เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 76 การประลองแห่งความวิบัติ (2)

ที่อยู่ตรงกลางระหว่างผมกับกิมเล็ตที่เข้าประจำตำแหน่งเริ่มการประลองและกำลังหันจ้องเข้าหากัน ก็คือพวกคุณกรรมการที่เริ่มต้นตรวจสอบครั้งสุดท้าย เพื่อเช็คว่าข่ายอาคมแบบพิเศษที่จะลบล้างบาดแผลสาหัสถึงชีวิตได้เพียงหนึ่งครั้งนั่นยังคงทำงานได้ดีอยู่หรือไม่

เสียงโห่ร้องระเบิดระเบ้อที่เปี่ยมไปทั่วลานประลองค่อยๆลดระดับลงมา ความประหม่าเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นทีละระดับ

 

[ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทั้งสองฝ่าย เตรียมพร้อม!]

 

เมื่อเสียงแหลมของกรรมการดังก้องขึ้นมา ภายในสถานที่ก็พลันเงียบกริบกันลงไป

 

“ ……ฟู่วว ”

 

ผมเอามือแตะไปยังด้ามดาบ ราวกับเป็นการปรับลมหายใจ

 

(ทาสกามของขุนนางโรคจิตบ้างล่ะอะไรบ้างล่ะ โดนเงื่อนไขสุดจะบ้าที่โพล่งออกมาอย่างกะทันหันปั่นหัวจนสมาธิเสียไปเลยก็จริงหรอก……แต่ถึงยังไงสิ่งที่ต้องทำก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอยู่ดี)

 

ต้องเอาชนะศัตรูที่แกร่งเหนือกว่าอย่างท่วมท้น

เพื่อการนั้นแล้วจะเข้าท้าชนด้วยการเตรียมใจแบบครึ่งๆกลางๆไม่ได้ ความคิดวอกแวกทั้งหลายมีไปก็รังแต่จะเกะกะเปล่าๆ

หวนรำลึกถึงการสู้ประลองฝีมือประหนึ่งร่ายรำที่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าร่วมกับคุณลีโอเน่ และศึกเป็นตายกับ ริสก์ 5 ที่ปะทะห้ำหั่นแก่งแย่งชีวิตกันในส่วนลึกสุดของดันเจี้ยน

เพ่งจิตทั้งหมดมวลให้ไปรวมอยู่กับการต่อสู้เบื้องหน้า——และผมก็กระชากเอาดาบสั้นออกมา

 

“ หึ ถึงจะต่ำต้อยด้อยกว่าแต่ก็พกกำลังใจมามากพอตัวนี่ ”

 

กิมเล็ตชักดาบเรียวยาวที่ส่องประกายแวววาวออกมาอย่างเงียบงัน

ท่วงท่าที่ถูกฝึกฝนอย่างดี รวมทั้งความน่าเกรงขามอันท่วมท้นของผู้แข็งแกร่งมันทำเอาราวกับว่าสุ้มเสียงทั้งหมดมวลในรอบบริเวณได้เลือนหายไป——และเป็นท่ามกลางสภาวะที่รู้สึกหลอนเหมือนกับว่าในสถานที่แห่งนี้มีเพียงแค่ผมกับกิมเล็ตนั่นเอง ที่กรรมการพลันยกมือขึ้นมาดังฟึ่บ

 

[ทั้งสองฝ่ายเตรียมตัวกันพร้อมแล้วนะ? ถ้าอย่างนั้นก็——เริ่มได้!]

 

พริบตานั้น บรรยากาศของลานประลองที่เงียบกริบจนถึงขีดสุดก็ได้ระเบิดบึ้ม

เสียงโห่ร้องดังก้องกังวานขึ้นดัง โว้ววววววว! ลานประลองสั่นคลอน ความเร่าร้อนและใจสู้ลุกโชนขึ้นมาอยู่ลึกภายในร่างกาย

 

“ บัฟ——! ”

 

ราวกับถูกผลักดันโดยตัวแปรสารพัดอย่าง ผมเตะพื้นพุ่งทะยานออกไปด้วยความคิดที่ว่าเปิดก่อนได้เปรียบ

แต่ในพริบตาถัดมา——

 

“ ขึก!? ”

 

เมื่อได้ประจักษ์ภาพอันแสนประหลาดนั่นแล้ว เท้าของผมก็หยุดกึกลงกับที่

หยุดกึกแบบฉับพลันในระดับที่หากเป็นปกติแล้ว คงจะถูกเหล่าผู้ชมโวยวายว่าไอ้ป๊อดเอยไอ้ใจปลาซิวเอยเลยทีเดียว

แต่กลับไม่มีเสียงก่นด่าว่าร้ายใส่ผมดังขึ้นมาเลยซักแอะเดียว เพราะว่า

 

“ เป็นอะไรไป? ใยจึงไม่เข้ามา? ”

 

กิมเล็ตเลิกตั้งท่าแล้วกลับมายืนนิ่งเฉยอยู่กับที่นั่นเอง

ไม่สิ ไม่ใช่ยืนนิ่งเฉยด้วยซ้ำ

เขากางแขนออกกว้างในสภาพที่เอาปลายนิ้วหนีบดาบให้ห้อยต่องแต่ง เผยท่าทางดั่งกับกำลังล่อให้โจมตีเข้ามาเลยยังไงยังงั้น

 

“ คิดจะทำอะไรน่ะ……! ”

“ ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แค่การประลองในวันนี้มันคือการแสดงประเภทนึงน่ะนะ ”

 

กิมเล็ตยักไหล่

 

“ หากฉันเป็นฝ่ายบุกเข้าไป การดวลก็จะจบสิ้นลงในพริบตาเลย หากเป็นเช่นนั้นแล้วเหล่าผู้ชมก็คงจะไม่พอใจกันใช่ไหมล่ะ? เอาสิ จะอยู่ในสภาพนี้ให้อีกซักระยะ ดังนั้นเชิญรุกเข้ามาใส่ได้ตามใจชอบเลย ”

“ ……ขึก! ”

 

ยั่วโมโหกันอย่างชัดเจน ไม่สิ สำหรับกิมเล็ตแล้วอาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นการยั่วยุเลยก็ได้

<<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> เลเวล 50 กับ <<ไร้อาชีพ>> เลเวล 0

เราสองคน มีความต่างชั้นที่มากมายมหาศาลถึงขนาดนั้นแหละ

ทว่าถึงอย่างนั้น……หากถูกทำบ้าๆใส่แบบนี้แล้วก็ไม่มีทางจะสงบใจไม่ให้ถูกกระตุ้นไว้ได้หรอก

และต่อให้จะยังไงก็ตามแต่ หากต้องเผชิญกับผู้ที่แกร่งกว่าแล้ว ก็จะยอมนิ่งเฉยเป็นฝ่ายรับไม่ได้เด็ดขาดเลย

ถ้าอย่างนั้น——

 

“ ก็ยิ่งเข้าทางผมเลย! Lv12—— <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย>> ! ”

 

ผมแผดเสียงคำรามลั่นเป็นการยินดีรับคำท้าทาย

พุ่งปรี่กระชั้นชิดเข้าไปใกล้ด้วยเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัว แล้วจึงเปิดใช้สกิลบัฟที่ฝึกปรือขึ้นมาในพริบตาที่ฟาดโจมตี

การลอบจู่โจมที่เพิ่มระดับความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน ได้ถูกปล่อยกระแทกกระทั้นไปยังเบ้าหน้าที่ปราศจากการป้องกัน!

 

“ โฮ่ เร็วเป็นคนละระดับกับในตอนเทศกาลวิวาทเลยนี่นา ”

“ ฮึก!? ”

 

ลอดผ่านการโจมตีมาได้!?

ไม่สิ กิมเล็ตขยับตัวหลบในระยะฉิวเฉียดต่างหาก

ด้วยการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยที่สุด หนำซ้ำยังมองการโจมตีของทางนี้ออกอย่างสมบูรณ์แบบ

 

“ เห็นได้ชัดว่าทุ่มกำลังหามรุ่งหามค่ำไปกับการฝึกฝนมากพอดูเลยในตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ”

 

กิมเล็ตทำการประลองด้วยท่วงท่าแสนเย่อหยิ่งที่ไม่ยอมตั้งดาบซะด้วยซ้ำ

แต่ดวงตาที่เพ่งเน้นไปยังการหลบหลีกก็เฝ้าสังเกตวิถีดาบของผมอย่างไม่มีประมาท

กิมเล็ตแสดงความสบายๆระดับที่ทำได้กระทั่งเฝ้าวิเคราะห์ความสามารถของผมอย่างเยือกเย็นไปพลาง สร้างรอยยิ้มขึ้นมาด้วยท่วงท่ายั่วยุ

 

“ ขุ่ก หนอยยยยยยยยย! <<บัฟกำลังดาบระดับกลาง>> ! ”

 

คำราม

ตามด้วยเปิดใช้สกิลระยะประชิด ฟาดอัดเข้าใส่กิมเล็ตด้วยสุดกำลังเต็มพิกัด

เร่งและลดความเร็วอย่างกะทันหัน, โจมตีลวง, สลับใช้สกิลต่างๆ

ทุ่มกลเม็ดเคล็ดลับสารพัดหลากหลายอย่างแยบคาย เอาแต่ตั้งหน้าฟาดคมดาบอัดเข้าใส่ไม่ยั้ง

ทว่าถึงอย่างนั้นก็เถอะ

 

“ เข้าใจแล้ว ดูท่าแกจะครอบครองพลังอำนาจแบบพิเศษที่ไม่สมกับเป็นสามัญชน <<ไร้อาชีพ>> จริงๆนั่นล่ะ ”

 

ดาบของผม กลับไปไม่ถึงตัวกิมเล็ตเลยแม้แต่น้อย

ระยะห่างแบบฉิวเฉียดนั่น มันช่างห่างไกลอย่างไร้ขีดจำกัดเหลือเกิน!

 

“ มีเวลาแค่หนึ่งเดือนแต่กลับเติบโตได้ถึงขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลย ทว่า ”

 

พริบตานั้น ร่างของกิมเล็ตก็พลันพร่ามัว

 

“ ถึงอย่างนั้นก็ยังมาไม่ถึงฉันอยู่ดี นี่ล่ะคือความต่างชั้นอันท่วมท้นระหว่างสามัญชนกับขุนนางที่ผ่านการฝึกฝนตนเองมาอย่างหนักหน่วง ”

“ ขั่ก——!? ”

 

ถูกถีบด้วยความเร็วที่ตามองตามไม่ทัน

ในจังหวะที่รับรู้ได้แบบนั้น ร่างของผมก็ปลิวกระเด็นไปอย่างยิ่งใหญ่ กลิ้งกระดอนไปตามเวทีที่ถูกโรยทรายประหนึ่งเศษขยะ แข็งแกร่งมาก เร็วมาก มากเกินไปแล้ว

 

“ โอ๊ะโอ เพราะคิดว่าถ้าเอาแต่หลบอย่างเดียวแล้วผู้ชมคงจะเบื่อ ก็เลยเผลอตัวไวเท้าลื่นไปซะได้ ขอโทษด้วยนะ เอ้าถึงตาของเธอแล้ว ”

 

กิมเล็ตปั้นรอยยิ้มที่เหมือนข่มขวัญ แล้วจึงกางแขนสองข้างออกกว้างอีกครั้ง

 

“ ……ขึก ถ้าการโจมตีระยะประชิดใช้ไม่ได้ผลละก็——! ”

 

ผมที่ถูกถีบกระเด็นจนเว้นระยะออกห่างมาจากกิมเล็ต ได้เอามือกดท้องที่ถูกถีบแล้วเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา ที่ร้องขับขาน ก็คือท่วงทำนองของพลังเวทที่อัดพลังใส่เข้าไปเต็มเหนี่ยว

 

“ ——จักกุมบังเหียนเหนืออำนาจอันท่วมท้นให้กลายมาเป็นกระสุนปืนใหญ่แห่งเราแล้วปัดเป่ามารศัตรูให้หมดไป—— <<ทริปเปิลวินด์แลนซ์>> ! ”

 

ที่ถูกปล่อยออกจากฝ่ามือ ก็คือทอร์นาโดสามลูกที่แผดเสียงคำรามอย่างหนักหน่วง

หอกสายลมที่ทำให้แม้กระทั่ง <<อัศวินทำลายล้าง>> ซึ่งเป็นเลิศในด้านป้องกันก็ยังต้องน็อคหมดสภาพในเปรี้ยงเดียวนั่น พลันพุ่งถาโถมคุกคามเข้าใส่กิมเล็ตด้วยความเร็วมหาศาล ต่อให้เป็นอาชีพระดับสูงก็เถอะ แต่ถ้าโดนเข้าไปแล้วก็คงจะเจ็บหนักเลยเหมือนกันล่ะ ถ้าโดนละก็นะ

 

“ ช้าจริง ”

 

กิมเล็ตหลบการโจมตีได้ดั่งกับเป็นเรื่องปกติสมควร

อาชีพระยะประชิดที่หลบเวทโจมตีได้ด้วยสเตตัสเพียวๆโดยไม่ต้องใช้สกิลสายเพิ่มความเร็วเลยนี่ มันคือฝันร้ายชัดๆ แต่แบบนี้แหละดี ไม่ได้คิดว่าจะโดนตั้งแต่แรกแล้ว

 

“ ย่าาาาาาาาาาาาาา! ”

 

ผมที่ทะยานออกไปในฉับพลันเดียวกับที่ปลดปล่อยเวทลม ได้อาศัยฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายเพราะวินด์แลนซ์เป็นตัวกำบังเพื่อกระชั้นชิดเข้าใกล้กิมเล็ต

กระแทกกระทั้นอัดการโจมตีที่เร็วมากที่สุดเข้าใส่ในระยะเผาขน!

 

“ เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมมาก ถือเป็นแผนที่มีเพียงแค่แกซึ่งใช้ได้ทั้งสกิลเวทมนตร์และระยะประชิดเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ ”

“ ห้ะ——!? ”

 

แต่แม้จะทำถึงขนาดนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้า <<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> แล้วก็ไร้ความหมายสิ้นดี

กิมเล็ตที่ขยับขาไปข้างๆเพียงก้าวเดียวนั้น ได้หลุดออกไปจากม่านฝุ่นทรายภายในชั่วอึดใจเลย

แน่นอน ดาบของผมไม่ได้เฉียดผิวแม้แต่นิด

 

“ ——ขึก! ยังหรอก! ต่อไปจะพัดฝุ่นทรายให้กระจายเป็นวงกว้างยิ่งขึ้นอีก! หมู่มวลอากาศที่ห่อหุ้มปกคลุมอยู่ทั่ว—— ”

“ มุกนั้นน่ะพอได้แล้ว ผู้ชมเบื่อแล้ว ”

“ ข่ะ——อั่ก!? ”

 

เปรี้ยง!

การโจมตีเร็วสุดขั้วไร้ทางหลบหนีได้ถูกปล่อยกระแทกอัดเข้ากลางท้องของผมเข้าอีกรอบ

อย่าว่าแต่จะฟาดด้วยเวทมนตร์ให้โดนเลย ถูกขยี้คำร่ายอย่างรวดเร็วซะก่อนจะทันได้เปิดใช้ซะอีก

จะระยะใกล้หรือระยะไกลก็ไร้ค่าเหมือนกัน ความต่างชั้นอันเข้มงวดมันขวางกั้นอยู่ในระดับที่กระทั่งประกายที่จะนำไปสู่การพิชิตก็ยังไม่มี

 

“ เอาละ เท่านี้ก็ขยี้ไพ่ในมือแกไปได้หมดแล้วสินะ? ”

 

ตุบ ตุบ

กิมเล็ตก้าวเข้ามาใกล้ผมที่คืบคลานอยู่เหนือพื้น

 

“ อ๊ะไม่สิ ยังมีอยู่อีกนี่นะ เหมือนว่าจะเป็น <<ครอสเคาน์เตอร์>> ใช่ไหม? ”

 

รอยยิ้มที่สนุกสนานกับการทารุณ ได้ลอยปรากฎขึ้นมาเหนือใบหน้าของกิมเล็ตที่เอามือแตะคางอย่างจงใจ

 

“ เข้าใจล่ะ นั่นคือสกิลที่จะไม่ทำงานตราบที่ทางนี้ไม่เป็นฝ่ายโจมตีเข้าไปสินะ ……งั้นก็ขอให้ฉันได้เริ่มต้นโชว์ของบ้างก็แล้วกัน ”

“ ฮึก! ”

 

เป็นตรงนั้นเองที่กิมเล็ตเริ่มต้นจับดาบอย่างดีๆ——และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็คือการต่อสู้ที่ดำเนินไปเป็นฝ่ายเดียวอย่างสุดขั้ว

 

“ ——อึ้ก! อุว๊าาาาาาาาาาา!? ”

 

คลื่นดาบเบาๆที่เหมือนข่มขวัญรังแกนั่น การฟาดกระแทกอันไร้ซึ่งปรานีนั่น ได้ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยระดับความเร็วที่ตามองตามไม่ทัน

ตั้งหลายเปรี้ยง หลายสิบเปรี้ยง หลายร้อยเปรี้ยง!

เข่าลอยที่ถูกปล่อยกระแทกกระทั้นเข้าใส่เครื่องป้องกันมันทำให้ร่างผมงอเป็นทรงตัว < , เลือดที่ไหลทะลักออกมาจากปากแผลฉีกขาดนับไม่ถ้วนมันย้อมเครื่องสวมใส่ให้เป็นสีแดงไปหมด

การกระหน่ำจู่โจมที่ถูกผ่อนแรงไม่ยอมให้ผมหมดสตินั่น ได้ถาโถมเข้าทำร้ายทำลายร่างกายผมไม่หยุดยั้งไม่ขาดสายประหนึ่งเป็นพายุคลั่งที่พัดเอาซากแหลมมาด้วย

 

“ หะ เฮ้ย รู้ผลกันแล้วมั้งเนี่ย!? ”

“ การประลองจะไม่จบจนกว่าจะหมดสติหรือขอยอมแพ้นั่นแหละ! แต่ว่าแบบนี้มัน…… ”

“ อย่าได้หยุดเชียวนะว้อย! ตรูมาเพื่อดูไอ้นี่แหละ! เยี่ยมเล้ย เอาอีกสิวะเอาอีก! ”

“ นั่นคือการต่อสู้ของคนอายุ 19 ปีจริงๆน่ะเรอะ……!? ”

“ ไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> นั่นก็มีสกิลเซ็ตสุดจะบ้าบอสมชื่อที่สามารถถล่มปาร์ตี้อาชีัพระดับกลางของขุนนางได้เลยแท้ๆ แต่กลับถูกเล่นอยู่ฝ่ายเดียวแบบนั้นเลย…… ”

 

เลือดที่สาดปลิวกระเซ็น ทำให้มีเสียงสารพัดรูปแบบดังก้องขึ้นมาจากทางที่นั่งคนดู

กิมเล็ตจ้องมองสภาพของลานประลองดังกล่าวอย่างพึงพอใจไปพลาง ส่งสายตาลงมายังผม ผมที่เละเทะสะบักสะบอมมากซะจนแค่จะยืนก็ยังเต็มกลืนน่ะ

 

“ เอาละ น่าจะเข้าใจในความต่างชั้นของขุนนางและสามัญชนได้มากพอแล้วกระมัง ทั้งคนดู แล้วก็ตัวแกเองด้วย ”

 

การลงทัณฑ์ <<ไร้อาชีพ>> ที่ริอาจมาทำให้นามของพรรคดิออสเกรฟต้องเสื่อมเสีย

การกู้คืนอิทธิพลของพรรคดิออสเกรฟที่เสื่อมถอย

กิมเล็ตที่เข้าบดขยี้ผมในสภาพเต็มกำลังอย่างซึ่งหน้าและกระทืบให้ยับเยินหมดรูปจนเกือบจะทำตามเป้าหมายสำเร็จลุล่วงไปแล้วนั่น พลันกล่าวออกมาอย่างไร้ปรานีประหนึ่งเป็นเพชรฆาตเหนือแท่นตัดหัว

 

“ ถึงแม้จะเห็นผลแพ้ชนะกันอยู่เต็มตาแล้ว……แต่แค่ลงดาบเผด็จศึกอย่างเรียบง่ายมันก็คงจะน่าเบื่อตาย นั่นสินะ ทำการ ลงดาบใส่แกอย่างต่อเนื่อง ให้ต้องทุกข์ทรมานไปจนถึงนาทีสุดท้ายเลยดีกว่า ”

“ ——ขึก!? ”

 

พริบตานั้น

กิมเล็ตก็พลันปรากฎขึ้นมาอยู่ต่อหน้าผมอย่างกะทันหัน……ในจังหวะที่คิดแบบนั้น การโจมตีที่สาหัสถึงชีวิตก็ได้ถูกเสียบเข้าไปยังร่างกายของผมเรียบร้อยแล้ว

แคร่ก!

แรงกระแทกและเสียงประหลาดที่ไม่ใช่แค่เนื้ออย่างเดียว แต่เหมือนกับว่าจะแล่นทำลายไปจนถึงกระดูกเลยด้วยซ้ำ

กิมเล็ตได้เสียบดาบลงลึกเข้าไปในไหล่ของผม จนคมดาบทะลุออกมาโดยสมบูรณ์เลยนั่นเอง

 

“ ——-อึ้ก!? อ๊าาาาาาาาากกกกกกกกก! ”

 

สัมผัสร้อนผ่าวที่แล่นทะลวงสมองอย่างล่าช้า มันบีบให้มีเสียงร้องโหยหวนทะลักทะล้นออกมาจากปากของผม

 

“ ครอส! ”

 

รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องของจิเซลดังขึ้นมาจากที่ไหนซักแห่งที่ห่างออกไป

แต่ที่สะเทือนแก้วหูของผมดั่งกับเป็นการกลบเสียงของจิเซลให้หายไป ก็คือเสียงหัวเราะเยาะของกิมเล็ตที่เสียบดาบเข้าไปในร่างกายของผมด้วยระยะห่างที่แทบจะตัวติดชิดกัน

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! แขนขวาจะถูกพิษความเจ็บปวดเล่นงานจนไม่อาจขยับเขยื้อนดั่งใจได้อีกแล้ว เอ้า ต่อไปจะทำลายตรงไหนต่อดีนะ ”

 

ในเมื่อเป็นตอนนี้ที่การดวลเกือบๆจะรู้ผลไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ต้องไตร่ตรองว่าจะทารุณทำร้ายทำลายไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> ที่เหิมเกริมมาทำให้พรรคต้องเสื่อมเสียยังไงดีเท่านั้น กิมเล็ตทุ่มจิตคิดร้ายเช่นนั้นเข้ามาใส่กันแบบไม่มีไว้หน้าปรานีเลย

และผมที่รับฟังเสียงหัวร่อของขุนนางลำดับสูงอยู่แบบนั้น ก็ได้เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“ ……ดก็…… ”

“ อื๋อ? ว่าอะไรนะ เพิ่งจะมาอ้อนวอนขอความเมตตาเอาป่านนี้หรือ? ”

 

 

“ ในที่สุดก็——เข้ามาฆ่าผมแล้วสินะครับ……? ”

 

 

“ ฮึก!? อะ ไรกันน่ะแก!? ทำไมถึงได้ในสถานการณ์เช่นนี้—— ”

 

พริบตานั้น ใบหน้าของกิมเล็ตที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจก็พลันแข็งเกร็งไปด้วยความตกตะลึง

คิดว่าคงจะเป็นเพราะ——ผมที่น่าจะกำลังทำหน้าเบี้ยวเนื่องด้วยความเจ็บปวดที่ถูกเสียบทะลุไหล่นั่น กลับ ปั้นรอยยิ้มอย่างเบิกบานขึ้นมาเต็มใบหน้า ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้นั่นเอง

 

“ ……ฮึก!? เสียสติไปแล้วรึไอ้สามัญชน! ”

 

กิมเล็ตที่สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาด พยายามจะผละตัวออกห่างจากผมด้วยแววตาที่เหมือนกำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดแสนน่าขยะแขยง

ทว่า

 

“ ไม่ให้หนี ”

“ อะ……ไร!? ”

 

แขนขวาของผมที่ถูกแทงทะลุไหล่จนไม่น่าจะขยับเขยื้อนได้แล้ว มันคว้าหมับจับเสื้อของกิมเล็ตเอาไว้สุดแรงเต็มเหนี่ยวไม่ยอมปล่อย

นั่นคือจุดบอดทางจิตใจของกิมเล็ตที่เชื่อมั่นว่าทำลายไหล่ขวาของผมไปโดยสมบูรณ์แล้ว

ช่องโหว่เพียงชั่วพริบตาที่ทั้งกายและใจต่างก็แข็งทื่อหยุดกึกกับที่ต่อหน้าสถานการณ์ประหลาดที่ประดังกันเข้ามา

สภาวะหัวหยุดทำงานอันร้ายแรงถึงชีวิต ที่ทำให้ความเร็วแสนภาคภูมิใจตายสนิทไปชั่วอึดใจ

พริบตานั้น สกิลที่ผมได้เตรียมการเอาไว้ ก่อนเริ่มต้นการประลอง ก็พลันฉุดดึงเอาพลังเวทมารวมกันในบัดดล!

 

 

“ เมจิคสต็อกเกอร์ รีลีส! (กลั้นหน่วงเวทมนตร์ ปลดปล่อย!)  สกิลสายมารระดับกลาง <<สปีดเอาท์ : เบรค>> ! ”

 

 

“ ห้ะ——!? ”

 

จะพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาแต่เกิด หรือประสบการณ์ที่สั่งสมมาแบบไหนเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยงทั้งสิ้น

หมอกสีดำประหนึ่งจิตเคียดแค้นพยาบาทที่จะฉุดลากผู้มากฝีมือให้ร่วงหล่นลงมาจากยอดสูงอย่างไร้ทางต่อกร ได้กระจายเข้าห่อหุ้มขุนนางลำดับสูงที่ดวงตาเบิกโพลงอย่างตกตะลึงในระยะห่างเป็นศูนย์

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset