนให้รู้สึกดีที่ตื่นตัวขึ้นมาในเทศกาลวิวาท

วิ่งทะยานสุดกำลังไปตามเมืองบัสเคิลเบียร์ โดยที่ปล่อยความรู้สึกอันร้อนแรงดั่งกับจะแผดเผาร่างกายให้ผลักหลังดันตัวพุ่งไปอยู่ทั้งอย่างนั้น

ที่เปี่ยมล้นเต็มไปทั่วหัวซึ่งเย็นเฉียบสุดขั้วตรงข้ามกับร่างกาย ก็คือการกลั่นแกล้งทั้งหมดที่โดนตลอดมา

 

(จริงอย่างที่จิเซลพูด ในเมื่อไม่มีหลักฐานยืนยันว่าพวกกิมเล็ตเป็นคนลงมือ งั้นพวกผมก็จะไม่มีความชอบธรรมที่จะขอพึ่งพาเบื้องบน แล้วก็ไม่มีข้ออ้างเพื่อที่จะฟ้องร้องกับทางกิลด์ได้ด้วย)

 

กระนั้นแล้วต่อให้ไปก้มหัวกราบขอร้องให้ช่วยเลิกกลั่นแกล้งอย่างซื่อบื้อเถรตรงแบบนั้น ก็ไม่มีทางจะเป็นการคลี่คลายสถานการณ์อย่างสงบลงตัวได้หรอก

อีกฝั่งคือคนที่ถึงกับพามอนสเตอร์เข้ามาใส่เลยเชียวนะ

ต่อให้ยอมเข้าร่วมใต้สังกัดอย่างว่าง่ายตามที่อีกฝั่งเรียกร้องเป็นฉากหน้า แต่ก็รับรองเลยว่าต้องเจอชะตากรรมที่หาดีไม่ได้แน่นอน หากอีกฝั่งมีเป้าหมายคือการเอาคืนตั้งแต่แรกเริ่ม งั้นเข้าร่วมใต้สังกัดไปก็รังแต่จะทำให้มีโอกาสที่จะถูกบดขยี้ทารุณอย่างชอบธรรมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสถานการณ์จะต้องเลวร้ายมากไปยิ่งกว่าในตอนนี้ซะอีก

ถ้าอย่างนั้น ก็มีวิธีการที่จะบังคับให้หยุดการกลั่นแกล้งนี้……หยุดการเอาคืนต่อพวกผมนี้ให้ได้อย่างแน่นอนอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

“ ……ที่นี่เหรอ ”

 

สถานที่ที่ผมซึ่งวิ่งสุดแรงเกิดต่อเนื่องมุ่งหน้ามาจนถึง ก็คือห้องว่างสุดหรูหราที่อยู่ใกล้กับโรงอาหารของโรงเรียนนักผจญภัย

ห้องนั่งเล่นที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะถูกเหล่าผู้คนชนชั้นขุนนางใช้งานเพื่อสานสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับพรรคขุมกำลังอื่น สถานที่พูดคุยสนทนาที่ถูกต่อเติมเพิ่มขึ้นมาด้วยงบของขุนนาง ที่จ้องฉวยโอกาสจากการที่ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าเข้ามาศึกษาภายในโรงเรียน

ต่างโลกที่สามัญชนอย่างพวกผมยากยิ่งจะเข้าไปใกล้ได้

แต่ผมก็เมินเฉยแม้กระทั่งบรรยากาศผิดที่ผิดทางแบบนั้น บุกถล่มหน้าตั้งเข้าไปยังทางเข้าของห้องนั่งเล่นในทันใด

 

“ อื๋อ? เฮ้ยเดี๋ยวก่อนสิ มีเพียงผู้ได้รับอนุญาตก่อนล่วงหน้าเท่านั้นจึงจะผ่านเข้าไป——เฮ้ย!? เดี๋ยว หยุด—— ”

“ <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> ! ”

 

ใช้สกิลหลบหลีกเพราะเห็นว่ากลุ่มผู้คนที่เหมือนจะเป็นยามรักษาความปลอดภัยทำท่าจะเข้ามาหยุด ผมฝืนสลัดตัวพวกเขาหลุดแล้วบุกลึกเข้าไปในห้องนั่งเล่น

 

“ ฮึก!? อะไรน่ะ!? ”

 

เท่านั้นแหละ ผมที่วิ่งทะยานเข้ามาด้วยสารรูปที่ดูซ่อมซ่อนั้นทำเอาทั่วทั้งห้องนั่งเล่นถึงกับแตกตื่น

แต่ในบรรดานั้น——ก็มีคนที่ยังคงรักษาท่วงท่ากิริยาอันงามสง่าดั่งกับว่าคาดการณ์ถึงการอาละวาดของสามัญชนได้ไว้แล้ว

ชายหนุ่มรูปงามผู้กำลังจิบชาอยู่ตรงบริเวณใกล้กึ่งกลางของห้องนั่งเล่น

กิมเล็ต วอลเดรียนั่นเอง

ผมวิ่งปรี่ตรงไปยังทางนั้นด้วยความเร็วจี๋ระดับที่สลัดเหล่ายามรักษาความปลอดภัยหลุดได้หมด

เท่านั้นแหละ ผู้ที่กระโจนเข้ามาขวางทางเอาไว้ดั่งกับเป็นเรื่องสมควร ก็คือเหล่าคนสนิทของกิมเล็ตที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาด

 

“ หยุดนะสามัญชน! คิดจะทำอะไรของแกกัน! ”

“ ถอยไปซะ! ”

“ ห้ะ——!? ”

 

ไม่มีเวลามามัวสู้อยู่กับเจ้าพวกแบบนี้หรอก

ใช้ <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> เพื่อหลบคนสนิทที่ชักดาบเข้ามาจะหยุดผม แล้วจึงอาศัยท่วงท่าของ <<ครอสเคาน์เตอร์>> ซัดเขาลอยปลิวกระเด็นไปโดยไม่ต้องใช้อาวุธ

และเมื่อผมมายืนจ่ออยู่ต่อหน้า กิมเล็ตก็แหงนมองขึ้นมาได้ซะที

 

“ โอ๊ะโอ เกิดอะไรขึ้นกันนะ ดูท่าจะอารมณ์ร้อนไร้ซึ่งความเยือกเย็นพอสมควรเลยนี่นา ที่เข้ามาหาฉันนี่ก็หมายความว่า มีกะใจอยากจะเข้าร่วมภายใต้สังกัดขึ้นมาแล้วใช่ไหม? ”

“ กิมเล็ต วอลเดรีย ”

 

กิมเล็ตแย้มยิ้มด้วยใบหน้าเหมือนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

และราวกับเป็นการขัดวาจาคำพูดสุดจะไร้สาระของขุนนางลำดับสูงคนนั้น——ผมพลันกล่าวประเด็นเรื่องออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

 

“ ผมขอท้า ให้คุณมาทำการประลองกับผมแบบตัวต่อตัว ”

 

 

“ ……โฮ่? ”

“ ถ้าผมแพ้ละก็จะยอมทำตามที่พูดทุกอย่างเลย กลับกันแล้วถ้าผมชนะขึ้นมา……คุณก็จงมาอยู่ภายใต้สังกัดของผมซะ! ”

 

ร่วมกับความโกรธเกรี้ยวที่แทบทำเอาร่างกายลุกเป็นไฟ

ตัวผมที่จับจ้องมองขุนนางผู้แสนโฉดชั่ว ก็ได้กระแทกกระทั้นอัดสารท้ารบนั่นออกไป

 

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset