แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 808 สถานการณ์เปลี่ยนไป

ท่ามกลางสายตาโกรธแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ของเหล่าทีมไล่ล่า เฮลิคอปเตอร์ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ และบินไปจากตึกสูงแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว…

“ฟู่ว…ในที่สุดก็รอดพ้นแล้ว” ในตัวเครื่อง หวังหลิ่นและคนอื่นต่างพากันถอนหายใจพร้อมกันด้วยสภาพอิดโรย พวกเขาหลบหนีมาเป็นเวลาห้าวันติดๆ กัน จนเพิ่งจะรอดพ้นจากศัตรูเมื่อกี้ พอปล่อยวางความตึงเครียดและคลายใจลงได้ ความอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อยทางกายก็เข้ามาแทนที่ทันที

“ใช่ ไม่คิดเลยว่าจะมีวิธีนี้อยู่…แต่พอลองคิดย้อนไป ตึกหลังนั้นเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมืองนี่…” เหล่าเจิ้งถอนหายใจรัวๆ อย่างคนที่ยังไม่หายกลัว สีหน้าของเขาซีดขาวเล็กน้อย เหมือนผลข้างเคียงจากการบินขึ้นสูงกะทันหันยังไม่หายไป

“ถ้าอย่างนั้น ไอ้ที่อยู่ในมือหลิงม่อก็คืออุปกรณ์สื่อสารงั้นหรอ? สาเหตุที่เลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ก็เพราะจะได้มาถึงพื้นที่สัญญาณครอบคลุมเร็วๆ แล้วก็เรียกเฮลิคอปเตอร์ลำนี้มาสินะ?” เหล่าหลันพูดด้วยสีหน้าถึงบางอ้อ

ชายแว่นดำที่ถูกผลักให้ไปออยู่ในมุมกำลังเหลือกตาขาวและจ้องหลิงม่อที่นั่งอยู่ใกล้ประตูเครื่องเขม็ง พร้อมกับพึมพำอย่างโกรธแค้น “คนของฟอลคอนจริงๆ สินะ…ช่างบ้าบิ่นจริงๆ ไม่คิดว่าจะกล้าเดินหมากที่เสี่ยงขนาดนี้…แถมยังกล้าเปิดเผยกองกำลังหนุนหลังอย่างฟอลคอนออกมาอย่างนี้ คิดจะประกาศศึกกันอย่างโจ่งแจ้งงั้นหรอ…”

เทียบกับทุกคนในกลุ่ม กลับเป็นพวกเย่เลี่ยนสามคนที่ดูค่อนข้างสงบนิ่ง ตอนนี้ เหล่าซอมบี้สาวสามตัวกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง และกวาดมองไปข้างล่างอย่างอยากรู้อยากเห็น…

หลังจากปิดประตูเครื่อง ชายฉกรรจ์ที่เป็นคนยิงปืนก็หันมามองหลิงม่อ แล้วยื่นมือออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม “พวกเราเคยเจอกันแล้ว ผมเป็นคนของหัวหน้าทีมโทมัส ชื่อ…คุณเรียกผมว่าเจสันก็แล้วกัน”

ชายคนนี้ไว้ทรงผมสกินเฮดที่สั้นจนแทบติดหนังศีรษะ สีผิวค่อนไปทางดำ รูปร่างหน้าตาดูเป็นคนดุดัน บนแขนข้างที่ยื่นออกมาก็เต็มไปด้วยสารพัดรอยแผลเป็น ทว่าในสายตาของเขากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มจริงใจ กระทั่งยังมีความห่วงหาปนอยู่ด้วยรางๆ

“เรียกผมว่าหลิงม่อก็แล้วกัน” หลิงม่อเองก็ยิ้มตอบเขา และจับมือเขาแรงๆ ชายคนนี้รูปร่างหน้าตาไม่โดดเด่น แต่หลิงม่อกลับจำเขาได้รางๆ เย่เลี่ยนที่ตอนแรกยังนั่งเท้าคางอยู่ข้างหน้าต่างหันมาจ้องหน้าชายคนนี้อยู่สองวินาที จากนั้นก็หันไปยิ้มบางๆ และพยักหน้าให้หลิงม่อ

พอได้รับการยืนยันจากซอมบี้ที่มีความจำเป็นเลิศ ความไม่แน่ใจอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ก็ถูกกำจัดทิ้งไปทันที…

“ฮ่าฮ่า จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?” เจสันยิ้มซื่อ แล้วบอกว่า “ถ้าผมกล้าเรียกคุณอย่างนั้น กลับไปคงโดนลงโทษแน่ ยังไงก็เรียกว่าพี่หลิงแล้วกัน” หลิงม่อทำได้เพียงพยักหน้ารับ เขาหันไปมองทางห้องนักบิน แล้วหันกลับมาถามเจสันว่า “ทำไมโทมัสถึงไม่มา?”

คนที่ได้รับสัญญาณติดต่อจากเขาคือจางอวี่ หมอนั่นเป็นผู้ช่วยของอวี่เหวินซวน แน่นอนว่าย่อมไม่มีเวลามาด้วยตัวเองอยู่แล้ว ส่วนอวี่เหวินซวน…ถึงแม้พอจะนึกภาพออกว่าเจ้าเฟิ้งจื่อซวนคงจะโวยวายอยากมาด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายคงถูกจางอวี่ห้ามไว้ แต่ถึงอย่างนั้น อย่างน้อยก็น่าจะส่งคนที่รู้จักกันอย่างโทมัสมาซักคนหนึ่งหรือเปล่า?

ทว่าถึงแม้เรื่องนี้จะดูผิดปกติเล็กน้อย แต่ความจริงหลิงม่อก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง…

แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือ หลังจากได้ยินคำถามนี้ เจสันกลับรีบหุบยิ้ม แล้วขยับเข้ามาใกล้ พร้อมกระซิบบอกเขาเสียงเบาว่า “เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลัง พี่หลิงอย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ เอาไว้ถึงที่หมายแล้วผมยังมีเรื่องต้องบอกพี่อีก”

พูดจบ เขาก็ยกมือเป็นเชิงส่งสัญญาณให้หลิงม่อ จากนั้นก็กระชับปืนถอยกลับไปอยู่อีกด้าน

หลิงม่อมองเขาอย่างประหลาดใจ และขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ดูเหมือน…จะมีอะไรผิดปกติ…

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฮลิคอปเตอร์ลงจอดในที่สุด

แต่สถานที่ลงจอด กลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของหลิงม่อ

“ที่นี่ไม่ใช่ฟอลคอนที่ 2” หลิงม่อกระโดดลงจากตัวเครื่อง แล้วหันไปถามทันทีที่เท้าถึงพื้น

เจสันพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ที่นี่คือคลังน้ำมันโซน A ถึงแม้จะไม่ได้หรูหรามากนัก แต่สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันถือว่ายังมีครบ และที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากค่ายของเรามาก อย่างไรขอให้พวกคุณพักที่นี่อย่างสบายใจไปซักระยะหนึ่งก่อน”

เขาพูด พลางเดินนำไปยังอาคารเล็กๆ ที่มีสองชั้น “ผมจะอยู่ที่นี่ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง ในระหว่างนี้ ผมจะพยายามตอบคำถามของคุณอย่างละเอียดที่สุด ดังนั้นพี่หลิงโปรดวางใจได้…”

จะวางใจได้ยังไง? ในเมื่อเรื่องราวซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้…หลิงม่อมีคำถามผุดขึ้นมาในสมองเต็มไปหมด แต่ได้ยินเจสันพูดอย่างนั้น เขาก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเงียบงัน และไม่ได้รีบร้อนซักถามอะไร ชายแว่นดำนั้นยังไม่พูดถึง แต่ในทีมยังมีเหล่าเจิ้งที่เป็นคนของค่ายกลางรวมอยู่ด้วย เรื่องที่เกี่ยวโยงถึงฟอลคอนที่ 2 เขารู้ดีแก่ใจว่าควรระวังและรอบคอบให้มากที่สุด…

พอเห็นหลิงม่อให้ความร่วมมือ เจสันก็ยิ้มอย่างขอบคุณ

ระหว่างที่เดินตามเจสันไป หลิงม่อก็สังเกตพื้นที่บริเวณนี้ไปด้วย

เนื่องจากอาคารคลังเก็บน้ำมันโดยทั่วไปเป็นอาคารทรงเตี้ยอยู่แล้ว แถมที่นี่ยังถูกล้อมกรอบด้วยกำแพงสูงทั้งสี่ทิศ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสังเกตได้รอบด้าน ทว่าดูจากป่าทึบสีเขียวชอุ่มที่อยู่ไกลๆ นั่น ก็พอดูออกว่าที่นี่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองแน่นอน โซน A ที่ว่านี้คงจะเป็นสถานที่อยู่อาศัย ส่วนคลังน้ำมันจริงๆ น่าจะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง…

จากที่สิ่งที่สังเกตเห็นคร่าวๆ เหล่านี้ หลิงม่อได้ข้อสรุปที่แน่นอนอย่างหนึ่ง : คลังน้ำมันแห่งนี้ คือที่เดียวกับที่เขาเคยมาเมื่อตอนนั้น…

แต่ทำไมถึงเป็นที่นี่ล่ะ? ถ้าหากแค่แวะเติมน้ำมัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เจสันกลับบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจะให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ไประยะหนึ่ง

นั่นยิ่งทำให้หลิงม่อรู้สึกว่า บางทีอาจมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในฟอลคอนที่ 2 ก็เป็นได้…

ไม่นาน ทุกคนก็เดินมาถึงด้านหน้าอาคาร นอกจากหลิงม่อ คนอื่นๆ ต่างกำลังพิจารณาสถานที่แห่งนี้ด้วยความฉงน เหล่าเจิ้งพึมพำกับตัวเองอย่างสงสัย ส่วนชายแว่นดำก็มองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าซับซ้อน

“ผมเปิดเอง”

เจสันเร่งฝีเท้าเดินนำ จากนั้นก็ออกแรงเปิดประตูห้องห้องหนึ่ง

ได้ยินเสียงประตูนิรภัยส่งเสียง “แอ๊ดด” หวังหลิ่นจึงถามขึ้นว่า “ที่นี่ไม่มีคนอยู่มานานแค่ไหนแล้ว…”

เมื่อสิ้นเสียงคำถามของเธอ ประตูห้องก็ค่อยๆ เลื่อนไปข้างหลัง พร้อมกับฝุ่นละอองที่กระจายออกมาทันที

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเสียง “โครม” ดังมาจากข้างใน เหมือนมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างอาศัยอยู่ในห้อง…

ทักคนต่างผงะถอยไปหนึ่งก้าว ซย่าน่าชะโงกหน้าเข้าไปดู แล้วทำเสียงจุ๊ๆ บอกว่า “มีแขกมาพักก่อนแล้ว”

เจสันพูดอย่างขออภัยอีกครั้ง “สถานการณ์ฉุกละหุก แล้วที่นี่ก็เป็นที่ที่ผู้สั่งการจัดเตรียมเอง…”

“อวี่เหวินซวนน่ะหรอ?” หลิงม่อถาม

“ใช่ครับ” เจสันตอบ พลางเดินผ่านทุกคนแล้วมองไปข้างหลัง นักบินและผู้ช่วยนักบินต่างเดินกันตามมาข้างหลังด้วย สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ตอนนี้พวกเขาเปิดประเป๋าแบบถือที่อยู่ในมือออก และหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมามากมาย ส่วนสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเป้ของพวกเขา ดูเหมือนจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างพวกผ้าห่มขนสัตว์อะไรทำนองนั้น…

“พวกเราเตรียมตัวกันอย่างเร่งรีบ จึงนำของมาได้ไม่มาก โชคดีที่สัมภาระของพวกคุณมีมากอยู่แล้ว สภาพอากาศตอนนี้ก็เริ่มอุ่นแล้ว ผ้านวมบางๆ ผืนหนึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้ว…” เจสันพูดต่อว่า “พวกเขาสองคนจะอยู่ช่วยพวกคุณทำความสะอาด สิ่งของข้างในก็จะถูกเช็ดทำความสะอาดด้วยเช่นกัน ดังนั้นรับรองได้ว่าจะไม่ทำให้การพักผ่อนของพวกคุณมีปัญหาแน่นอน แต่สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้คงต้องลำบากทุกคนแล้ว”

เวลานี้ ฝุ่นละอองในห้องได้จางหายไปไม่น้อยแล้ว ดูจากสิ่งอำนวยความสะดวกห้องนี้เป็นห้องนอนเดียว ที่มีครบทั้งโต๊ะเก้าอี้และเตียงนอน หาได้ยากที่จะมีสถานที่ที่ไม่มีคราบเลือดอยู่อย่างที่นี่ การทำความสะอาดจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก และเจ้าของเสียงที่ดังเมื่อกี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กประหลาดๆ ตัวหนึ่ง ตอนนี้มันกำลังหลบอยู่ใต้โต๊ะ และจ้องพวกเย่เลี่ยนด้วยดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย

รังสีอำมหิตของซอมบี้ระดับสูงทำให้มันไม่กล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า ทว่าความดุร้ายตามสัญชาตญาณยังคงแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน หวังหลิ่นลั่นร้องออกมาด้วยความตกใจ และรีบวิ่งไปหลบข้างหลังหลิงม่อทันที

แต่มันยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงปืนก็ดังขึ้นทันที

เจสันเพิ่งจะลดปืนลง เงาร่างของใครคนหนึ่งก็โฉบผ่านตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว “ตัวอย่างใหม่! ได้ตัวอย่างใหม่มาอีกแล้ว! โลกภายนอกช่างสวยงามอะไรอย่างนี้!”

ทว่าถึงแม้ต้องเผชิญหน้ากับตาเฒ่าโรคจิตอย่างเหล่าหลัน เจสันกลับเลือกที่จะมองข้ามเขาไปเฉยๆ อย่างคนใจดี และหันไปพูดกับหลิงม่อว่า “พี่หลิง ผมยังมีเรื่องต้องให้พี่ช่วยอีก”

“คุณบอกมาเถอะ”

“ในระหว่างที่พวกเขากำลังทำความสะอาดอยู่ พี่ช่วยไปเอาน้ำมันกับผมได้ไหม?” เจสันพูดเสริมด้วยสีหน้าจริงจังอีกหนึ่งประโยค “ถ้าหากจะพาใครไปด้วย…ผมคิดว่าพาพี่สะใภ้สามคนไปก็พอแล้ว”

หลิงม่อพลันหรี่ตาเล็กลง คงกำลังจะพูดเรื่องสำคัญแล้วสินะ…

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset