แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 757 “พลังถลึงตา”

แต่เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วเจ้าซอมบี้ไม่ได้พูดเล่น สองพ่อลูกเพิ่งจะก้าวเท้าเพื่อเดินออกจากห้อง เสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ก็ดังมาจากข้างหลัง ทั้งสองหันขวับไปดู แต่กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว เห็นเพียงบานหน้าต่างที่กำลังสั่นไหวเบาๆ

“เร็วเชียวนะ” หลันหลันพึมพำ

เธอไม่เข้าใจซอมบี้ตัวนี้เลยซักนิด แถมจนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่ามันทำเรื่องพวกนี้สำเร็จได้อย่างไร แค่คำตักเตือนเมื่อกี้ของเจ้าซอมบี้ กลับเป็นการชี้โพรงให้กระรอกอย่างเธอ

พอเห็นเจ้าซอมบี้จากไปแล้ว หลันหลันก็กระตุกมุมปาก เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

เจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว จะทำอะไรเธอได้ล่ะ?

เธอไม่มีทางลืมความรู้สึกตอนที่ต้องถูกกดหน้าลงกับพื้นจนเลอะฝุ่น และไม่มีทางลืมว่าถูกหิ้วไปหิ้วมาเหมือนลูกแมวอย่างไรบ้าง

เจ้าซอมบี้ตัวนี้จะต้องมีความลับอยู่เยอะแน่ๆ และมนุษย์ที่กำลังมารับพวกเขา ก็คือหนทางเจาะความลับดีๆ นี่เอง!

เธอจัดการซอมบี้ไม่สำเร็จ แต่จะจัดการมนุษย์ไม่สำเร็จเชียวหรือ?

หลันหลันข่มความตื่นเต้นไว้ในใจและเดินออกไป ไม่นานเธอก็เห็นหลิงม่อที่ยืนอยู่บนทางเดินข้างนอก

ทว่าพอเห็นเขา หลันหลันก็ชะงักไปทันที

นี่มันค่อนข้างจะ…ต่างจากที่เธอจินตนาการไว้มาก…

คนที่ร่วมมือกับเจ้าซอมบี้นั่น น่าจะเป็นคนโรคจิตอย่างเหล่าหลันถึงจะถูกสิ

แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเธอกลับดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบต้นๆ เขาสวมชุดลำลองสะอาดสะอ้าน และสะพายกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ เค้าโครงหน้าตาดูสดใสสมวัย

โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ถึงแม้จะอยู่ในความมืด แต่กลับทำให้รู้สึกว่าช่างเป็นดวงตาที่เปล่งประกายมาก

เหมือนอย่างตอนนี้ ที่เขากำลังจ้องพวกเขาสองพ่อลูกอย่างพิจารณา แต่ทั้งสองกลับรู้สึกเหมือนถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง

“มากับฉันเถอะ” หลิงม่อกระชับสายกระเป๋าเป้ แล้วพูดขึ้น

ในตอนนั้นเอง เสียงอึกทึกครึกโครมดังลงมาจากชั้นบนอีกครั้ง แล้วยังดูเหมือนว่ามีใครกำลังร้องตะโกนอยู่

คราวนี้ไม่ต้องรอให้หลิงม่อเร่งเร้า ทั้งสองคนรีบเดินตามหลับไปติดๆ ทันที

พอเดินไปถึงปากบันได พวกเขาสองคนก็เห็นมู่เฉินที่ยืนเฝ้าต้นทางอยู่ตรงนั้น

มู่เฉินเบิกตากว้างตะลึงค้างไปทันที

ไหนบอกว่าไปทำอะไรบางอย่าง? ทำไมถึงได้พาคนเป็นๆ ออกมาสองคน!

“หนีกันก่อน ระหว่างทางค่อยคุยกัน มู่เฉิน แบกเขาคนนี้ขึ้นหลัง เขาช้าเกินไป” หลิงม่อกวักมือเรียก พลางพูดขึ้น

เสียงโครมครามจากชั้นบนดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนแหกปากตะโกนร้องพลางวิ่งพรวดพราดลงมา

ผ่านไปไม่ถึงสองวินาที เงาร่างของใครคนหนึ่งก็จับราวบันไดชั้นบน จากนั้นก็กระโดดลงมา ทิ้งตัวลงด้านหลังหลันหลันอย่างทุลักทุเล

หลันหลันเพียงรู้สึกว่าข้างหลังมีใครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แต่กลับตั้งตัวไม่ทัน

เธอเกร็งไปทั้งตัว แต่จู่ๆ ก็เห็นหลิงม่อหันหน้ามา และจ้องไปข้างหลังเธอด้วยดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น

ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงร้องครวญดังขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงล้มดัง “พลั่ก” เธอกระทั่งรู้สึกได้ว่ามือของอีกฝ่ายสัมผัสถูกส้นเท้าตัวเองด้วย

“กรี๊ด!” หลันหลันตกใจ เธอไม่รู้เลยว่าหลิงม่อลงมืออย่างไร

พลังอะไรกันนี่? หรือว่าจะเป็น…พลังถลึงตา?!

แค่จ้องทีเดียว ก็สามารถทำให้คนล้มได้ นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!

จู่ๆ หลันหลันก็รู้สึกขึ้นมา ว่าเขาคนนี้อาจไม่ได้เข้าหาง่ายกว่าซอมบี้ตัวนั้นเลย!

ส่วนเหล่าหลันกลับตะลึงมาก พลังของเจ้าหนุ่มคนนี้สุดยอดมาก นั่นยิ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าคำพูดของซอมบี้ตัวนั้นน่าเชื่อถือจริงๆ

“อย่ามัวอึ้ง ไม่นานเขาก็จะฟื้นขึ้นมาแล้ว” หลิงม่อเตือน

ในสถานการณ์ที่ต้องเผาผลาญพลังงานมากอยู่แล้วยังต้องแบ่งสมาธิมาใช้พลังบีบรัดดวงจิตอีก ตอนนี้หลิงม่อจึงรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย

ในเวลาปกติ พลังบีบรัดดวงจิตของเขาแค่ใช้ครั้งเดียวก็สามารถทำให้คนคนนี้สลบไปอีกนาน แต่ตอนนี้แม้แต่ยี่สิบนาทีจะถึงหรือเปล่ายังไม่รู้

“ทำไมนายไม่ฆ่าเขาเลยล่ะ?” หลันหลันเร่งฝีเท้าวิ่งตามหลังเขา จากนั้นก็ถามขึ้น

หลิงม่อรู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งตัว “ทำไมเอะอะก็จะฆ่าคน?”

“อย่าพูดเหมือนฉันเป็นโรคจิตชอบฆ่าคนอย่างนั้นสิ ฉันก็แค่สงสัย…” หลันหลันอธิบายอย่างละอายเล็กน้อย

แต่ปรากฏว่าประโยคหลังของหลิงม่อกลับทำเธออึ้ง “เรายังต้องใช้เขาถ่วงเวลาพวกสัตว์ประหลาดข้างบนนั้นอีกนะ”

“…นายนี่มันเหมือนเจ้า…พวกนายมันไม่ได้ต่างกันเลย!” หลันหลันพูดอย่างโมโห

หลิงม่อพูดอย่างเรียบเฉย “ฉันเป็นคนสอนเขาพูด จะเหมือนกันก็ไม่เห็นแปลก”

สำเนียงและวิธีการพูดของคนคนหนึ่ง ล้วนเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าอยากให้เปลี่ยนก็จะเปลี่ยนได้ทันที แน่นอนหลิงม่อคงปกปิดจุดนี้ได้ยาก ดังนั้นเขาจึงหาเหตุผลมากลบเกลื่อนไว้ก่อนล่วงหน้า

หลันหลันเม้มปากอย่างพูดไม่ออก แต่เหล่าหลันกลับจ้องหลิงม่ออย่างตื่นเต้น

เขาก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าจะสอนซอมบี้ให้พูดเป็นด้วย!

มีเพียงมู่เฉินคนเดียวที่มึนตึ๊บไปหมด นี่พวกเขา…พูดเรื่องบ้าอะไรกันอยู่!

ทุกคนวิ่งลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังวิ่งออกจากทางเดิน เสียงปืนรัวก็ดังมาจากจุดที่อยู่ไม่ไกล ทำเอาหลันหลันสะดุ้งตกใจ และยกมือขึ้นกุมหัววิ่งไปหลบหลังประตูทันที

“พวกเราจะไปกันยังไง?” เธอถามอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย

“ไม่ต้องกลัว แค่ตามฉันมาก็พอ สนามรบย้ายไปอยู่ข้างบนนั้นแล้ว ที่นี่ไม่ค่อยมีใครอยู่หรอก” หลิงม่อเพิ่งจะเดินออกไป ก็หันมามองหลันหลัน แล้วยื่นมือออกไปหาเธออย่างจนใจ “ฉันจะจับมือเธอไว้แล้วกัน”

“ใครอยากให้นายจับไม่ทราบ!” หลันหลันเพิ่งจะปากแข็งออกไปก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาอีกครั้ง เธอตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว พลันรีบคว้ามือหลิงม่อไว้ทันที

“อย่าบีบแน่นสิ…” หลิงม่อบอก

หลันหลันคลายมือออกเล็กน้อยอย่างเก้อเขิน ในใจลอบด่า “ตาบ้านี่ พูดเหมือนฉันแต๊ะอั๋งเขาอย่างนั้นแหละ”

ตอนแรกเธอนึกว่าหลิงม่อต้องเตรียมทำอะไรบางอย่าง หรืออย่างน้อยก็หยุดสังเกตการณ์ก่อนครู่หนึ่งแน่ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะจับมือเธอ แล้วเดินออกไปหน้าตาเฉยเลยแบบนี้

พอถึงห้องโถงใหญ่ หลันหลันก็อึ้งไปทันที

ย้ายไปที่ไหนกัน ในนี้ก็โกลาหลมากเหมือนกันนี่นา!

เปลวไฟ ควันโขมง เสียงปืน…ห่างออกไปสิบกว่าเมตร เสียงลูกกระสุนกระทบผนังดังขึ้นชัดเจน สถานการณ์อย่างนี้ ใครที่ไหนจะกล้าออกไปกันเล่า!

ถ้าจำเป็นจะต้องเดินผ่านทางนี้จริงๆ ก็คงต้องไต่ผนังออกไปแล้ว!

หลันหลันตกใจจนเกือบจะหมอบลงไปหลายครั้งแล้ว เธอได้ยินเสียงเหล่าหลันแหกปากร้องด้วยความตกใจอยู่บนหลังมู่เฉินหลายครั้ง แต่ไม่รู้เพราะอะไร หลิงม่อกลับยังคงไม่หยุดเดิน กระทั่งเร่งฝีเท้าเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ถ้าหากเมื่อกี้พวกเขาไม่ได้เพิ่งเห็นพลังของหลิงม่อกับตาตัวเอง ไม่แน่เธออาจสะบัดมือเขาทิ้งแล้ววิ่งไปหลบอีกทางนานแล้ว ถึงเธอจะมีหน้าที่แค่วิ่งตาม แต่ก็รู้สึกกดดันเหมือนกันนะ!

แต่คนคนนี้…ฝ่ามือของเขากลับไม่มีเหงื่อเลยแม้แต่น้อย

เขาเอาความใจเย็นและความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน?

หลันหลันเข้าใจแล้ว เทียบกับซอมบี้ เขาคนนี้มีความลับมากกว่าเยอะ

ไม่นานพวกเขาก็ผ่านห้องโถงใหญ่มาได้ หลังจากเดินผ่านทางเดินมา ทุกคนก็มาถึงทางเลี้ยวแห่งหนึ่ง

เมื่อซุ่มมองอยู่ตรงนี้ ก็จะมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดตรงประตูใหญ่พอดี

มู่เฉินยืนแอบผนังแล้วลอบสังเกตดูอย่างละเอียด แต่หลิงม่อกลับยืนพิงผนังเฉยๆ เหมือนกำลังรอเวลาอยู่

มีเจ้ามาสเตอร์บอลอยู่ เขาไม่จำเป็นต้องดูด้วยตาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ที่นี่มีคนเยอะมาก” มู่เฉินบอก

เหล่าหลันเองก็ชะโงกหน้าออกไปแอบดูเล็กน้อย แล้วบอกว่า “มากจริงๆ เดาว่าพวกบอสใหญ่คงจะอพยพออกไปแล้วล่ะ?

เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็มากพอที่พาตัวพวกนั้นออกมา เรื่องนี้หลิงม่อคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว

หลันหลันมองหลิงม่อแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “นายคิดจะออกไปอย่างหร?”

“รอก่อนเถอะ เขาออกไปช่วยพวกเราแล้ว” หลิงม่อขยิบตาให้ เป็นเชิงบอกว่าเธอก็รู้ว่าฉันหมายถึงใคร

หลันหลันชะงัก แต่เหล่าหลันกลับฉีกยิ้ม และพยักหน้าอย่างตื่นเต้นดีใจ

“ใช่แล้ว ฉันขอแนะนำให้พวกเธอรู้จักหน่อย” เห็นมู่เฉินทำหน้าเหมือนคนใกล้จะบ้าเต็มที หลิงม่อจึงยิ้มแล้วบอกว่า “นี่คือมู่เฉิน นี่คือหลันหลัน แล้วก็พ่อของเธอ เรียกเขาว่าเหล่าหลันแล้วกัน”

สองพ่อลูกไม่ค่อยสนใจมู่เฉินนัก จึงพยักหน้าผ่านๆ

มู่เฉินกลอกตาขาว นี่เรียกว่าแนะนำได้ด้วยหรอ?

“หัวหน้าทีม มานี่หน่อย” มู่เฉินดึงหลิงม่อเข้ามา แล้วถามเสียงเบา “ทำไมนายถึงได้พาสองคนนั้นออกไปด้วย?”

“มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากนี่” หลิงม่อบอก

“ไม่ได้ ฉันลงเรือลำเดียวกับนายแล้ว นายต้องบอกฉันก่อนสิ ครั้งนี้นายทำนิพพานไว้แสบถึงขั้นไหน? อย่างน้อยให้ฉันเตรียมใจไว้หน่อยเถอะ” มู่เฉินถาม

หลิงม่อทำหน้าครุ่นคิดจริงจังอยู่หนึ่งวินาที แล้วตอบว่า “ฉันเดาว่า บอสใหญ่ของพวกเขาคงจะโมโหจนแทบกระอักเลือดเลยล่ะ…”

“…” มู่เฉินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สบถออกมาอย่างลืมตัว ชิบหาย!”

“นายไม่ต้องกลัวหรอกน่า ฉันไม่ได้ใช้ชื่อจริงนี่” หลิงม่อตบไหล่มู่เฉินเบาๆ แล้วบอก

มู่เฉินน้ำตานองหน้า “แต่ฉันใช้ชื่อจริงโว้ย! แล้วพวกนั้นก็จำฉันได้แล้วด้วย!”

เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายจบลง นิพพานจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถึงที่สุดแม้ต้องพลิกแผ่นดินก็ตาม แต่เมื่อพบว่าในหมู่สมาชิกธรรมดากลับขาดพวกเขาสองคนไป แล้วยังมีพยานหญิงคนนั้นที่ถูกพวกเขาตีสลบอีก เท่านี้ก็รู้โดยไม่ต้องตรวจสอบแล้วว่าเป็นฝีมือพวกเขาแน่นอน

“ไม่เป็นไรน่า ต่อไปนายก็ไปอยู่ในกองกำลัง F พวกเขาตามตัวนายไม่เจอง่ายๆ หรอก” หลิงม่อพูดต่อ

“นี่มันไม่ได้ช่วยปลอบใจกันเลยนะ!” มู่เฉินอยากจะยกมือข่วนผนังเหมือนคนบ้า

เวลานี้ บนลานกว้างนอกตึกมีผู้คนมากมายกำลังยืนรวมตัวกันอยู่ ปากประตูมีเจ้าหน้าที่ยามยืนเรียงแถวกันอยู่ และกำลังยกปืนขึ้นเล็งไปทางตึก

หลายๆ คนกำลังซุบซิบกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ในขณะที่ด้านหนึ่งมีรถบัสโรงเรียนจอดอยู่โดยมีเจ้าหน้าที่ยามยืนคุ้มกันรอบๆ ประตูรถปิดแน่น แสงสลัวส่องออกมาจากด้านในเล็กน้อย

สายตาของผู้คนลอบมองไปทางรถบัสคันนั้นเป็นพักๆ พลางพูดคุยเสียงเบา “พวกหัวหน้าอยู่ในนั้นกันหมดสินะ?”

“อืม เดาว่าคงกำลังประชุมอย่างเร่งด่วนกันอยู่ เรื่องครั้งนี้ไม่ใช่เล็กๆ ทำเอาคนระดับนั้นต่างต้องกระโดดลงจากเตียงกลางดึกทีเดียว” มีคนพูดขึ้นเสียงเบา

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?” ใครบางคนถาม

“ทีมวิจัยเกิดเรื่องแน่ๆ เลย ใช่ไหม?…”

“ไม่รู้สิ แต่ซอมบี้ต้องหลุดออกมาจากตึกทดลองแน่นอน อีกอย่างที่รับมือยากขนาดนั้น ก็เป็นเพราะพวกมันผ่านการปรับโครงสร้างที่เป็นฝีมือของพวกเจ้าหน้าที่วิจัยไม่ใช่หรอ?”

“คราวนี้เหมือนยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเองชัดๆ ยังไม่ทันได้ใช้งานจริง แต่กลับทำลายบ้านตัวเองก่อนซะงั้น…”

คนเหล่านี้กำลังถกเถียงกันอย่างออกรส แต่ทันใดก็เห็นประตูรถถูกเปิด

ถึงจะเห็นไม่ชัดว่าใครกำลังมองออกมา แต่ทุกคนต่างค่อยๆ พากันละสายตาออกไป พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เบาลงมาก

“ล็อกกลอนก่อนเถอะ ห้ามให้ใครออกไปทั้งนั้น” ผู้ที่อยู่ด้านหลังหน้าต่างรถพูดขึ้น ขณะที่ยังเคาะนิ้วกับพนักเก้าอี้เบาๆ

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา มีตาข่ายเหล็ก แล้วยังมีปืนกลที่ถูกส่งมาอย่างเร่งด่วนอีกหลายลำ ไม่มีใครออกไปได้แน่นอน” มีคนตอบขึ้น

แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ณ มุมหนึ่งใกล้ๆ ตาข่ายเหล็กในตอนนี้ มีเงาสีขาวเงาหนึ่งกำลังไหววูบไปมา…

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset