แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 863 เทวดาไม่มีจริง

หลิงม่อไม่ได้รอนานมากนัก ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา เสียงเปิดประตูพลันดังขึ้น

“มาแล้ว!” หลิงม่อหัวใจกระตุกวูบ ร่างกายตึงเกร็ง แล้วเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า “ตึกตึกตึก”

“รองเท้าส้นสูง?”

เขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และมองเข้าไปทางในเดินอย่างระมัดระวังและรวดเร็วแวบหนึ่ง

“ดูเหมือนฉันจะโชคไม่ค่อยดีแฮะ…”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นตอนนี้ได้เดินไปรวมตัวกันอยู่จุดเดียว และบนทางเดินเส้นนั้นก็มีหนึ่งหญิงหนึ่งชายคุยกัน พลางเดินมาทางหลิงม่อ

ผู้ชายสวมสูทเต็มยศ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเจ้าฉีเทียนอี้หัวหน้าทีมทำลายล้างนั่นแน่ๆ ส่วนผู้หญิงคนนั้น…

“เลขาพิเศษที่หยางเหมยพูดถึง น่าจะหมายถึงเธอคนนี้สินะ? เพียงแต่คำว่าว่าพิเศษสองคำนี้มันช่าง…” ความคิดอกุศลเพิ่งจะลอยเข้ามาในสมองของหลิงม่อ แต่ไม่นานเขาก็ต้องหงุดหงิด “ดูท่าทางพวกเขา น่าจะไปประชุมพร้อมกัน บ้าจริง ปกติเลขาต้องไปถึงห้องประชุมก่อนไม่ใช่หรอ!”

ส่วนเหตุการณ์ประเภทที่มีความน่าจะเป็นไปได้ต่ำ…หลิงม่อเลือกที่จะไม่สนใจ

“ตามคาด จะมัวแต่ดีใจจนเหลิงไม่ได้จริงๆ ตอนแรกนึกว่าอย่างน้อยมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ก็แสดงว่ามีโชคอยู่บ้าง แต่ปรากฏว่าความเป็นจริงกลับโหดร้ายอย่างนี้เสมอ…” ถึงแม้หลิงม่อจะกังวลอยู่บ้าง แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ เขาก็ยิ่งอดพล่ามไร้สาระในใจไม่ได้ ทว่าเพราะอย่างนี้ เขาจึงมีสติและใจเย็นเป็นพิเศษ

“ดูจากดวงตาของพวกเขาสองคน ไม่ค่อยเหมือนผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็กลับยิ่งจัดการยากขึ้น…หากสู้กันก็อาจเป็นไปได้ว่าจะเจอ “ท่าไม้ตาย” ของเขา ทำอย่างนั้นอาจทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น…ยังไงก็เลือกจุดที่สองดีกว่า”

ในขณะที่คิดอย่างนี้ หลิงม่อก็จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยกลับเข้าไปในเงามืด…

“…การประชุมครั้งนี้ หัวข้อสำคัญคือเรื่องที่ทีมทำลายล้างถูกทำลาย!” ฉีเทียนอี้เหลือบมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นด้วยหางตา พลางพูดอย่างโกรธขึ้งเบาๆ ว่า “ทีมล่มสองทีมติดๆ กัน เจ้าหลิงม่อคนนี้ช่างมีฝีมือไม่เบา!” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เยือกเย็นยิ่งขึ้น สีหน้าถลึงมึงก็ยิ่งชัดเจนกว่าเดิม

หญิงสาวที่เดินตามอย฿ด้านหนึ่งพูดขึ้นอย่างจนใจ “คือว่าเรื่องนี้…”

“เศษสวะ! ไร้ค่ากันหมด!” ฉีเทียนอี้กำหมัดแน่น พลางด่ากราด “สู้ไม่ได้ก็แล้วไป แต่ชีวิตแค่ชีวิตเดียวของอีกฝ่ายก็ยังเอาไม่ได้!เดิมทีพวกนั้นก็ไม่มีทางเอาชนะหลิงม่อได้อยู่แล้ว แต่ขอเพียงถ่วงเวลาได้ซักนิดล่ะก็…สุดท้ายพวกนั้นก็ทำไม่ได้แม้แต่เรื่องนี้! ทำเอาฉันซวยถูกด่าไปด้วย! ความแค้นนี้ ช่างหนักหนาจริงๆ!”

“เอาล่ะๆ…” หญิงสาวคนนั้นยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วอย่างรำคาญเล็กน้อย แล้วบอกว่า “เดิมที่นอกจากเซี่ยนเหวินซูกับไคลี่ที่รับหน้าที่นำทีม คนอื่นๆ ต่างก็ไม่ถือว่าเป็นสมาชิกคนสำคัญ…ผู้บัญชาการหวังเองก็เหมือนกัน หมกมุ่นอยากได้ตัวหลิงม่อให้ได้ แต่กลับไม่ยอมลงทุน…”

“เหอะ ทั้งหมดก็เป็นเพราะยัยซูเชี่ยนโหรวนั่น ถ้าไม่ใช่เพราะต้องคอยระวังเธอ พวกเราคงไม้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว ตอนนี้ยิ่งสูญเสียกำลังคนไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงสถานการณ์พลิกผันเท่านั้น เรื่องนี้ ฉันรู้ดี ผู้บัญชาการหวังยิ่งรู้ดีกว่า” ฉีเทียนอี้พูดเสียงเย็นชา

เลขาสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็ถามเสียงเบา “แล้วหลิงม่อล่ะ? จะปล่อยให้เขาหนีไปอย่างนี้หรอ?”

“ทางนั้นส่งคนมาค้นหาแล้ว ทันทีที่พวกเขาหาตำแหน่งของคนคนนี้เจอ ฉันก็จะลงมือด้วยตัวเอง!” ฉีเทียนอี้กำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการบีบหลิงม่อให้แหลกคามือ

เลขาสาวเผยรอยยิ้มชวนหลงใหล พลางยกนิ้วมือแตะริมฝีปากอย่างตั้งตาคอย แต่เธอเพิ่งจะทำท่าทางอย่างนี้ ก็ถูกฉีเทียนอี้ถลึงตามองทันที แต่เลขาสาวไม่เพียงไม่สนใจ แต่กลับขยิบตาหว่านเสน่ห์ใส่เขาซ้ำ “ทำไมล่ะ หรือนายอยากเป็นประธานผู้นั่งคำรามอยู่บนเตียงล่ะ?”

ฉีเทียนอี้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม เขายกมือกระตุกคอเสื้อให้หลวม แต่สุดท้ายก็ใช้มือยันกำแพงอย่างทนไม่ไหวแล้วก็อ้วกลมออกมาเสียงดัง “อ้วก” ในระหว่างนั้น เขายังก่นด่าเสียงขาดๆ หายๆ ไปพร้อมกัน “เจ้าแซ่หวัง ข้า…อ้วก…ถ้าเธอยังทำแบบนี้อีกฉันไม่ปล่อยไว้แน่…อ้วก…”

“อย่าถือสาน่า อีกอย่างไม้เด็ดนี้ของฉันก็ใช้ได้ผลตลอดไม่ใช่หรอ?” หญิงสาวหัวเราะอย่างย่ามใจ

“หะ…หุบปากเลยนะ! ทุกครั้งที่เธอใช้ไม้นี้ ฉันที่รู้ความจริงอดอยากอ้วกไม่ได้!” ฉีเทียนอี้โวยวายอย่างหมดสภาพ

“นายว่าถ้าฉันใช้กับหลิงม่อ…”

ทว่าภาพทั้งหมดนี้ หลิงม่อกลับไม่ทันได้เห็น…เพราะเพื่อที่จะซุ่มโจมตีสองคนนี้ หลิงม่อได้ถอยกลับไปตั้งหลักอยู่ในจุดที่สองที่เขาเลือกไว้ก่อนแล้ว

ความจริง ที่นี่เป็นจุดสิ้นสุดของทางเดิน แต่กลางทางเดินยังมีทางเลี้ยวอีกทางที่ยาวประมาณสิบเมตร

ปกติการออกแบบอย่างนี้ หมายถึงมีห้องน้ำซ่อนอยู่แถวนี้ หรือไม่ก็มีทางเดินสู่ห้องบันได…และที่นี่ก็มีอยู่ทั้งสองอย่าง

หลังจากที่ฉีเทียนอี้เดินออกมาจากห้องบันได พวกเขาก็จะเดินเข้าในในบริเวณที่กล้องวงจรปิดเห็น แต่ถ้าหากพวกเขาเดินตรงไปเรื่อยๆ พวกเขาก็จะเดินออกจากบริเวณนั้น และเข้าสู่จุดบอดที่กล้องส่องไม่ถึง…

ส่วนอีกสองจุดถึงแม้จะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่พื้นที่เล็กเกินไป แถมจุดบอดก็แคบมาก

หากซุ่มโจมตีหนึ่งคนยังพอได้ แต่ถ้าหากคิดจะจัดการทีเดียวสองคนล่ะก็…

“ต่อสิ่งที่ต้องคำนึง ก็คือจะทำยังไงให้พวกเขาเดินเข้ามาในจุดบอดแต่โดยดี…”

คิดถึงตรงนี้ หลิงม่อกลับยื่นมือลูบกระเป๋าเสื้อ “น่าจะได้”

ในสองสามนาทีถัดมาหลังจากที่เขาซ่อนตัวเสร็จ บริเวณนี้มีแต่ความเงียบ จนกระทั่งประมาณห้านาทีต่อมา เสียงฝีเท้าจึงดังออกมาจากห้องบันได

แต่ในขณะที่เพิ่งจะผลักประตูออกมา อยู่ๆ ฉีเทียนอี้กลับชะงักเท้า แล้วมองกระเป๋าเสื้อตัวเองอย่างแปลกใจ

ท่ามกลางความเงียบ เสียง “ติ๊ดๆๆ” ของเครื่องมือสื่อสารดังแสบหูกว่าปกติ…

“น่าแปลก ดึกขนาดนี้แล้วยังมีคนโทรมา…” ฉีเทียนอี้ล้วงเครื่องมือสื่อสารออกมา พลางถลึงตาจ้องเลขาสาวที่ชะโงกหน้าเข้ามา จากนั้นก็กดรับสาย “ใครกัน?”

“แซ่ดๆๆ…”

เสียงกระแสไฟฟ้าพลันดังออกมาจากลำโพงของเครื่องมือสื่อสารทันที ฉีเทียนอี้พลันขมวดคิ้ว หลังจากจ้องเครื่องมือสื่อสารแวบหนึ่ง ก็เอามันแนบหูอีกครั้ง “พูดสิ!”

อย่างไรเครื่องมือสื่อสารก็ยังเป็นมือถืออยู่ดี สัญญาณไม่ดีบ้างจึงเป็นเรื่องปกติ…เพียงแต่สถานการณ์ของฉีเทียนอี้นั้นค่อนข้างพิเศษ เครื่องมือสื่อสารของเขา มีแค่ไม่กี่คนที่รู้เบอร์…และในกลุ่มคนเหล่านี้ ก็ไม่รวมคนที่จะโทรมารบกวนเขายามวิกาลอย่างนี้

แน่นอนผู้บัญชาการหวังสามารถโทรมาได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว แต่เขาเพิ่งถูกด่ามายกใหญ่ เดาว่าท่านผู้นั้นคงจะไม่สนใจเขาไปอีกซักพัก เรื่องนี้ ฉีเทียนอี้ที่ติดตามเขามานานรู้ดีที่สุด

“อะไรวะ…” รอครู่หนึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นได้ยินเสียงใครตอบกลับมา กลับยิ่งถูกเสียงคลื่นติดขัดนั่นทำให้รำคาญ แต่ในขณะที่เขากำลังจะวางสาย ทันใดนั้น เสียงแหบแห้งหนึ่งก็ดังมาจากปลายสาย

“อยากรู้ข้อมูลสำคัญไหม? เรื่องหลิงม่อ…เรื่องฐานทัพที่ 2…” เสียงนั้นพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปอีกครั้ง มีเพียงเสียง ”ซือๆ” ที่ดังแทรกเสียงลมหายใจถี่ระรัว ที่เป็นตัวบ่งบอกว่าการสื่อสารยังคงเป็นปกติอยู่

ฉีเทียนอี้อึ้งไป แต่ในขณะที่เขาขมวดคิ้วหมายจะถามอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่า “เรื่องใหญ่มาก ฉันบอกนายผ่านในนี้ไม่ได้ นายวางใจ ฉันไม่ทำให้นายเสียเวลานานหรอก ดังนั้นถ้าตอนนี้นายอยากได้ข้อมูล ก็ทำตามที่ฉันบอกก่อน”

แกเป็นใครกันแน่?” ฉีเทียนอี้ไม่ได้ไล่ถามถึงความจริงเท็จของข้อมูล แค่เรื่องที่อีกฝ่ายสามารถติดต่อเขาได้ ก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยอย่างลึกซึ้งได้แล้ว…จากที่เขาดู ในเมื่ออีกฝ่ายหาตัวเขาเจอ ก็น่าจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่ายๆ ดังนั้นไม่ว่ามีจุดประสงค์อะไร แต่อีกฝ่ายมีข้อมูลอยู่ในกำมือ เขามั่นใจ…

ขณะที่ถาม ฉีเทียนอี้หันไปมองเลขาสาวอย่างระแวดระวัง แต่เขาหมายจะยกมือขึ้นส่งสัญญาณมือ ก็ได้ยินเสียงเย็นชาดังมาจากปลายสายว่า “ทำตามที่ฉันบอกเดี๋ยวนี้ นายถอยเข้าไปในห้องบันได แล้วก็ผู้หญิงที่นายพามา ให้เธอเดินไปทางห้องน้ำ แล้วเข้าไปในห้องน้ำหญิง นอกจากนี้ พวกนายทั้งสองคนปลดอาวุธแล้ววางไว้ในกระถางดอกไม้ข้างๆ ให้หมด”

ฉีเทียนอี้ม่านตาหดตัว เขาหันไปมองกล้องวงจรปิดโดยอัตโนมัติ ทว่าเขากลับไม่ไดถามอะไรมากความ เพียงแต่หลังจากส่งสายตากับเลขาสาว เขาก็ค่อยๆ ถอยเข้าไปในห้องบันได ขณะที่เดินผ่านกระถางดอกไม้โล่งๆ นั่น เขาก็โยนกริชและปืนกระบอกหนึ่งลงไปในนั้น

ส่วนเลขาสาวกลับหัวเราะคิกคักอย่างไม่ยี่หระ เธอล้วงปืนพกสองกระบอกออกมา หลังจากโยนลงไปก็เดินไปทางห้องน้ำ

ทว่าในเสี้ยววินาทีที่ทั้งสองเดินเฉียดไหล่กัน ริมฝีปากของเลขาสาวพลันขยับเบาๆ ทันที…

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset