แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 785 บ่งบอกถึงการมีตัวตนอยู่

สัญชาตญาณด้านที่โดดเด่นที่สุดของซอมบี้คือการ “กิน” ดังนั้นวิธีการตกซอมบี้ของหลิงม่อจึงไม่เคยใช้ไม่ได้ผลเลยซักครั้ง

แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าปฏิกิริยาแรกที่สวี่ซูหานเห็นก้อนเหนียวหนืด คือกรีดร้องด้วยความกลัว และวิ่งหนีเข้าไปในซอยเล็กๆ หนึ่งทันที

“เอิ่ม…นี่เธอแสดงท่าทีรังเกียจกันชัดเจนเกินไปแล้ว!”

หลิงม่อนิ่งทำตัวไม่ถูกไปหนึ่งวินาที จากนั้นก็รีบโหนตัวลงมาข้างล่างทันที

การร่อนตัวลงมาจากชั้นสองไม่ได้ใช้เวลานานนัก แต่ แน่นอนว่าด้วยความเร็วของเขาตามสวี่ซูหานไม่ทันอยู่แล้ว

กว่าเขาจะวิ่งเข้าไปในซอยนั้น ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว

“ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย ทำไมพอโยนเหยื่อล่อลงไปกลับยิ่งวิ่งหนีหายไปเลยล่ะ…”

หลิงม่อยกมือตบหน้าผาก ขณะเดียวกันก็รีบติดต่อเฮยซือทันที

อาจเป็นเพราะเขาโชคไม่ดี เพราะพอเขาติดต่อไป ดันเป็นจังหวะที่เฮยซือได้สิทธิ์ครองร่างพอดี

พอได้ยินเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจที่กำลังดังอยู่ในสมอง หลิงม่อก็อดรู้สึกหนังศีรษะตึงชาไม่ได้

“ฮิฮิฮิ…” เสียงของเฮยซือยังคงฟังดูพิลึก เหมือนเทปที่อัดไว้ล่วงหน้า แถมยังเป็นประเภทที่เก่าจนเสียงสะดุดด้วย

“…ช่างเถอะ ฉันจะพูดตรงๆ เลยละกัน…ตอนนี้ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยเรื่องหนึ่ง ถ้าคำนวณตำแหน่งดูแล้ว หากล้อมมาจากฝั่งที่พวกเธออยู่ ก็จะกักตัวเธอไว้ได้พอดี…เดี๋ยวก่อน เธอกำลังใช้ร่างกายของอวี๋ซือหรานทำอะไรน่ะ?” หลิงม่อเพิ่งจะพูดไปได้สองประโยค แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมาทันที

เขาเพิ่งจะสลับมุมมองสายตาไป ดังนั้นตอนเริ่มพูดเลยยังไม่ทันสังเกตเห็น…

แต่พอมาดูตอนนี้ สิ่งที่อยู่ข้างนี่กระจกไม่ใช่หรอ!

และอวี๋ซือหรานที่อยู่ในกระจก ก็กำลังโพสท่าอยู่!

“อย่าตื่นตูมไปสิ ฉันก็แค่คิดว่าการใส่ของประเภทหูแมวจะเป็นการบ่งบอกถึงการมีตัวตนอยู่ของฉันเท่านั้นเอง มันก็เหมือนกับเป็นการประกาศอำนาจหลักอะไรทำนองนั้นแหละ…ในฐานะมนุษย์ นายน่าจะเข้าใจใช่ไหมล่ะ?” ‘อวี๋ซือหราน’ ในกระจก ยกมือขึ้นจับที่คาดผมหูแมวให้เขาดูด้วยท่าทางใจเย็น จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งใส่กระจก

“มายกมือถูกใจอะไรหา! หูแมวเกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบ!” หลิงม่อพูดอย่างจนใจ

ขณะเดียวกับที่พูด เขาได้เดินลึกเข้าไปในซอยเส้นนั้น พร้อมกับแผ่หนวดสัมผัสตรวจค้นบริเวณรอบข้างไปด้วย

ถึงแม้เขาไม่ได้สร้างสายสัมพันธ์ทางจิตกับสวี่ซูหาน แต่ดวงแสงแห่งจิตของเธอมีลักษณะโดดเด่นมาก

ดวงแสงแห่งจิตที่มีคุณลักษณะของทั้งมนุษย์และซอมบี้ควบคู่กัน ไม่ได้มีให้พบเห็นมากนัก

แม้แต่ดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อ ก็ยังมีคุณลักษณะของมนุษย์อยู่มากกว่า

“ช่างเป็นเจ้านายที่น่าเบื่อจริงๆ เลย…จะบอกให้นะ ขอแค่ฉันอยาก ฉันก็สามารถกลายพันธุ์เป็นแมวตัวหนึ่งได้ไม่ยากเลยล่ะ” ‘อวี๋ซือหราน’พูดอย่างโอ้อวด

“แต่สุดท้ายเธอก็อยู่ในสภาพน่าอนาถอย่างนั้นในที่สุดไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อฉวยโอกาสแขวะ

“เพราะนายมองไม่เห็นความงามที่แท้จริงน่ะสิ…”

เธอหันกลับไปหาเงามืดด้านหลังแล้วกวักมือเรียก ไม่นานก็เห็นหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนั้นเดินทอดต้นขาที่อวบอ้วนและเบียดแน่นจนแบะออกเป็นเลขแปด (เลขแปดในภาษาจีน เขียนเป็นอักษรดังนี้八) เข้ามาหาเธอ

ไม่เจอกันวันเดียว เจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้ก็อ้วนขึ้นอีกแล้วสินะ มันดูเหมือนลูกบอลขนปุยมากขึ้นทุกที…

อาจเพราะเสี่ยวป๋ายรู้ว่าหลิงม่อก็อยู่ด้วย มันเลยหมุนตัวไปมาด้วยความยินดี ปรากฏว่าสุดท้ายมันก็ไปชนใส่ราวแขวนเสื้อผ้าอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด

“ว่ามาสิ จะให้ฆ่ามนุษย์หรอ? ไล่โจมตีล้อมสังหารบวกฆ่าคนกลบร่องรอย ฉันบริการให้ครบจบในครั้งเดียวเลย…” ‘อวี๋ซือหราน’ กระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังเสี่ยวป๋ายอย่างสบายๆ แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มหวาน

“แค่ตามหาคน…”

“จิ๊…”

“หยุดทำท่าไม่พอใจอย่างนั้นเลยนะ!” หลิงม่อโมโห

ทว่าเขากลับลอบกังวลในใจ การแสดงออกของเฮยซือบ่งบอกถึงความฉลาดที่มากขึ้นเรื่อยๆ ตกลงว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่?

ในอีกด้าน หลิงม่อมักรู้สึกว่าในคลื่นดวงจิตของเฮยซือ มีบางอย่างไม่ปกติ…

“น่าเสียดาย ที่เข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดไม่ได้” หลิงม่อคิดอย่างนึกเสียดายเล็กน้อย

ตอนแรกเขาหมายจะเรียกพวกเย่เลี่ยนออกมาด้วย แต่พอคิดได้ว่ายังมีอันตรายจากนิพพานสำนักงานใหญ่รออยู่ เขาจึงล้มเลิกความตั้งใจนั้นไปเสีย

อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ หลันหลันน่ะยังพอหาข้ออ้างให้เธอเชื่อได้ แต่เหล่าหลันกลับไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น

ยิ่งกว่านั้นถ้าไปทำให้มู่เฉินตื่นตูม หมอนั่นอาจโวยวายจะตามมาให้ได้…

ความจริงแล้ว หลิงม่อก็ยังอยู่ในระหว่างใช้ความคิด ว่าจะทำอย่างไรหลังจากที่สวี่ซูหานฟื้นขึ้นมา

แต่ยังไม่ทันคิดออก ก็ดันเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างนี้ขึ้นมาเสียก่อน…

“ตกลงเธอหนีทำไมกันนะ?” หลิงม่อคิดในใจ

บนถนนแคบๆ เส้นหนึ่ง สวี่ซูหานกำลังวิ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ซสูง

ท่าทางเธอเซไปเซมา แต่กลับวิ่งได้เร็วจนน่าตกใจ

ซอมบี้หลายตัวถูกเสียงเคลื่อนไหวของเธอทำให้แตกตื่น จึงพากันกระโจนออกมาจากซอกมุม

“กรี๊ดด!”

สวี่ซูหานตกใจ เธอยกมือขึ้นคว้าไปข้างหลังตัวเองตามสัญชาตญาณ

ไม่มีปืน…

เธอมองฝ่ามือตัวเองอย่างมึนงง จากนั้นก็เงยหน้ามองซอมบี้พวกนั้นด้วยความตระหนก

แต่ซอมบี้พวกนั้นเพียงจ้องเธอเท่านั้น ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเข้ามาโจมตีแต่อย่างใด

พวกมันยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่นานพวกมันก็ห้อยแขนโตงเตงลงข้างลำตัว เดินลากขาทั้งสองข้างไปกับพื้นช้าๆ ด้วยท่าทางที่ดูเหมือนกำลังผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด

การได้เห็นซอมบี้ที่ไม่อยู่ในโหมดโจมตีใกล้ๆ ขนาดนี้ สำหรับสวี่ซูหานนี่ถือเป็นครั้งแรก

ซอมบี้ตัวหนึ่งในนั้นถึงขนาดเดินเข้ามาใกล้เธอในระยะไม่เกิน 5 เมตร แต่เธอก็ยังคงมองไม่เห็นความอาฆาตมาดร้ายจากมัน…

“นะ…นี่มัน…อ๊ะ! ใช่แล้ว!”

จู่ๆ เธอก็เหมือนจะรู้ตัวขึ้นมากะทันหัน รีบยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองด้วยสีหน้าตื่นตะลึง “ฉะ…ฉันกลายพันธุ์แล้ว?”

บนถนนที่กำลังค่อยๆ มืดลงเส้นนี้ ซอมบี้ตัวนี้ที่ไม่ได้ดูโดดเด่นไปจากซอมบี้ตัวอื่นๆ กำลังยืนอึ้งอยู่กับที่

หลายวินาทีผ่านไป เธอค่อยๆ เดินไปยังกระจกตู้โชว์ของร้านริมถนน จากนั้นก็ยกมือขึ้นเช็ดคราบฝุ่นบนนั้น

เมื่อกระจกได้พบกับแสงตะวันอีกครั้ง เงาร่างเลือนอันรางของตัวเองก็สะท้อนอยู่ตรงหน้าเธอ

เสี้ยววินาทีที่เธอมองเห็นดวงตาสีแดงคู่นั้น เธอยืนนิ่งสนิทไม่ไหวติง

“มะ…ไม่น่าล่ะ…”

เธอยืนเหม่ออยู่หน้ากระจกตู้โชว์ แล้วค่อยๆ อ้าปากออก

“มะ…เมื่อกี้เรา…ตกใจตัวเอง…พอเห็นคนก็อยากกิน ในสมองคิดแต่ว่าจะฉีกร่างเขายังไง รู้สึกได้กระทั่งหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ในร่างกายของเขา…นี่คงจะเป็นความรู้สึกของซอมบี้เวลามองมนุษย์สินะ? แต่ความรู้สึกนี้ กลับทำให้ตัวเราเองตกใจเหมือนคนโง่…”

ถูกความคิดที่อยากกินคนทำให้ตกใจ เธอคงจะเป็นซอมบี้ที่ประหลาดมาก

แต่ถึงอย่างนั้น พอมาลองนึกดูอีกที เธอก็ยังคงรู้สึกกลัวอยู่ดี

สวี่ซูหานยืนเหม่ออยู่หน้ากระจกตู้โชว์หลายวินาที เธอถึงขนาดไม่รู้ตัวว่าในกระจกมีเงาร่างของใครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

จนกระทั่งเมื่อเงาร่างนั้นเดินใกล้เข้ามาจนแทบจะตัวติดกับเธอ เธอถึงเพิ่งถูกความกลัวปลุกตื่นทันที

เห็นชัดว่าเงาร่างนั้นก็เป็นซอมบี้เหมือนกัน ดูเหมือนจะเป็นซอมบี้เพศหญิงอายุราว 30 ปี ตอนนี้มันกำลังเดินเฉียดไหล่สวี่ซูหาน เพื่อเข้ามาจ้องเงาสะท้อนของเธอในกระจก…

“ยะ อย่าลงมือนะ…”

สวี่ซูหานเองก็บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร เหมือนเธอมีทั้งอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ แต่ขณะเดียวกันก็มีสัญชาตญาณของซอมบี้อยู่ด้วยเช่นกัน

พอเห็น “เพื่อนร่วมสายพันธุ์” ตัวนี้ สัญชาตญาณของเธอกลับไม่ได้รู้สึกกลัวอีกต่อไป แต่ในด้านความคิดเธอกลับรู้สึกเหมือนรับไม่ได้ที่ตัวเองอยู่ใกล้กับซอมบี้ขนาดนี้

โดยเฉพาะเมื่อนึกภาพที่ซอมบี้เพศหญิงตัวนี้กระโจนเข้ามา สวี่ซูหานก็รู้สึกแย่และอึดอัดไปทั้งตัว

หรือเธอต้องยกมือคู่นี้ขึ้นปัดป้อง? แค่คิดก็น่ากลัวจะตายอยู่แล้ว!

“กรร…”

ซอมบี้หญิงตัวนี้เปล่งเสียงคำรามแหบต่ำออกมาจากลำคอ แล้วจู่ๆ เธอก็หันไปมองอีกทางทันที

สวี่ซูหานที่กำลังยืนตัวเกร็งอยู่ก็หันไปมองตามเช่นเดียวกัน แล้วเธอก็นิ่งค้างไป

ที่แท้ที่ซอมบี้หญิงตัวนี้เดินเข้ามา ก็เพื่อเลียนแบบท่าทางของเธอ…

ซอมบี้หญิงเอียงคอมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก มันยื่นมือไปช้าๆ เหมือนต้องการจะลองแตะดู

พฤติกรรมอย่างนี้ของมันทำเอาสวี่ซูหานที่ดูอยู่ตกใจไม่น้อย เธอไม่คาดคิดว่าซอมบี้ธรรมดาตัวหนึ่งจะมีท่าทางที่เหมือนมนุษย์ทั่วไปขนาดนี้

น่าเสียดายที่ในวินาทีถัดมา ซอมบี้หญิงตัวนี้ก็คำรามอย่างคลุ้มคลั่ง จากนั้นก็ทุบกระจกบานนั้นจนแตกละเอียดด้วยฝ่ามือของมัน

“เพล้ง!”

“กรี๊ด!”

สวี่ซูหานสะดุ้ง เธอรีบโฉบกายหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

นี่มันอะไรกัน! จู่ๆ ก็คลั่งขึ้นมาเนี่ยนะ! เป็นเพื่อนร่วมสายพันธุ์กันแท้ๆ แต่ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจการกระทำของมันเลยซักนิดล่ะ!

ใช่แล้ว…มือของมันคงจะบังเงาตัวเองสินะ! ไม่โทษมือตัวเองแต่กลับไปโทษกระจก!

“เอ๊ะ? คะ…ความเร็วของเรา…”

เมื่อกี้เธอแค่คิดว่าจะออกห่างจากซอมบี้หญิงตัวนั้นเล็กน้อยแท้ๆ ไม่คิดเลยว่าจะออกมาไหลถึง 5 – 6 เมตรอย่างนี้…

แถมเมื่อกี้ เธอก็ใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ

“ระ…เร็วมาก…”

สวี่ซูหานสีหน้างุนงง ถึงเธอจะตระหนักได้หลายเรื่องแล้ว แต่ในใจกลับยังเต็มไปด้วยความสับสน

ตอนนี้พอมองไปรอบๆ จู่ๆ สวี่ซูหานก็รู้สึกเหมือนไม่รู้ควรไปทางไหน และควรทำอย่างไรดี

รอบกายมีแต่สิ่งก่อสร้างที่ไร้กลิ่นอายชีวิต ซึ่งถูกม่านสีแดงปกคลุมไปทั้งแผ่น มีเพียงเหล่าซอมบี้ที่เอาแต่เดินไปเดินมา บางครั้งก็หยุดเหม่ออยู่ตรงหน้าสิ่งของบางอย่างเท่านั้น…

“ฉัน…” เธอจ้องมองบรรดาเพื่อนร่วมสายพันธุ์ใหม่ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อย “ฉันหิวจัง…”

ซอมบี้เป็นพวกนักกินตัวยงตามคาดสินะ…

แต่สวี่ซูหานเพิ่งจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมอง เธอก็ตกใจตัวเองอีกครั้ง

ตอนนี้เธอกำลังนึกถึงก้อนเหนียวหนืดก้อนนั้นอยู่ เพราะอย่างน้อยดูจากภายนอก ก้อนเหนียวหนืดก้อนนั้นก็กลืนลงท้องง่ายกว่ามาก

และพอนึกถึงก้อนเหนียวหนืด เธอก็เริ่มนึกถึงหลิงม่อขึ้นมาด้วย…

“แต่ว่า ที่นี่ที่ไหนกัน…”

สวี่ซูหานเผลอวิ่งออกมาไกลมาก ตอนนี้พอมองไปรอบๆ เธอกลับจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองวิ่งมาจากทางไหน

“จบกัน…”

ไม่เคยคิดไม่เคยฝัน ว่าเรื่องแรกที่เธอต้องเจอหลังจากที่กลายเป็นซอมบี้ในวันแรก คือการหลงทาง…

“แต่ว่า ซอมบี้น่าจะตามหาคนได้ไม่ยากนี่นา?”

สวี่ซูหานครุ่นคิด แล้วพยายามสูดกลิ่นแรงๆ

เธอหันซ้ายหันขวา แล้วเลือกทางเส้นหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางนั้นพร้อมกับสูดดมกลิ่นไปด้วย…

“กลิ่นคน…กลิ่นคน…”

หากสวี่ซูหานได้บินคำนี้ก่อนที่จะกลายพันธุ์เป็นซอมบี้ เธอคงจะไม่เข้าใจ

แต่หลังจากกลายพันธุ์ เธอก็เข้าใจความหมายของคำนี้อย่างลึกซึ้ง

และประสบการณ์อันล้ำค่านี้ ก็เป็นสิ่งที่หลิงม่อหยิบยื่นให้เธอ…

พูดง่ายๆ ก็คือ “กลิ่นคน” ที่เธอพูดถึง หมายถึงกลิ่นอายพิเศษบางอย่างที่แผ่อยู่รอบตัวมนุษย์นั่นเอง

ซอมบี้ธรรมดาตัวหนึ่งสามารถรับรู้กลิ่นได้มากมายจากระยะห่างหลายสิบเมตร และยังสามารถแยกแยะกลิ่นเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ในบรรดากลิ่นเหล่านั้น พวกมันเก่งเรื่องการแยกแยะ “กลิ่นคน” มากที่สุด

อาศัยวิธีนี้ สวี่ซูหานคิดว่า เธอน่าจะตามหาหลิงม่อจนเจอในไม่ช้านี้

และในระหว่างที่เธอกำลังเดินไปเรื่อยๆ ทันใดนั้น “กลิ่นคน” ก็ได้ลอยโชยมาปะทะใบหน้าเธอจากข้างหน้า…

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset