แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 700 เอามีดพกไปกิน

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสามารถใช้โลกแห่งภาพลวงตาฆ่าคนได้หรือไม่ อย่างไรที่นี่ก็เต็มไปด้วยอันตรายทุกที่…

“ใจเหี้ยมดีจริงๆ…” หลิงม่อขมวดคิ้ว

ต้องรีบแล้ว จะปล่อยให้คนคนนี้ทำสำเร็จไม่ได้!

“พลังพิเศษนี้ร้ายกาจมากจริงๆ แต่เล่นผิดคนซะแล้วล่ะ…”

หลังจากมั่นใจแล้วว่าหุ่นซอมบี้ตัวเล็กยังหลงเหลือสัญชาตญาณอยู่ หลิงม่อก็ควบคุมให้มันกลับมาก่อน พอเตรียมการเสร็จ เขาก็เอาก้อนเหนียวหนืดก้อนเล็กๆ มาห้อยไวบนหนวดสัมผัสทางจิตของตัวเอง

เมื่อทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เขาก็หลบออกไปยืนด้านข้าง พร้อมตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิตกับหุ่นซอมบี้ตัวเล็กทันที

เนื่องจากหลิงม่อเป็นฝ่ายตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิตเอง ดังนั้นดวงจิตของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแน่นอน

แต่หลังจากที่ตัดขาด เขาก็จะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของหุ่นซอมบี้ตัวเล็กแล้ว

เวลานี้ ถึงแม้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กจะอ่อนแอมาก แต่มันยังหลงเหลือสัญชาตญาณอยู่ หากเจอมนุษย์จะต้องทำการจู่โจมอย่างแน่นอน

แต่ถึงหลิงม่อจะไม่เห็น เขาก็มีความสามารถในการป้องกันตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีก้อนเหนียวหนืดเป็นเหยื่อล่ออยู่อีกด้วย

ถึงแม้กลิ่นอายของหลิงม่อจะทำให้ซอมบี้คลั่ง แต่ก้อนเหนียวหนืดก้อนนี้สะดุดตากว่าตัวเขามาก

หลิงม่อในตอนนี้ยังอยู่ในโลกแห่งภาพลวงตา รอบกายมีแต่ความมืดมิด ไม่มีใครรู้ว่าจู่ๆ จะมีอะไรโผล่ออกมาจากความมืดนี้หรือไม่

แม้แต่ตอนที่มีคนโจมตีเขา เขาก็อาจมองไม่เห็นด้วยซ้ำ

ตอนนี้หลิงม่อพุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่ก้อนเหนียวหนืดก้อนนั้น…เมื่อกี้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กอยู่ด้านหน้าเขาในระยะที่ห่างจากเขาไม่ถึง 3 เมตร ถึงแม้เขาจะมีปัญหาเรื่องการกะระยะในตอนนี้ แต่ในเสี้ยววินาทีที่ตัดขาดสายสัมพันธ์ หลิงม่อมองเห็นตัวเองผ่านดวงตาของหุ่นซอมบี้ตัวเล็ก

และในเสี้ยววินาทีนั้น ความจริงหุ่นซอมบี้ได้หลุดพ้นจากผลกระทบต่อเนื่องแล้ว

เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่ามีความถูกต้องแม่นยำถึง 100%…

ระหว่างรอคอยเป็นช่วงเวลาที่ประหลาดมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีซอมบี้อยู่ตรงหน้าตัวเอง แต่กลับมองอะไรไม่เห็น และไม่รู้ว่ามันจะเริ่มจู่โจมเมื่อไหร่

หากเปลี่ยนเป็นผู้รอดชีวิตคนอื่นตกอยู่สถานการณ์อย่างนี้ เดาว่าแค่ความกดดันก็คงทำให้พวกเขาคลั่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะรักษาความเงียบเอาไว้ได้

“เร็วเข้าสิ…”

หลิงม่อร้อนรนเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาควบคุมหุ่นซอมบี้ตัวเล็กโดยสมบูรณ์ ซึ่งการบังคับถ่ายเทพลังจิตอย่างนี้จะนำมาซึ่งความเสียหายต่อตัวมัน โดยซอมบี้ระดับธรรมดาอย่างหุ่นซอมบี้ตัวเล็กจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส

ความสามารถพิเศษควบคุมหุ่นซอมบี้ หรือความจริงก็คือพลังควบคุมหุ่นเชิด…

การที่หลิงม่อยังคงรักษาสติรู้คิดของตัวหุ่นเอาไว้ แล้วยังทำให้พวกเธอร่วมมือกับตัวเองอย่างดีได้ เดิมก็ถือว่าแหกกฎพื้นฐานของพลังพิเศษชนิดนี้ไปมากแล้ว…

“คงไม่ใช่ว่ายังไม่ฟื้นตัวหรอกนะ? เมื่อกี้เวลาในการควบคุมก็ไม่ถือว่านานมาก…” หลิงม่อลนลานขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากล้มเหลว เขาก็ต้องคิดหาทางอื่นอีก

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงไอเย็นที่พวยพุ่งขึ้นมาจากปลายเท้า

“มาแล้ว!”

หนวดสัมผัสมีสัมผัสที่ว่องไวกว่าตัวเขา ขณะที่สายลมแรงพัดเข้ามา สัญญาณอันตรายก็ได้แจ้งเตือนหลิงม่อผ่านหนวดสัมผัสแล้ว

เพราะถึงอย่างไรหนวดสัมผัสก็คือพลังงานทางจิตกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อพลังงานภายนอกอยู่แล้ว…

หลิงม่อไม่ชักช้า เขาเพ่งสมาธิ หนวดสัมผัสเส้นนั้นเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับก้อนเหนียวหนืดที่เกี่ยวไว้บนนั้น

ขณะเดียวกันหลิงม่อก็เริ่มออกวิ่ง โดยเขาวิ่งตามอยู่ข้างหลัง

หนวดสัมผัสเคลื่อนไหวโดยแนบติดกับพื้นดิน จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ไปทำร้ายใครเข้า…

อีกฝ่ายทำให้เขาเห็นภาพลวงตาได้ แต่ไม่สามารถทำให้เขาห้อยหัวเดินบนเพดานได้…

เขาไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ และภาพลวงตาก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาต้านแรงโน้มถ่วงได้ด้วย…

สัญญาณอันตรายถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง นั่นแสดงว่าหุ่นซอมบี้ตัวเล็กกำลังวิ่งตามก้อนเหนียวหนืดก้อนนี้ไปติดๆ

หลิงม่อที่วิ่งตามหลังอยู่กำก้อนเหนียวหนืดก้อนที่ 2 ไว้ในมือ เขาเองก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่ในแนวเส้นตรง

ทว่าในเมื่อหุ่นซอมบี้ตัวเล็กไม่ได้วิ่งชนหลิงม่อ ก็แสดงว่าหนวดสัมผัสไม่ได้วิ่งวนรอบตัวเขา ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจกำลังวิ่งบนเส้นทางประหลาดๆ อยู่ก็ได้

ถ้าหากว่าก้อนเหนียวหนืดวนอยู่รอบตัวคนหนึ่งคน ถ้าอย่างนั้นหุ่นซอมบี้ตัวเล็กคงจะจัดการทั้งก้อนเหนียวหนืดและคนคนนั้นไปนานแล้ว…

หลิงม่อระวังการโจมตีของมันที่อาจเกิดขึ้นอยู่ตลอด แต่โชคดี ที่ไม่ได้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น

ถ้าหากไม่มีสิ่งนำทาง แล้วหลิงม่อเอาแต่เดินตามหนวดสัมผัสต่อไป ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังเดินวนเป็นวงกลมหรือกำลังเดินกลับไปกลับมา…

“โครม!”

ก้อนเหนียวหนืดกระแทกเข้ากับสิ่งกีดขวาง นั่นแสดงว่าตอนนี้อาจถึงคราวต้องวิ่งย้อนกลับมาแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยความเร็วของหนวดสัมผัสหุ่นซอมบี้ไม่มีทางตามทันแน่นอน

แต่ไม่เป็นไร เพราะก้อนเหนียวหนืดคือสิ่งที่หลิงม่อมีพร้อมเสมอ…

ในการวิวัฒนาการครั้งที่แล้วไม่ได้กินจนหมด ก้อนเหนียวหนืดคุณภาพต่ำที่เพิ่งตกผลึกถูกหลิงม่อยัดเก็บไว้ในกระเป๋า เขาชอบใช้ก้อนเหนียวหนืดมาล่อซอมบี้ เพราะมันปลอดภัยกว่าใช้ของจำพวกเครื่องเล่นเสียงมาก ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือทันทีที่ใช้ก้อนเหนียวหนืดล่อ ซอมบี้ก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พอถึงตอนนี้ก็คงมีเหยื่อล่อตัวใหม่มาแทนแล้ว

ทว่าผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ไม่มีใครใช้วิธีนี้ เพราะคงไม่มีใครที่สติดีๆ ไปควักสมองซอมบี้เล่น …

ความจริงหากอีกฝ่ายรู้ทัน ก็อาจจะคิดหาทางดึงหุ่นซอมบี้ตัวเล็กเข้ามาในโลกแห่งภาพดวงตาทันที

แต่ปัญหาคือ…เมื่อหุ่นซอมบี้ตัวเล็กหลุดพ้นจากการควบคุมของหลิงม่อ มันก็จะตกอยู่ในสภาวะความคิดยุ่งเหยิง เหลืออยู่เพียงสัญชาตญาณ

ในอีกด้าน ก่อนที่จะหลุดพ้น หลิงม่อได้ทำให้มันปิดตาปิดหู เหลือเพียงจมูกไว้ดมกลิ่นเท่านั้น

ถึงการดมกลิ่นอาจถูกก่อกวน แต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องอย่างนั้นเขาจะต้องฉวยจังหวะได้ก่อนอย่างแน่นอน!

“เร็วเข้าสิ…”

เมื่อขว้างก้อนเหนียวหนืดออกไป 3 ก้อนติดๆ กัน หลิงม่อก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว

ขืนช้ากว่านี้ อีกฝ่ายจะต้องรู้ตัวก่อนแน่ๆ!

“ตึง!”

ก้อนเหนียวหนืดก้อนที่ 3 ถูกสกัดไว้ ตามมาด้วยก้อนที่ 4 ติดๆ…

ในที่สุด หุ่นซอมบี้ตัวเล็กไม่ได้วิ่งตามก้อนที่ 4 มา!

และทันใดนั้น ภาพตรงหน้าหลิงม่อก็สว่างวาบขึ้นมาทันที ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าบันไดแล้ว

หุ่นซอมบี้ตัวเล็กกำลังพุ่งกระโจนเข้ามา หลิงม่อรีบควบคุมมันอีกครั้ง

ทว่าการควบคุมครั้งนี้กลับทำให้หลิงม่อตะลึงไปชั่วขณะ ไม่รู้เพราะอะไร สัญชาตญาณต่อต้านของหุ่นซอมบี้ตัวเล็กถึงได้รุนแรงมากเป็นพิเศษ แถมยังคลุ่มคลั่งมากด้วย…

ดวงแสงแห่งจิตได้รับบาดเจ็บ มีแต่จะทำให้หลิงม่อควบคุมได้ง่ายขึ้น แต่นี่กลับมีผลข้างเคียงที่ให้ผลตรงกันข้ามอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

“ไม่สนแล้ว ตามหาพวกเขาก่อนแล้วกัน…”

การหลุดพ้นจากโลกแห่งภาพลวงตาเป็นเพียงก้าวแรก ต่อไปต้องพามู่เฉินกับอวี๋ซือหรานออกมาให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องฆ่ากันเองแน่ๆ

เพราะมีประสบการณ์ถูกหลอกมาก่อน ดังนั้นหลิงม่อจึงให้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเดินนำไป ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่ที่เดิมก่อน

ทำอย่างนี้ขอเพียงเขาไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตา หุ่นซอมบี้ตัวเล็กก็จะไม่มีปัญหาอะไร

เพิ่งจะเดินเลี้ยวไปได้ไม่นาน หลิงม่อก็เห็นมู่เฉิน หมอนั่นกำลังเดินเข้าเดินออกห้องเก็บของห้องหนึ่ง ราวกับต้องมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น

หุ่นซอมบี้ตัวเล็กค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เขา จนกระทั่งเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าเขา แต่มู่เฉินกลับเหมือนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ทว่าแววตาของเขาดูลนลาน เหมือนกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่

ท่าทางเขาห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กลับวิ่งวนกลับไปกลับมาอยู่ที่เดิม ดูแล้วทั้งประหลาดทั้งตลกในเวลาเดียวกัน…

แต่ร่างกายเขาไม่มีบาดแผล นั่นทำให้หลิงม่อลอบถอนหายใจเบาๆ

คนที่บาดเจ็บ ต้องเป็นผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นแน่ๆ…

หลิงม่ออยากทดสอบอะไรดูหน่อย จึงสั่งให้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กยกมือขึ้นกระตุกแขนเสื้อมู่เฉิน 2 – 3 ครั้ง

มู่เฉินสะดุ้งเกร็งไปทั้งตัว แถมยังทำหน้าเหมือนเห็นผี

เขาหันหน้ามองซ้ายมองขวาอย่างหวาดผวา จากนั้นก็ก้าวถอยหลังช้าๆ แล้ววิ่งเตลิดทันที

ทว่าระยะทางที่เขาวิ่งหนี…ความจริงก็อยู่ภายในระยะทางที่ไม่ถึง 20 เมตรด้วยซ้ำ

ไม่นึกเลย ขนาดนี้แล้วยังทำให้เขารู้ตัวว่ามีอะไรผิดปกติไม่ได้อีก…

“ร้ายกาจจริงๆ…”

หลิงม่อลูบจมูก พลางคิดในใจ

เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ซอมบี้แตกตื่น ถึงแม้จะร้องออกมาแต่พวกเขาก็พยายามร้องให้เบาที่สุด เหมือนมู่เฉินที่ถึงแม้จะตกใจแค่ไหน แต่ก็ยังคงพยายามเงียบที่สุด

ถ้าเปลี่ยนเป็นสวี่ซูหาน ป่านนี้คนที่อยู่ในห้างฯ คงได้ยินเสียงเธอกรี๊ดกันหมดแล้ว

ระหว่างกลายพันธ์ มักควบคุมอารมณ์ได้ยาก…

หากทำอย่างนั้นย่อมได้รับการช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันซอมบี้ที่อยู่ชั้นล่างก็อาจถูกดึงดูดขึ้นมาด้วยเช่นกัน

หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเดินเข้าไปเคาะขอบประตูอีกครั้ง แต่มู่เฉินกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

“ถูกเล่นงานทั้งการมองเห็นและการได้ยินงั้นหรอ…”

หลิงม่อทำการทดสอบอีกหลายครั้ง จึงมั่นใจได้ว่านี่เป็นการก่อกวนแทบจะทุกด้าน

ดูเหมือนว่าที่หุ่นซอมบี้ตัวเล็กไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย เป็นเพราะดวงจิตบาดเจ็บจริงๆ

“แต่ว่า…ต้องหุบหัวเขาให้สลบแล้วค่อยลากออกมาหรอ?”

หลิงม่อลูบคางทำท่าครุ่นคิด

ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ มู่เฉินก็ชะงักกึก

เขากัดฟันกรอด ทำสีหน้าเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หลิงม่อรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที

ตามคาด มู่เฉินยกมีดในมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เขาก็เงยหน้า แล้วมองไป “ข้างหน้า”

“กำลังจะทำให้เขากับอวี๋ซือหรานฆ่ากันเองสินะ…”

หลิงม่อคิดในใจ

ดีเหมือนกัน พาอวี๋ซือหรานออกมาด้วยเลย

ตามคาด มู่เฉินถือมีดเดินออกมาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม จากนั้นไม่นาน เงาร่างของใครคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องอีกห้อง

อวี๋ซือหราน…

ทว่ามู่เฉินกลับมองไม่เห็นอวี๋ซือหราน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแค่ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นของเธอก็คงทำให้เขาช็อกตายไปแล้ว

สองคนนั้นเหมือนมองไม่เห็นอีกฝ่าย แต่กลับเหมือนกำลังมองเห็นเงาลวง และต่างทำท่าเตรียมจะลงมือทั้งคู่

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ มู่เฉินห็ถูกมีดพกทุบท้ายทอยอย่างแรงหนึ่งครั้ง

เดิมหลิงม่อคิดว่าอวี๋ซือหรานจะลงมือ แต่คิดไม่ถึงว่าในขณะที่เธอกำลังจะลงมือ จู่ๆ เธอกลับหลับตา

พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง อวี๋ซือหรานก็ดูแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

เธอแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ แต่การเคลื่อนไหวกลับดูเป็นอิสระ

เธอหันหลังกลับไป แล้วดึงเส้นไหมสีเงินขึ้นมาดู พร้อมกับพึมพำว่า “กว้างแค่ 2 เมตรกว่า ยังอยู่ในทางเดิน”

จากนั้นเธอก็เดินหน้าไปอีก 2 – 3 ก้าว แต่ดูเหมือนเธอเริ่มจะเดินเซนิดๆ

ซอมบี้โลลิหันหน้าเฉียงเข้าหากำแพง แล้วพูดด้วยเสียงทื่อๆ เหมือนหุ่นยนต์ว่า “หึ หึ หึ แน่จริงแกก็ ต่อยฉันสิ…”

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset