เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 73 มาตรการรับมือความเร็วกับจ้าวแห่งผืนป่า (6)

หลังจากที่ก้าวข้ามกำแพงโดยการกำราบสปริงฮอปเปอร์

วันวานแห่งการเข้าท้าชนเพื่อหวังพิชิตดันเจี้ยนก็ดำเนินสืบเนื่อง โดยที่ทำการฝึกสร้างมาตรการรับมือความเร็วกับพวกอาจารย์แต่ละคนควบคู่กันไปด้วย

มีศูนย์กลางอยู่กับการให้คุณเทโลเมียร์ช่วยสอนแนะนำวิธีใช้สกิลสายมาร เสริมด้วยการสู้ประลองฝีมือความเร็วสูงกับคุณลีโอเน่ และฝึกฝนสกิลที่ได้รับถ่ายทอดมาจากคุณลูด์มิร่า หากทำทั้งหมดครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ก็จะพุ่งเข้าไปท้าชนกับดันเจี้ยนรัวๆเพื่อเป็นการตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึกตลอดทั้งวัน

 

“ ย่าาาาาาาาา! ”

“ กิ๊วววววววว!? ”

 

ใช้ก้อนหินเพื่อล่อนำวิถี เสแสร้งทำเป็นหนีเพื่อควบคุมทิศทางและจังหวะการโจมตี

วางแผนสารพัดรูปแบบแล้วล่าเหล่ามอนสเตอร์ที่เก่งกาจด้านความเร็วไปทีละตัวๆ

ในกรณีที่มีสปริงฮอปเปอร์โผล่ออกมาพร้อมกันสองตัว ก็จะเพ่งเน้นกำจัดทิ้งให้ได้ตัวนึงก่อนอย่างแน่นอน

ในกรณีที่ประสานงานกับมอนสเตอร์แบบอื่นเข้ามาโจมตี ก็จะใช้ท่วงท่าการเคลื่อนไหวสำหรับล่อให้ศัตรูตีกันเอง แล้วจึงกระแทกกระทั้นอัด <<สปีดเอาท์>> เข้าไปในจังหวะที่อีกฝั่งมึนงงสับสน

ยิ่งก้าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ ดันเจี้ยนก็จะยิ่งยกระดับความเป็นอันตรายสูงมากขึ้น จนเกิดเป็นสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้เวทฟื้นฟูบ่อยมากกว่าเดิมหรอก แต่ก็แทบจะไม่มีติดแหงกอยู่กับที่แบบในตอนวันแรกอีกต่อไปแล้ว

การฝึกสร้างมาตรการรับมือความเร็วของพวกคุณเทโลเมียร์ที่ถูกดำเนินอย่างสม่ำเสมอทุกวัน พัฒนาคิดค้นเทคนิคและแผนการเพื่อต่อกรกับศัตรูที่เร็วยิ่งกว่าตนมากมายหลายเท่า สกิลที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆจากการเล่นซ้ำคำสอนของพวกอาจารย์พลางสั่งสมประสบการณ์ต่อสู้จริง

ทั้งหมดนั่นมันลงล็อคกัน ทำให้พอจะถูไถฝ่าดันเจี้ยนเข้าไปด้วยตัวเองเพียงคนเดียวได้อยู่

และเป็นภายหลังจากที่ล่า ล่า และล่าเหล่ามอนสเตอร์ที่เป็นเลิศในด้านความเร็วไม่ยั้ง รวมทั้งใช้เวทฟื้นฟูเยียวยาบาดแผลตัวเองเป็นไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบนั่นเอง——ที่ในที่สุดผมก็เดินทางมาถึง

 

“ ที่นี่คือ…… ”

 

ที่ปรากฎขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าทางลาดชันลงต่ำ ก็คือห้องขนาดใหญ่ซึ่งส่องประกายแสงริบหรี่เนื่องจากอิทธิพลของพลังเวทที่ควบแน่นมากเกินไป

และที่อยู่ตรงหน้าก็คือประตูทางเข้าห้องดังกล่าว

ไม่มีกลิ่นอายมอนสเตอร์อยู่โดยรอบ สัมผัสได้กระทั่งบรรยากาศอันสงบเงียบยังไงชอบกล

ชั้นล่างสุดของดันเจี้ยน เส้นชัยของการฝึกสร้างมาตรการรับมือความเร็วขั้นที่สอง

 

“ สะ สำเร็จแล้วววว~~~! ”

 

เละยับเยินไปทั่วทั้งร่าง แถมยังต้องให้คุณเทโลเมียร์ช่วยถ่ายโอนพลังเวทให้ตรงกลางทางอีกต่างหาก ฉะนั้นก็เลยเรียกว่าเป็นการเคลียร์แบบโซโล่ได้ไม่เต็มปากแหละ แต่เส้นชัยที่กว่าจะมาถึงได้ก็ต้องใช้เวลานานร่วมสองอาทิตย์ตั้งแต่เริ่มต้นบุกพิชิตดันเจี้ยนนั่น ก็ทำเอาผมเผลอตัวแผดเสียงร้องเฮลั่นออกมาเฉยเลย

 

“ สำเร็จแล้วนะครอสคุง~! สุดยอดไปเลยล่าา พิชิตดันเจี้ยนได้เร็วมากกว่าที่คิดไว้ซะอีกน้าา ”

“ เหวอ!? คุณเทโลเมียร์ครับ!? ”

 

คุณเทโลเมียร์ที่คอยเฝ้าดูท่าทางการพิชิตดันเจี้ยนของผมมาตลอดจากข้างหลัง เค้ากระโดดออกมาโอบกอดผมเต็มเหนี่ยว ทำเอาผมหน้าแดงแจ๋กับสัมผัสอันอ่อนนุ่ม

มะ ไม่กอดแรงเกินไปแล้วเหรอครับเนี่ย!? ……ก็มีแตกตื่นแบบนั้นอยู่หรอกนะ ทว่า

 

“ สุดยอดไปเลยนะครอสคุง~ สุดยอดมากๆเลย! ถ้าไปได้สวยมากขนาดนี้ สกิลก็น่าจะเติบโตขึ้นมาพอตัวเลยเหมือนกันละมั้งเนี่ยย ”

“ ! ”

 

ถูกรบเร้าโดยคำพูดของคุณเทโลเมียร์ที่เยียวยาผมด้วยสกิลฟื้นฟูสารพัดประเภท ผมรีบหยิบเอาสเตตัสเพลทออกมาในสภาพที่ถูกโอบกอดอยู่ทั้งอย่างนั้น

ที่แสดงออกมา ก็คือหลักฐานแห่งการเติบโตอันจับต้องได้ที่ถูกสานสร้างขึ้นผ่านการพิชิตดันเจี้ยนอย่างบ้าระห่ำตลอดสองอาทิตย์นี้

 

 

ประวัติการเติบโตของสกิลในระยะนี้  

<<เสริมป้องกัน II Lv1 (+94)>>  ——->  <<เสริมป้องกัน II Lv2 (+113)>>

<<เสริมความว่องไว II Lv5  (+124)>>  ——->  <<เสริมความว่องไว II Lv8  (+148)>>

<<เสริมพลังเวทพิเศษ Lv7  (+57)  ——->  <<เสริมพลังเวทพิเศษ II Lv1  (+89)>>  

<<บัฟกำลังดาบระดับกลาง Lv2>>   ——->   <<บัฟกำลังดาบระดับกลาง Lv3>>

<<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (กลาง) Lv5>>  ——->  <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (กลาง) Lv6>>

<<เคลือบแข็งร่างกาย (กลาง) Lv1>>  ——->  <<เคลือบแข็งร่างกาย (กลาง) Lv2>>

<<หลบหลีกฉุกเฉิน II Lv3>>   ——->   <<หลบหลีกฉุกเฉิน II Lv5>>

<<สปีดเอาท์ Lv1>>   ——->   <<สปีดเอาท์ Lv9>>

<<แคร์ฮีล Lv3>>  ——->  <<แคร์ฮีล Lv8>>

<<ควบคุมพลังเวทในร่าง Lv6>>  ——->  <<ควบคุมพลังเวทในร่าง Lv7>>

<<ตรวจจับพลังเวทในร่าง Lv6>>  ——->  <<ตรวจจับพลังเวทในร่าง Lv7>>

 

 

“ ……ฮึก! ”

 

หากพิจารณาจากที่ Lv สูงสุดของสกิลระดับกลางคือ 20 แล้ว ก็จะเห็นว่ายังมีความต่างชั้นกับกิมเล็ตที่เป็นอาชีพระดับสูงอยู่อีกมาก กระนั้นแล้วนี่ก็ถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดที่สามารถพูดได้เต็มปากว่ากำลังย่นระยะห่างเข้าไปใกล้ได้อย่างชัดเจนภายในเวลาสองสัปดาห์

นอกจากนี้ก็มีสกิลใหม่ที่ได้รับมาจากคุณลีโอเน่และคุณลูด์มิร่าอยู่ด้วย ยิ่งทำให้ความรู้สึกที่ตื่นตัวจากการพิชิตดันเจี้ยนพุ่งสูงมากขึ้นไปอีก

 

“ อื้มอื้ม วิธีการต่อสู้กับผู้เหนือกว่าขั้นพื้นฐานก็เป็นไปได้สวย การเติบโตของสกิลก็เป๊ะมากก~ เท่านี้การฝึกขั้นที่สองก็เป็นอันเสร็จสิ้น ยินดีด้วยน้าาครอสคุง~! ”

 

คุณเทโลเมียร์ที่ส่องเข้ามาดูสเตตัสเพลทร่วมไปกับผม เค้าปลื้มดีใจให้ดั่งกับเป็นเรื่องของตนเองเลยก็มิปาน

แต่ว่า——ไม่นานบรรยากาศนั่นก็เปลี่ยนแปลงดูจริงจังขึ้นมา

 

“ ถ้างั้นก็……ไปยังการฝึกขั้นสุดท้ายกันเลยดีกว่าเน้ออ~ ”

 

ว่าแล้ว คุณเทโลเมียร์ก็ก้าวเดินตรงไปหาห้องขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไป โดยที่ยังคงโอบกอดผมจากเบื้องหลังอยู่ทั้งอย่างนั้น

 

“ เอ๊ะ เดี๋ยว คุณเทโลเมียร์ครับ!? ขั้นสุดท้ายนี่อย่าบอกนะว่า—— ”

 

แม้ผมจะส่งเสียงขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ แต่เท้าของคุณเทโลเมียร์ก็ไม่ยอมหยุด

และในพริบตาที่พวกผมก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องขนาดใหญ่——บรรยากาศเงียบสงบที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

 

“ ——ฮึก! ”

 

ลึกเข้าไปในห้องใหญ่

ที่ตั้งสถิตอยู่ตรงนั้น ก็คืออัญมณีที่มีขนาดใหญ่เท่าหัวคน——ดันเจี้ยนคอร์นั่นเอง

ในจังหวะเดียวกับที่ก้อนกลมซึ่งเป็นแกนกลางประกอบสร้างดันเจี้ยนส่องแสงสว่างเจิดจ้า พลังเวทที่หนาแน่นสุดขั้วก็พลันรวมตัวกันขึ้นมาตรงบริเวณใจกลางห้อง

ผมได้เรียนมาในคาบเล็คเชอร์ ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติตรงหน้าที่ดูราวกับว่าดันเจี้ยนกำลังพยายามป้องกันตัวเองนั่นก็คือ

 

 

——การสร้างบอสประจำดันเจี้ยน!

 

 

“ ถ้างั้นก็ ลองพยายามดูก่อนก็แล้วกันน้าา ครอสคุง ”

 

มือของคุณเทโลเมียร์ที่โอบกอดผมไว้พลันห่างออกไป

แล้วจึงทำแบบเดียวกับที่คอยเฝ้าดูการพิชิตดันเจี้ยนของผมมาตลอดจนตอนนี้ คุณเทโลเมียร์เค้าหลบซ่อนตัวเข้าไปในความมืดมิดของดันเจี้ยนแล้วลบกลิ่นอายเสร็จสรรพ

ที่หลงเหลืออยู่ภายในดันเจี้ยน มีแค่ผม กับกลิ่นอายของบอสประจำดันเจี้ยนที่กำลังจะปรากฎขึ้นมาอยู่แล้วเท่านั้น

 

(การฝึกขั้นสุดท้าย……กล่าวคือต้องใช้ทุกอย่างที่สานสร้างมาจนตอนนี้ปราบบอสให้ได้งั้นเหรอ!)

 

ผมที่คาดเดาเช่นนั้นพลันกำดาบแน่นหนา

ทำการร่าย <<สปีดเอาท์>> ไว้ล่วงหน้า เตรียมตัวพร้อมครบถ้วนแล้ว

และแล้ว พลังเวทก็หลอมรวมกันโดยสมบูรณ์อยู่ต่อหน้าของผม

 

“ กรรร…… ”

“ ……ขึก! ”

 

ที่ปรากฎขึ้นมา ก็คือมอนสเตอร์ที่ทำให้นึกถึงจิ้งจอกที่เดินสองขา

ทว่า เค้าโครงนั่นมีความแตกต่างไปจากจิ้งจอกพอสมควร

กายท่อนล่างที่กำยำล่ำสันและหุ่นทรวดทรงที่ผอมเพรียว สองแขนอันเรียวเล็ก แม้จะมีความสูงระดับพอๆกันกับผมซึ่งถือว่าตัวเล็กมากในฐานะมอนสเตอร์ แต่เพราะพลังเวทและพลังชีวิตที่เอ้อล้นออกมา ก็เลยทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวใหญ่กว่าตาเห็นเยอะ

 

(ไอ้เจ้านี่คือ……มอนสเตอร์ ริสก์ 5 ที่เทียบเท่าเลเวล 42, สปริงไฟเตอร์เหรอ……!)

 

พันธุ์ระดับสูงเต็มรูปแบบของสปริงฮอปเปอร์

เป็นมอนสเตอร์ตัวอันตรายซึ่งโดดเด่นในด้านความเร็วและศึกระยะประชิด ที่ตามเดิมแล้วสมควรจะต้องให้อาชีพระดับสูงเป็นผู้ปราบ

ศัตรูแกร่งเหนือกว่าเอาเรื่องเลย……แต่ถ้าชนะเจ้านี่ไม่ได้ การจะคว้าชัยในการประลองก็คงเป็นได้แค่ฝันในฝัน

ผมถูกแรงกดดันเข้าข่มจนเหงื่อแตกพลั่กไปพลาง กำดาบสั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

(คุณเทโลเมียร์ช่วยให้ร่างกายพร้อมสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่คิดว่าจะชนะได้ตั้งแต่ครั้งแรกหรอก แต่ตัวผมในปัจจุบันนี้จะรับมือได้ถึงไหน——)

 

เป็นในจังหวะ ที่ทำเสียงในลำคอแล้วทำท่าจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นเปิดเข้าใส่นั่นเอง

 

 

ที่ร่างกายซึ่งรกรุงรักไปด้วยขนนั่น พลันปรากฎตัวขึ้นมาจ่ออยู่ตรงปลายจมูกของผมอย่างกะทันหัน

 

 

“ ห้ะ——!? ”

 

รีบตั้งดาบใหม่ทันที

พริบตานั้น ดาบก็พลันปลิวกระเด็นไปพร้อมกับแรงกระแทกอย่างหนักหน่วง

ตั้งท่าป้องกันแล้วแท้ๆแต่แรงกระแทกกลับแล่นทะลวงร่างกาย ความเจ็บปวดทำให้คำร่ายสกิลสายมารขาดห้วงไป

 

“ เกิดอะไร——!? ”

 

พอบอสประจำดันเจี้ยนปรากฎตัวออกมาแล้ว มันก็เปิดฉากฟาดการโจมตีเข้ามาใส่แบบไม่มีพูดพร่ำทำเพลง——ในตอนที่สมองเพิ่งจะรับรู้แบบนั้นได้อย่างแสนล่าช้าเหลือหลาย ร่างกายของผมก็ได้เสียสมดุลไปอย่างยิ่งใหญ่ ไม่มีโอกาสให้ตีโต้กลับเลย

 

(นะ นี่มันอะไรกันน่ะ!? เร็วกว่าที่คาดเอาไว้สุดๆไปเลย……ต่อให้โดดเด่นในด้านความเร็วก็เถอะ แต่มันก็สมควรต้องมีขอบเขตกันบ้างสิ!?)

 

ความรวดเร็วที่เหนือล้ำจนเกินไปของสปริงไฟเตอร์ มันทำให้ขาแข็งทื่อไม่ยอมขยับ

ไม่สิแต่ว่า แบบนี้แหละเหมาะเหม็งเข้าทางเลย

เพราะความเร็วผิดมนุษย์ที่คุณลีโอเน่แสดงให้ดูอยู่ทุกวัน ก็เลยพอจะตอบสนองต่อการลอบจู่โจมของบอสได้อย่างหวุดหวิด อีกฝั่งกำลังคิดว่าผมเผยช่องโหว่อยู่โดยสมบูรณ์ (ซึ่งก็มีช่องโหว่เต็มไปหมดจริงๆเลยนั่นแหละ)

ถ้าชิงร่าย <<สปีดเอาท์>> เข้าใส่ในจังหวะที่สปริงไฟเตอร์จะโจมตีเผด็จศึกละก็——ผมเค้นสมองอาศัยความเจ้าเล่ห์แกมโกงสุดกำลังเต็มพิกัด แต่แล้วก็ต้องหมดคำพูดในพริบตาถัดมา

 

“ ขึก!? หายไปไหน——!? ”

 

เพราะร่างของสปริงไฟเตอร์ ได้เลือนหายไปจากทัศนวิสัยอย่างฉับพลันเลยนั่นเอง

ทั้งที่ผมเพ่งสายตาจดจ่ออยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้พลาดการเคลื่อนไหวใดๆไว้แล้วแท้ๆ!

 

“ ฮึก! ”

 

พริบตานั้น สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอยู่เบื้องหลังจึงรีบหันขวับไปทันที

นี่แหละเป็นการตอบสนองที่เร็วมากที่สุดแล้วตั้งแต่เริ่มต้นพิชิตดันเจี้ยนมา

ทว่า

 

“ ——ขึก!? ”

 

การมองเห็นของผมที่น่าจะเลือกเคลื่อนไหวได้ดีที่สุดแล้ว กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยหมัดขนรุงรังที่แล่นทะยานเข้ามาหมายจะกระแทกทำลายกระโหลกของผมให้แหลกกระจุย——

 

(อีแบบนี้ ต่อให้ใช้เล่ห์กลให้ตายยังไงก็ไม่มีทางจะชนะได้เลย——!?)

 

ในฉับพลันที่เกิดเสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้นมาภายในหัวดั่งกับภาพติดตา

 

“ สต๊อปจ้าา~ ”

“ กรรร!? ”

 

เสียงที่ลากยาวของคุณเทโลเมียร์ดังกังวาน และหมัดของสปริงไฟเตอร์ก็หยุดกึกแน่นิ่งอยู่ต่อหน้าผมเลย

ฟู่มม! ในจังหวะเดียวกับที่สายลมซึ่งเกิดจากหมัดพัดเข้าใส่หน้าผม สปริงไฟเตอร์ก็เปล่งเสียงแผ่วแล้วฟุบลงกับพื้น สภาพของบอสมอนสเตอร์ที่ตัวชาน้ำลายฟูมปาก ทำให้ผมรับรู้ในที่สุดว่าคุณเทโลเมียร์ได้เข้ามาช่วยเอาไว้

 

“ แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก……! ”

 

ถ้าคุณเทโลเมียร์ไม่ได้เข้ามาหยุดละก็คงตายไปเรียบร้อยแล้วแน่นอน

กลิ่นอายของความตายที่เพิ่งจะมาสัมผัสได้สายเอาป่านนี้ ทำเอาเหงื่อแตกพลั่กออกมาจากทั่วร่าง

แล้วจากนั้น ภายหลังจากที่หายใจดังฟืดฟาดซ้ำเข้าหลายต่อหลายครั้งจนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ผมก็แผดเสียงตะโกนลั่นออกมาเต็มกำลังเหมือนกับในวันแรกที่เริ่มต้นพิชิตดันเจี้ยน

 

“ ทะ ทำยังไงดีครับคุณเทโลเมียร์! ถ้าอีกฝั่งเร็วมากเกินไปแล้ว ต่อให้ใช้เล่ห์กลเล็กๆน้อยๆอย่างเดียวไปก็เทียบชั้นไม่ติดอยู่ดีนะครับ!? ให้ว่าแล้ว ไม่มีเวลาให้ได้ใช้เล่ห์กลเลยด้วยซ้ำเนี่ย! ”

“ อื้ออื้อ ลองให้ทำดูเพราะคิดว่าถ้าให้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วน่าจะเข้าใจได้เร็วยิ่งกว่าอธิบายให้ฟังน่ะ ครอสคุงนี่หัวไวเข้าใจอะไรได้ง่ายมากเลยจริงๆด้วยน้าา~ ”

 

คุณเทโลเมียร์ส่งรอยยิ้มเริงร่าตอบเสียงตะโกนของผม

 

“ ถูกอย่างที่ว่ามาแหละจ้าา~ ถ้าความสามารถต่างชั้นกับศัตรูมากเกินไปละก็ ต่อให้ใช้ท่วงท่าการเคลื่อนไหวหรือเล่ห์กลโกงให้ตายยังไงก็สู้ไม่ได้หรอกน้าา~ ”

 

ดังนั้นแหละ——

คุณเทโลเมียร์ลูบหัวผมที่บ่นตัดพ้อออกมาไปพลาง กล่าวขึ้นต่อ

 

“ ในการฝึกขั้นสุดท้ายนี้ เราจะตั้งเป้าเอาไว้ที่การเรียนสกิลสำหรับใช้กระแทกกระทั้นอัดการโจมตีครั้งแรกสุดเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่แกร่งเหนือกว่าอย่างท่วมท้นแหละจ้าา~ และตัวแปรสำคัญสำหรับการทำให้ได้แบบนั้น ก็คือ สกิลฟื้นฟู ที่ครอสคุงฝึกปรืออย่างขมักเขม้นตลอดมาจนตอนนี้นั่นแหละน้าา~ ”

“ ……? สกิลฟื้นฟูน่ะเหรอ คือกุญแจสำหรับใช้ต่อกรกับผู้แกร่งเหนือกว่า……? ”

“ อื้อ ”

 

เวทฟื้นฟูจะกลายเป็นตัวแปรหลักสำหรับการพิชิตคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าได้ยังไงกันน่ะ? พอผมมึนงงอยู่แบบนั้น คุณเทโลเมียร์ก็พยักหน้าให้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

และด้วยเหตุนั้น อาจารย์—— <<ดาร์คพรีสไฮเอนด์>> ผู้แข็งแกร่งมากประสบการณ์จึงได้แย้มยิ้มออกมาอย่างสนุกสนานสำราญใจ

ยกมุมปากขึ้นแสยะเป็นทรงจันทร์เสี้ยว ส่องประกายแสงออกจากดวงตาอย่างน่าพิศวงไปพลาง

 

“ ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของ <<ผู้ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์สายมาร>> และการยกระดับ Lv ของสกิลต่างๆที่จะเป็นฐานให้นำไปต่อยอดพัฒนา……การพิชิตดันเจี้ยนตลอดมาจนวันนี้ทำให้สามารถเก็บพื้นฐานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว ถ้าอย่างงั้นก็จะสอนให้เลยแล้วกันน้าา~ สกิลไพ่ตาย (สไตล์การต่อสู้) ของโนไลฟ์คิงที่ถูกเรียกขานว่าเป็นเผ่าพันธุ์ทหารรับจ้างฆ่ามนุษย์ที่มีชีวิตอยู่โดยการซดเลือดสดๆน่ะ~ ”

“ ……ฮึก! ”

 

ถูกฉุดมือโดยสุดแกร่งของโลกซึ่งปั้นรอยยิ้มอย่างเป็นที่สุด—–ส่งให้การฝึกยิ่งเร่งทวีความเร็วมากขึ้นอีก  

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset