แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 790 กำแพงผีสิง

ขณะเดียวกับที่หลิงม่อเดินเข้าไปในทางเดิน ทันใดนั้น มุมหนึ่งของชั้นห้าก็มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น…

“เจ้าคนที่เพิ่งเข้ามานั่น พลังจิตไม่เลวเลยนี่ ความสามารถในการตัดสินใจก็ใช้ได้ทีเดียว…” ชายคนหนึ่งพ่นควันบุหรี่ออกมา แล้วพูดขึ้น

ข้างๆ มีเด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่ค่อยสนใจ “คนของนิพพาน?”

“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าไม่ใช่สองคนนั้น” ชายหนุ่มไม่ค่อยมั่นใจ มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นนวดขมับ ดูท่าทางเหมือนกำลังเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นชัด

“ถ้างั้นก็จัดการเขาก่อนสิ อุตส่าห์เจอเงื่อนงำแล้ว จะปล่อยให้หลุดลอยไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้” พูดถึงตรงนี้ เสียงเด็กสาวก็ดุดันขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าเขาวุ่นวายนัก ก็ให้ฉันไปจัดการเอง”

“ไม่ต้องๆ!” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ “ฉันจะเล่นกับเขาเอง เธอพักเถอะ ได้โปรดพักผ่อนไปเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้นนายก็อย่าลืมเรื่องสำคัญก็แล้วกัน…” เด็กสาวกำชับ

“วางใจเถอะ…เฮ้ย! บ้าแล้ว!”

ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของชายหนุ่ม เด็กสาวก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที “เป็นอะไรไป ฝั่งเธอมีข่าวอะไรงั้นหรือ?”

“เปล่า…” ชายหนุ่มใจเย็นลง แต่น้ำเสียงของเขากลับดูตื่นเต้นขึ้นมา “ฉันมองผิดไป เขาไม่ได้แค่ไม่เลว แต่ร้ายกาจมากต่างหาก!”

พูดไป เขาก็จุดบุหรี่อีกมวนดัง “แช็กก”

………..

ทันทีที่เดินเข้ามาในทางเดินชั้นห้า หลิงม่อก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน

ความมืด แล้วยังความเงียบสงัดอันแปลกประหลาดนี้อีก…

“แฉะ…แฉะ…”

เสียงฝีเท้าราวกับถูกทำให้ดังขึ้น หากเดินเร็วกว่านี้อีกสองก้าว อาจรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามหลังได้เลยทีเดียว

“ไม่ชอบมาพากลเลย…”

หลิงม่อชะงักฝีเท้า หลังจากครุ่นคิด เขาก็ยกมือขึ้นเคาะผนังดู

“ก๊อก!”

เมื่อเสียงเคาะดัง ผนังก็สะเทือนเล็กน้อย

ยังไม่ทันรอให้หลิงม่อมีปฏิกิริยาอะไร ดวงหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัวก็โผล่ออกมาทันที

ใบหน้านี้ถูกฝังอยู่ใต้ผิวผนังชั้นนั้น มันอ้าปากกว้าง แล้วงับนิ้วหลิงม่อ

แม้มีผิวผนังหุ้มอยู่ แต่หลิงม่อก็ยังเห็นฟันในปากของมัน และเบ้าตาทั้งสองข้างของมัน

“กรี๊ดด!” เสียงกรีดร้องเลือนรางคล้ายมีคล้ายไม่มีดังลอดออกมาจากผนัง

“กำแพงผีสิงหรอ…”

หลิงม่อไม่ขยับ กระทั่งมือของเขาก็ยังวางอยู่ที่เดิม

“ป๊าบ!”

เมื่อหนวดสัมผัสพุ่งเข้าไปโจมตีอย่างรวดเร็ว ใบหน้านั้นก็ปิดปาก จากนั้นก็หายไปอย่างเงียบเชียบ…

“ตามคาดจริงๆ ไม่ใช่แค่การมองเห็น แม้แต่การได้ยินกับการรับกลิ่นก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ยกเว้นแค่พลังจิตอย่างเดียว”

คิ้วของหลิงม่อขมวดเข้าหากันอีกครั้ง หนวดสัมผัสทางจิตสามารถช่วยเขาแยกแยะโลกมายาออกจากความจริงได้ และสามารถช่วยเขาทำลายโลกมายาตรงหน้า แต่สายตาของเขาก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ดี

“ถ้าเป็นอย่างนี้ ปิดตาได้ไหม? ขอเพียงปิดการมองเห็นที่สำคัญที่สุดลง ผลกระทบอื่นแค่ไม่ต้องไปสนใจก็พอแล้ว” เฮยซือแนะนำ

“ไม่ต้องอ่ะ โลกมายาอาศัยโรงพยาบาลแห่งนี้สร้างขึ้นมา อย่างน้อยสัดส่วนและโครงสร้างโดยรวมก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ปิดตาไปก็ไม่ได้ผลมากนัก กลับจะทำให้เสียเวลาเสียอีก”

หลิงม่อส่านหน้า แล้วมองลึกเข้าไปในทางเดิน “ฉันแค่สงสัยเฉยๆ ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการจับคน ทำไมถึงไม่ทำให้มันง่ายกว่านี้หน่อย? ยุ่งยากซับซ้อนขนาดนี้ทำให้คนง่วงซะมากกว่า…”

พอพูดอย่างนี้ออกมา หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนตัวเองจับจุดอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่พอนึกถึงเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยนั้น เขาก็คิดว่าตัวเองคงคิดมากไปเอง

“น่าจะไม่ใช่หรอก…”

จำนวนศพบนเพดานเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย ตอนแรกหลิงม่อยังพอเดินแหวกช่องว่างระหว่างศพพวกนั้นไปได้ แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงเดินเลียบไปตามแนวผนังเท่านั้น

สิ่งที่เหลือบเห็นจากหางตามีเพียงขาหลายคู่ที่ห้อยอยู่กลางอากาศ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก…

“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องจำนวน ที่สำคัญคือใบหน้าของศพเหล่านี้ไม่ซ้ำกันเลย…คนคนนี้ต้องชอบจินตนาการถึงหน้าศพมากถึงขั้นไหนกันนะ? จากบางมุมมอง เขาช่างเป็นคนที่แกร่งจริงๆ!” หลิงม่ออดคิดไม่ได้

“คนที่ต้องมองหน้าศพให้ครบทุกศพก็แกร่งเหมือนกันนี่…” เฮยซือแขวะ

ครืดด~~~

เดินไปได้ไม่ไกล เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากส่วนลึกของทางเดิน

เสียงนี้เหมือนมีคนกำลังใช้เล็บขูดกับกระดานดำ ไม่เพียงแสบแก้วหู แต่มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก

“ต้องการจะถ่วงเวลาฉันไว้จริงๆ ด้วย…แล้วยังสร้างเสียงที่น่ารำคาญอย่างนี้ขึ้นมาอีก…”

หลิงม่อมองตามแหล่งกำเนิดเสียง ทันใดนั้นสัมผัสเย็นวูบก็แผ่ซ่านมาจากด้านหลัง

ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ ต้องมีบางอย่างกำลังจ้องเขาอยู่แน่…

“แปล๊บปลาบ…”

เสี้ยววินาทีที่เขาเงยหน้า แสงสีขาวเจิดจ้าก็สว่างขึ้น

“ชิท ทำให้ไฟสว่างได้ด้วย…”

หลิงม่อหมายจะหันหลังกลับไปดูตามสัญชาตญาณ แต่เขากลับถูกสายตาคู่หนึ่งดึงดูดความสนใจ

ท่ามกลางศพมากมายที่ถูกห้อยไว้บนเพดาน มีศพหนึ่งกำลังจ้องเขม็งมาที่เขา…

ศพนั้นสวมชุดผู้ป่วยหญิง ผมสยายลงทั้งสองข้าง สีผิวซีดขาว ดวงตาสีออกเหลืองคู่นั้นของเธอกำลังจ้องเขม็งมายังหลิงม่อ

หลังจากสบตากับหลิงม่อหนึ่งวินาที ลำคอของศพผู้ป่วยหญิงก็กระตุก จนส่งเสียงดัง “กร๊อบ” เบาๆ

ขณะเดียวกันปากของเธอก็อ้าออกเล็กน้อย พร้อมกับเปล่งเสียงแหบแห้งพูดว่า “ฉันหิว…”

“ป๊าบ!”

เมื่อถูกหนวดสัมผัสทางจิตจู่โจม ศพผู้ป่วยหญิงก็กลายเป็นควันลอยหายไป

“เกือบนึกว่ามีคนปลอมตัวเป็นศพห้อยอยู่ที่นี่ แล้วคอยลอบโจมตีฉันซะอีก ปรากฏว่าฉันคิดมากไปเองสินะ” หลิงม่อพูดขึ้น

“คนทั่วไปไม่มีทางปลอมตัวเป็นศพได้หรือเปล่า อีกอย่างทำไมนายต้องทำเสียงผิดหวังอย่างนั้นด้วย?” เฮยซือถามอย่างสงสัย

“ถ้าเจอคนก็สามารถถามอะไรได้บ้าง ถ้าหากเข้าใจอะไรผิดจะได้ถอนตัว…ทว่าอีกฝ่ายกลับปล่อยโอกาสดีๆ อย่างนี้หลุดไปโดยไม่เอามาใช้ แสดงว่าคนคนนี้ไม่มีพลังที่สามารถเอาคนเป็นเข้ามาในโลกมายาได้ หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่มีพลังเปลี่ยนรูปลักษณ์ของคนเป็น” หลิงม่อบอก

โลกมายาของอีกฝ่ายนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความสมจริงหรือความสมบูรณ์ล้วนน่าทึ่งทั้งนั้น แต่มันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทั้งหมด

คนเป็นมีพลังจิตของตัวเอง และไม่อาจเคลื่อนไหวตามความคิดของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด ดังนั้นหากต้องการจะปลอมตัวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

หลังจากตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป หลิงม่อก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย

พูดไป หลิงม่อก็เดินมาถึงห้องผู้ป่วยห้องหนึ่งแล้ว แต่หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะเดินเข้าไป

ตรงกันข้าม หลังจากที่ขมวดคิ้วครุ่นคิด จู่ๆ เขากลับก้าวไปทางซ้ายสองก้าว แล้วยกมือขึ้นกดผนังดู

“นี่นายจะทะลุกำแพงหรือไง!” เฮยซือร้อง

“เมื่อกี้เป็นแค่ภาพลวงตา ถ้าหากเชื่อว่าตรงนั้นเป็นประตูแล้วเดินเข้าไป ก็จะชนเข้ากับกำแพง อีกหนึ่งความเป็นไปได้หนึ่งคือ นึกว่าตัวเองเดินผ่านประตูไปจริงๆ แล้ว แต่กลับเดินย่ำอยู่กับที่ไปเรื่อยๆ แต่ตอนที่อยู่ชั้นสี่ ฉันจำระยะห่างระหว่างแต่ห้องเอาไว้แล้ว ถึงจะไม่ได้แม่นยำเป๊ะๆ แต่ก็ไม่น่าจะต่างกันมาก ถ้าหากจำผิด ก็ยังสามารถใช้หนวดสัมผัสมายืนยันทิศทางได้” หลิงม่อพูดกับเฮยซือในสมอง

“อย่างนี้เองหรอ…” เฮยซือรับคำอย่างครุ่นคิด

“แต่ทำไมเธอยังอยู่อีกล่ะ อวี๋ซือหรานยังไม่มาเปลี่ยนเวรอีกหรอ?” จู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้น

“เธออยู่นะ พวกเรากำลังฟังด้วยกัน นายจะพูดกับเธอไหมล่ะ? ด้วยสถานการณ์ของฉันตอนนี้ สามารถสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างพวกนายสองคนได้ในช่วงสั้นๆ…”

คำว่า “ไม่” ยังไม่ทันหลุดออกจากปากของหลิงม่อ เสียงของอวี๋ซือหรานก็ดังขึ้นในสมองทันที “ไส้กรอก!”

เสียงของซอมบี้โลลิค่อนข้างดังชัดเจน แต่กลับฟังดูไม่ค่อยไหลลื่นนัก

เห็นชัดว่านี่เป็นปัญหาจากสัญญาณที่ไม่ค่อยเสถียรนัก…

“…ฉันขอทักทายเธอแทนมันแล้วกันนะ” หลิงม่อพูดอย่างเอือมๆ

ขณะเดียวกัน หลิงม่อก็ได้เดินทะลุ “กำแพง” ไป และโผล่มาอยู่ในห้องผู้ป่วยห้องหนึ่งอย่างน่าอัศจรรย์

ไม่รู้เป็นเพราะโครงสร้างต่างกัน หรือโลกมายาเป็นเหตุ ห้องผู้ป่วยห้องนี้ถึงได้กว้างกว่าห้องชั้นล่างมาก

ห้องผู้ป่วยทั่วไปจะมีเตียงอยู่แค่สองหรือสามเตียง แต่ที่นี่กลับมีถึงแปดเตียง

ไม่เพียงเท่านี้ เตียงส่วนใหญ่ล้วนถูกม่านกั้นเตียงบังไว้ จึงยากจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน

หน้าต่างไม่ได้เปิดไว้ ข้างนอกเองก็มืดสนิทเช่นกัน แต่จู่ๆ ผ้าม่านในห้องกลับสั่นไหวขึ้นมา

“ฮึก ฮือๆ…”

ทันใดนั้น เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นเบาๆ มันชัดเจนมากเมื่ออยู่ในความเงียบสงัดอย่างนี้

“ล้มเหลวไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้งั้นหรอ…”

หลิงม่อสีหน้าไม่เปลี่ยน พร้อมกันนั้นเขาได้สาวเท้าไปยังทิศที่เสียงร้องไห้ดังมา

ด้านหลังผ้าม่านที่กำลังสั่นไหวเบาๆ เงาร่างของใครคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาวกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างเตียงผู้ป่วย และหันหลังให้หลิงม่อ

ดูจากแผ่นหลังที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างต่อเนื่องของมันแล้ว คนที่ส่งเสียงร้องไห้ก็คงเป็นมันไม่ผิดแน่…

หลิงม่อกวาดตามองรอบข้างหนึ่งรอบ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีเงามายาอื่นอีก จึงได้หันกลับมาสนใจมันอีกครั้ง

“ตามแบบฉบับของหนังผี ในเวลาอย่างนี้ หากเดินเข้าไปตบไหล่แล้วถามว่าไม่เป็นไรใช่ไหม ร้อยทั้งร้อยจะต้องจะเอ๋กับหน้าผีที่หันขวับกลับมาทันที…” หลิงม่อคิด พลางเดินเข้าไป แล้วยกมือขึ้นตบไหล่ “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“เฮ้ย แล้วนายจะไปถามทำไมเล่า!” คราวนี้กลับเป็นอวี๋ซือหรานที่กระโดดออกมา

น่าเสียดายที่เสียงพูดของเธอเพิ่งจะจบ ฝ่ามือของหลิงม่อก็ตบลงไปบนไหล่อีกฝ่ายเสียแล้ว

“ฮืออ…”

เสียงสะอื้นไห้ของเงาร่างชุดขาวชะงักหยุด อวี๋ซือหรานและเฮยซือเองก็เงียบไปเช่นกัน

ทั้งซอมบี้โลลิและสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนี้ต่างไม่เคยเจอกับสถานการณ์อย่างนี้ จึงพากันอึ้งค้างไปชั่วขณะ

บางทีในขอบเขตความรู้ความเข้าใจของพวกเธอ มนุษย์ในฐานะเหยื่อ ไม่ได้ประหลาดอย่างนี้นี่นา…

เมื่อเงาร่างชุดขาวยกมือจับขอบเตียงแล้วพยุงตัวลุกขึ้นช้าๆ หลิงม่อก็ก้าวถอยไปสองก้าว

“ไม่แน่อาจตั้งใจทำอะไรเราซักอย่างก็ได้ ยังไงก็เว้นระยะห่างไว้หน่อยดีกว่า…”

เพิ่งจะคิดได้อย่างนี้ จู่ๆ เงาร่างชุดขาวนั้นก็หันกายกลับมาทันที

สิ่งทีเหนือความคาดหมายคือ ไม่คิดเลยว่าภาพลวงตาครั้งนี้จะดูดีขึ้นมาก

มันไม่เพียงสวมชุดพยาบาลเข้ารูปทั้งตัว แต่ยังมีใบหน้าที่โดดเด่นสะดุดตามากด้วย

“นี่มันดาราสาว X คนนั้นไม่ใช่หรอ!” หลิงม่ออึ้ง

พยาบาลสาวเงยหน้ามองหลิงม่อ แล้วยกมือเช็ดน้ำตา “สวัสดี…”

“คุณช่วยฟังเรื่องในใจของฉันหน่อยได้ไหม?” เธอพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ไม่ได้” หลิงม่อตอบอย่างขวานผ่าซาก

“ผู้ป่วยที่ฉันดูแลอยู่ตายไปแล้ว” พยาบาลสาวพูดต่ออย่างไม่สนใจคำปฏิเสธของเขา

“ที่แท้ก็มาไม้นี้เอง! คราวนี้คิดจะใช้แผนเล่าความในใจเพื่อถ่วงเวลาฉัน?” สีหน้าของหลิงม่อดูประหลาดขึ้นมาทันที

แต่พยาบาลสาวกลับเริ่มสะอื้นไห้อีกครั้ง “ทั้งที่ใกล้จะรักษาหายแล้วแท้ๆ แต่กลับกระโดดลงจากชั้นสองเพื่อที่จะได้อยู่กันให้นานอีกหน่อย ปรากฏว่ากระเพาะปัสสาวะของเขาดันฉีกขาด…”

ตอนแรกหลิงม่อได้เตรียมหนวดสัมผัสทางจิตไว้พร้อมแล้ว แต่จู่ๆ ดวงตาของเขากลับฉายแววแปลกไป

เขาจ้องพยาบาลสาวคนนี้อย่างสนอกสนใจครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็พูดแทรกขึ้นว่า “เธอคือคนที่สร้างโลกมายาขึ้นมาใช่ไหม?”

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset