แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 775 เพลาๆ ปากหน่อย โดย

เมื่อหลิงม่อสูบบุหรี่มวนที่สองใกล้หมด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เขียนเสร็จพอดี

เขายื่นสมุดโน้ตให้หลิงม่ออย่างระมัดระวัง แล้วบอกว่า “เรื่องที่ฉันพอนึกออก ก็เขียนหมดแล้ว ไม่น่าจะตกหล่นแล้ว…” ความรู้สึกกระวนกระวายนี้เหมือนตอนส่งกระดาษข้อสอบสมัยเป็นนักเรียนไม่มีผิด แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกัน คือผู้คุมคนนี้ไม่ได้ตัดสินด้วยคะแนน แต่ตัดสินด้วยชีวิตของเขา…

หลิงม่อพลิกอ่านคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น กว่าเขาจะเงยหน้าขึ้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งตัวแล้ว

“เป็นไงบ้าง?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยฝืนยิ้ม แล้วถาม

“เขียนได้ไม่เลว” หลิงม่อชม

หลังจากถูก “วิชาอ่านใจ” ของหลิงม่อทำให้หวาดกลัว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ขี้ขลาดเหมือนหนูคนนี้ก็ทำตัวว่าง่ายขึ้นมาก

ทว่าหากเขาคิดจะเขียนเรื่องหลอก ถ้าอย่างนั้นหลิงม่อที่คอยสังเกตคลื่นดวงจิตของเขาอยู่ตลอดก็ต้องดูออกอย่างแน่นอน…

พอได้ยินหลิงม่อบอกอย่างนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ถอนหายใจโล่งอกอย่างอ่อนแรง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างคาดหวังว่า “ถ้าอย่างนั้นฉัน…”

“อย่ารีบร้อนสิ ยังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญเลย” หลิงม่อโบกมือไปมาแล้วบอก

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเบิกตากว้าง “นี่นายยังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญอีกหรอ!”

ตอนนี้เองที่เสี่ยวพานหันมามองทางนี้ แต่กลับเห็นหลิงม่อเดินเข้าไปใกล้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมกับพูดเสียงเบา…

หลายสิบวินาทีผ่านไป หลิงม่อยืนตัวตรง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างสับสน

“จำได้ไหม?”

“ไม่กล้าลืมเลยล่ะ…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยักหน้า

“หากไม่เจอเจ้าตัว นายก็ห้ามบอกใครเด็ดขาด” หลิงม่อกำชับ

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยักหน้ารัวๆ “ฉันเข้าใจแล้ว”

ตอนแรกเสี่ยวพานยังคอยมองอยู่ห่างๆ แต่จู่ๆ เขากลับได้ยินหลิงม่อพูดว่า “ถูกรมด้วยควันบุหรี่ขนาดนี้ คงจะสับสนกับกลิ่นน้ำหอมแล้วล่ะสิ?”

“ห๊ะ?” เสี่ยวพานทำหน้ามึนงง แล้วก็พยักหน้าตอบอย่างงุนงง

หลิงม่อเพียงมองเขาอย่างสงบนิ่ง จากนั้นก็หัวเราะบอกว่า “ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องสูบเพิ่มแล้ว”

“ฉันไม่เข้าใจว่านายกำลังพูดอะไร”

แต่ในขณะที่หลิงม่อละสายตาออกไป จู่ๆ เสี่ยวพานที่มีสีหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอดก็ทำหน้าฉุนเฉียวขึ้นมา

ทว่าเขากลับขยับริมฝีปากเป็นคำสองคำ “โรคจิต!”

ผ่านไปสิบกว่านาที อาคารที่อยู่ในลับตาคนแห่งนี้ก็ได้กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง

สมาชิกทีมสิบกว่าคนที่เข้าไปข้างในราวกับถูกความมืดกลืนกิน พวกเขาทั้งไม่ส่งเสียงใดๆ และไม่มีใครเดินออกมาจากข้างในเลย

แต่ถ้าหากตอนนี้มีใครเดินเข้าไปข้างใน เขาจะได้ยินเสียงเบาๆ เสียงหนึ่งกำลังดังอยู่…

“อื้อ…”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังพยายามยืดขาออกไปให้ยาวที่สุด เพื่อพยายามเกี่ยวปืนกระบอกหนึ่งเข้ามา

และห่างออกไปข้างหน้าไม่ไกลนัก เสี่ยวพานที่ถูกมัดปากเหมือนกันก็กำลังพยายามดิ้นรนอยู่ เขากำลังพยายามดันร่างกายท่อนบนขึ้นเพื่อชะโงกหน้ามาเป็นระยะๆ

ระหว่างนั้นทั้งสองสบตากัน แต่ละคนต่างเห็นความรู้สึกที่อย่างจะร่ำไห้ในแววตาของอีกฝ่าย

“สู้ๆ ล่ะ ฉันเชียร์นายอยู่นะ อ้อ เพื่อนๆ ของนายถูกขังไว้ชั้นล่างหมดแล้ว พวกเขาไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิตหรอก จะฟื้นกันในเร็วๆ นี้แหละ อีกอย่างฉันกลัวว่านายจะแอบอู้งาน เลยอยากจะบอกนายด้วยความหวังดี ถ้าหากนายหนีออกมาด้วยตัวเองได้ ความผิดของนายก็จะลดลงเยอะ บวกกับเรื่องพวกนั้นที่ฉันบอกนาย ไม่แน่อาจได้รางวัลด้วยซ้ำ”

พอนึกถึงคำพูดของหลิงม่อขณะที่เขาวางปืนลง สีหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นโกรธขึ้ง

เจ้าหมอนั่นตลบตะแลงชะมัด!

ทำเป็นพูดดี แน่จริงก็น่าจะทำให้เรื่องมันยากน้อยลงกว่านี้หน่อยสิ!

ทว่าวิธีนี้ของเขาเป็นวิธีที่สามารถถ่วงเวลาได้ดีที่สุด ปืนกระบอกนั้นถูกวางไว้ในตำแหน่งที่พอดีมาก เสี่ยวพานคว้าไม่ถึง แต่ปลายเท้าของเขาสัมผัสถูกมันได้พอดี

บวกกับตำแหน่งที่หลิงม่อตั้งใจวางไว้ เป็นองศาที่หากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ในท่ายืดขาออกไป จากนั้นก็ออกแรงเตะในองศาที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถทำให้กระบอกปืนล้มกลับมาทางเขาได้…พอมันล้มกลับมาทางเขา เขาก็สามารถใช้เท้าเกี่ยวเข้าหาตัวได้อย่างง่ายดายแล้ว

แต่จุดที่ยากของเรื่องก็คือ…เขามองไม่เห็นมันน่ะสิ!

คนที่มองเห็นปืนได้ก็มีแต่เสี่ยวพานคนเดียว นั่นแสดงว่าเสี่ยวพานต้องพยายามทำท่าซิทอัพในสถานการณ์ที่ร่างกายถูกจำกัดอิสระการเคลื่อนไหว แถมยังต้องทำอย่างต่อเนื่องอีกต่างหาก!

ในระหว่างนี้ ทั้งสองต้องสบตาเพื่อสื่อสารกันเป็นระยะๆ ไม่ให้ขาด

แต่เวลาที่พวกเขามีเพื่อจะสื่อสารทางสายตา กลับสั้นเพียง 1 – 2 วินาทีเท่านั้น!

ท่ายากขนาดนี้ ใครมันจะทนนานๆ ได้กันวะ!

ตอนแรกก็ยังทนได้ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเรี่ยวแรงลดน้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาก็เริ่มทำเวลาได้น้อยลงๆ ทุกที…

“หมอนั่นเป็นใครกันแน่ ทำไมเวลาอย่างนี้ก็ยังสามารถคิดวิธีโรคจิตอย่างนี้ขึ้นมาได้!”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคิดในใจ…

เอาปืนมา แล้วส่งสัญญาณ!

พอคิดถึงตรงนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เบิกตากว้างแล้วยืดคอขึ้น ขณะเดียวกันก็ยืดขาออกไปอย่างสุดชีวิต…เขาต้องรีบไปทำคุณไถ่โทษให้เร็วที่สุด!

………..

“หัวหน้า นายมั่นใจนะว่าวิธีของนายได้ผล? เกิดถ้ามันไม่เป็นอย่างที่นายคาดการณ์ไว้ จะทำยังไง?” บนทางเดินท่ามกลางพุ่มหญ้า มู่เฉินที่เดินขนาบข้างหลิงม่อกำลังถามขึ้น

หลิงม่อครุ่นคิด แล้วบอกว่า “มันไม่ใช่แผนการที่ไร้ข้อผิดพลาดร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยก็มีอัตราสำเร็จสูงอยู่ แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะลองแล้ว…แล้วถึงจะล้มเหลว แต่อย่างน้อยคืนนี้ก็ถ่วงเวลาไปได้แล้วนี่ ถ่วงเวลาได้นิดหน่อย พวกเราก็ได้เปรียบขึ้นหน่อย พวกเขาเป็นฝ่ายไล่ตาม สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือระยะห่างจะถูกทิ้งห่าง หรือไม่ก็กลัวว่าร่องรอยของพวกเราจะหายไป แต่นี่เป็นแผนแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น หากนิพพานยังไม่ได้ตัวพวกเรา พวกเขาก็น่าจะยังไม่ทำอะไร”

“ก็จริง…” มู่เฉินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “พวกเขาไม่ยอมเสียเปรียบไปง่ายๆ แน่นอน”

“ไม่อยากเสียเปรียบง่ายๆ แต่กลับจะต้องสูญเสียมากกว่าเดิม”

หลิงม่อพูดขึ้นอย่างมีนัยแฝง แต่กลับไม่พูดอะไรมากกว่านั้นแล้ว

มู่เฉินอ้าปากหมายจะถาม แต่พอหันไปเห็นชายแว่นดำ เขากลับปิดปากแล้วอดกลั้นความอยากรู้ไว้

“ถ้าอย่างนั้นหากแผนสำเร็จ จะสามารถถ่วงเวลาได้นานเท่าไหร่?” เหล่าหวังอดไม่ได้ที่จะถามแทรกขึ้น

ในมือของเขายังคงถือปลาคราฟกลายพันธุ์ตัวนั้นไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มระริกระรี้

ดูเหมือนเขาอยากจะลงมือทำการทดลองเต็มที่แล้ว ถึงได้อดใจโพล่งถามอย่างเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้

หลิงม่อตอบอย่างเอือมๆ เล็กน้อย“อย่างมากก็สามวันมั้ง…”

“แค่นั้นก็พอแล้ว พอแล้ว…”

เหล่าหลันก้มหน้ามองถุงถนอมอาหารในมือ จากนั้นก็หัวเราะหึหึอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

มู่เฉินหนังศีรษะชา พลางพูดว่า “เชี่ย แบร์ กริลส์เข้าสิงรึไงลุง!”

“ทำไม? คิดว่าฉันไม่รู้ว่าแบร์ กริลส์เป็นใครรึไง! แต่จริงๆ นายก็พูดถูกเหมือนกันนะ ถ้าหากเจอส่วนที่ไม่ติดเชื้อเข้า ก็เอามาผัดกินได้อยู่นะ โดยปกติแล้วสิ่งมีชีวิตทั่วไปตอนที่เพิ่งกลายพันธุ์ จะมีอวัยวะภายในบางส่วนที่ยังไม่ติดเชื้อ แค่ล้างพิษออก มันก็ไม่ต่างอะไรกับอาหารปกติแล้ว…” เหล่าหลันพูดอย่างจริงจัง

“ฟังยังไงก็ไม่ปกติอ่ะ! แล้วไอ้น้ำเสียงเหมือนเคยลองมาตั้งนานแล้วของลุงนี่มันอะไรกัน!”

“ก็แค่บอกให้รู้ไว้ อ่อ สิ่งมีชีวิตทั่วไปที่หมายถึงนี้ก็หมายรวมถึงมนุษย์ด้วย แต่ต้องจำไว้นะ ในเสี้ยววินาทีที่กลายพันธุ์โดยสมบูรณ์แล้ว ร่างกายร่างนั้นก็จะมีแต่เชื้อไวรัสเต็มไปหมดทุกส่วน…หึหึหึ…”

“ทำไมฉันต้องจำเรื่องนี้ด้วย…อีกอย่าง ไอ้ความภาคภูมิใจแปลกๆ ของลุงนี่ไปเอามาจากไหนกัน?”

เวลานี้ ชายแว่นดำที่กำลังเหลือกตาขาวก็ทำหน้าฉงน แล้วหันไปมองหลิงม่อ

ถึงแม้ขณะพูดคุยสายตาของหลิงม่อจะมองมู่เฉินกับเหล่าหลัน แต่ชายแว่นดำกลับรู้สึกได้รางๆ ว่าสายตาของหลิงม่อกวาดผ่านร่างกายตัวเองไปเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็จงใจ…

“อื้อๆ!” ชายแว่นชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจู่ๆ เขาก็ดิ้นรนอย่างรุนแรงขึ้นมา

“พลั่ก!”

มู่เฉินฟาดแข้งออกไปอย่างไม่ไว้หน้า “ดิ้นหาอะไรวะ!”

“ไม่เป็นไร เขาก็แค่กลัวนิดหน่อยเท่านั้นเอง” จู่ๆ หลิงม่อกลับพูดขึ้น

พอได้ยินหลิงม่อพูดอย่างนี้ สีหน้าของชายแว่นดำก็สลดลงทันที

และดูเหมือนว่าเขาจะเห็นอะไรบางอย่างในสายตาของหลิงม่อแล้ว…

จากข้อมูลที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หลังจากกระโดดข้ามรั้วกั้นออกมา พวกหลิงม่อก็เดินเลียบตามแนวกำแพงไปอีกระยะหนึ่ง

จนกระทั่งหลังจากออกนอกพื้นที่สังเกตการณ์จากอาคารสูง พวกหลิงม่อจึงค่อยวิ่งลัดเลาะถนนไปด้วยความเร็วสูง

ส่วนบรรดาสมาชิกของนิพพานที่เฝ้าตามถนนอยู่นั้น พวกเขากลับหลบเลี่ยงไปได้อย่างง่ายดาย

พอคนเหล่านี้ออกไปยืนนอกเขตมหาลัย พวกเขาก็ได้กลายเป็นเหมือนโคมไฟสว่างจ้าที่สะดุดตาซอมบี้ระดับสูงสองตัวในกลุ่มหลิงม่อ แม้จจะทำเป็นมองไม่เห็น ก็ยังยาก…

และถึงแม้พวกอวี๋ซือหรานจะยังอยู่ในมหาลัย แต่มีการชี้นำจากหลิงม่ออยู่ ดังนั้นจะออกมาจากที่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

พอเห็นว่าหลิงม่อพาพวกเขาเดินอ้อมโน่นอ้อมนี่จนสุดท้ายมาถึงอาคารที่พักหลังหนึ่ง หลันหลันกับเหล่าหลันก็อึ้งไปทันที

ทั้งสองหันกลับไปมองถนนข้างหลัง จากนั้นก็หันมามองอาคารที่พักตรงหน้าพร้อมกัน

“พวกนายพักอยู่ใกล้ขนาดนี้เลยหรอ!” เหล่าหลันถามประหลาดใจ

ส่วนหลันหลันกลับทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ จึงถามหยั่งเชิงดู “คืนนี้พวกเราจะพักที่นี่หรอ? คงไม่ต้องแล้วมั้ง อันตรายเกินไป…ฉันไม่อยากถูกจับกลับไปอีกครั้งนะ ข้างนอกนี่สนุกกว่าอยู่ในห้องทดลองเยอะเลย แถมของสะสมก็มีมากกว่าด้วย”

“ใต้แสงไฟมักจะมืดไง” หลิงม่ออธิบาย

“พูดง่ายเกินไปแล้วมั้ง! เฮ้ย!” หลันหลันยังคิดจะค้านต่อ แต่หลิงม่อกลับจูงมือเย่เลี่ยนกลับซย่าน่าเดินเข้าไปก่อนแล้ว

มองดูเงาร่างของพวกเขาหายลับขึ้นไปบนบันไดอย่างรวดเร็ว หลันหลันได้แต่เบิกตากว้างอยู่กับที่

“ความจริงพวกเราขึ้นไปช้าหน่อยก็ได้…” มู่เฉินลากชายแว่นดำเดินเข้าไป ขณะเดียวกันก็หันมาบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่เคยผ่านอะไรมาก่อน

“ทำไมล่ะ?” หลันหลันถามกลับโดยอัตโนมัติ

“ฉายาของหัวหน้าทีมคือปีศาจจูบเชียวนะ…” มู่เฉินถอนหายใจ แล้วเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ

หลันหลันยืนคิดอยู่กับที่ จากนั้นไม่นานเธอก็ร้อง “อ้อ” ขึ้นมาด้วยความกระจ่าง

เธอกระตุกมุมปากขึ้น แล้วสาวเท้าวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว “ฉันจะไปดูหน่อย”

“ไปสิ…เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน! นั่นมันไม่ถูกนี่! ทำไมแกต้องตื่นเต้นที่คนอื่นถูกจูบขนาดนั้นด้วย พ่อไม่เคยสอนให้แกแอบดูเรื่องอะไรอย่างนี้นะ แกยังเด็กเกิน…หยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!” เหล่าหลันถือปลาคราฟวิ่งตามหลังไป น่าเสียดายที่เขาเป็นแค่ชายสูงอายุคนหนึ่งเท่านั้น เขาจะวิ่งตามหลันหลันที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายทันได้อย่างไร…

“หลิงม่อ เพลาๆ ปากหน่อยนะ!”

ในทางเดินบันได เสียงคำรามของเหล่าหลันดังสะท้อนอยู่อย่างนั้น…

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset