แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 981 “เครื่องบดเนื้อ”

สองสามวินาทีผ่านไป สวี่ซูหานถึงค่อยได้สติกลับคืนมา ส่วนหลิงม่อเก็บมือถือใส่กระเป๋า ทั้งสองนั่งอยู่ในไอหมอกมืดมืด และพากันเงียบไปชั่วอึดใจ

ความจริงแค่ตาข้างเดียวบอกอะไรได้ไม่มาก แต่หากมองดูเค้าโครงและรายละเอียดดีๆ ก็จะพบว่ารูปร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้น่ากลัวมาก อันดับแรก มันไม่มีเปลือกตา…อันดับต่อมา มันยังไม่มีขนหรือเส้นผมเลย ขนาดขนคิ้วยังไม่มี ซึ่งยากที่ส่วนอื่นๆ บนร่างกายของมันจะมีขน…

รูปร่างภายนอกดูประหลาด เคลื่อนไหวรวดเร็ว พลังสังหารยอดเยี่ยม แถมยังเคลื่อนไหวกันเป็นฝูงอีกต่างหาก…ที่สำคัญคือพวกมันซ่อนตัวอยู่ในไอหมอกมืด แต่พวกหลิงม่อไม่เพียงได้รับผลกระทบด้านการมองเห็น แม้แต่การหายใจซึ่งเป็นเรืองพื้นฐานที่สุดก็ยังต้องระวังตัว นี่มันแย่เกินไปแล้ว…

โดยเฉพาะหลิงม่อที่รู้สึกแย่ยิ่งกว่า สัตว์ประหลาดพวกนี้ ไม่เหมือนกับมนุษย์ตะขาบที่เขาเคยเห็นผ่านหุ่นซอมบี้ ถึงแม้ตอนแรกเขาหลงคิดว่าพวกมันเหมือนกัน แต่พอเห็นดวงตาข้างนี้ เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองคิดผิดถนัด ระดับวิวัฒนาการของสัตว์ประหลาดพวกนี้สูงกว่ามนุษย์ตะขาบพวกนั้นอย่างเห็นได้ชัด แถมระดับความอันตรายก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันด้วย เหมือนที่ซย่าน่าสามารถใช้เคียวดาบลากมนุษย์ตะขาบกลับมา แต่หลิงม่อกลับไม่สามารถลงมือจับสัตว์ประหลาดประเภทนี้ส่งเดชได้

สัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่สามารถใช้พลังจิตกำราบให้อยู่หมัดได้แม้เพียงชั่วคราว ถึงแม้จะใช้ได้ผลกับหนึ่งตัว แต่ตัวอื่นๆ ก็จะรู้ตัวอย่างรวดเร็ว ความจริงตอนที่โจมตีกลับ หลิงม่อเคยลองมาแล้ว สัตว์ประหลาดประเภทนี้ไม่มีความสามารถในการไตร่ตรอง พวกมันเป็นเหมือนอาวุธมีชีวิต ที่เคลื่อนไหวด้วยสัญชาตญาณต่อสู้ และเคลื่อนไหวกันเป็นฝูงเสมอ หากหนึ่งในฝูงถูกโจมตี ตัวอื่นๆ ก็จะล้อมวงเข้ามาทันที ถ้าหากคิดจะต่อสู้กันซึ่งๆ หน้าล่ะก็ บอกได้เลยว่าอัตราความสำเร็จต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก

“ไม่สิ พวกมันต้องมีจุดอ่อนอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ” อยู่ๆ หลิงม่อก็พูดขึ้น

สวี่ซูหานเงยหน้ามองเขา แล้วถามอย่างท้อแท้ว่า “มีที่ไหนกันล่ะ? ตั้งแต่ที่พวกมันเริ่มโจมตีถึงตอนที่พวกเราหนี นายคิดว่าใช้เวลาไปนานเท่าไหร่กันเชียว? นี่ยังบุญที่นายเร็ว ถ้านายชะงักไปแค่วินาทีเดียว ป่านนี้พวกเราจะเป็นยังไงไปแล้ว?” เธอไม่กล้าคิด แค่คิดก็กลัวแล้ว แต่พอคิดว่าป่านนี้อวี่เหวินซวนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ เธอก็ทำใจฮึดสู้ แล้วฝืนยิ้มฝืดๆ ให้หลิงม่อ “แต่พวกเราก็หนีมาได้แล้วนี่เนอะ? ฉันว่า…”

“ไม่ๆๆ ฉันพูดจริงๆ” หลิงม่อขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นยืน เดินวนไปวนมาสองสามรอบแล้วบอกว่า “สัตว์ประหลาดพวกนี้ น่าจะถือเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ได้สินะ? ระยะเวลาแค่หนึ่งปีพวกมันได้กลายพันธุ์จากร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดอย่างสิ้นเชิง แม้แต่ซอมบี้ยังต้องละทิ้งอะไรไปไม่น้อย อย่างเช่นความรู้สึก ความจำ สติปัญญา…ยอมทิ้งสมองเพื่อที่จะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นในพริบตา ความจริงนี่ก็ถือว่าเป็นผลข้างเคียงอย่างหนึ่งไม่ใช่หรอ? และสิ่งที่ซอมบี้ระดับสูงทำ ก็คือการลดผลข้างเคียงเหล่านี้ทิ้งไปทีละน้อยๆ”

“ใช่แล้ว มันคือการลด แต่ไม่ใช่กำจัด…อย่างน้อยดูจากตอนนี้ การกำจัดผลข้างเคียงแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย…แต่หลิงม่อกลับไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมา เพราะเป้าหมายของเขา ก็คือการทำเรื่องที่ดูเหมือนไม่มีความเป็นไปได้นี้ให้สำเร็จนั่นเอง และไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ แต่หลิงม่อกลับรู้สึกได้รางๆ ว่าเบาะแสในกำมือของตัวเองเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ดังนั้น มนุษย์กลายพันธุ์ประหลาดพวกนี้ก็ต้องเหมือนกันแน่นอน ความจริง วิธีการวิวัฒนาการของพวกมันมีช่องโหว่มากมาย แถมยังชัดเจนมากด้วย เพียงแต่เจ้าสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ในไอหมอกมืดพวกนี้ กลับรับมือได้ยากจริงๆ…

สวี่ซูหานเผยสีหน้าครุ่นคิด…แกสตองเคลื่อนไหวได้เร็ว แต่รูปแบบพฤติกรรมกลับเหมือนเดิมตลอด เจ้า “โอเบลิสก์” มีพลังป้องกันและสติปัญญาค่อนข้างสูง พลังแปลงร่างก็น่าทึ่งมาก แต่กลับมีปัญหาเรื่องพลังโจมตี แล้วสัตว์ประหลาดในไอหมอกมืดพวกนี้ล่ะ…จุดอ่อนของพวกมันคืออะไรกันแน่? สติปัญญา? สำหรับสัตว์ประหลาดที่เคลื่อนไหวเป็นฝูงอย่างนี้ พวกมันคงไม่ต้องการสติปัญญาอยู่แล้วหรือเปล่า? เพราะแค่อาศัยจำนวนก็กำราบศัตรูได้ง่ายๆ แล้ว…

“เดี๋ยวก่อน! บางทีฉันอาจคิดผิดวิธีก็ได้…” หลิงม่อเดินวนไปวนมาอีกครั้ง เขาทำท่าบีบหว่างคิ้วแล้วบอกว่า “บางทีอาจไม่ใช่จุดอ่อน แต่อาจเป็นจุดที่สำคัญที่สุด…” หลังจากที่เขาคิดใคร่ครวญและนึกย้อนไปอยู่หลายวินาที ในที่สุดเขาก็หยุดเดิน แล้วหันไปมองหน้าสวี่ซูหานทันที “เมื่อกี้ตอนที่ดูวิดิโอ สิ่งที่พวกมันทำให้เธอติดตามากที่สุดคืออะไร?”

“ห๊ะ? คือว่า…ความโหดร้าย? ไม่สิ…ไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู?” สวี่ซูหานพูดโพล่งออกไปโดยไม่คิด

“ใช่แล้ว เรื่องนี้แหละ!” หลิงม่อบอก

แล้วยังไงล่ะ? สวี่ซูหานไม่ค่อยเข้าใจ ลักษณะเด่นอย่างนี้เป็นการเพิ่มระดับความโหดร้ายของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ และไม่ได้ส่งผลดีอะไรต่อพวกเขาเลย กลับกัน ยิ่งทำให้แย่ลงด้วยซ้ำ…เพราะมันหมายความว่าไม่ว่าพวกเขาจะใช้กลยุทธ์ใด มันก็จะไม่เกิดผล เพราะสัตว์ประหลาดพวกนี้มันฆ่าไม่เลือก

แต่ในเมื่อเขาว่าอย่างนี้แล้ว แสดงว่าเขาต้องมีเหตุผล ดังนั้นในขณะที่สงสัย สวี่ซูหานก็อดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ จึงถามอย่างอยากรู้ว่า “นายคิดอะไรได้กันแน่?”

หลิงม่อไม่ได้ตอบเธอตรงๆ แต่กลับถามเธอว่า “ทำไมเจ้า ’โอเบลิสก์’ นั่นถึงได้พาพวกเรามาที่นี่?”

“เพื่อเลี้ยงปากท้องสัตว์ประหลาดพวกนั้น?” สวี่ซูหานขมวดคิ้วครุ่นคิด ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลยจริงๆ…

“ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอลองนึกย้อนไปสิ เจ้า ‘โอเบลิสก์’ นั่นโดนกินหรือเปล่า?” หลิงม่อพูดรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ “ฉันว่าจุดประสงค์และภารกิจที่แท้จริงของสัตว์ประหลาดตัวนั้น คือต้องพาพวกเรามาที่นี่ และปล่อยให้สัตว์ประหลาดไอมืดพวกนั้นจัดการต่อ…”

จัดการ…สวี่ซูหานพลันนึกถึงเครื่องบดเนื้อทันที หากมองจากมุมที่หลิงม่อยอก สัตว์ประหลาดไอมืดพวกนั้นไม่ต่างจากเครื่องบดเนื้อเลยจริงๆ พวกมันจะฆ่าคนที่ถูกพาเข้าไปให้ตาย…พอคิดถึงตรงนี้ สวี่ซูหานพลันเบิกตากว้าง “ดูเหมือนเธอจะคิดออกแล้ว ใช่แล้วล่ะ พวกมันจะฆ่าเป้าหมายทิ้ง จากนั้นล่ะ? ในเมื่อพวกมันไม่กิน งั้นอาหารพวกนี้จะถูกเก็บไว้ให้ใครล่ะ? บอกได้เลยว่าไม่ใช่สำหรับเจ้า ‘โอเบลิสก์’ นั่นแน่ๆ เพราะมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในการช่วยจัดเตรียมมื้ออาหารเท่านั้น หรือจะมองว่ามันเป็นฝ่ายจัดหาก็ได้…” หลิงม่อบอก

สวี่ซูหานมุมปากกระตุก…ไม่ต้องเปรียบเปรยขนาดนี้ก็ได้! ยิ่งฟังเธอก็ยิ่งสยอง! เอาซะเธอเห็นภาพตัวเองถูกจัดใส่จานอาหารเลยทีเดียว…

ทว่าสามารถทำให้เธอรู้สึกอย่างนี้ได้ ก็แสดงว่าข้อสันนิษฐานของหลิงม่อมีเหตุผลมาก กระทั่งหากคิดลึกลงไปอีกขั้น สัตว์ประหลาดพวกนี้อาจมีบทบาทที่สำคักว่านี้อยู่อีกก็ได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงวิวัฒนาการจนมีรูปร่างอย่างนี้…

“ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ทางเดินช่วงนี้ แต่อยู่ที่พื้นที่ด้านหลังทางเดินต่างหาก…พวกมันกำลังทำหน้าที่ระวังภัย!” สวี่ซูหานพูดอย่างตื่นเต้น ในที่สุดเธอก็เข้าใจหนึ่งในปัญหาเหล่านี้แล้ว! และพอคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากของเธอ เธอก็รู้สึกราวกับตัวเองได้กลับไปเป็นคนอีกครั้ง…รูปแบบการคิดของซอมบี้ตรงไปตรงมามากจริงๆ! แถมยังเป็นไปโดยสัญชาตญาณแล้วด้วย! คิดแล้วก็น่าเศร้า…

แต่นอกเหนือจากความดีใจ สวี่ซูหานก็อดลอบเดาะลิ้นไม่ได้ ความสามารถในการสังเกตของหลิงม่อ ยอดเยี่ยมมากจริงๆ…ไม่ว่าจะอยู่ในสถาการณ์ไหนเขาจะสังเกตเห็นรายละเอียดทั้งหมดเสมอ นี่คงจะเป็นเหตุผลที่เขาอยู่รอดท่ามกลางฝูงซอมบี้มาจนถึงตอนนี้ได้ล่ะมั้ง…ไม่ว่าใครก็เข้าใจหลักการ แต่พอจะต้องลงมือทำจริงๆ กลับพบว่ามันยากกว่าที่คิดไว้มาก

ขณะที่เธอแอบชมหลิงม่ออยู่ในใจ อยู่ๆ หลิงม่อก็กดไหล่เธอเบาๆ แถมยังพูดอย่างชื่นชมอีกว่า “ไม่ง่ายเลยจริงๆ…”

สวี่ซูหานชะงักไปหนึ่งวินาที ไม่นานก็ก่นด่าในใจอย่างขุ่นเคือง “ไปตายซะ ตาบ้า!”

แน่นอนว่าหลังจากที่เอ่ยชม หลิงม่อก็ได้เริ่มพูดต่อว่า “อีกอย่างฉันมีความรู้สึกว่า อวี่เหวินซวนอาจอยู่ข้างหลังนั้นด้วย…ดังนั้น ฉันตัดสินใจว่าจะทะลุทางเดินช่วงนั้นเข้าไปดูข้างหลังทางเดินซักหน่อย”

ทะลุเข้าไป? แล้วยังอยากเข้าไปดูซักหน่อย?

“นายบ้าไปแล้วหรอ!” นี่คือความคิดแรกของสวี่ซูหาน และเธอก็ตวาดออกมาโดยไม่รอช้า “นายไม่มีทางกลั้นหายใจได้ตลอดหรือเปล่า? ถ้านายถูกจับได้ นายตายแน่!” เธอไม่พูดถึงตัวเอง เพราะในฐานะซอมบี้ เธอเก่งเรื่องกลั้นหายใจกว่าหลิงม่อมาก มันเป็นข้อได้เปรียบทางเผ่าพันธุ์อยู่แล้ว

“ไม่ ความจริงแล้ว ตอนนี้แหละเป็นโอกาสที่ดีที่สุด” หลิงม่อยิ้มบาง แล้วบอก

“หา…” พอเชาพูดอย่างนี้ สวี่ซูหานก็ใจเย็นลง “นายจะบอกว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นไปแล้ว? แต่มันก็รับประกันไม่ได้ไม่ใช่หรอ?”

“ถึงพวกมันจะไม่ได้ไปหมด แต่ก็น้อยลงมาก ที่สำคัญคือ…พวกเราควรกลับไปดูศพของเจ้า ‘โอเบลิสก์’ หน่อย…” หลิงม่อพูดอย่างแฝงความนัย

—————————————————-

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset