เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 74 มาตรการรับมือความเร็วกับจ้าวแห่งผืนป่า (7)

ราวสองสัปดาห์ภายหลังจากที่การฝึกสร้างมาตรการรับมือความเร็วดำเนินเข้าสู่ขั้นสุดท้าย

 

สไตล์การต่อสู้ของผมที่มีสกิลใหม่ซึ่งได้รับจากคุณเทโลเมียร์เป็นแกน รวมทั้งยังพัฒนาสกิลอีกหลากหลายให้เติบโตแบบก้าวกระโดดไปด้วยนั้นก็ถูกลับคมขัดเกลาให้เข้ารูปเข้ารอยอย่างรวดเร็ว

สู้ประลองฝีมือกับพวกอาจารย์, ฝึกปรือสกิล, พิชิตดันเจี้ยน, พักผ่อน แล้วจากนั้นจึงกลับมาฝึกปรือสกิลอีกรอบ

แม้การฝึกจะวนลูปซ้ำซ้อน แต่สัมผัสที่ว่าตนเองกำลังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน ผนวกกับการสั่งสอนวิชาอันอบอุ่นของพวกอาจารย์นั้นก็เป็นตัวช่วยให้ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลย

ประสบการณ์ต่อสู้จริงที่เก็บสั่งสมได้อย่างรวดเร็ว ได้เป็นตัวช่วยสลักสร้างพลังฝังลึกลงไปยังร่างกายของผมได้เหนือยิ่งกว่าการยกระดับของ Lv สกิลซะอีก

 

“ ย่าาาาาาาาาาา! ”

“ ก๊าาาาาาาาา!? ”

 

และวันนี้ก็เช่นกัน หลังจากทำการฝึกวิชาส่วนตัวกับพวกคุณเทโลเมียร์ครบถ้วนแล้ว ผมก็เอาแต่พุ่งทะยานหน้าตั้งเข้าไปในดันเจี้ยนอย่างมุ่งมั่น

มอนสเตอร์ที่ปรากฎออกมานั้น มีแต่ศัตรูตัวฉกาจด้านความเร็วที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเร็วมากยิ่งกว่าผมอยู่ดี

แต่ทว่า แม้กระทั่งฝูงสปริงฮอปเปอร์ก็ไม่อาจจะต้านถ่วงผมเอาไว้ได้เป็นเวลานานอีกต่อไปแล้ว  

สำแดงฤทธิ์ของสิ่งที่สานสร้างขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ประยุกต์ใช้ แล้วพัฒนาให้ก้าวล้ำเหนือขึ้นไป

ร่างกายซึ่งเข้าสู่สภาวะเพ่งสมาธิขั้นสุดยอดที่ไม่มีช่องว่างเหลือให้แม้กระทั่งความคิดวอกแวก ได้ถลำเข้ามาจนถึงส่วนลึกสุดของถ้ำ

ห้องขนาดใหญ่อันเงียบสงบ ที่นับไม่หวาดไม่ไหวอีกต่อไปแล้วว่านี่เป็นการมาเยือนครั้งที่เท่าไหร่

 

“ แผลฟื้นฟูเรียบร้อย พลังเวทที่คงเหลือ……เทียบกับตอนมาถึงครั้งแรกสุดแล้วยังมีอยู่เหลือเฟือ ”

 

ไม่จำเป็นต้องให้คุณเทโลเมียร์ช่วยดูแล

ดีไม่ดีแล้วในตอนนี้ ถ้าได้รับถ่ายโอนพลังเวทจากคุณเทโลเมียร์จนรู้สึกผ่อนคลายเลินเล่อขึ้นมานั่นต่างหากที่น่ากลัวยิ่งกว่า

พอตรวจสอบสภาพตัวเองแล้วพยักหน้าอย่างพอใจแล้ว ผมก็ก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องใหญ่แห่งนั้นด้วยตัวคนเดียว

เท่านั้นแหละ ดันเจี้ยนคอร์พลันส่องประกายเจิดจ้า

 

“ กรรรรรรรรรรรร! ”

 

ที่ปรากฎออกมา ก็คืออสูรร้ายจิ้งจอกผู้เฝ้าปกป้องดันเจี้ยน, สปริงไฟเตอร์

เทียบเท่าเลเวล 42 ——ตัวระดับ ริสก์ 5 ที่สมควรจะต้องให้อาชีพระดับสูงเป็นผู้ปราบ

อสูรร้ายที่สู้ไม่ได้เลยซักนิดในการต่อสู้ครั้งแรกสุด แม้ภายหลังจากนั้นจะเข้ามาท้าทายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายรอบแต่ก็ไม่เคยชนะได้เลยซักครั้งเดียว

ทว่า

 

“ วันนี้แหละผมจะต้องชนะ! ”

“ กรรรรรรรรรรรรรรรรรร! ”

 

แผดเสียงคำรามปลุกขวัญกำลังใจพร้อมตั้งดาบให้มั่น

ราวหนึ่งเดือนให้หลังจากที่เริ่มต้นฝึกสร้างมาตรการรับมือความเร็ว

ผมเรียกใช้สกิลและเทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดมวลที่ได้รับมาจากพวกคุณเทโลเมียร์ ทะยานตัวเข้าไปสู่การต่อสู้เป็นตายโดยปราศจากใจคิดหวาดหวั่น

 

 

 

 

มีเงาหนึ่งแล่นทะยานด้วยความเร็วสูงส่งมหาศาลอยู่ภายในดันเจี้ยนที่ครอสกำลังมุ่งมั่นทำการพิชิต

ลูด์มิร่าที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ด้วยสายลมซึ่งพัดโหมอย่างบ้าคลั่งนั่นเอง

 

“““ กิ๊ววววววววววววววว!? ”””

 

นักผจญภัยระดับ S ที่บัฟอำนาจการเคลื่อนไหวด้วยเวทลมกำลังวิ่งทะยานไปตามเส้นทางภายในถ้ำ ทำเพียงเท่านั้นเหล่ามอนสเตอร์ก็ถูกพัดปลิวไปกระแทกกำแพงจนสิ้นชีพหมดแล้ว นี่แหละคือการฆ่าล้างเพียงฝ่ายเดียวที่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝั่งได้สำแดงความเร็วอันสุดจะภาคภูมิใจเลย

ลูด์มิร่าซึ่งทะยานมาถึงชั้นล่างสุดภายในชั่วอึดใจเดียว ได้ส่งสายตามองไปยังบุคคลทั้งสามที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าของห้องใหญ่

เทโลเมียร์ที่คอยเฝ้าดูการพิชิตดันเจี้ยนของครอส

ลีโอเน่ที่คอยเฝ้าคุมเพื่อไม่ให้เทโลเมียร์ฉวยโอกาสจากการฝึกทำเรื่องทะลึ่งใส่ครอส

และจอมมารเขาเดียว, ซอลตี้ ที่มาร่วมดูการฝึกของครอสด้วยเหตุผลแค่ว่าว่างไม่มีอะไรจะทำ

ลูด์มิร่าพูดเสียงห้วนเข้าไปหาแผ่นหลังของพวกเธอเหล่านั้น

 

“ รู้วันจัดการประลองอย่างเป็นทางการแล้ว ”

“ มาแล้วเรอะ ”

 

พวกลีโอเน่หันกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง

ลูด์มิร่าที่เดินทางกลับไปยังคฤหาสน์ชั่วคราวเพื่อเตรียมข้าวปลาอาหารและยาสูตรลับ ได้ชูหนังสือพิมพ์ฉบับพิเศษที่ถูกแจกจ่ายอยู่ภายในเมืองขึ้นมาพลางกล่าวขึ้นต่อ

 

“ เวลาเที่ยงตรงของสามวันให้หลัง สถานที่ก็คือลานประลองศูนย์กลาง ”

“ ……สามวันให้หลังเหรออ ”

 

คำรายงานของลูด์มิร่า บีบให้เทโลเมียร์ทำหน้าหงิกขึ้นมาเล็กน้อย

 

“ อื~ม ดูเหมือนว่าจะฟื้นฟูบูรณะทางหลวงได้เร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีกน้าา ”

“ แสดงว่าไอ้พวกที่มารวมตัวภายในเมืองมันเก่งฝีมือดีกันเอาเรื่องเลยสินะเงี้ย ชิ รู้งี้ถล่มให้เยินมากกว่านี้ซะก็ดีหรอก ”

“ ถึงอย่างนั้น แต่หากยืดขยายเวลาไปนานยิ่งกว่านี้ก็มีแต่จะทำให้ดูน่าสงสัยเสียเปล่าๆ คงทำได้เพียงแค่ส่งครอสออกไปโดยเชื่อมั่นในตัวเขาเท่านั้น ”

 

ว่าแล้ว ลูด์มิร่าก็จ้องมองเข้าไปในห้องใหญ่ด้วยท่าทางดั่งกับทำใจให้เด็ดขาด

ที่อยู่ปลายสายตานั่นก็คือ——ครอสที่ตัวโชกไปด้วยเลือด

เครื่องสวมใส่ที่ถูกย้อมเป็นสีแดงฉานด้วยเลือดของตัวเอง ร่างกายที่สะบักสะบอมไปหมด

ปากยังคงอาเจียนเลือดไหลออกมาเป็นสายน้ำ ทุกครั้งที่สูดลมหายใจหอบ ร่างกายที่อิดโรยก็จะโซซัดโซเซอย่างยิ่งใหญ่

 

 

หากไม่มี ริสก์ 5 ที่สิ้นลมแน่นิ่งอยู่ใกล้เท้าของเขาแล้วละก็ คงจะดูไม่เหมือนกับเป็นผู้ชนะเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

จอมมารซอลตี้ที่ได้ประจักษ์การต่อสู้ทั้งหมดของครอส พลันเปล่งเสียงเอ่ยออกมาอย่างเพลียจับจิต

 

“ เฮ้ยเฮ้ย……นั่น มันใช่สไตล์การต่อสู้ของเผ่ามานพแน่หรือ ”

“ ดูพูดจาเข้าซี่~ นั่นแหละคือทักษะของเผ่ามานพอย่างจริงแท้ สไตล์การต่อสู้ของโนไลฟ์คิงยังไงล่าา ”

“ ……ใช้สกิล <<ผู้ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์สายมาร>> เพื่อลอกเลียนแบบสัตว์ประหลาดหรือ ดันมาถูกเพ่งเล็งโดยอ้ายอาจารย์สติแตกพวกนี้เข้าเสียได้ เจ้าหนูชาวมนุษย์คนนั้นช่างน่าสงสารเสียจริงเน่อ ”

 

เจอเทโลเมียร์ที่แย้งกลับด้วยรอยยิ้มแล้ว ซอลตี้ก็พูดออกมาด้วยท่าทางเหมือนหยึยสุดขีด

 

“ จะอย่างไรก็ตามแต่ หากโค่น ริสก์ 5 ลงได้แล้วก็ถือว่าผ่านเข้าเกณฑ์มาตรฐานได้แบบคาบเส้นพอดิบพอดีเลย ”

 

ลูด์มิร่าพยักหน้าโดยหันหลังให้กับเสียงสนทนาของพวกเทโลเมียร์

 

“ ครอส ได้ความว่าการประลองจะถูกจัดขึ้นในตอนเที่ยงตรงของสามวันให้หลังน่ะ ถึงจะไม่อาจยืดเวลาไปได้มากกว่านี้แล้วก็เถอะ แต่เป็นอย่างไรบ้างล่ะ คิดว่าไหวไหม ”

 

เธอส่งเสียงเข้าไปหาครอสที่ยืนนิ่งค้างอยู่กลางห้องใหญ่

แล้วจากนั้นครอสก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับเปล่งเสียงแผ่ว

 

“ สามวันให้หลัง…… ”

 

ความตื่นตัวที่คว้าชัยเหนือศึกเป็นตายได้นั่นมันทำให้เหมือนกับว่าไม่รู้สึกแม้กระทั่งความเจ็บปวด

แม้จะหอบหายใจไปด้วย แต่ครอสก็เปิดแสดงสเตตัสเพลทออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่งซะจนน่าตกใจ

 

 

ประวัติการเติบโตของสกิลในระยะนี้  

<<เสริมกำลัง II Lv2 (+97)>>   ——->   <<เสริมกำลัง II Lv3 (+116)>>

<<เสริมป้องกัน II Lv2 (+113)>>  ——->  <<เสริมป้องกัน II Lv5 (+138)>>

<<เสริมความว่องไว II Lv8  (+148)>>  ——->  <<เสริมความว่องไว II Lv10  (+166)>>

<<เสริมพลังเวทพิเศษ II Lv1  (+89)  ——->  <<เสริมพลังเวทพิเศษ II Lv7  (+140)>>  

<<บัฟกำลังดาบระดับกลาง Lv3>>   ——->   <<บัฟกำลังดาบระดับกลาง Lv4>>

<<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (กลาง) Lv6>>  ——->  <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (กลาง) Lv12>>

<<เคลือบแข็งร่างกาย (กลาง) Lv2>>  ——->  <<เคลือบแข็งร่างกาย (กลาง) Lv3>>

<<หลบหลีกฉุกเฉิน II Lv5>>   ——->   <<หลบหลีกฉุกเฉิน II Lv12>>

<<ครอสเคาน์เตอร์ระดับกลาง Lv2>>   ——->   <<ครอสเคาน์เตอร์ระดับกลาง Lv3>>

<<ควบคุมพลังเวทในร่าง Lv7>>  ——->  <<ควบคุมพลังเวทในร่าง Lv8>>

<<ตรวจจับพลังเวทในร่าง Lv7>>  ——->  <<ตรวจจับพลังเวทในร่าง Lv8>>

 

 

ที่แสดงอยู่ภายในสเตตัสเพลทนอกเหนือไปจากเบื้องต้น ก็คือ <<สปีดเอาท์>> กับ <<แคร์ฮีล>> ที่เติบโตอย่างยิ่งใหญ่ จนพัฒนากลายไปเป็นสกิลที่ทรงอำนาจมากยิ่งขึ้น

หนำซ้ำสกิลใหม่สำหรับใช้รับมือความเร็วที่ได้รับถ่ายทอดจากพวกอาจารย์ทั้งสามคนก็ยังเลือนระดับอย่างก้าวกระโดดเลยด้วยเช่นกัน จำนวนค่า Lv (ความชำนาญ) สกิลที่เติบโตในช่วงสองอาทิตย์นี้มันรวมๆกันแล้วเหยียบไปถึง 70 เลยทีเดียว

แม้พิจารณาจากจุดที่ต้องผ่านการทำศึกเป็นตายซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับคู่ต่อสู้ที่แกร่งเหนือกว่าอย่างท่วมท้น แต่ก็เป็นการเติบโตอย่างฉับพลันสุดขีดที่แตกต่างไปจากกรณีปกติอย่างชัดเจน

ทว่าถึงอย่างนั้นก็เถอะ——

 

“ สามวันให้หลัง……ไม่รู้เลยครับว่า Lv เท่านี้จะใช้ต่อกรกับ <<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> ได้รึเปล่า ”

 

ครอสพึมพำออกมาเสียงค่อย

เพราะหากดูจากที่ระดับ Lv (ความชำนาญ) สูงสุดของสกิลระดับกลางอยู่ที่ 20 แล้ว จะเห็นได้เลยว่ายังมีความต่างชั้นกับอาชีพระดับสูงหลงเหลืออยู่อีกมากมายนัก

โดยเฉพาะสเตตัสนี่ยิ่งหนัก คงต่างชั้นกันมากระดับที่แค่สกิลเสริมอย่างเดียวคงไม่มีทางถัวได้เลยทีเดียวเชียวล่ะ

ทว่า

 

“ เพราะได้การฝึกของพวกอาจารย์ ก็เลยพัฒนาขึ้นมาจนถึงขั้นที่สามารถโค่น ริสก์ 5 ได้แบบหวุดหวิดแล้วครับ ทีนี้ก็เหลือแค่ต้องใช้ทักษะที่ถูกสอนมาให้ได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุดเท่านั้นครับ! ”

 

กำลังใจมีมากเหลือแหล่

เก็บคำสอนของพวกอาจารย์ที่คอยช่วยเหลือสุดกำลังเอาไว้ในอ้อมอก ครอสพลันทำการฝึกอันหนักหน่วงซ้ำใหม่เข้าอีกครั้ง

เพื่อหวังให้ทักษะที่ถูกลับคมขัดเกลาขึ้นมา แล่นทะยานไปถึงผู้แกร่งเหนือกว่าที่มาทำร้ายพวกพ้องได้เพิ่มขึ้นหน่อยก็ยังดี

 

 

 

 

งานฟื้นฟูบูรณะทางหลวงที่เกิดการถล่มอย่างกะทันหัน ได้ใกล้จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว

เป็นผลมาจากการแข่งทุ่มทรัพย์สินเงินทุนของเหล่าขุนนางที่อยากจะได้เปรียบในศึกแก่งแย่งอำนาจ

บวกกับที่เหล่าขุนนางและนักผจญภัยในรุ่นปัจจุบันต่างก็ล้วนมีความสามารถเก่งกาจยิ่งกว่าสมัยก่อนๆ ผลจากการที่พวกเขาเหล่านั้นเข้าร่วมในการฟื้นฟูบูรณะด้วยความสามารถอันล้นเหลือ เลยทำให้การฟื้นสภาพทางหลวงใกล้จะสำเร็จลุล่วงอย่างเร็วกว่ากำหนดมากทีเดียว

เหตุประหลาดครั้งยิ่งใหญ่ในนามทางหลวงถล่มได้เป็นตัวล่อให้มีมอนสเตอร์โผล่เข้ามาใกล้อยู่บ่อยครั้ง แต่การปราบมอนสเตอร์ก็ถือเป็นงานหลักสำหรับพวกเขาเลยเชียวล่ะ สามารถกำราบมอนสเตอร์ด้วยท่วงท่าที่ชาชินยิ่งกว่าทำงานก่อสร้าง แล้วปกป้องไซต์งานเอาไว้ได้ตลอดรอดฝั่งอย่างไร้ปัญหา

ทว่าในวันนั้น——เหตุการณ์มันกลับต่างออกไปอย่างชัดเจน

 

“ อุว๊าาาาาาาาาาาาาาาา!? ”

 

จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องของเหล่านักผจญภัยดังกังวานลั่นขึ้นมาจากหนึ่งในไซต์งานที่ดำเนินการฟื้นฟูบูรณะอย่างราบรื่นมาจวบจนเมื่อครู่

หนำซ้ำสายลมโดยรอบยังพัดโหมกระหน่ำ ขุนนางและนักผจญภัยหลายต่อหลายคนต่างถูกสิ่งที่ดูคลับคล้ายกับวิถีสีเงินเป่าลอยปลิวกระเด็นอย่างไร้ทางต่อกร ตัวอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวเร็วมากจนตามองตามไม่ทัน มันกำลังแล่นพล่านไปทั่วทุกทิศอยู่นั่นเอง

 

“ อะไรน่ะ!? ”

 

เหล่านักผจญภัยที่อยู่ภายในไซต์ต่างก็แผดเสียงร้องเพ่งสายตามอง

และแล้วพวกเขาก็ได้พบเห็นเข้า

เห็นเงาใหญ่ยักษ์ ที่หยุดเคลื่อนไหวเพียงชั่วขณะเพื่อจ้องมองลงมายังกลุ่มนักผจญภัยน่ะ

 

“ ……ขึก!? คิลเลอร์ไทเกอร์!? ”

 

นั่นก็คือ ริสก์ 5 ที่เก่งด้านความเร็ว ซึ่งถูกเรียกขานร่ำลือว่าถลำเข้าไปเป็น ริสก์ 6 แบบครึ่งก้าวแล้ว

มอนสเตอร์ตัวโคตรอันตรายที่ว่ากันว่าแกร่งเทียบเท่าเลเวล 50

 

“ ไหง ริสก์ 5 ถึงโผล่มาที่ทางหลวงเฉยเลยเล่า!? ”

“ เหตุทางหลวงถล่มมันล่อตาล่อใจจนถึงกับถ่อออกมาจากลึกๆข้างในผืนป่าเลยเรอะ!? ”

 

เหล่านักผจญภัยและขุนนางที่รับรู้ถึงตัวตนของผู้โจมตีนั้นต่างพากันหน้าซีดเซียว

ก็อีกฝั่งคือตัวที่แกร่งด้านความเร็วเลยนี่นา

ต่อให้ตั้งกองรบยังไง เล็งด้วยเวทมนตร์ระดับสุดยอดแค่ไหน แต่อีกฝั่งก็คืออสูรร้ายซึ่งครอบครองพลังอันแสนไร้เหตุผลที่สามารถถล่มทำลายทุกสิ่งให้ย่อยยับได้ในฉับพลันเดียวเลย

หากมีนักผจญภัยอยู่ถึงเพียงนี้แล้วก็น่าจะพอเอาลงไหวอยู่หรอก แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดผู้เคราะห์ร้ายขึ้นมาเป็นจำนวนมากขนาดไหน

และ เป็นในฉับพลันที่พวกเขากำลังสับสนกับเหตุจู่โจมกะทันหันของมอนสเตอร์ที่ทรงพลังเหลือหลายนั่นเอง

 

“ ให้ตายเถอะ หากเป็นแค่พวกนักผจญภัยปลาซิวปลาสร้อยก็ว่าไปอย่าง แต่ขุนนางก็ยังจะแตกตื่นขวัญเสียกับอีแค่ศัตรูระดับนี้ไปด้วยหรือ ไม่ได้เรื่องไม่ได้ความกันซะเลย ”

 

ที่เสียงอันแสนเยือกเย็นมากเหลือเกิน พลันดังกังวานขึ้นกลางวงของนักผจญภัยที่สับสนอลหม่าน

ขุนนางลำดับสูงที่พาตัวข้ารับใช้หลากหลายคนมาเข้าร่วมในงานฟื้นฟูบูรณะ, กิมเล็ต วอลเดรีย นั่นเอง

 

“ สกิลประกายแสง—— <<บัฟความว่องไว>>  <<บัฟระยะย่างก้าว : หนัก>> ”

 

ร่างของกิมเล็ตเลือนหายไปในฉับพลัน

พริบตาให้หลัง——ชิ๊งง!

ดาบซึ่งถูกสะบัดเหวี่ยงด้วยความเร็วที่ไม่ว่าใครก็มิอาจรับรู้นั้น ก็ได้ถูกกระแทกกระทั้นเข้าไปใส่คิลเลอร์ไทเกอร์ที่แล่นอาละวาด เกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกระทั่งดังก้องขึ้นมาแบบล่าช้าดีเลย์

คิลเลอร์ไทเกอร์ที่หลบหลีกการโจมตีสารพัดรูปแบบได้มาตลอดจนตอนนี้ มันทำการป้องกันเป็นครั้งแรกนั่นเอง

 

“ อะ อะไรวะน่ะะะ!? ”

“ ขุนนางลำดับสูงเว้ย! อันดับ 4 ของพรรคดิออสเกรฟเข้าไปหยุดการเคลื่อนไหวของไอ้เสือได้ชะงัดนักเลย!? ”

“ เร็วเป็นบ้าเป็นหลังอะไรได้ถึงขนาดนั้น!? ระ รีบอาศัยจังหวะนี้ลี้ภัยกันเหอะ! ”

 

เหล่านักผจญภัยโดยรอบต่างหนีกันจ้าละหวั่น แต่การเคลื่อนไหวนั่นก็ช่างเชื่องช้ามากเหลือเกิน

เพราะในพริบตาถัดมา การต่อสู้ก็ได้จบสิ้นลงไปแล้วยังไงล่ะ

 

“ กรรรรรรรรรรรรรร! ”

“ โฮ่ ตอบสนองต่อความเร็วดาบของฉันได้ด้วยหรือ ฉายาที่ว่าเป็น ริสก์ 5 ตัวแกร่งที่สุดนั่นไม่ใช่เรื่องเล่าพูดกันลอยๆสินะ ”

 

ริสก์ 5 ยกระดับจิตสังหารข่มเข้าใส่ผู้ที่เข้ามาจู่โจมใส่ตนอย่างกะทันหัน

แต่กิมเล็ตก็ปั้นรอยยิ้มอย่างไม่หวาดหวั่นดั่งกับไม่ได้สนใจจิตสังหารของ ริสก์ 5 เลยแม้แต่น้อย และในพริบตาถัดมา

 

“ ถ้าอย่างนั้นก็ลองเจอนี่ดูหน่อยเป็นไร——สกิลประกายแสง <<แข้งมายาพริบตา>> <<บัฟความเร็วดาบ : หนัก>> <<หนึ่งก้าวร้อยกร>> ”

 

 

ฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะ—!

 

 

“ ——————————————————ขึก!? ”

 

นั่นคือ พายุคมดาบที่มากล้นท่วมท้นจนทำเอาประสาทหลอนเห็นเหมือนกับว่ามีแขนงอกเพิ่มออกมาเป็นร้อยแขน

ฟาดฟัน จ้วงแทง สะบั้นหั่นแหลก……คมดาบความเร็วสูงแล่นทะยานถาโถมเข้าจู่โจมจากทั่วทุกมุมทิศ

อานุภาพของการโจมตีแต่ละครั้งๆไม่ได้สูงส่งเลยแต่อย่างใด

แต่ความเร็วแสนเหี้ยมโหดที่ไม่เปิดช่องให้สามารถตีโต้กลับได้เลยนั่น ก็เฉือนช่วงชิงชีวิตของเป้าหมายไปได้อย่างแสนง่ายดาย

 

“ กะ……อะ…… ”

 

ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

คิลเลอร์ไทเกอร์ที่รับคมดาบนับไม่ถ้วนเข้าไปด้วยฝีมือของคนเพียงคนเดียว ได้ล้มฟุบลงกองแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เหนือพื้น

และกิมเล็ตที่โค่น ริสก์ 5 ลงได้โดยไม่มีแผลแม้แต่น้อยก็เก็บดาบเข้าฝักไปพลาง

 

“ กำจัดภัยไปเรียบร้อยแล้ว กลับไปดำเนินงานฟื้นฟูบูรณะต่อซะเถอะ ”

 

พริบตานั้น เหล่านักผจญภัยที่เงียบกริบไปก็พลันลั่นเสียงโห่ร้องอย่างยินดี

 

“ สุดยอด! ”

“ โหดซะหยั่งกะเป็นผู้สืบสายเลือดผู้กล้าแน่ะ! ”

“ ใครกันวะ ไอ้เบื๊อกที่บอกว่าพรรคดิออสเกรฟปีนี้ห่วยแตกไม่ได้เรื่องน่ะ! ”

“ ยังอายุแค่ 19 ปีเองไม่ใช่เหรอ? สมกับเป็นขุนนางลำดับสูงจริงๆแฮะ…… ”

 

สิ่งที่เหล่าผู้คนกล่าวออกมา ก็แน่นอนว่าต้องเป็นคำพูดยกยอสรรเสริญกิมเล็ต

ทว่าภายในบรรดานั้น——

 

“ ……ขึก ล้อกันเล่นใช่มั้ยเฮ้ย ”

 

ผู้ที่เปล่งเสียงออกมาอย่างหวาดหวั่นขวัญเสีย ก็คือจิเซล สตริงก์ที่มาเข้าร่วมงานฟื้นฟูบูรณะร่วมกับกลุ่มเด็กกำพร้า

เธอที่เฝ้ามองความอลหม่านจากการจู่โจมของ ริสก์ 5 อยู่ในจุดที่ห่างออกไป ได้เปล่งเสียงอย่างประหม่าออกมาให้กับการต่อสู้ของกิมเล็ต

 

“ ไอ้เจ้าครอส ถึงจะได้ยินว่าแอบไปซุ่มฝึกลับในตลอดช่วงหนึ่งเดือนนี้ก็เถอะ……แต่จะไหวจริงๆรึเปล่าวะเนี่ย……! ”

 

ต่อให้ได้รับความร่วมมือจากไอ้เจ้าอาจารย์สัตว์ประหลาดพวกนั้นซักเท่าไหร่ แต่พลังของ <<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> ที่เป็นเลิศในด้านความเร็วก็ช่าง——

เหลืออีกเพียงไม่กี่วันก่อนจะถึงการประลอง

ความต่างชั้นด้านกำลังรบที่ต่อให้คิดยังไงก็ไม่มีทางไล่ตามทัน มันบีบให้มีเหงื่อเย็นเฉียบไหลรินลงมาตามแก้มของจิเซล  

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset