แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 773 มือที่อยู่ข้างหลัง

“อุตส่าห์มาตามหาในที่ลับตาคนแบบนี้แล้ว หวังว่าคงจะไม่เจอพวกนั้นแล้วนะ…”

บนถนน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองดูสิ่งก่อสร้างที่อยู่ไม่ไกลนัก พลางลอบร้องฉลองดีใจเงียบๆ

เขาหันไปมองเสี่ยวพานที่เดินเงียบๆ อยู่ในกลุ่มคน แล้วถามว่า “ทางนี้ไม่ผิดแน่นะ?”

ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่อย่างไรก็ยังต้องแสดงละครตบตาให้สมจริงต่อไป…

เสี่ยวพานพยักหน้า แต่จู่ๆ เขาก็ยืดคอสูดหายใจลึก แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

“เจออะไรหรือ?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหัวใจเต้น “ตึกตัก” เขาถามอย่างกังวลทันที

“อืม มีกลิ่นฉุนรุนแรงมากกลิ่นหนึ่งอยู่แถวนี้ เหมือนกลิ่นเลือดของซอมบี้ แต่ก็แตกต่าง ฉันบอกไม่ถูก” เสี่ยวพานบอกอย่างละเอียด

ใครคนหนึ่งในกลุ่มพูดแทรกขึ้น “คงไม่ใช่สัตว์กลายพันธุ์หรอกนะ?”

“อาจเป็นไปได้ สัตว์กลายพันธุ์มีหลายสายพันธุ์ กลิ่นก็แตกต่างกัน ฉันทำได้แค่แยกแยะได้คร่าวๆ เจาะจงกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เสี่ยวพานพยักหน้า แล้วอธิบาย

พอได้ยินคำตอบของเสี่ยวพาน สมาชิกในทีมต่างพากันแตกตื่นขึ้นมาชั่วขณะ

“นายหมายความว่าข้างหน้ามีสัตว์กลายพันธุ์? ถ้าอย่างนั้นพวกเราอย่าไปดีกว่า…”

“แกโง่รึไง ไม่ได้ยินหรอหมอนั่นบอกว่าได้กลิ่นเลือดน่ะ?”

“ใช่ ถึงจะเป็นสัตว์กลายพันธุ์ แต่มันก็บาดเจ็บอยู่นี่”

หลังความกลัวชั่วขณะหายไป สมาชิกคนหนึ่งในทีมก็พูดขึ้นว่า :“พวกนายว่า สัตว์กลายพันธุ์ตัวนี้ได้รับบาดเจ็บได้ยังไง? หรือจะเป็น …พวกนั้น?”

“เป็นไปได้! พวกนั้นสามารถล่อสัตว์กลายพันธุ์เข้ามาได้ แต่จะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของมันได้ด้วยงั้นหรอ? ไม่แน่พวกนั้นอาจกรรมตามสนอง ถูกสัตว์กลายพันธุ์ทำร้ายซะเองก็ได้” มีคนพูดเสริมอย่างมีความหวัง

“ไม่ผิดแน่ พวกนั้นเดินอ้อมเข้าไปในป่า มีโอกาสเจอสัตว์กลายพันธุ์มากกว่าพวกเราอีก”

“ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกนั้นจะเป็นยังไง ถ้าหากสัตว์กลายพันธุ์เป็นฝ่ายได้เปรียบ…”

เสียงพูดคุยถกเถียงในทีมคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง แต่เพราะแถวๆ นี้มีสัตว์กลายพันธุ์อยู่ และยังเป็นไปได้มากว่าศัตรูก็อาจอยู่แถวนี้ด้วย พวกเขาจึงพูดคุยกันเสียงเบาโดยที่ไม่ต้องมีใครเตือน

ทว่าจากบทสนทนาของพวกเขา ฟังออกได้ไม่ยากว่าสมาชิกทีมเหล่านี้ต่างกำลังคันไม้คันมือเต็มที่แล้ว

ถ้าหากพวกหลิงม่อกำลังลำบาก ก็เท่ากับว่าความเสี่ยงที่พวกเขาต้องเผชิญจะลดลงมาก

ถึงแม้จะไม่สามารถเอาตัวหลิงม่อกลับไปรับรางวัล แต่อย่างน้อยหากจับพรรคพวกของเขาได้ซักคนสองคนก็ยังดี…

พอเห็นแบบนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็หงุดหงิดขึ้นมา

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นหัวหน้าทีมซ่งเป็นคนนำทีม พวกนี้จะยังกล้าพูดมากอย่างนี้อีกไหม?

ตอนนี้จิตใจของเขาก็กำลังว้าวุ่นมาก แต่ตอนนี้มันเหมือนกลัวอะไรได้อย่างนั้นชัดๆ เลยนี่!

ทั้งที่อุตส่าห์มาในที่ลับตาคนแบบนี้แล้ว เพิ่งจะโล่งอกได้ไม่นาน แต่ใครจะคิดว่าจะดันมาเจอพวกนั้นที่นี่!

ความน่าจะเป็นที่เหล่าสมาชิกทีมวิเคราะห์ออกมา เขาเองยังคิดว่ามันเป็นไปได้เลย…

“บ้าชิบ แต่ละคนทำเป็นรับผิดชอบต่อหน้าที่! แล้วเจ้าเสี่ยวพานนั่นอีก แม่เอ็ง ไม่รู้จักยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์เลยรึไงวะ!”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลอบด่าในใจ แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนขึ้น : “รอเดี๋ยว!”

พอเห็นว่าทุกคนมองมาที่ตัวเอง เขาก็พูดว่า “พวกนายไม่รู้สึกหรอว่าข้างหน้านั้นเงียบมาก?”

นี่เป็นจุดที่เขาคิดว่ามันน่าแปลก หากพูดขึ้นมา ไม่แน่เหล่าสมาชิกทีมอาจอยากล่าถอยก็ได้…

“ใช่ เงียบมากจริงๆ” มีคนพูดขึ้น

“หรือว่าการต่อสู้จะจบไปแล้ว?” มีคนคาดเดา

“ก็เป็นไปได้นะ…”

“ไปดูกันไหม?”

พอประเด็นนี้ถูกพูดถึง สมาชิกทีมทุกคนต่างก็พากันหันไปมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

“หัวหน้าทีม ร่องรอยของพวกนั้นอยู่แค่ข้างหน้านี้แล้ว พวกเราควรไปตรวจสอบดูหน่อยไหม?”

“จริงด้วย ถ้าหากมีอันตราย พวกเราค่อยถอยก็ได้นี่”

“พวกนั้นรีบหนี คงไม่คิดจะสู้กับพวกเราหรอก อีกอย่างพวกเราก็จะเข้าทางข้างหลังพวกนั้นด้วย…”

“หัวหน้าทีม คิดว่าไง?”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยากจะร้องไห้ให้น้ำตาไหลอาบแก้ม จะว่าไงได้อีกเล่า!

“ไปดูกันเถอะ…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยฝืนบอก

ซือๆๆๆ—

เสียงต้นหญ้าไหวสั่นกำลังเหย้าแหย่กับความเครียดของเหล่าสมาชิก พวกเขาพยายามเดินบนจุดกึ่งกลางถนน เพื่อเข้าใกล้ลานเล็กๆ แห่งนั้นอย่างระมัดระวัง

เมื่อระยะห่างลดลงเรื่อยๆ เงาดำที่เดิมถูกความมืดมิดปกคลุมก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่มีใครเลยนี่…” เมื่อเห็นลานกว้างว่างเปล่า ก็มีคนพูดขึ้น

เสี่ยวพานหันไปมองบ่อน้ำพุที่อยู่กลางลานกว้าง จากนั้นก็เดินเข้าไปช้าๆ

“ทุกคนตามไป” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบอก

เวลาอย่างนี้ เขาไม่กล้าปล่อยให้สมาชิกแยกกัน เกาะกลุ่มกันไว้จะดีกว่า…

ถึงแม้ทำอย่างนี้จะเป็นจุดสะดุดตาได้ง่ายเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถแหวกหญ้าให้งูตื่นได้…

เสี่ยวพานสังเกตเห็นเลือดสองหยดบนพื้นใกล้ๆ บ่อน้ำพุอย่างรวดเร็ว เขาใช้ปลายมีดจิ้มแล้วยกขึ้นดม

“กลิ่นนี้แหละ มันยังใหม่อยู่ น่าจะไหลออกมาได้ไม่เกินสองนาที” เขาดมไปด้วย พูดไปด้วย

“ไม่ถึงสองนาทีงั้นหรือ…” สีหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูหนักใจกว่าเดิม เพิ่งจะผ่านไปไม่นานอย่างนี้ ก็แสดงว่าพวกหลิงม่อยังอยู่แถวๆ นี้น่ะสิ…

“ลองตามหาดูอีกทีเถอะ” เสี่ยวพานลดมีดลง แล้วพูดขึ้น

ลานเล็กๆ แห่งนี้ดูไม่มีอะไรให้น่าค้นหา และก็คงไม่มีใครบุ่มบ่ามวิ่งเข้าไปหาในพุ่มหญ้าด้วย

แต่พอหันไปมองสิ่งก่อสร้างที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลครู่หนึ่ง จู่ๆ เสี่ยวพานก็สูดหายใจลึกๆ

“ทางนั้นมีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถามด้วยความกระวนกระวาย

เสี่ยวพานกลับพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ไม่ค่อยแน่ใจ ข้างในนั้นมีกลิ่นแปลกๆ อยู่ แถมยังเป็นกลิ่นที่เข้มข้นมาก…”

ปากพูด ในขณะที่เท้าของเขาก้าวเดินไปทางสิ่งก่อสร้างหลังนั้นแล้ว

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสีหน้าลนลาน แต่เขากลับทำได้เพียงโบกมือ แล้วนำทีมเดินตามไป

“ถ้าหากแค่ตรวจสอบดู ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เรายืนดูอยู่หน้าประตูก็พอ ทันทีที่เห็นว่าพวกนั้นอยู่ในนั้นจริงๆ ก็แค่ต้องรีบส่งสัญญาณเท่านั้น!” เขากระชับปืนพกแน่น พลางคิดในใจ

แต่พอเดินมาถึงหน้าประตู เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ค้นพบว่าตัวเองโลกสวยเกินไป…

“ชมรมเต้นงั้นหรอ…”

เขาหันไปอ่านป้ายเลอะคราบฝุ่น แล้วมองลอดเข้าไปในช่องประตูที่เปิดแง้มไว้

ข้างในมืดกว่าข้างนอกมาก ทว่าพอปรับการมองเห็นครู่หนึ่ง เขาก็พอเห็นข้างในได้รางๆ

ด้านหลังประตูเป็นทางเดินเส้นหนึ่ง ซึ่งทั้งสองฝั่งของทางเดินเป็นห้องหับมากมาย เดาว่าหากเดินเลี้ยวขึ้นบันไดไปข้างบน ถึงจะเจอห้องสอนเต้นจริงๆ

สภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนอย่างนี้ เขายืนอยู่ข้างนอกจะไปเห็นอะไรได้ล่ะ?

“ชิบ!”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลอบสบถคำหยาบในใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ผลักประตูออกอย่างระมัดระวัง

“ทุกคนฟังนะ ถ้าหากเจอพวกนั้นเข้า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ก็ห้ามต่อสู้โดยลำพังเด็ดขาด ให้รีบส่งสัญญาณ แล้วจะมีคนไปช่วย อีกอย่าง เหลือคนไว้เฝ้าประตูสองคน หากได้ยินความเคลื่อนไหว ให้รีบส่งสัญญาณทันที” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำชับ

“เข้าใจแล้ว…”

“วางใจเถอะ ไม่มีใครอยากตายหรอก”

เมื่อประตูถูกเปิดออกจนสุด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ลอบกลืนน้ำลาย จากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปในทางเดินหลังประตูอย่างระมัดระวัง

บนทางเดินมีซากสิ่งของถูกทิ้งเกลื่อนพื้น แล้วยังมีคราบเลอะปริศนาอีกมากมาย

เจ้าหน้าที่ยามอยากตรวจสอบดูว่ามีรอยเท้าไหม แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงล้มเลิกอย่างจนใจ

ทว่าดูจากภายนอก สิ่งก่อสร้างหลังนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นซากอาคารร้างที่ไม่มีใครอยู่มานานแล้ว

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ดี” เจ้าหน้าที่ยามคิดในใจ

ตอนนี้มีเพียงเสียงสูดหายใจอย่างต่อเนื่องของเสี่ยวพานที่ดังมาจากข้างหลัง เพราะเขากำลังตรวจจับทิศทางที่กลิ่นแปลกๆ นั้นลอยมา

“หาเจอไหม?” มีคนถามขึ้น

เสี่ยวพานบอกว่า : “ที่นี่ถือเป็นพื้นที่ปิดสนิท กลิ่นประหลาดนั่นจึงเข้มข้นขึ้นมาก ฉันต้องหาเจอแน่ๆ”

มีประสาทรับกลิ่นของเสี่ยวพานคอยนำทาง ดังนั้นห้องหับที่เรียงรายอยู่สองข้างทางจึงไม่ถูกแตะต้อง เพราะทุกคนแค่คอยเดินตามหลังเสี่ยวพานเท่านั้น

เสี่ยวพานกำลังสูดดมกลิ่น พลางเดินลึกเข้าไปในตัวอาคาร

จู่ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้นมา : “ข้างในนี้มืดจัง…”

“ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโกรธขึ้ง

ถ้าหากมีคนอยู่ในนี้จริงๆ ก็เป็นไปได้มากว่าพวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่

ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สามารถแหวกหญ้าให้งูตื่น ตอนนี้ยิ่งต้องระวังทุกฝีก้าว

ถึงแม้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะไม่ใช่ผู้นำที่เชี่ยวชาญ แต่เขาก็ยังมีความรู้ทั่วไปอยู่บ้าง

เขาจงใจสั่งให้สมาชิกทีมกระจายตัวเป็นแถวยาวๆ และเหลือคนไว้เฝ้าข้างนอก เพื่อป้องกันการลอบโจมตี

ถึงอีกฝ่ายจะร้ายกาจแค่ไหน แต่จะสามารถจัดการพวกเขาได้ในทันทีเชียวหรอ?

ยิ่งเดินลึกเข้าไป แสงสว่างรอบด้านยิ่งน้อยลง จนกระทั่งแทบจะมองไม่เห็นหน้าของคนที่อยู่ข้างๆ ด้วยซ้ำ

ทว่ามีเสี่ยวพานเดินนำอยู่ข้างหน้า พวกเขาจึงยังพอทำใจให้สงบได้บ้าง

เพียงแต่เสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ที่ดังมาจากบรรดาสมาชิกทีมเป็นระยะ ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรู้สึกกระวนกระบายมาก

อยู่ในสถานที่ที่เงียบขนาดนี้ ช่วยระวังตัวเป็นพิเศษหน่อยไม่ได้หรือไง!

“โชคดีที่เสียงเบามาก น่าจะไม่ได้ยินหรอกมั้ง…”

ไม่นาน เสี่ยวพานก็ดมกลิ่นจนเดินมาถึงบันได้ขึ้นชั้นสอง

เห็นเขาเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน เจ้าหน้าที่ยามก็ถามเสียงเบา : “เป็นไงบ้าง ตรวจสอบได้ไหมว่ามีคนอยู่หรือเปล่า?”

“เรื่องนี้ไม่แน่ใจ กลิ่นนั้นเข้มข้นเกินไป ถึงจะมีกลิ่นมนุษย์อยู่ก็คงถูกกลิ่นแปลกๆ นี้กลบไปแล้ว” เสี่ยวพานส่ายหน้า

“ถ้างั้น…ขึ้นไปกันเถอะ” เจ้าหน้าที่ยามกันฟันพูดออกมา

ตรงทางเลี้ยวบันไดมีกระจกกว้างบานหนึ่ง เมื่อส่องกระจกในเวลาค่ำคืนอย่างนี้ กลับทำให้รู้สึกน่าขนลุกขนพอง

คราบฝุ่นที่เคลือบติดผิวกระจกทำให้เงาที่สะท้อนอยู่ในกระจกดูมัวกว่าเดิม ทว่าตอนเดินผ่าน เจ้าหน้าที่ยามกลับอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปข้างใน

แต่พอเขามองเข้าไป เขาก็ต้องตะลึงค้างไปทันที

กว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะยกปืนขึ้นช้าๆ อย่างสั่นๆ เสี่ยวพานก็ได้เดินขึ้นบันไดไปสองสามขั้นแล้ว

และในตอนนั้น เสียงเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังเขา “จะให้ดีอย่าขยับดีกว่านะ”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนแข็งทื่อ เขากัดฟันหมายจะลั่นไก แต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกหน้ามืดไปวูบหนึ่ง ขณะเดียวกันความรู้สึกเจ็บก็แล่นแปลบมาจากข้อมือ

เมื่อเขาล้มก้นจ้ำเบ้าและได้สติกลับคืนมา ปืนที่เขาถืออยู่เมื่อกี้ก็ได้หายไปแล้ว

เงาร่างผอมๆ เงาหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา ในมือถือปืนไว้กระบอกหนึ่ง : “ไม่ต้องกลัว ฉันก็แค่อยากจะคุยกับนาย”

“แก…”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถอยหลังด้วยความกลัว แต่แผ่นหลังของเขากลับชนเจ้ากับผนัง

เขาเห็นหน้าของคนตรงหน้าไม่ชัด แต่เสียงนี้กลับเป็นเสียงที่เขาจำได้ขึ้นใจ!

เงาร่างที่อยู่ตรงหน้าเขา คือคนที่ปรากฏตัวที่สำนักงานใหญ่คนนั้น!

และเมื่อกี้ในกระจก นอกจากเงาสะท้อนของตัวเอง เขาก็เห็นเงาร่างของคนคนนี้ด้วย

เงาร่างเลือนรางในกระจกกำลังยกมือขึ้น เหมือนกำลังจะยื่นมาจับไหล่เขา…

แต่เขาทำอย่างนี้ได้อย่างไรกันแน่! สมาชิกทีมพวกนั้นล่ะ!

ใช่แล้ว…ยังมีเสี่ยวพานอยู่!

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเงยหน้าขึ้นมอง แต่เขาก็ต้องอึ้งไปอีกครั้ง

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset