แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 744 อัจฉริยะโรคจิตผู้บ้าคลั่ง

“ดูเหมือนว่า ความคิดที่จะหนีเธอคงล้มเหลว…” หลิงม่อคิดอย่างจนใจ

“ซือๆๆ…” ซอมบี้งูกำลังเลื้อยอย่างเชื่องช้าอยู่บนช่องว่างระหว่างซากโทรทัศน์เหล่านั้น ระหว่างที่กำลังเคลื่อนตัว “เกล็ดงู” บนตัวเธอก็ส่งเสียงเสียดสีดังอย่างต่อเนื่อง ตอนที่ยังไม่รู้อะไรแน่ชัด หลิงม่อกลับไม่ได้คิดอะไรกับเสียงนี้ แต่พอมาได้ยินตอนนี้ เขากลับอดขนลุกขนพองไม่ได้

เขาจำได้รางๆ ว่าเมื่อก่อนตัวเองก็เคยเห็นภาพคล้ายๆ กันนี้ น่าจะเห็นในรายงานซักอันที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโรคหนังเกล็ดปลา…

แต่ดูเหมือนว่าซอมบี้งูตัวนี้จะมีอาการที่ร้ายแรงกว่า แถมพอดูแล้วก็ไม่ได้เป็นโรคภัยไข้เจ็บ แต่เป็นการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นกับผิวกายจริงๆ

หลิงม่อยังคงถอยหลังไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ เขาก็พบว่าทางเดินแคบๆ ที่อยู่ระหว่างซากโทรทัศน์เหล่านี้ ที่จริงก็คือ “ทางเดินงู” ที่เจ้าซอมบี้งูตัวนั้นใช้เลื้อยในเวลาปกตินั่นเอง!

ส่วนซากโทรทัศน์เหล่านี้ บางทีมันอาจเป็นเหมือนถ้ำสำหรับเธอก็ได้

เขาแค่เข้ามาตรวจสอบดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นรังงู!

นักวิจัยประเภทไหนกันที่ทำเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาได้?! แถมในห้องที่ตัวทดลองสำคัญถูกมัดไว้อย่างนี้ ทำไมถึงไม่ปิดประตูกันนะ!

แต่คิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร ยิ่งซอมบี้งูตัวนี้แปลกมากแค่ไหน หลิงม่อก็ยิ่งอยากตรวจสอบให้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น

ระหว่างที่ถอยหลัง หลิงม่อก็เริ่มเข้าใจรูปแบบพฤติกรรมของซอมบี้งูตัวนี้ในระดับหนึ่งแล้ว เธอแทบจะเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ ภายใต้การถูกจำกัดพลังโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุนั่น ความเร็วและพละกำลังของเธอก็อยู่ในระดับธรรมดามาก ขอเพียงทำใจให้ชินกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอได้ ก็ถือว่าจัดการได้ไม่ยากนัก…

“เอาล่ะ…คิดซะว่าเธอเป็นเสี่ยวหงที่มาถ่ายหนังผิดฉากก็แล้วกัน…” หลิงม่อพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พลางชะงักเท้าหยุดทันใด

จับงูมือเปล่าเขาก็เคยทำมาแล้ว และตอนนี้สิ่งที่เขาจะทำก็คือจับ “มนุษย์งู” มือเปล่า…

ถึงแม้เรื่องนี้เขาจะไม่ได้ทำโดยใช้ร่างจริง แต่นอกจากความเจ็บที่เขาไม่ได้รู้สึกร่วมด้วยแล้ว ความรู้สึกทั้งหมดที่หุ่นซอมบี้ถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก ล้วนถูกส่งต่อไปยังดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อทั้งหมด

ดังนั้น…นี่มันไม่ได้ต่างอะไรจากการที่เขาลงมือด้วยตัวเองเลยนะ!

“ฉันเกลียดการมีความรู้สึกร่วม…”

หลิงม่อลอบบ่นในใจ จากนั้นก็ยื่นมืออกมา ในขณะที่ดวงตายังคงจ้องไปทางซอมบี้งูที่กำลังเลื้อยเข้ามาทางตัวเองอย่างต่อเนื่อง

สายตาของเขาเลื่อนจากหัวซอมบี้งูไปยังหางของมัน ในสมองพลางวิเคราะห์ด้วยความเร็วสูง “ความเร็วของเรากับของเธอน่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน ความเร็วในการตอบสนองก็น่าจะพอๆ กัน แต่เห็นชัดว่าเธอมีสติปัญญาที่ต่ำกว่า แถมยังใช้ได้แค่ปากและหางเท่านั้น…อย่างน้อยเราก็ยังมีมือมีเท้าแหละน่า”

ถึงอย่างไรซอมบี้งูก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่จะเป็นงูก็ไม่ใช่ ซอมบี้ก็ไม่เชิง ดังนั้นเธอทั้งสูญเสียขอ้ได้เปรียบของซอมบี้ และไร้ซึ่งจิตวิญญาณในการโจมตีชั่วพริบตาของงู…

ทว่านี่เป็นเพียงข้อเสียที่เธอแสดงให้เห็นในตอนนี้เท่านั้น ถ้าหากเธอมีสติปัญญาที่สูงกว่านี้ ทุกอย่างก็จะต่างออกไป

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับหลิงม่อ…

หลิงม่อเหล่มองไปทางด้านข้าง จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยหลังเข้าไปในทางเดินที่อยู่ทางนั้น ตรงนี้มีซากโทรทัศน์วางซ้อนกันอยู่หลายเครื่อง หากมองจากมุมของซอมบี้งูที่เลื้อยอยู่กับพื้นอย่างนั้น ไม่สามารถมองเห็นได้แน่นอน

“ซือ ซือ…”

ไม่นานซอมบี้งูตัวนี้ก็โผล่หัวออกมาจากมุมเลี้ยว แต่ทันใดนั้นมันกลับหยุดเลื้อยไปดื้อๆ

ดวงตาสีเหลืองอ่อนๆ คู่นั้นจ้องทางเดินอันมืดมิด ความงุนงงฉายผ่านดวงตาชั่วขณะ

ในทางเดินเส้นนี้ ไม่มีใครอยู่เลย…

แต่ในตอนนั้นเอง ทันใดนั้นเธอกลับอ้าปาก และเปล่งเสียงร้องออกมาเบาๆ “อ๊ะ!”

ขณะเดียวกันเธอหันหลังขวับกลับไป และมองเห็นเงาร่างของคนคนนั้นทันที

ทว่าการโผล่ออกมาครั้งนี้ของเงาร่าง กลับไม่ได้มีทีท่าเหมือนจะถอยหนีอีก ตรงกันข้าม เขายกเท้าเหยียบหางของเธอไว้!

“ฮู่ว ไม่คิดว่าจะเหยียบโดนจริงๆ นะเนี่ย…”

หลิงม่อผ่อนลมหายใจ ในขณะที่ซอมบี้งูตัวนั้นเริ่มดิ้นขัดขืน และพยายามบิดหัวไปมาเพื่อจะหลุดออกจากพันธนาการ

แต่มือทั้งสองข้างของเธอถูกห่วงเหล็กมัดไว้ เหลือเพียงปากที่ใช้งานได้ แต่ด้วยสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เธอใช้จะปากกัดหลิงม่อ…

ร่างจริงของหลิงม่อในตอนนี้ก็กำลังขมวดคิ้ว ในเสี้ยววินาทีที่ตัดสินใจเหยียบหางของเธอเขาก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าพอเหยียบแล้วสัมผัสจะประหลาดขนาดนี้

แน่นอน เหตุผลหลักเกิดจากที่เจ้าหุ่นซอมบี้ไม่ได้ใส่รองเท้าด้วย เพราะมันเป็นเพียงตัวทดลอง ถ้าหากไม่ใช่ว่าหลิงม่อหาเสื้อกาวน์มาได้ตัวหนึ่ง ไม่แน่เจ้าหุ่นซอมบี้อาจกำลังเดินโล่งโจ้งอยู่ในอาคารหลังนี้ในยามวิกาลก็เป็นได้…

“แรงเยอะมากเลยนะเนี่ย…” หลิงม่อออกแรงเหยียบ ซอมบี้งูตัวนี้เคลื่อนไหวได้ไม่เร็วเพราะได้รับผลกระทบ แต่เรี่ยวแรงของมันกลับไม่ได้ถูกจำกัดไปด้วย

เขาเหลือบไปมองโซ่เหล็กที่อยู่ใต้ลำตัวซอมบี้งู พลางยกเท้าอีกข้างขึ้นมาเหยียบช่วย แล้วย่อตัวลงไปใช้เข่ากดหางงูไว้แน่น จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้าโซ่เหล็กนั่น

เมื่อหลิงม่อออกแรงกระชากโซ่เหล็กเข้ามาหาตัว ในที่สุดร่างกายท่อนบนของซอมบี้งูก็ขยับไม่ได้อีก ร่างกายท่อนบนของเธอแหงนขึ้นสูง ดวงตาทั้งสองข้างต้องหลิงม่อเขม็ง ในขณะที่ปากยังคงอ้าค้างอยู่อย่างนั้น

ในตอนนี้หลิงม่อจึงได้สังเกตเห็น ดูเหมือนว่าเอวของซอมบี้งูตัวนี้จะเคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก กระทั่งดูแข็งๆ เล็กน้อย

หลิงม่อจ้องมองเอวของเธอ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับชายเสื้อสีแดงข้างหนึ่งของเธออย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆ ถลกขึ้น

“เชี่ยย…”

เขามองเพียงแวบเดียว แล้วรีบดึงเสื้อลงมาเหมือนเดิม

ไม่นาน เขาก็หันไปมองกระดาษแผ่นที่แขวนอยู่กึ่งกลางระหว่างเนินเขาสองลูกของซอมบี้งู

“ใช่จริงๆ ด้วย!”

เพิ่งจะเห็นอักษรเล็กๆ เพียงบรรทัดเดียว หลิงม่อก็มั่นใจในการคาดเดาของตัวเองแล้ว

เขาเงยหน้ามองใบหน้าของซอมบี้งู …ถ้าหากมองข้ามเกล็ดพวกนั้นไป แล้วตัดสินจากแค่เครื่องหน้าทั้งห้า เธอก็คงจะเป็นซอมบี้เพศหญิงที่ดูปกติตัวหนึ่ง…

“งูกลายพันธุ์แขนขาถูกปลูกถ่าย…ความจริงต้องบอกว่าเอามาต่อกันมากกว่า…” หลิงม่อหันกลับไปมองหางงูส่วนที่เหลือซึ่งกำลังดิ้นไปมาอยู่ด้านหลัง แล้วในใจก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น “ทำไมถึงได้ทำการปลูกถ่ายกระดูกให้สิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์อย่างนี้ได้สำเร็จล่ะ…ขนาดเฮยซือยังทำได้แค่สิงร่างอวี๋ซือหรานเท่านั้น แล้วตอนนี้มันก็ทำได้แค่เจาะดวงจิตเพื่อใช้ร่างกายร่วมกันเท่านั้น…”

แต่เมื่อมองไล่ลงไปเรื่อย หลิงม่อก็ต้องช็อกค้างไป!

ถึงจะรู้อยู่แล้วว่านักวิจับที่ทำเรื่องอย่างนี้ต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ แต่เจ้าโรคจิตคนนี้ช่างมีหัวคิดซะจริงๆ!

“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…หลังจากที่เลือกงูกลายพันธุ์และซอมบี้ที่เหมาะสมได้แล้ว ก็ป้อนอาหารด้วยเลือดของอีกฝ่ายเป็นระยะเวลานาน เพื่อปรับทิศทางการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสในร่างกายให้ไปในทางเดียวกัน สุดท้ายก็ค่อยทำการปลูกถ่ายสินะ…” หลิงม่อตะลึงปากอ้าตาค้าง ถึงตามทฤษฎีเชื้อไวรัสจะสามารถเปลี่ยน DNA ของเจ้าของร่างได้ แต่คนที่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ขึ้นมาจากทฤษฎีดังกล่าวได้ ช่างเป็นโรคจิตที่มีแรงขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่จริงๆ!

“หืม? มีคำว่า แต่ ด้วย…”

หลิงม่อเหลือบเห็นคำว่า “แต่” จึงรีบเลื่อนสายตาอ่านข้อมูลข้างล่าง

“ทว่าการจะควบคุมสมดุลที่จับต้องได้ยากนี้กลับเป็นเรื่องที่ยากมาก โดยเฉพาะหลังจากทำการปลูกถ่าย เมื่อหยุดการจ่ายเลือดทั้งสองชนิดให้พวกมันหรือเมื่อเกิดปัญหาเรื่องปริมาณของเลือด บริเวณข้อต่อของหางงูและร่างกายของซอมบี้ก็จะเกิดร่องรอยการเน่าเปื่อย จนสุดท้ายทำให้หางงูหลุดออก…ผลการทดลองที่ได้หลังจากการปลูกถ่ายก็ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ แต่ในฐานะที่เป็นสินค้ากึ่งสำเร็จรูปที่ประสบความสำเร็จครึ่งหนึ่ง ฉันก็ยังคงยืนหยัดในความคิดที่ว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรค่าแก่การเชยชม ถึงแม้ฉันจะถูกบอสใหญ่ปฏิเสธน้ำใจอย่างนอบน้อม หลังจากที่ฉันพยายามจะหยิบยื่นน้ำใจนี้ให้อย่างกระตือรือร้นก็ตาม…

“อย่างนี้จะเรียกว่าน้ำใจก็ไม่ถูกมั้ง! นี่มันจงใจหยิบยื่นความประสงค์ร้ายให้กันชัดๆ!” หลิงม่ออ่านแล้วรู้สึกขนลุก ถึงแม้อักษรในกระดาษแผ่นนี้จะถูกพิมพ์ขึ้น จึงไม่เห็นลายมือ แต่ภาษาการพูดอย่างนี้พอดูออกได้ว่า นี่ก็เป็นผลงานของนักวิจัยคนนั้นเช่นกัน! หลิงม่อถึงขั้นสงสัย ตัวทดลองประเภทปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่เขาเคยเจอมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ทั้งเจ้าหมายเลข 0 หมายเลข 1 ซอมบี้สุนัข รวมถึงซอมบี้กลายร่างที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงด้วยฝีมือมนุษย์ที่พวกเย่เลี่ยนเจอ ล้วนเป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากลายมือของคนคนนี้ทั้งนั้น! หรืออย่างน้อย คนคนนี้ก็จะต้องมีบทบาทสำคัญมากในระหว่างการทำวิจัยเหล่านี้!

เขาคืออัจฉริยะโรคจิตที่บ้าคลั่งมากคนหนึ่ง!

“แต่บอสใหญ่ที่ว่านี้…หรือจะเป็นบอสใหญ่ของนิพพานสำนักงานใหญ่?” หลิงม่อครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ไม่นานก็มองข้ามเรื่องนี้ไป เพราะ “บอสใหญ่” ท่านนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา หรือถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือ พวกเขาทั้งสองถือเป็นศัตรูกันด้วยซ้ำ ในสถานการณ์อย่างนี้ จะให้ดีอย่ารู้จักมักจี่กันจะดีกว่า

“เดี๋ยวก่อน…หางงูถูกต่อเข้ากับร่างกายท่อนบนของซอมบี้ตัวนี้ แล้วหัวงูกับร่างกายท่อนล่างของซอมบี้ตัวนี้ล่ะ?”

จู่ๆ หลิงม่อก็นึกอะไรบางอย่างที่น่าสยดสยองขึ้นมาได้…

เขารีบกวาดมองไปรอบกาย โชคดี ที่รอบๆ ยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม…

แต่ในเสี้ยววินาทีที่สายตาของเขาเหลือบผ่านประตู หลิงม่อกลับเห็นเงาตะคุ่มโฉบหายไปอย่างรวดเร็ว

“ใครน่ะ?!”

หลิงม่อก้มหน้ามองซอมบี้งู หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พุ่งตัวไปข้างหน้า แล้วเอาศีรษะโขกกับหัวเธออย่างแรง

เมื่อซอมบี้งูล้มลงไปด้วยอาการมึนงง หลิงม่อก็รีบควบคุมให้เจ้าหุ่นซอมบี้ลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งตามเงาตะคุ่มนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนมุมมองความคิดต่ออาคารชั้นนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อกี้เงาตะคุ่มที่ซุ่มดูอยู่หน้าประตูอาจไม่ใช่คน และอาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตพิสดารบางชนิด!

ส่วนตัวเขาก็เพิ่งจะลักลอบเข้ามาได้ จะปล่อยให้ถูกจับง่ายๆ ตอนนี้ไม่ได้

“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่กำลังก่อกวนสัมผัสทุกด้านอยู่ในตอนนี้ มั่นใจได้เลยว่ามันไม่ใช่วิธีป้องกันไฟไหม้หรือป้องกันขโมย แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักวิจัยคนนั้นเก็บสะสมตัวทดลองพวกนี้ต่างหาก! แต่การทำอย่างนี้ก็ถือเป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับมนุษย์ ไม่รู้ว่าคนคนนั้นจัดการเรื่องนี้อย่างไร.”..

ระหว่างที่หลิงม่อวิ่งตามออกไป ความคิดของเขากำลังฟุ้งซ่านไปในหลายเรื่อง จากการสำรวจที่นี่ เขาเริ่มเข้าใจสภาพแวดล้อมของชั้นหกมากขึ้นแล้ว

“ไปไหนแล้ว…”

เพราะเสียเวลาไปเมื่อกี้ ตอนนี้พอหลิงม่อวิ่งออกมา เขาก็พบว่างโถงทางเดินว่างเปล่าไร้เงาคนแล้ว

เขามองซ้ายมองขวา พลันฉายแววตาแห่งความร้อนใจออกมา

หลายวินาทีผ่านไป จู่ๆ เขากลับหลับตาลง

สวบๆๆ…

เจ้ามาสเตอร์บอลพุ่งมาจากอีกฟากของเพดาน สภาวะของมันตอนนี้หากจะให้สำรวจสภาพแวดล้อมก็คงจะเป็นเรื่องยากเกินไป แต่ถ้าจะให้ตามหาสิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลัง…

เสี้ยววินาทีที่รวมตัวกับเจ้ามาสเตอร์บอล หลิงม่อควบคุมให้เจ้าหุ่นซอมบี้ลืมตาขึ้น แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ

แถวๆ นี้ไม่มีทางเลี้ยว ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าเงาร่างเมื่อกี้อาจซ่อนตัวอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งใกล้ๆ นี้…

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset