แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี – บทที่ 225 ตรวจชีพจรด้วยตนเอง / บทที่ 226 เป็นไข้

บทที่ 225 ตรวจชีพจรด้วยตนเอง / บทที่ 226 เป็นไข้

บทที่ 225 ตรวจชีพจรด้วยตนเอง

สวี่อี้เบิกตากว้าง มองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

นี่มันบ้าไปแล้ว เวลานี้สลูตสค์ที่เกลียดการเข้าใกล้มนุษย์ที่สุดกลับนอนราบอิงแอบกับเยี่ยหวันหวั่นอย่างใกล้ชิดขนาดนี้อยู่ตรงนั้น ถูกเธอทั้งดึงขนทั้งกอดเท้าแต่กลับไม่ได้ฉีกเธอเป็นชิ้นๆ !

เพียงแต่ ท่าทางของเยี่ยหวันหวั่นทำไมถึงดูเหมือนมีตรงไหนแปลกไป?

สวี่อี้ใจหายวาบ เพิ่งจะเห็นความผิดปกติของเยี่ยหวันหวั่น ข้างกายก็มีเงาร่างคนคนหนึ่งสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วอุ้มเยี่ยหวันหวั่นขึ้นมาจากอ้อมกอดของต้าไป๋

“ไปเชิญผู้เฒ่าซุน!”

“ครับ!” สวี่อี้เหงื่อแตกพลั่ก รีบพุ่งตัวออกไป

หากเยี่ยหวันหวั่นเป็นอะไรไป เกรงว่าคนทั้งบ้านนี้ทุกคนคงต้องถูกฝังตามไปด้วย!

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง แสงไฟสว่างไปทั่วสวนจิ่นหยวน

ใบหน้าคนรับใช้ทุกคนไร้สีเลือดยืนตัวสั่นเรียงแถวอยู่ในห้องรับแขก รถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดนิ่งที่ด้านนอกบ้าน มีชายหนุ่มคนหนึ่งประคองชายชราผมขาวลงมา

สวี่อี้นำทางคนทั้งสองเร่งฝีเท้าไปยังด้านในตัวบ้าน

เหนือสวนจิ่นหยวนมีเมฆครึ้มปกคลุมไปทั่ว

เมื่อผู้เฒ่าซุนกับศิษย์เอกของเขาเร่งเดินทางมาถึง เห็นเพียงบนเตียงมีหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ ส่วนซือเยี่ยหานกำลังนั่งอยู่ที่ขอบข้างเตียง โดยที่มือข้างหนึ่งถูกหญิงสาวกอดเอาไว้ในอ้อมอก

หลังจากเห็นใบหน้าของหญิงสาวอย่างชัดเจนแล้ว นัยน์ตาของลูกศิษย์ที่อยู่ข้างกายพลันประกายวาบด้วยความประหลาดใจ

หญิงสาวคนนี้สวยเกินไปแล้ว แม้จะกำลังป่วยจนมีท่าทางอ่อนแรงแก้มทั้งสองแดงเห่อก็ยังสวยสุดๆ มิน่าล่ะถึงสามารถทำให้เจ้านายบ้านนี้ที่ลือกันว่านิสัยโหดเหี้ยมเป็นวิตกกังวลได้ขนาดนี้

สมกับคำที่ว่าสามงามอายุสั้นจริงๆ ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้ป่วยหนักเป็นโรคอะไร?

“รบกวนผู้เฒ่าซุนด้วย”

ซือเยี่ยหานพูดพลางคิดจะชักมือตัวเองออกมาจากอ้อมอกของหญิงสาว

จากนั้น แค่เขาขยับเพียงเล็กน้อย ท่าทางของหญิงสาวดูเจ็บปวดมากกว่าเดิม กระชับกอดให้แน่นขึ้น ราวกับกำลังกอดขอนไม้ลอยน้ำท่อนสุดท้าย

ซือเยี่ยหานมองไปทางชายชราแล้วเอ่ยขึ้น “ตรวจชีพจรแบบนี้ได้ไหมครับ?”

ผู้เฒ่าซุนได้ยินดังนั้นกระแอมครั้งหนึ่ง “เกรงว่าจะไม่ได้ครับ จะส่งผลกระทบกับผลการตรวจ”

เขายังหลงคิดว่าเป็นร่างกายของเจ้านายหนุ่มของบ้านนี้ที่ทนไม่ไหว จากการนอนไม่หลับเป็นเวลานาน คิดไม่ถึงว่าคนที่ป่วยจะไม่ใช่เขา แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง

ซือเยี่ยหานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ออกแรงอีกนิดหน่อยดึงมือตัวเองออกมา วางมือของหญิงสาวลงบนหมอนวางข้อมือเบาๆ

วินาทีที่ชายหนุ่มดึงมืออก น้ำตาที่หางตาของหญิงสาวพลันไหลรินลงมาด้วยความเสียใจ

ผู้เฒ่าซุนไม่กล้าชักช้า ไม่ให้ลูกศิษย์เข้าไปตรวจ แต่กลับตรวจชีพจรให้หญิงสาวด้วยตนเอง

การตรวจชีพจรครั้งนี้นานผิดปกติ จนทำให้สีหน้าของลูกศิษย์ข้างกายกังวลขึ้นเรื่อยๆ ใจคิดว่าหรือจะเป็นโรคอะไรที่ทำให้แม้แต่อาจารย์ยังรู้สึกว่ารักษายาก?

ผู้เฒ่าซุนตรวจชีพจรถึงสามครั้ง ถึงได้หันไปเอ่ยกับซือเยี่ยหานว่า “คุณซือสบายใจได้ครับ คุณหนูท่านนี้เพียงแค่เป็นไข้ตัวร้อนเพราะลมหนาว แค่ต้องกินยาลดไข้นิดหน่อย ก็จะหายดีอย่างรวดเร็ว”

หลังจากผู้เฒ่าซุนวินิจฉัยจบ ซือเยี่ยหานมองหญิงสาวที่ร้องไห้เสียใจจนหมอนเปียกชื้น แล้วรีบยื่นมือไปให้เธอกอดเอาไว้ใหม่อีกครั้ง ถึงได้หันมองชายชราแล้วเอ่ยขึ้น “เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด รบกวนผู้เฒ่าซุนพักที่นี่สักคืน”

ได้ฟังบทสนทนาของคนทั้งสอง ดวงตาของลูกศิษย์ข้างกายผู้เฒ่าซุนแทบจะถลนออกมาแล้ว เป็นไข้เนี่ยนะ?

อาการป่วยเล็กน้อยแค่นี้หยิบที่วัดไข้มาวัดสักหน่อยก็พอแล้ว ต้องถึงขนาดเชิญหมอเทวดาซุนไป๋เฉ่าที่ค่อนข้างปลีกวิเวกมา แล้วยังขอให้อยู่ที่นี่เพื่อดูอาการด้วยเหรอ!

ลูกศิษย์อ้าปากเหมือนคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เพียงแต่จากนั้นก็เห็นอาจารย์ข้างกายส่ายหน้าให้เขา เป็นความหมายว่าไม่ให้เขาพูดมาก

จากนั้น ชายชราลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนแล้วครับ”

……………………………………………………

บทที่ 226 เป็นไข้

เยี่ยหวันหวั่นตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเช้าของอีกวันแล้ว

ห้องกว้างเงียบสนิท นอกหน้าต่างมีแสงแดดส่อง ท้องฟ้าสีครามใส กลิ่นสดชื่นของหญ้าและดินอบอวลอยู่ในอากาศ

นกพันธ์ที่ไม่รู้จักกำลังร้องจิ๊บๆ เริงร่าอยู่บนกิ่งไม้ กระพือปีกพึบพับไม่นานก็บินออกไปไกล…

“ตื่นแล้วเหรอ”

เยี่ยหวันหวั่นกำลังเหม่อลอยมองเจ้านกน้อยนอกหน้าต่างที่บินไปไกลแล้ว พลันมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างใบหู

เยี่ยหวันหวั่นหันหน้าไปมอง ก็พบว่าซือเยี่ยหานนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงเธอ มือหนึ่งถือเอกสารสองสามแผ่น ส่วนอีกมือหนึ่ง…ถูกเธอกอดไว้แน่นในอ้อมแขน อีกทั้งแนบทับไว้บนหน้าอกของตัวเองอย่างไม่คิดชีวิต

เยี่ยหวันหวั่นตกใจ รีบปล่อยมือของซือเยี่ยหานออก กำลังคิดจะเอ่ยพูด ก็พบว่าคอของตัวเองร้อนเหมือนถูกไฟเผาไหม้ ริมฝีปากแตกระแหง

“อย่าขยับ”

ซือเยี่ยหานวางเอกสารในมือลง ใช้สำลีก้านจุ่มน้ำ ค่อยๆ เช็ดบนริมฝีปากให้กับเธอ จากนั้นช่วยประคองเธอลุกขึ้น แล้วยื่นน้ำแก้วหนึ่งที่อยู่บนหัวเตียงไปใกล้ริมฝีปากของเธอ

เยี่ยหวันหวั่นอ้าปากโดยสัญชาตญาณ น้ำที่มีอุณหภูมิพอเหมาะ ไหลผ่านลำคอที่แห้งผากให้ความชุ่มชื่น ทำให้เธอรู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย

“ฉันเป็นอะไรไป?” ดื่มน้ำแล้ว เยี่ยหวันหวั่นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เป็นไข้” ซือเยี่ยหานตอบ ใบหน้าดูมีความเย็นชาอยู่บ้าง “เธอไม่รู้ตัวหรือไง?”

เยี่ยหวันหวั่นเพิ่งจะตื่นนอนไข้ลดลงไปแล้ว จึงมีสีหน้าเหม่อลอยอยู่บ้าง เอ่ยพึมพำ “เมื่อคืนรู้สึกไม่ค่อยสบาย เวียนหัว แต่ฉันเข้าใจว่าเป็นเพราะทำโจทย์คณิตศาสตร์ จึงไม่ได้สังเกต…”

สัมผัสได้ถึงสีหน้าเย็นชาของซือเยี่ยหาน จิตใต้สำนึกของเยี่ยหวันหวั่นก็สั่งให้ขดตัวลงใต้ผ้าห่ม

สุดท้ายซือเยี่ยหานก็ไม่ได้พูดว่าอะไร รังสีไอเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายค่อยๆ เก็บกลับไป กดกริ่งข้างมือเรียกคนรับใช้

หลังจากเยี่ยหวันหวั่นได้สติขึ้นมา ก็มองชายหนุ่มด้วยสายตาแปลกๆ ทำไมตื่นขึ้นมาเขาก็อยู่ที่นี่แล้ว เพิ่งเข้ามาพอดีงั้นเหรอ?

ไม่นานก็มีคนมาเคาะประตู คนรับใช้ยกโจ๊กชามหนึ่งเข้ามา

ซือเยี่ยหานยื่นมือไปรับด้วยตัวเอง “กินอะไรหน่อย”

ไม่รู้ว่าเธอตาฝาดไปหรือเปล่า ซือเยี่ยหานแม้จะเป็นคนที่ดูน่ากลัวมาก แต่เหมือนว่าน้ำเสียงจะฟังดูอ่อนโยนกว่าปกติ

เยี่ยหวันหวั่นชายตามองโจ๊กสีขาวจืดไร้รสชาติ ชัดเจนมากว่าไม่มีความสนใจเลยสักนิด แต่ก็ยังขมวดคิ้วย่นยอมกินลงไปแต่โดยดี

“รู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกไหม?”

เยี่ยหวันหวั่นส่ายหน้า เพียงแต่ร่างกายไม่ค่อยมีแรงก็เท่านั้น

จากนั้นบรรยากาศก็เงียบลง คนทั้งสองไม่มีใครสนทนาอะไรกันอีก

เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยพึมพำทำลายความเงียบ “เมื่อคืนเหมือนว่าฉันจะฝัน…”

“ฝันว่าอะไร?”

เยี่ยหวันหวั่นนึกย้อนแล้วเล่าว่า “เป็นฝันร้าย แล้วก็ฝันดี…ฉันจำฝันร้ายไม่ได้แล้ว แต่ว่าฝันดีมันงดงามากจริงๆ…”

เห็นสีหน้าเคลิบเคลิ้มของเยี่ยหวันหวั่น ซือเยี่ยหานเหลือบมองเธอ “งั้นเหรอ?”

เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้า “ฉันฝันว่าต้าไป๋ยอมให้ฉันลูบอุ้งเท้าของมันแล้ว นุ่มสบายน่าสัมผัสมากเลยล่ะ!”

ผลลัพธ์คือคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าสิ่งที่กอดอยู่นั้นคือมือของซือเยี่ยหาน รู้สึกเสียดายอยู่หน่อยๆ…

คนบางคนที่ถูกกอดเป็นต้าไป๋ตลอดทั้งคืน “…”

ซือเยี่ยหานสูดลมหายใจลึกสุดปอด ตามมาด้วยนวดหัวคิ้วของตัวเอง จากนั้นก็หยิบถ้วยโจ๊กแล้วลุกขึ้น “เธอพักผ่อนเถอะ”

วินาทีที่หันกายไป ก็พูดมาประโยคหนึ่ง “หายป่วยแล้วก็กลับไปได้”

กระทั่งซือเยี่ยหานเดินออกจากห้องไปแล้ว เยี่ยหวันหวั่นถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่เขาพูดอะไร

ตอนที่เธอหมดสติไปนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ซือเยี่ยหานถึงได้…ยอมให้เธอกลับไปได้…

…………………………………

Options

not work with dark mode
Reset