แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 865 กฎตายตัวของห้องน้ำหญิง

ในห้องน้ำหญิงต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ…โดยเฉพาะบรรยากาศประหลาดๆ อย่างนี้ ยิ่งมีโอกาสเกิดเรื่องแปลกสูง แน่นอนว่าเรื่องแปลกที่ว่า ย่อมหมายถึงเรื่องประเภทการลอบโจมตีอะไรทำนองนั้นอยู่แล้ว…แต่การเดินไปเปิดประตูด้วยตัวคนเดียวทั้งที่รู้ว่ามันมีอันตรายซ่อนอยู่นั้น ท้าทายและน่ากลัวไม่ต่างจากการขูดหาเลขเด็ดเลย แตกต่างก็เพียงแต่ สิ่งที่ต้องวางเดิมพันคือชีวิต…

และเลาขาสาวคนนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นนักพนันตัวยง เธอไม่เพียงไม่แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาซักนิด แต่กลับตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย ขณะที่เธอเดินไปหยุดหน้าประตู รอยยิ้มประหลาดได้ปรากฏบนใบหน้า เธอพลันยกขาเรียวยาวขึ้น และถีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

เสียงประตูกระแทกดัง ช่างเป็นวิธีการทำลายล้างที่ได้ผลสูง…อานุภาพของรองเท้าส้นสูง น่ากลัวไร้ที่เปรียบ!

แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น…

นั่นทำให้เลขาสาวผิดหวังขึ้นมาชั่วขณะ “ไม่ใช่ฉากสยองขวัญเปิดประตูแล้วเจอของดีหรอกหรอเนี่ย?”

อุตส่าห์ปูพล็อตเรื่องมาซะดิบดี แต่กลับเปล่าประโยชน์!

“นี่ ถึงจะไม่รู้ว่านายต้องการอะไรกันแน่ แต่พวกเราออกมาคุยกันตรงๆ ก็ได้นี่? หรือว่าที่นายแยกพวกเราออกจากกัน ก็เพื่อจัดการฉัน? หึหึ มีความมั่นใจดีนี่ แต่นายมีความสามารถนั้นแน่หรอ? นายคงเป็นคนที่ฟอลคอนส่งมาสินะ น่าจะรู้ดีว่าพวกเราต่างกันแค่ไหน ถ้าฉันเป็นนาย คงไม่ทำเรื่องที่เหมือนฆ่าตัวตายอย่างนี้แน่นอน” เลขาสาวถีบประตูไปเรื่อยๆ พร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ การกระทำอย่างนี้ของเธอสามารถสร้างแรงกดดันให้ผู้ซ่อนตัวได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าในความเป็นจริง เลขาสาวเองก็ลอบเดาะลิ้นเบาๆ ในใจเช่นกัน

แม้อาศัยไหวพริบเฉียบแหลมของเธอ ก็ยังไม่เจอตัวอีกฝ่าย…ถ้าหากไม่ใช่เพราะระมัดระวังและรอบคอบพอตัว ไม่แน่เธออาจถูกอีกฝ่ายลอบโจมตีไปแล้ว เงาที่ปรากฏในกระจกนั่น จนตอนนี้ก็ยังทำให้เธอหวาดกลัวไม่หาย…

“อยู่นี่งั้นหรอ? โครม!”

เสียงกระแทกกระทั้นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับที่ประตูห้องน้ำห้องสุดท้ายถูกถีบเปิด

“อยู่ไหนกัน!” เลขาฯ สาวเบิกตากว้างมองห้องน้ำอันว่างเปล่าตรงหน้า

เธอขมวดคิ้วครุ่นคิด ทันใดนั้นก็ตวัดสายตามองไปทางประตูทางเข้า

“หรือว่าในเสี้ยววินาที่นั้น…” หลังจากที่เลขาฯ สาวครุ่นคิด เธอพลันกำหมัดแน่นขึ้นมา “ไอ้เลว แกกล้าปั่นหัวฉันเรอะ!”

ห้องน้ำกว้างแค่นี้ และคงไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเปิดฝาชักโครกแล้วทะลุมิติออกไปอยู่นอกประตูทางเข้าแน่นอน หลังจากตัดความเป็นไปได้ที่ไม่เข้าท่าทั้งหมดทิ้งไป สิ่งที่เหลือแม้ไม่อยากยอมรับก็จำเป็นต้องยอมรับ เพราะมันคือความจริงอย่างแน่นอน… “เงาร่างนั่นคงเป็นสิ่งบังหน้าที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกล่อความสนใจของฉัน แต่ไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไงกันแน่…” เลขาฯ สาวมองขึ้นไปบนเพดาน แต่นอกจากช่องระบายอากาศที่กว้างพอแค่ยัดแขนข้างเดียวเข้าไปได้ เธอก็ไม่พบอะไรอย่างอื่นอีก

“ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหน ก็คาดเดาไม่ได้ว่าพลังพิเศษของเขาคืออะไร…แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ ทำไมเขาต้องทำอย่างนี้? ถ้าแค่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจก็ไม่ได้น่าจะมีประโยชน์มากนัก…ไม่ได้การแล้ว!” ทันใดนั้น เลขฯ สาวพลันฉุกคิดถึงปัญหาร้ายแรงเรื่องหนึ่งขึ้นมา!

ขณะที่เธอกำลังติดพันอยู่กับ “เงาร่าง” นั้นอยู่ในนี้ เธอกลับสัมผัสไม่ได้แล้วว่าตอนนี้ฉีเทียนอี้อยู่ที่ไหน ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่เครื่องมือสื่อสารของฉีเทียนอี้ก็อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถติดต่อได้…อีกฝ่ายไม่มีทางให้ฉีเทียนอี้เดินผ่านจุดที่มีกล้องวงจรปิดแน่นอน ถ้าอย่างนั้น ถึงแม้เธอจะใช้อำนาจในหน้าที่การงาน ก็ไม่มีทางตามหาตัวสองคนนั้นเจอในเวลาสั้นๆ แน่นอน และหากทำเป็นเรื่องใหญ่…ที่นี่มันฐานทัพที่ 2 นะ! พวกเขาจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ได้ยังไง!

“ถ้าหากฉันเป็นเขา ฉันจะหลอกฉีเทียนอี้ที่มีพลังเหนือกว่าหลายขุมไปที่ไหน?” เลขาฯ สาวครุ่นคิดสองวินาที แล้วอดยกเท้าถีบประตูห้องน้ำไม่ได้ ขณะเดียวกันในกระจก เงาร่างของเธอเริ่มยืดยาวและสูงขึ้นช้าๆ…

“ที่นี่น่ะหรอ สนามต่อสู้ที่นายเตรียมไว้ให้ตัวเอง?” ฉีเทียนอี้ผลักประตูออก พลางคิดเย้ยหยันในใจ

ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายพูดคำว่าดาดฟ้า ฉีเทียนอี้ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจไว้อย่างนี้จริงๆ…จะบอกว่าเขากำลังดูถูกก็ได้ บนดาดฟ้าแทบไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ แค่มองปราดเดียวก็เห็นทุกซอกทุกมุมแล้ว! ส่วนสมาชิกฟอลคอนกลุ่มนี้ที่ถูกส่งตัวมาที่นี่ เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามีใครที่แกร่งกว่าเขา…แน่นอนว่าสำหรับเขา นี่เป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์…ซึ่งจุดนี้ เลขาฯ สาวเองก็เป็นเหมือนกัน

ใครบอกเล่าว่าคนธรรมดาๆ ที่ไม่มีบทบาทจะไม่มีข้อดี? หัวหน้าทีมย่อยคนนี้ทำงานมานานมาก เกรงว่าคงไม่มีทางรู้ว่าจะมีวันที่ตัวเองข่มหัวหน้าทีมใหญ่ได้ด้วย…

“ฉันมาถึงแล้ว นายอยู่ไหน?” ฉีเทียนอี้สะบัดเสียงถาม

“ก็อยู่ข้างหลังนายไง” เสียงนั้นตอบกลับมา

“หื้ม?” ฉีเทียนอี้รีบหันขวับ

ห่างออกไปข้างหลังเขาไม่ไกล ชายคนหนึ่งซึ่งสวมชุดทหารของฟอลคอนกำลังยืนพิงแทงค์น้ำมองมาที่เขา คนคนนั้นดูธรรมดามาก ทว่าแค่ความสามรถที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่เขากลับไม่อาจสัมผัสรู้ได้นี้ ก็ทำให้ฉีเทียนอี้สนใจขึ้นมาไม่น้อย ทว่าไม่นาน สายตาของเขาก็กวาดมองผ่านไหล่ของอีกฝ่ายอย่างจงใจ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “นายอย่าบอกนะว่าคนที่จะให้ข้อมูลนั่นคือนาย? เป็นแค่หัวหน้าทีมย่อย อาศัยฐานะของนาย…” เห็นชัดว่าฉีเทียนอี้เริ่มแคลงใจ เขากระทั่งเริ่มสงสัยว่าหลิงม่อเอาเครื่องมือสื่อสารมาจากที่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าคนธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่นแต่ใจกล้าอย่างน่าประหลาดใจอย่างหมอนี่ ก็ทำให้เขาเกิดความคิดดูเบาขึ้นมาทันที

“เรื่องนี้นายไม่ต้องยุ่ง มาแลกเปลี่ยนกันเถอะ” หลิงม่อกำหมัดแน่นแล้วบอก

ฉีเทียนอี้ชะงัก จากนั้นก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ฉันไม่ได้ถูกหลอกอย่างนี้มานานมากแล้ว แกนี่มัน ช่าง…”

“รีบเข้าเถอะ สถานการณ์ของฉันในตอนนี้ไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะรับมือกับพวกนายพร้อมกัน” หลิงม่อกระตุกข้อมือ กริชเล่มนั้นพลันไหลลงมาอยู่ในกำมือเขา

“แกนี่ตรงไปตรงมาดีนะ…เดี๋ยวก่อน หลอกให้ฉันทิ้งอาวุธ แต่ตัวเองกลับเอามีดออกมาเนี่ยนะ!” ฉีเทียนอี้พูดไม่ออก ตอนนี้เขาเข้าใจสถานการณ์แล้ว คนตรงหน้าเขาไม่มีข้อมืออยู่ในมืออยู่แล้ว หรือไม่ ก็ไม่คิดจะบอกเขาแต่แรกอยู่แล้ว…ไม่รู้ทำไม ฉีเทียนอี้กลับรู้สึกว่าอย่างที่สองน่าจะเป็นไปได้มากกว่า

ในอดีต เขากับหัวหน้าทีมย่อยคนนี้ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว จึงรู้จักกันไม่มากนัก แต่ดูจากการกระทำทั้งหมดในคืนนี้ของอีกฝ่าย คนคนนี้เป็นคนที่วางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือ…และคนประเภทนี้ก็ไม่มีทางลงมือส่งเดช ท่าทางของเขาในตอนนี้ อาจเป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่งก็ได้…

แต่ฉีเทียนอี้เพิ่งจะคิดมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเขาก็พบว่า…หลิงม่อหายตัวไปแล้ว!

ดาดฟ้าว่างเปล่า ราวกับเหลือเขายืนอยู่บนนี้คนเดียว

“เป็นไปไม่ได้…” ฉีเทียนอี้รีบโฉบตัวไปยังกำแพงด้านหลังทันที แต่ในขณะที่เขาใกล้จะแนบหลังชิดแพง เขากลับหยักยิ้มมุมปาก และพลันหันกายกลับไป เหวี่ยงหมัดเข้าใส่กำแพงอย่างเต็มแรง

เมื่อหมัดเขาถูกเหวี่ยงออกไป ขาข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากกลางอากาศราวสามารถร่องหนได้ และปะทะเข้ากับหมัดของเขาอย่างจัง

พลั่ก!

เสียงกระแทกกันดังสนั่น ฉีเทียนอี้หน้าเปลี่ยนสี ร่างกายเขาเซถอยไปข้างหลังหลายก้าวติดๆ กัน หลังจากยืนอย่างมั่นคงเขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย และตะโกนลั่น “มาอีก!” ทั้งที่เกือบถูกลอบโจมตี แต่เขากลับดูตื่นเต้นมาก

และครั้งนี้ ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ นอกจากเงาทับซ้อนที่มองเห็นได้รางๆ เงาร่างเขาแทบจะกลืนหายไปในอากาศเลยทีเดียว

“เชี่ย หัวหน้าทีมทีมทำลายล้างไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย! ความเร็วอันยอดเยี่ยมขนาดนี้ เราต้องกระตุ้นความสามารถแฝงออกมาไม่น้อยถึงจะทำได้! ดูจากจุดนี้เขาก็คือผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายตัวจริงเสียงจริงแล้วล่ะ…และการที่เขาทำอย่างนี้ ก็เท่ากับกำลังใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี!” หลิงม่อที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันบ้าคลั่งเริ่มครุ่นคิด เดิมทีเขาคิดว่าอาศัยความเร็วก็น่าจะขึ้นนำฉีเทียนอี้ได้ แต่ดูจากตอนนี้ พลังด้านความเร็วก็มีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน ทว่าถึงจะเป็นอย่างนั้น เรื่องวัดกำลัง ซอมบี้ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอนอยู่แล้ว!

เพียงเสี้ยววินาที บนดาดฟ้าพลันเกิดการต่อสู้อันดุเดือด และแปลกประหลาดมากขึ้น นอกจากเศษฝุ่นที่ระเบิดอย่างต่อเนื่องแล้ว แทบไม่เห็นร่องรอยของใครบนนี้เลย…มีเพียงประโยคท้าทาย และหยั่งเชิงกันไปมาของทั้งสองคน ที่ทำให้รู้ว่าที่นี่มีคนอยู่…

“ไม่คิดเลยว่าฉันจะมีคนที่มากความสามารถอย่างนี้อยู่ในมือด้วย! ไม่เลวๆ!” ฉีเทียนอี้ปรากฏกายช่วงสั้นๆ จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในขณะที่หลิงม่อพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างติดๆ คนหนึ่งไล่คนหนึ่งหนี เสี้ยววินาที เศษฝุ่นละอองลอยคลุ้งขึ้นมาอีกครั้ง

ทว่าต่อสู้กันไปต่อสู้กันมา ฉีเทียนอี้กลับรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง

อีกฝ่าย…ไม่เหนื่อยเลยหรอ?

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset