แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 691 ความจริงมักทำให้คนอยากร้องไห้

บทที่ 691 ความจริงมักทำให้คนอยากร้องไห้

“ฮู่ว…”

หลังออกจากเขตป่า ทุกคนก็วิ่งเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่ง มู่เฉินที่วิ่งเข้ามาคนสุดท้ายดึงประตูเหล็กปิด แล้วเอนหลังพิงประตูพลางหอบหายใจหนักหน่วง

เขาหอบหายใจจนใบหน้าและลำคอแดงเถือกไปทั้งแถบ แล้วก็อดเงยหน้ามองหลิงม่อที่ยืนอยู่ข้างหน้าอย่างหงุดหงิดไม่ได้ “วิ่งมานานขนาดนี้ ทำไมไม่เห็นนายหอบเหมือนหมาซักที…”

“นายแรงน้อยเกินไปแล้ว” หลิงม่อยกมือปาดเหงื่อบางๆ บนหน้าผาก แล้วพูดเรียบๆ

“ฉันเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายเชียวนะ…” มู่เฉินสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ในใจ เขาเป็นผู้มีความสามารถด้านศักยภาพร่างกาย แต่กลับถูกผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตพูดหยามเรื่องเรี่ยวแรง…

มากเกินไปแล้ว!

แต่น่าเสียดายที่ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาไม่เพียงต้องยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอกว่าหลิงม่อ แต่ยังต้องยอมรับเรื่องที่โหดร้ายอีกหนึ่งเรื่อง…

ในกลุ่มนี้ เขาคือคนที่อ่อนแอที่สุด…

“ตอนนี้จะเอาไงต่อ?” มู่เฉินทำใจยอมรับเรื่องนั้น แล้วหันมาถาม

“กว่าจะสลัดซอมบี้พวกนั้นหลุดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างไรก็พักที่นี่ก่อนแล้วกัน” หลิงม่อบอก พลางเปิดไฟฉายดัง “แกร๊ก” แล้วหันส่องไปด้านหลังตัวเอง

ประตูเหล็กบานนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่ประตูหลังที่เชื่อมต่อกับทางเดินอันมืดมิดเส้นหนึ่ง

เมื่อแสงไฟฉายสาดส่องไป เงาร่างของใครคนหนึ่งพลันปรากฏอยู่ด้านบนทางเดิน สวี่ซูหานตกใจร้อง “กรี๊ด” ยกมือตะครุบแขนเย่เลี่ยน แล้วเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังเธอ

มู่เฉินเองก็หนังศีรษะชา เขารีบถอยหลังชิดผนังด้านข้างทันที

ส่วนหลิงม่อนั้นตกใจเพราะสวี่ซูหาน เขาหันไปมองเธอ แล้วบอกว่า “ชู่ว แค่ศพคนตาย…”

เขาส่ายหน้า แล้วบ่นงึมงำ “ตัวเองใกล้จะกลายพันธุ์แล้วแท้ๆ ยังจะกลัวอะไรแบบนี้อีก…

“แล้วฉันกลัวอะไรแบบนี้ไม่ได้หรือไง…” สวี่ซูหานตอกกลับอย่างไม่พอใจ

ตอนนี้ความสามารถในการได้ยินของเธอเทียบเท่าซอมบี้ ดังนั้นคำพูดของหลิงม่อจึงไม่เหมือนเสียงของคนที่ตั้งใจพูดเบาๆ เลยแม้แต่น้อย

“ก็ต้องได้อยู่แล้ว…”

หลิงม่อรับคำส่งๆ แล้วสาดแสงไฟฉายไปที่ร่างนั้น

ตอนที่ยังไม่ทันได้เห็นสภาพแวดล้อมข้างในนี้ หลิงม่อรู้อยู่แล้วว่าข้างในนี้ไม่มีดวงแสงแห่งจิต

ดังนั้นตอนที่เห็นเงาร่างนั้น หลิงม่อจึงมีท่าทีเรียบเฉยไม่ตกใจแต่อย่างใด

คนที่ตกใจจนออกนอกหน้า ก็มีแค่สวี่ซูหานกับมู่เฉินเท่านั้น…

เมื่อมองดูดีๆ ก็เป็นเพียงศพที่ถูกห้อยโตงเตงอยู่บนเพดานอย่างที่คิดจริงๆ บนร่างกายที่อวัยวะขาดหายหลงเหลือเพียงเสื้อผ้าเก่าๆ และผิวหนังแห้งกรังติดกระดูกเท่านั้น

มู่เฉินรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาชั่วขณะ เขาแอบยืดตัวตรงเงียบๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “คราวหน้านายช่วยเตือนก่อนได้ไหม?”

“ถ้าฉันไม่ได้เตือนก็แปลว่าไม่มีเรื่องอะไร ยังต้องให้เตือนเป็นกรณีพิเศษอีกหรอ?” หลิงม่อเหล่มองเขาด้วยหางตา แล้วพูดขึ้น

“ศพศพนี้ถูกโยนขึ้นไปติดบนเพดานได้ยังไง?” หลิงม่อจ้องศพอยู่นานสองนาน จากนั้นก็ส่องไฟฉายไปยังจุดที่ไกลออกไป

เงาร่างตะคุ่มจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นในขอบเขตแสงไฟ คราวนี้สวี่ซูหานและมู่เฉินอยู่ในความสงบไม่แตกตื่นเหมือนครั้งแรก

เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นตู้ที่ล้มทับกันระเนระนาด โดยด้านบนถูกปกคลุมไปด้วยชั้นฝุ่นหนาเตอะ

“ตู้ล็อกเกอร์ของพนักงานในซุปเปอร์มาร์เก็ต…ดูจากพื้นที่ ที่นี่คงจะเป็นห้างสรรพสินค้าสินะ?” หลิงม่อส่องไฟไปด้านหน้าอีกครั้ง และตามคาด ห่างออกข้างหน้าไปไม่ไกล เขาเห็นบันไดที่มีตัวหนังสือเขียนติดไว้ว่า “ทางเดินพนักงาน”

“เธอจะเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าแก้ขัดไปก่อนไหม?” หลิงม่อหันไปมองสวี่ซูหาน แต่ก็ได้การกลอกตาขาวใส่แทนคำตอบกลับมา

“เวลาอย่างนี้แล้วยังจะเรื่องมากอีก…” หลิงม่อถอนหายใจ

สวี่ซูหานนึกเคืองในใจ เสื้อผ้าของพวกเย่เลี่ยนก็ไม่ใช่เสื้อผ้าทั่วไปเหมือนกันนี่!

ยิ่งไปกว่านั้นห้างฯ ก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว แล้วทำไมเวลาแบบนี้ยังต้องให้เธอใส่…

สวี่ซูหานก้มหน้ามองเข้าไปในตู้เหล่านั้น แล้วสีหน้าของเธอก็ยิ่งบึ้งตึงหนักกว่าเก่า…

เสื้อกั๊กพลาสติกสีส้มที่อยู่ในนั้นเรียกว่าเสื้อผ้าได้จริงๆ น่ะหรอ! ใส่แล้วไม่ช่วยปกปิดอะไรซักนิด! แล้วไหนจะหยากไย่ที่เกาะอยู่บนเสื้อนั่นอีก…อย่างนี้สู้ตัวเปลือยไม่ต้องใส่อะไรเลยยังจะดีกว่า!

ทุกคนเดินขึ้นบันไดกันอย่างเงียบๆ แต่เพิ่งจะเดินขึ้นไปได้ไม่กี่ขั้น จู่ๆ ซอมบี้หญิงสวมกระโปรงตัวหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาจากประตูห้องบันได แล้วกระโจนลงมาใส่หลิงม่อ

ทว่ากรงเล็บยาวๆ ยังไม่ทันแตะโดนตัวหลิงม่อ ร่างกายของมันก็กระด้างแข็งไปในขณะที่กำลังดิ่งลงมา ขณะเดียวกัน บนหน้าผากพลันมีรูแผลปรากฏขึ้นหนึ่งรู

ซอมบี้หญิงเบิกตากว้าง ร่างกายของมันถูกห้อยกลับหัวอยู่ตรงหน้าพวกหลิงม่อ เลือดสีแดงสดไหลตามแนวเส้นผม หยดลงบนพื้นดัง “ติ๋งๆๆ”

“นายช่วยเตือนล่วงหน้าก่อนไม่ได้หรอ…” มู่เฉินพยายามสงบหัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง พลางขมวดคิ้วมองหลิงม่อที่กำลังวางร่างซอมบี้ลงกับพื้นเบาๆ

“ก็ถ้าไม่ปล่อยให้ลอบโจมตี เกิดมันเริ่มเปิดวงร้องประสานเสียงขึ้นมาอีกจะทำยังไง?” หลิงม่อเหลือบมองเขา แล้วพูด

“จะบอกว่าตัวเองทำอะไรก็มีเหตุผลเสมอสินะ…” มู่เฉินค่อนแคะ

หลังศพถูกวางลงกับพื้น หลิงม่อก็เดินขึ้นบันไดไปอีกสองก้าวอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หันกลับมาโบมือเรียก “ซย่าน่า รุ่นพี่ ขึ้นมานี่”

สองสาวซอมบี้รีบขึ้นไปตามคำเรียกทันที หลิงม่อกำลังแนบตัวติดกำแพงหลบอยู่ด้านหลังประตูห้องบันไดที่เปิดแง้มไว้ แล้วมองเข้าไปในตัวห้างฯ “ตรงนี้มีซอมบี้อยู่ห้าตัว ตรงนั้นมีอีกสิบตัว แล้วก็ตรงนั้นอีก…รวมกันทั้งชั้นแล้ว อย่างน้อยสุดก็มีประมาณ 50 – 60 ตัว…”

“เยอะขนาดนั้นเชียว?” มู่เฉินอึ้ง

“ไร้สาระ มีห้างฯ ไหนซอมบี้ไม่เยอะบ้าง? แต่ถ้าเป็นที่อื่นสามารถล่อออกไปได้ ที่นี่ทำอย่างนั้นไม่ได้น่ะสิ หากทำให้พวกมันแตกตื่น ซอมบี้ที่อื่นก็จะกรูกันเข้ามารวมตัวกันที่นี่”

หลิงม่อบอก พลางหันไปมองช่องหน้าต่างเล็กๆ ที่อยู่ในห้องบันได เขาเดินไปดูสถานการณ์ข้างล่าง “บนถนนน่าจะมีอย่างน้อยอีก 100 ตัว บวกกับซอมบี้ฝูงใหญ่ที่อยู่ในชั้นหนึ่งของอาคารแห่งนี้ อีกอย่าง ที่นี่ยังเป็นแค่โซน A เท่านั้น…ยังมีทางเดินที่จะทะลุไปยังโซน B ที่คาดว่าน่าจะอยู่ข้างหน้าอีก…หากเป็นอย่างนี้ พวกเราก็น่าจะตกอยู่ในวงล้อมของซอมบี้ประมาณ 500 ตัว”

“ค่อนข้างเยอะนะ” ซย่าน่าพยักหน้า

“เรียกว่าเยอะมากต่างหากเล่า!” มู่เฉินเริ่มปาดเหงื่ออีกครั้ง ซอมบี้ในเมืองนี้รับมือยากมาก แค่ 50 ตัวก็แทบกระอักแล้ว 500 ตัวไม่ตายกันไปข้างเลยหรอ

ถ้าหากมีเจ้าตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาอีกสองสามตัวจริงๆ จะร้องไห้ก็คงร้องไม่ออกแล้ว

“ถ้าดวงซวยหน่อยก็อาจเจอเป็นพันเลยก็ได้…” หลิงม่อพูดอย่างตรงไปตรงมา

“ถ้างั้น…พวกเราออกไปจากที่นี่ไหม?” สวี่ซูหานพูดอย่างลังเล ก็แค่เสื้อผ้าชุดเดียว ไม่ต้องเสี่ยงตายขนาดนี้ก็ได้…

“ข้างนอกก็ไม่มีที่ให้ซ่อนเหมือนกัน แถวๆ นี้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ฉันคิดว่าอยู่ในนี้ก็ไม่เลว อีกอย่างยังสามารถหาของที่ขาดเพิ่มได้ด้วย” หลิงม่อสาดแสงไฟฉายไปมา พร้อมกับบอก

“นี่ ความจริงนายอยากอยู่ที่นี่เพื่อสังเกตพวกมันมากกว่าล่ะมั้ง…” มู่เฉินบ่น

“ขอแค่อย่าเปิดโอกาสให้พวกมันแหกปากร้อง ก็พอแล้วนี่…” หลิงม่อเมินมู่เฉิน เขาขยับเข้าไปใกล้ประตู แล้วแผ่หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งเข้าไปในตัวห้างฯ

ความจริงมู่เฉินพูดถูก สาเหตุที่หลิงม่อเลือกห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ เป็นเพราะยิ่งเข้าใกล้ที่นี่ ความรู้สึกกระวนกระวายใจของหลิงม่อก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้คาดว่าน่าจะเป็นห้างฯ ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชุ่ยหูแล้ว ด้านข้างยังมีศูนย์แสดงสินค้าติดอยู่ ฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหารตั้งอยู่เป็นแถบ แล้วยังมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งซอมบี้ที่นั่นก็ไม่ได้มีน้อยไปกว่าในนี้เลย

เพราะอย่างไรที่นี่ ก็เป็นถึงพื้นที่ศูนย์กลางของเมือง…

หลิงม่อรู้สึกได้รางๆ ว่าไม่แน่เขาอาจเจออะไรบางอย่างที่นี่…

สาเหตุที่เมืองชุ่ยหูถูกจัดให้เป็นพื้นที่อันตราย อาจอยู่แถวๆ นี้ก็ได้

ทว่าหลิงม่อยังคงระมัดระวังอย่างดีที่สุด เขาไม่คิดจะไปเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเองแน่นอน

ถ้าหากไม่มีความสามารถในการควบคุมหุ่น หลิงม่อคงพาพวกเย่เลี่ยนหนีไปให้ไกลตั้งแต่ที่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแล้ว

แต่เพราะมีความสามารถพิเศษนี้อยู่ จึงเป็นหลักประกันได้ว่าอย่างน้อยเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงอันตราย และมีโอกาสหนีก่อนแน่นอน

ตอนนี้ซอมบี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด คือซอมบี้ตัวเล็กหนึ่งตัว และตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว

เจ้าตัวใหญ่กำลังเดินโงนเงนไปมาอยู่ระหว่างชั้นวางของตรงนั้น ส่วนเจ้าตัวเล็กเป็นเด็กสาวที่น่าจะอายุราว 5 – 6 ขวบ แต่ใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปนั่น หลงเหลือไว้เพียงความน่ากลัวเท่านั้น

“อย่าขยับไปไหนล่ะ…”

หนวดสัมผัสของหลิงม่อค่อยๆ คืบคลานเข้าไปใกล้ แต่เจ้าตัวเล็กกลับเดินโซเซไปด้านหลังชั้นวางของ และออกจากครรลองสายตาของหลิงม่อไปเรียบร้อยแล้ว

เจ้าตัวใหญ่ยังคงอยู่ระหว่างชั้นวางของ มันกำลังเอียงคอมองรองเท้าแตะกองหนึ่งอยู่

ตัวนี้น่าจะเริ่มมีสติรู้คิดแล้ว สายตาที่มองรองเท้าแตะถึงได้มีความอยากรู้อยากเห็นปนอยู่ด้วยเล็กน้อย

“ช่างเถอะ ตัวนี้เปลืองพลังจิตมากกว่า…” หลิงม่อเปรียบเทียบดวงแสงแห่งจิตของซอมบี้ตัวเล็กและตัวใหญ่ สุดท้ายก็หันไปเล็งเจ้าตัวเล็กแทน

ในเมื่อยังมีสิ่งที่ไม่รู้รอตัวเองอยู่ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรมีพลังจิตเป็นหลักประกันความปลอดภัย แม้จะแค่เล็กน้อยก็ต้องประหยัดเอาไว้ก่อน ไม่แน่ว่าพอถึงเวลาอาจได้ใช้ประโยชน์มหาศาลก็เป็นได้

เมื่อหนวดสัมผัสทางจิตแทงเข้าไป ร่างกายของเจ้าตัวเล็กก็กระด้างแข็ง สายตาของมันเริ่มเลื่อนลอยไร้จุดหมาย

มันค่อยๆ หันกายไปทางซอมบี้ตัวใหญ่ แล้วก้าวเดินเข้าไปช้าๆ

ในระหว่างที่เดินเข้าไปหาซอมบี้ตัวใหญ่ช้าๆ มือข้างหนึ่งของซอมบี้ตัวเล็กได้กางออกดัง “กร๊อบ”

หลิงม่อหันกลับไปมองสวี่ซูหานและมู่เฉิน พอเห็นว่าการมองเห็นของพวกเขาถูกซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินบังไว้ ก็คลายใจลงชั่วขณะ

สวี่ซูหานและมู่เฉินเองก็ไม่รู้ว่าหลิงม่อคิดจะทำอะไร จากมุมที่พวกเขายืนอยู่มองเห็นแค่เพดานของห้างฯ รางๆ เท่านั้น มองไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลย

“อึก…”

ในที่สุดซอมบี้ตัวใหญ่ก็ยื่นมือออกมา แล้วยกรองเท้าแตะข้างหนึ่งขึ้นมาจ้องอย่างพิจารณา

มันค่อยๆ อ้าปาก จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้รองเท้าแตะ…

“อึกๆ…”

รองเท้าแตะหล่นกลับไปอยู่บนชั้นวางของ ขณะเดียวกับที่ซอมบี้ตัวโตก้มหน้ามองท้องของตัวเอง

มือเล็กๆ ข้างหนึ่งแทงทะลุท้องของมัน และกำลังแบมืออยู่ตรงหน้ามัน บนฝ่ามือนั้นเต็มไปด้วยเลือด ในซอกเล็บมีเศษเนื้อติดอยู่เล็กน้อย

ไม่รอให้ซอมบี้ตัวโตขัดขืน ซอมบี้ตัวเล็กกระชากมันถอยหลัง และลากมันไปในชั้นวางของด้านหลังทันที

“พรวด!”

ไม่กี่วินาทีต่อมา หลังเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ซอมบี้ตัวเล็กก็เดินออกมาจากชั้นวางของเพียงลำพัง

มันปรายตามองมาทางที่ซ่อนตัวของพวกหลิงม่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองยังอีกฝั่งของห้างฯ

ท่ามกลางชั้นวางของสูงต่ำวางเรียงราย เงาร่างมากมายกำลังเดินขวักไขว่กันไปมาอยู่ระหว่างชั้นวางของเหล่านั้น

ตอนที่ซอมบี้ตัวโตตาย เงาร่างเหล่านี้ก็หันมามองแวบหนึ่ง แต่ซอมบี้ตัวเล็กเคลื่อนไหวรวดเร็ว ดังนั้นพวกมันเพียงชำเลืองมองครู่เดียว แล้วละความสนใจออกไปอย่างรวดเร็ว

ซอมบี้ตัวเล็กใช้เศษผ้าเก่าๆ พันมือไว้ แล้วเดินตรงเข้าไปหาเงาร่างเหล่านั้นช้าๆ

“ตาพวกแกแล้ว ตรงนั้นมีสิบกว่าตัว…”

หลิงม่อเพิ่งจะเบี่ยงตัวหลบ ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินก็เดินแทรกเข้าไปในประตูอย่างเงียบเชียบ

“นี่มัน…”

สวี่ซูหานและมู่เฉินเบิกตากว้าง เขาเพิ่งพูดว่าข้างในมีซอมบี้เต็มไปหมด ไม่ใช่หรอ?

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset