เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 71 มาตรการรับมือความเร็วกับจ้าวแห่งผืนป่า (4)

ดันเจี้ยน

แม้จะเป็นภายในแหล่งสั่งสมพลังเวทที่ถูกเรียกขานกันว่ารังของมอนสเตอร์ แต่สถานที่แห่งนั้นก็คือโซนอันตรายที่จะเกิดปรากฎการณ์พลังเวทตกค้างอย่างหนาแน่นมากเป็นพิเศษ

ดันเจี้ยนอาจจะมีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไปหลากหลายแบบขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ตั้งก็จริงหรอก แต่จุดที่ไม่ว่าที่ไหนๆก็ล้วนเหมือนกันหมดก็คือ จะมีมอนสเตอร์เดินป้วนเปี้ยนอยู่เป็นจำนวนมหาศาลเสมอ

และตราบเท่าที่ยังไม่อาจทำลาย ดันเจี้ยนคอร์ (แกนเขาวงกต) ซึ่งตั้งอยู่ในจุดลึกของดันเจี้ยนและเป็นตัวกลางที่ก่อให้เกิดพลังเวทตกค้างให้ได้ จำนวนมอนสเตอร์พวกนั้นก็จะไม่มีวันลดน้อยถอยลง

ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงเห็นสมควรให้มีความจำเป็นต้องจับกลุ่มตั้งปาร์ตี้เพื่อเข้าทำการพิชิต และการเข้าพิชิตแบบโซโล่ตัวคนเดียวจะถือว่าเป็นข้อห้ามตามกฎระเบียบ นี่แหละคือสามัญสำนึกของโซนอันตรายที่มีนามว่าดันเจี้ยนล่ะ

เป็นแบบนั้นแท้ๆ——

 

 

“ ถ้างั้นก็ให้ครอสคุงลองฝ่าไปจนถึงชั้นล่างสุดให้ได้ด้วยตัวคนเดียวก่อนแล้วกันเน้ออ~ อ๊ะ จะขอพูดเอาไว้ตั้งแต่เริ่มเลยแล้วกัน นี่คือการฝึกเพื่อให้ใช้สกิลสายมารได้อย่างคล่องแคล่วล่าา~ ดังนั้นห้ามใช้เวทโจมตีนะ ใช้แค่สกิลระยะประชิดและสกิลสายมารฟันฝ่าไปจนถึงชั้นล่างสุดให้ได้น้าา~ ”

 

“ แล้วก็ ฉันจะแอบไล่ตามหลังไปเพื่อช่วยเหลือในตอนที่พลังเวทหมดหรือตอนกำลังคับขันจวนตัวหรอก แต่พวกเรื่องหลักๆอย่างการรักษาบาดแผลนี่จะให้ครอสคุงดูแลตัวเองทั้งหมดเลยล่าา~ ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาก็หลบหนีซ่อนตัวจากมอนสเตอร์แล้วร่าย <<แคร์ฮีล>> ซะน้าา~ ”

 

“ เลเวลโดยเฉลี่ยของมอนสเตอร์ที่จะโผล่ออกมาก็คือ 30, อาจจะรับมือยาก นิดหน่อย ก็จริงหรอก แต่จะต้องเป็นการฝึกที่เหมาะสมกับครอสคุงในตอนนี้แบบกำลังดีแน่นอนเลยละน้าา~~ ”

 

 

คุณเทโลเมียร์เค้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา ด้วยท่าทางดั่งกับว่าเป็นเรื่องปกติสุดๆเลยงั้นแหละ

 

“ ……อึก ”

 

อย่างที่คุณเทโลเมียร์ว่า คงจะนับว่ายากมากพอตัวเลยเชียวล่ะ

สมแล้วที่มีเป้าหมายสุดท้ายคือการโค่น <<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> เลเวล 50……โหดหินคนละระดับกับการฝึกแบบสบายๆตลอดมาจนตอนนี้เลย

ถึงแม้จะเหลือเวลากว่าจะถึงการประลองแค่เพียงเดือนเดียวก็ตามที แต่หากเป็นปกติ ถ้าเจอกับการฝึกแบบสุดระห่ำขนาดนี้แล้วก็คงมีหงอใจฝ่อบ้างล่ะ ในความเป็นจริงแล้ว สองมือของผมก็กำลังสั่นเทิ้มอยู่เบื้องหน้าพลังเวทแสนน่าสยดสยองที่ถูกปล่อยออกมาจากดันเจี้ยนจริงๆ

ทว่า ความคิดของผมที่มีต่อการฝึกสุดระห่ำของพวกอาจารย์ที่เป็นนักผจญภัยระดับ S ก็คือ——

 

 

(อยากจะลองทดสอบดู ว่าความสามารถของผมในตอนนี้จะใช้การได้ถึงไหน——)

 

 

ความรู้สึกแบบเดียวกับในตอนเทศกาลวิวาทมันกำลังเต้นสูบฉีดอย่างเร่าร้อนอยู่ภายในอก

จะทำการฝึกต่อสู้จริงนี้ไปได้ซักแค่ไหน จะพัฒนาพลังของตนเองไปได้ซักเท่าไหร่ แม้จะหวั่นใจไปพลางแต่ตัวผมก็กำลังรู้สึกตื่นเต้นใจโลดโผนอยู่อย่างแน่นอนเลยด้วยเช่นกัน

……คิดว่า พวกคุณเทโลเมียร์เค้าคงจะช่วยวางแผนการฝึกให้โดยคาดการณ์ล่วงหน้าถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ของผมไว้แล้วเลยละมั้ง

 

“ ครอสคุงก็ดูมีกะใจพร้อมลุยเต็มที่แล้วด้วยนี่เนอะ งั้นก็มาเริ่มกันเลยดีมั้ย~ ”

“ ครับ! ”

 

ได้เสียงของอาจารย์ที่เชื่อมั่นสุดใจเป็นสัญญาณ

ผมก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าวเล็กๆ สู่โซนอันตรายที่มีมอนสเตอร์ซ่องสุมอยู่แห่งนั้น

 

 

 

 

“ อุก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา! ”

“ ขุ่ก อีกแล้วเหรอ! ”

 

ภายในถ้ำซึ่งส่องแสงสลัวๆเนื่องจากอิทธิพลพลังเวทอันหนาแน่นแห่งนั้น มันคือรังของมอนสเตอร์ดีๆนี่เอง

สงสัยดันเจี้ยนแห่งนี้จะมีแต่มอนสเตอร์ที่รักสันโดษเป็นหลักละมั้ง ก็เลยรอดตัวไม่ได้ถูกรุมล้อมเล่นงานเข้าใส่จากรอบทิศหรอก——แต่พูดได้ว่าเจอศัตรูบ่อยสุดๆไปเลย

ปราบไปยังไม่ได้ทันไรก็จะมีมอนสเตอร์ตัวใหม่โผล่หน้าออกมาเรื่อยๆ ไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย

ตอนอยู่ใน <<ผืนป่าเบื้องลึก>> ก็รู้สึกว่ามีมอนสเตอร์เยอะเหมือนกันหรอก แต่จำนวนครั้งความถี่ที่ต้องต่อสู้ภายในดันเจี้ยนนี่แหละเยอะเป็นคนละระดับกันไปอีก แค่มีเวลาให้ได้พักร่ายเวทฟื้นฟูระหว่างการต่อสู้ประมาณหนึ่งรอบต่อการต่อสู้ 5 ครั้งเท่านั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว

สมแล้วกับคำกล่าวขานว่าเป็นโซนอันตรายซึ่งจำเป็นต้องมีปาร์ตี้ แต่ทว่า

 

“ <<สปีดเอาท์>> !  <<บัฟกำลังดาบระดับกลาง>> ! ”

“ กุกย๊าววว!? ”

 

เพราะยังเข้าไปได้ไม่ลึกมากละมั้ง ต่อให้ต้องสู้แบบต่อเนื่องไม่ขาดสาย แต่ก็ใช่ว่าจะถูกเล่นงานจนน็อคในทันที

ใช้การผสมผสานของสกิลระยะประชิดและสกิลสายมารเพื่อฟาดฟันมอนสเตอร์ตรงหน้าให้หงายหมดสภาพ

มอนสเตอร์ที่เทียบเท่าเลเวล 26, ฮาวด์ด็อก

เป็นศัตรูแกร่งที่ถูกจำแนกอยู่ในหมู่ ริสก์ 4 ก็จริงหรอก แต่ต่างกับพวกเก่งเฉพาะทางแบบร็อกลิซาร์ดวอริเออร์ สเตตัสที่สมดุลรอบด้านนั่นมันเป็นอะไรที่สามารถรับมือได้โดยง่าย ก็เลยพอจะต่อกรไหวอยู่

เช่นเดียวกับการเติบโตของตัวผมเอง สกิลสายมารสำหรับใช้ลดความเร็วที่ได้รับมาใหม่ก็ยังแผลงฤทธิ์ช่วยให้ทำการต่อสู้ได้อย่างสบายขึ้นเยอะเลย

 

“ ดีละ ต่อให้ไม่ใช้สกิลเวทมนตร์แต่ก็พอจะถูไถไปได้อยู่! ”

 

ตั้งกายและใจต่างก็ร้อนรุ่มลุกโชนอยู่กับการต่อสู้ที่ถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย

ผมเข้าปะทะต่อกรกับมอนสเตอร์อย่างต่อเนื่องด้วยใจเต้นตื่นตัวแบบในคราวเดียวกับตอนสู้ประลองฝีมือกับคุณลีโอเน่ บุกทะลวงลึกเข้าไปภายในดันเจี้ยนดั่งกับถูกความตื่นเต้นผลักหลังออกไป

……แต่มันเป็นในฉับพลันนั้นเอง

ที่พบเจอสิ่งแปลกประหลาด อยู่เหนือพื้นถ้ำขรุขระบนเส้นทางข้างหน้า

ก้อนขนสีเทา

ก้อนขนปุกปุยที่มีขนาดใหญ่เท่าหัวคน มันกำลังกลิ้งอยู่เหนือพื้นถ้ำนั่นเอง

 

“ ……? อะไรน่ะ? ”

 

ก้อนปุกปุยสีเทาซึ่งดูผิดที่ผิดทางกับรังมอนสเตอร์นั่นมันทำให้ใจผ่อนคลายลงมานิดหน่อย

พริบตานั้น

 

“ ฮึก!? เอ๊ะ!? ”  

 

จู่ๆ ก้อนขนสีเทาก็หายวับไปจากทัศนวิสัยของผม

ไม่สินี่มันคือ——

 

(กำลังแล่นทะยานไปมาด้วยความเร็วสูงลิ่ว!?)

 

ฟิ้ว! ฟิ้วฟิ้ว!

ที่กังวานขึ้นภายในถ้ำ ก็คือเสียงแล่นเฉือนผ่านสายลม

หากเพ่งสายตาสุดชีวิตภายในถ้ำอันมืดสลัว ก็จะพอมองเห็นร่องรอยสีเทาได้อยู่

 

“ อะไรกันน่ะไอ้เจ้านี่……!? ”

 

แม้ผมจะแผดเสียงร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก แต่ร่องรอยสีเทาที่ไม่หลงเหลือภาพติดตาไว้เลยด้วยซ้ำก็เอาแต่ซ่อนปกปิดร่างกายอยู่ภายในความเร็วมหาศาล——ก่อนจะทะยานตรงดิ่งอัดเข้ามาใส่หน้าผมอย่างกะทันหัน

 

“ อุหวา!? ”

 

เพราะตาชินกับความเร็วขั้นสูดกู่ที่คุณลีโอเน่แสดงให้ดู ก็เลยเอี้ยวตัวหลบจากการโจมตีนั่นได้สำเร็จอย่างหวุดหวิด

แต่เจ้าสิ่งนั้นก็ไม่ได้ใจอ่อน ระดับที่จะปล่อยเหยื่อแสนอืดอาดซึ่งฝืนบิดตัวหลบอยู่ในสภาพเสียศูนย์แบบนั้นให้รอดไปได้หรอก

ฟิ้ว! ฟิ้วฟุฟุฟิ้ว! ฟู่มม!

 

“ อุ้ก!? ”

 

ก้อนขนพลิกตัวดั่งกับเด้งสะท้อนกำแพงของถ้ำ

แล่นวาดวีถีสีเทาเป็นลวดลายเรขาคณิตอยู่กลางอากาศ แล้วจึงพุ่งทะยานตรงเข้ามาใส่ร่างกายของผมนี่

เจาะทะลุเลสเซอร์อาร์มเมอร์เกรดต่ำ แรงกระแทกอย่างหนักหน่วงทะลวงไปทั่วร่าง

แต่ทว่า

 

“ <<เคลือบแข็งร่างกาย>> ……! ”

 

ผมอดทนต้านเอาไว้ ด้วยสกิลป้องกันที่เปิดใช้แบบหวุดหวิดขึ้นมาในพริบตาก่อนจะโดนอัด  

เป็นตรงนั้นเอง ที่ได้ยลโฉมรูปร่างหน้าตาของเจ้าตัวอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาชนแล้วหยุดนิ่งอยู่เหนือร่างกายของผมซะที

ที่อยู่ตรงนั้นก็คือ——ก้อนขนสีเทาซึ่งมีขาหลังอันแสนกำยำจนประหลาด

มือเล็กๆ ดวงตากลมโต และเขี้ยวอันคมกริบที่ทำลายอิมเมจอันแสนน่ารักพังหมดนั่น มันก็คือมอนสเตอร์ตัวอันตรายที่เคยได้เรียนมาก่อนภายในคาบเล็คเชอร์

 

“ เทียบเท่าเลเวล 32……มอนสเตอร์ริสก์ 4 ที่เก่งเฉพาะทางในด้านความเร็ว สปริงฮอปเปอร์เหรอ……! ”

“ กิ้ว! กิ้วกิ้วว! ”

“ อุ้ก!? ”

 

สปริงฮอปเปอร์ที่แผดเสียงร้องดั่งกับสื่อว่า ‘ถูกต้อง’ พลันถีบร่างของผม แปรสภาพกลายเป็นร่องรอยวีถีสีเทาเข้าอีกรอบ

ฟิ้ว! ฟุฟุฟุฟุฟิ้ว!

สปริงฮอปเปอร์เตะกำแพงถ้ำด้วยกำลังขาอันสูงล้ำถึงขั้นแปลกประหลาด ทำการแล่นโผนซ้ำไปมาด้วยความเร็วสุดยอด

จิตสังหารและความเร็วอันน่าตกตะลึง มันยิ่งยกระดับเพิ่มมากยิ่งขึ้นดั่งกับเป็นการบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยเหยื่อ (ผม) ให้หนีรอดไปได้เป็นอันขาด

หากเพ่งสมาธิดูแล้วก็จะพบว่ามีกลิ่นอายของเจ้าก้อนขนแบบเดียวกันนี่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำยั้วเยี้ยไปหมด ทำเอารู้ซึ้งขึ้นมาว่าจากตรงนี้ไปคงจะไม่ง่ายแน่นอน

ทว่า

 

“ สปริงฮอปเปอร์ เพราะทุ่มความถนัดไปยังความเร็วเข้าว่า วิธีโจมตีหลักๆก็เลยมีเพียงการพุ่งกระแทกเข้าใส่ด้วยร่างกายปุกปุย นับว่ามีอำนาจในการฆ่าทำร้ายอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ถือว่าเป็นคู่มือที่เหมาะสมกับการฝึกรับมือความเร็วที่สุดเลย……! ”

 

เข้าใจเหตุผลที่ทำให้พวกคุณเทโลเมียร์ต้องถึงกับไหว้วานจอมมารเพื่อตามหาดันเจี้ยนแห่งนี้แล้ว

ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ผมสมควรต้องทำก็มีแค่หนึ่งเดียว

 

“ สิ่งนั้นคือจิตอาฆาตแค้นยามโพล้เพล้ ร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน จมดิ่งลงสู่พื้นพิภพ แล้วจงก้มหัวศิโรราบต่อโซ่ตรวนแห่งความสิ้นหวัง —— <<สปีดเอาท์>> ”

 

พ่วงไว้ด้วยสกิลที่ได้รับมาใหม่ ผมปั้นกระทั่งรอยยิ้มขึ้นมาพลางเข้าท้าทายกับบททดสอบที่พวกอาจารย์เตรียมเอาไว้ให้

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset