แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 889 ขาสั้นคือจุดอ่อน

ขณะเดียวกัน ด้านนอกตึก

เงาร่างเล็กๆ เงาหนึ่งปรากฏอยู่บริเวณประตูใหญ่อย่างเงียบเชียบ เธอซ่อนตัวอยู่ด้านหลังซากรถยนต์เก่าๆ คันหนึ่ง และแอบมองซอมบี้ที่อยู่ใกล้ๆ ประตูใหญ่อย่างเงียบๆ

“นี่คือซอมบี้ที่ถูกพี่หลิงควบคุม” ซย่าน่าพึมพำกับตัวเอง ทว่าไม่นาน เธอก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นรวดเร็วและเบาหวิว “ไม่เป็นไร เขาจับฉันไม่ได้หรอก อีกอย่างตอนนี้เขาก็กำลังงมโข่งอยู่ คงกำลังยุ่งมากแน่ๆ ดังนั้นการที่ฉ้นทำอย่างนี้ก็เป็นการช่วยเขาเหมือนกัน…”

“เฮยน่า เธอพูดถูก” เธอพยักหน้าอย่างจริงจัง ระหว่างที่เธอกำลังคุยกับตัวเอง ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเปลี่ยนสีไปมาไม่หยุด ขณะเดียวกันเธอยกนิ้วแตะริมฝีปากแล้วพูดว่า “น่าสนใจ เหมือนฉันได้เปิดบทใหม่ของอาการบุคลิกแตกแยก ถึงแม้จะยังเปิดไม่หมด แต่ก็…”

“ซย่าน่า…” เงาร่างของใครอีกคนโผล่มาจากข้างหลังเธอ และเงยหน้ามองไปข้างนอกอย่างสับสน

“เฮ้ย!” ซย่าน่ายกมือทาบอก บอกว่า “รุ่นพี่ อย่าทำอย่างนี้สิ!”

หลี่ย่าหลินถูกจับก้มหัวลงมา พลางพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ “แปลกจัง หลิงม่อก็ชอบท่านี้เหมือนกัน แล้วก็ชอบพูดแบบนี้ด้วย…แต่เขาไม่ให้พวกเธอรู้ไม่ใช่หรอ? ทำไมเธอถึง…”

“เอ๋? เอาไว้เล่าให้ฉันฟังอย่างละเอียดด้วยนะ” ซย่าน่าค่อยๆ หันกลับไปมองข้างหลังอย่างเงียบๆ บอกว่า “พี่เย่เลี่ยนน่าจะไปถึงจุดหมายแล้ว พวกเราเองก็เตรียมตัวเถอะ ครั้งนี้พวกเราแอบเคลื่อนไหวกันเอง ดังนั้นอีกเดี๋ยวพี่ต้องเชื่อฟังฉันเท่านั้นนะ…หรือพูดให้ถูกก็คือ ต้องเชื่อฟังมนุษย์น่าน่า”

“จะว่าไปแล้ว หลิงม่อต้องโกรธแน่เลยใช่ไหม?” หลี่ย่าหลินพูดเสียงเบา

“อย่าให้เขารู้ก็พอแล้ว…” ซย่าครุ่นคิด แล้วพูดขึ้นอีกว่า “อีกอย่างนะ เมื่อข้าวสารถูกหุงจนสุกกลายเป็นสวย เขาก็ทำได้แค่ยอมรับความจริงเท่านั้นแหละ”

“อา…อย่างนี้ก็ได้ด้วยหรอ…” หลี่ย่าหลินพยักหน้า

“ครั้งหน้าถ้าพี่ใช้ก็อย่าบอกว่าฉันเป็นคนสอนล่ะ”

“หืม? ทำไมล่ะ?”

“…ถือว่าฉันไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน แต่รุ่นพี่ รุ่นพี่รู้จักเป็นห่วงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ฉันหมายถึงเรื่องที่กลัวพี่หลิงโกรธ” อยู่ๆ ซย่าน่าก็ถามอย่างสงสัย

หลี่ย่าหลินหัวเราะคิกคัก ดวงตาคมเฉี่ยวของเธอกระพริบเล็กๆ “หลิงม่อบอกฉันเอง…”

“อย่างนั้นหรอ…ถ้างั้นก็ลืมอันนี้ซะ เพราะเขากำลังพยายามทำให้พี่เป็นยัยทึ่มอยู่นะ” ดวงตาของซย่าน่าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที แล้วเธอก็พูดด้วยเสียงแปลกๆ

“หา…” หลี่ย่าหลินทำหน้าประหลาดใจ หลายวินาทีผ่านไป เธอก็อดถามขึ้นไม่ได้อีกว่า “ยัยทึ่มคืออะไร?”

หลังจากอดทนรอจนเกือบหนึ่งนาที ในที่สุดขณะที่หุ่นซอมบี้ตัวนั้นมองไปทางอื่น ซย่าน่าก็ดึงหลี่ย่าหลินพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับบิน เงาร่างสองเส้นนี้พุ่งไปทางผนังด้านข้างของตึกใหญ่ด้วยความเร็วสูงสุด จากนั้นก็แนบตัวติดกำแพง แล้วมองหน้ากันพร้อมกับแอบหัวเราะเบาๆ

“สำเร็จ!ต่อไป ก็ต้องหาวิธีเข้าไปข้างใน…”

ซย่าน่ามองซ้ายมองขวา ไม่นานก็มองเห็นหน้าต่างที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากบานหนึ่ง

“เหล็กดัดกันขโมย…อืม จัดการง่ายมาก” ซย่าน่าเอียงคอมองพิจารณาหน้าต่างครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปขยิบตาให้หลี่ย่าหลิน

“นี่!ตาแธอเป็นอะไรไป!”

“…มันเป็นวิธีการแสดงความรู้สึกอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งหมายถึง…ช่างเถอะ ฉันลงมือเองแล้วกัน”

บนดาดฟ้าอีกแห่งที่อยู่ตรงข้ามกับบริษัทลอว์สัน เย่เลี่ยนกำลังยืนพิงราวกั้น และจ้องเลนส์ยิงปืนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และดวงตาข้างที่เธอใช้เพ่งนั้นถึงแม้ไม่กระพริบตาเลย แต่วงกลมสีแดงในม่านตาของเธอกลับกำลังหดตัวอย่างต่อเนื่อง…

“ฮู่ว…”

เย่เลี่ยนสูดหายใจลึกๆ เมื่อเธอสูดลมฟอดนี้เข้าไป กลิ่นอายรอบกายเธอก็ถูกกักเก็บเข้ามาทันที ราวกับว่าเธอได้กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับดาดฟ้าแห่งนี้ไปแล้ว

“วิวัฒนาการ……” เย่เลี่ยนพูดเสียงเบา “วิวัฒนาการของฉัน…คงเป็น…อย่างนี้ล่ะมั้ง…”

เย่เลี่ยนจดจ้องไปยังบานหน้าต่างเหล่านั้น เธอมีสมาธิจดจ่อมากจนไม่น่าเชื่อ

“ถึง…แม้…จะไม่ได้อยู่ข้างๆ พี่ แต่ฉันก็…อยากปกป้องพี่” เย่เลี่ยนกระดกมุมปากเล็กๆ เหมือนต้องการจะหยักยิ้มเบาๆ แต่ก็ทำไม่เป็น “ก็เหมือนกับ…เมื่อก่อน”

เธอยกมือขึ้นลูบอกตัวเองเบาๆ จากนั้นก็จับกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง “ดังนั้น…ฉันไม่ได้…เปลี่ยนไปทั้งหมด…”

………..

“ตึกตัก!”

หลิงม่อยกมือขึ้นลูบหน้าอกตัวเองอย่างไม่รู้ตัว พลางคิดอย่างประหลาดใจ “เป็นอะไรไป? ทำไมจู่ๆ หัวใจก็เต้นเร็ว?”

ถ้าหากเป็นเพราะหุ่นซอมบี้ตัวหนึ่งก็แล้วไป แต่เสี้ยววินาทีเมื่อกี้ ร่างกายทั้งสี่ร่างรวมร่างจริง กลับมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน และความรู้สึกนั้น ก็ต่างจากผลกระทบที่เกิดจากราชินีแมงมุมมาก…

ทว่าความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว หลิงม่อยังไม่ทันได้พิจารณาอย่างละเอียด เสียง “ตึง” ก็ดังมาจากข้างหลังทันที และเสียงคำราม “โฮก” ของจอมแล่เนื้อก็ดังตามมาติดๆ ที่แย่กว่านั้นคือยังมีเสียง “งี๊ด งี๊ด” มากมาย รวมถึงเสียงที่เหล่ากระเป๋าเลี้ยงเด็กทารกใช้มือและเท้าตะกุยตะกายมาทางนี้รวมอยู่ด้วย

“ฉิบหาย ฉันไม่ใช่พ่อแกนะโว้ย จะตามหาพระแสงอะไรนักหนาวะ!หรือพวกแกยังยึดธรรมเนียมที่ว่าเห็นหน้าใครเป็นคนแรกคนนั้นก็คือพ่ออยู่งั้นหรอ!” หลิงม่อสบถด่าอย่างหัวเสีย ขณะเดียวกันคนที่ถูกเขาก่นด่าด้วยก็ยังมีเจ้าซอมบี้เด็กตัวนั้นอีก เจ้าเด็กบ้านั่นทิ้งรอยเท้าไว้เป็นพรวน แต่กลับพาเขามาที่ไหนก็ไม่รู้…

เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ถูกทิ้งเรี่ยราดอยู่เต็มไปหมด กระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนที่เหลือแต่โครงกระดูกและผิวหนังซึ่ง “ผ่านการใช้งาน” มาแล้วเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น เสียง “ติ๊กต่อกๆ” ดังมาจากที่ไหนซักที่ ส่งผลให้บรรยากาศวังเวงยิ่งขึ้น และเพราะแถวๆ นี้ไม่มีหน้าต่าง ที่นี่จึงดูโล่งกว้างและมืดมิดกว่าปกติ บางจุดยังมีกระจกวางอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่ามันมีอยู่แล้ว หรือว่าถูกซอมบี้ประหลาดพวกนี้ขนย้ายเข้ามา

ส่วนตัวหลิงม่อคิดว่าในเมื่อมีซอมบี้อย่างจอมแล่เนื้อและเด็กผู้ชายตัวนั้นอยู่ ถ้าจะมีซอมบี้ผู้หญิงที่ชอบส่องกระจกเพิ่มขึ้นมาอีกซักตัวก็คงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรแล้ว…

“หลอกให้ฉันปลุกสัตว์ประหลาดตัวน้อยพวกนั้นให้ตื่นขึ้นมาก่อน แล้วค่อยพามาในที่แบบนี้…ตกลงว่าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

เนื่องจากรู้ตัวเองดี หลิงม่อไม่คิดว่าอีกฝ่ายต้องการวางแผนทำร้ายเขาที่เป็น “ซอมบี้ระดับต่ำ” ขนาดนี้ และนี่ก็ฌป็นเหตุผลที่เขาตามมันมา ตึกแห่งนี้มีพื้นที่กว้างมาก โครงสร้างภายในก็ซับซ้อน ถ้าหากเขาต้องค่อยๆ สำรวจไปด้วยตัวเอง อาจจะต้อง “ตาย” อีกไม่รู้ซักกี่ครั้ง…แทนที่จะทำอย่างนั้น สู้ลองเสี่ยงอันตรายซักตั้งดีกว่า…

แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ ตอนนี้มีกระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนอย่างน้อยก็หลายสิบตัวกำลังไล่ล่าเขา แล้วยังมีจอมแล่เนื้อผู้คลุ้มคลั่งอีกหนึ่งตัว…

“เดี๋ยวก่อน มันคงไม่ได้เป็นพี่ชายของสัตว์ประหลาดฝูงนั้นหรอกนะ? หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลยนี่นา…”

หลิงม่อกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย แต่ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนเท้าเขากำลังเหยียบอากาศ

“เชี่ยย!”

เขาทำได้เพียงสบถคำหยาบหนึ่งคำ จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้นพร้อมกับสิ่งของพะรุงพะรังกองหนึ่ง

โชคดีที่อาศัยร่างกายแข็งแรงของซอมบี้ เขาจึงแทบจะกระเด้งตัวลุกขึ้นทันทีที่ล้มลงไป

รูขนาดใหญ่ข้างบนหัวรวมถึงไม้กระดานนานาชนิดที่ร่วงอยู่ใต้เท้าได้บ่งบอกชัดเจนแล้ว ว่านี่เป็นหลุมกับดักที่ถูกสร้างขึ้นแบบลวกๆ…และสิ่งที่ทำเขาพูดมไออกยิ่งกว่าก็คือ เขากลับตกหลุมพรางซะได้…

“ห้ามดูถูกซอมบี้เด็ดขาด…เฮ้ยย!”

หลิงม่อเพิ่งจะพูดเตือนใจหลิงม่อ ทันใดนั้นเขาก็เหลือบเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยแวบหนึ่ง

เงาร่างนั้นเหมือนกำลังนั่งจ้องเขาจากในมุมมืดอยู่ตลอด พอเห็นว่าถูกจับได้ก็รีบหัวหน้าออกวิ่งอีกครั้ง

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

หลิงม่อเร่งเท้าวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

ครั้งนี้เขาเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นมาก จนถึงขั้นรู้สึกถึงการฉีกขาดของกล้ามเนื้อขาในระหว่างวิ่งเลยทีเดียว

ภาพทิวทัศน์และสิ่งของด้านหน้าเลื่อนผ่านตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว ในขณะกัน เขาก็โฉบกายหลบเลี่ยงได้อย่างทันท่วงที…ถ้าหากไม่ใช่ว่าร่างจริงของเขามีพลังจิตอันแก่กล้า การตอบสนองทางจิตของเขาอาจตามการเคลื่อนไหวในเวลานี้ไม่ทันด้วยซ้ำ แต่ความจริงนี่ไม่ได้เป็นเพราะความเร็ว ทว่าเป็นเพราะเส้นทางในการเคลื่อนไหวของเขาต่างหาก

เจ้าซอมบี้เด็กตัวนั้นวิ่งเข้าวิ่งออกห้องโน้นห้องนี้ไม่หยุด เหมือนกำลังเล่นวิ่งหลบหลีกสิ่งของด้วยความเร็วดั่งลูกธนูติดไฟอย่างไรอย่างนั้น ถ้าหากไม่ระวังวิ่งชนสิ่งของในสถานการณ์อย่างนี้ ดูจากระดับวิวัฒนาการของซอมบี้ตัวนี้ ต้องเจ็บหนักแน่นอน…ทว่าตอนนี้ในสมองของหลิงม่อมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ—จับมันให้ได้!

เจ้าเด็กบ้านั่นไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดา ร่างกายของมันต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน! ถ้าหากถูกมันจูงจมูกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีทางรู้ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร ดังนั้น ต้องจัดการมันตอนนี้เท่านั้น!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

เห็นชัดว่าการวิ่งไล่อันบ้าคลั่งของหลิงม่อเหนือความคาดหมายของซอมบี้เด็ก ถึงแม้ว่ามันจะวิ่งเร็วมาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังถูกจำกัดด้วยเรื่องรูปร่างอยู่ดี…ณ ทางเลี้ยวจุดหนึ่ง หลิงม่อพลันคำรามเสียงดัง งอเข่าทั้งสองข้างแล้วดีดตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่เกิดความรู้สึกผิดปกติขึ้นตรงต้นขา เขาก็พุ่งตัวเฉียดผ่านร่างซอมบี้เด็กไปทางกำแพงด้านหน้าราวกับลูกระเบิด

“ย๊ากก!”

เสี้ยววินาที่ที่ใกล้พุ่งชนกำแพง เขาใช้เท้าทั้งสองข้างยันกำแพง ดีดตัวกลับไปข้างหลัง และกระแทกโดนร่างซอมบี้เด็กอย่างแม่นยำ ซอมบี้สองตัวล้มหงายหลังลงบนพื้นทางเดิน ซ้ำยังไถลไปไกลถึงสิบกว่าเมตร

หลิงม่อที่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้วรีบพลิกตัว และกระโจนเข้าใส่เจ้าซอมบี้เด็กที่หมายจะลุกขึ้นยืนทันที

“ขาสั้นแค่นี้ยังติดจะวิ่งแข่งกับฉัน?”

หลิงม่อกดทับร่างกายของซอมบี้เด็ก พลางตะคอกอย่างดุดัน

เจ้าซอมบี้เด็กจ้องหลิงม่ออย่างผิดคาดอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันก็เริ่มดิ้นขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง

เห็นเป็นเด็กอย่างนี้ แต่ในฐานะที่เป็นซอมบี้วิวัฒนาการ พละกำลังของมันกลับน่ากลัวมากทีเดียว

ทว่า…หลิงม่อมีประสบการณ์มาไม่น้อยแล้ว

เขาไม่สนใจการขัดขืนและการโจมตีของเด็กชายตัวน้อย แต่ทำเพียงกดตัวมันไว้แน่นๆ ไม่ยอมปล่อยเท่านั้นก็พอ ขณะเดียวกันปากก็พูดว่า “บอกมา แกเป็นใคร? ที่นี่มันยังไงกันแน่? ทำไมแกต้องทำอย่างนี้ด้วย? พูดสิ! แกพูดได้ใช่ไหมล่ะ?”

“อื้อ…” เด็กชายตัวน้อยรัวมือรัวเท้าต่อยตีไม่หยุด แต่กลับไม่เกิดผลใดๆ ในขณะที่มันเริ่มเผยสีหน้าร้อนรน อยู่ก็กลับเบิกตากว้างแล้วมองไปข้างหลังหลิงม่อ

“ว๊ากก!”

แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้มันจะส่งเสียงร้อง และทำท่าทางตกอกตกใจยกใหญ่ แต่สิ่งที่เห็น กลับยังคงเป็นใบหน้าเย็นชาของหุ่นซอมบี้เหมือนเดิม

อย่าว่าแต่หันกลับไปมองเลย หลิงม่อกลับกดทับร่างกายมันแน่นกว่าเดิม…

“เจ้าหนู ผิดหวังมากล่ะสิ?” หลิงม่อหัวเราะ แล้วพูดขึ้น

คราวนี้เด็กชายตัวน้อยเบิกตากว้างด้วยความตกใจจริงๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง อยู่ๆ มันก็ร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา “แกสิเจ้าหนู! แกนั่นแหละเจ้าหนู! ฉันเป็นผู้หญิงต่างหากเล่า! พี่สาว! มีคนจะล่วงเกินฉัน!”

“ฉิบหาย! ใครจะล่วงเกินเธอ!”

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset