แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 692 ซอมบี้ที่ขี้ขลาดที่สุดในประวัติศาสตร์

บทที่ 692 ซอมบี้ที่ขี้ขลาดที่สุดในประวัติศาสตร์

พอพวกเขามองเข้าไปข้างใน ด้านหลังประตูก็ไม่เห็นเงาของซอมบี้อีกแล้ว ซย่าน่าและหลี่ย่าหลินก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน

หลิงม่อยืนอยู่ข้างประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่าทางเหมือนคนยืนนิ่งไม่ได้ทำอะไร

แต่ในความเป็นจริง เขากำลังควบคุมซอมบี้ตัวเล็กตัวนั้น ให้จัดการเหล่าซอมบี้ที่กำลังเดินวนเวียนอยู่ระหว่างชั้นวางของ

ส่วนซย่าน่าและหลี่ย่าหลิน…ซอมบี้ชนชั้นสูงสองตัวเผชิญหน้ากับซอมบี้ธรรมดายังมีอะไรต้องห่วงอีก?

จะว่าไปแล้ว กลับเป็นเพราะตัวเขาและมู่เฉินมากกว่า ที่ทำให้เรื่องวุ่นวายมากกว่าเดิม…

สวี่ซูหานและมู่เฉินต่างไม่สบายใจ โดยเฉพาะสวี่ซูหาน หากเธอยกมือขึ้นป้องหู ก็ยังพอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาอยู่บ้าง แต่กลับไม่อาจเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หากอาศัยแค่จมูก เธอได้กลิ่นของซอมบี้จำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถระบุทิศทางและจำนวนได้แม่นยำเหมือนอย่างที่พวกเย่เลี่ยนทำ

อย่าว่าแต่ซอมบี้ชนชั้นสูงเลย ตอนนี้เธอยังเทียบไม่ได้กับซอมบี้ธรรมดาด้วยซ้ำ

การที่ต้องหยุดชะงักอยู่ในสภาวะกึ่งกลายพันธุ์อย่างนี้ เดาว่าเธอคงเป็นกรณีแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน

มู่เฉินเองก็อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย ทว่าถึงสวี่ซูหานจะดูเหมือนฟื้นสติปัญญากลับมาได้พอสมควรแล้ว แต่พอทั้งสองอยู่ใกล้กันเมื่อไหร่ เขาก็ยังคงเลือกถอยห่างไปทางเย่เลี่ยนตามสัญชาตญาณอยู่ดี

สวี่ซูหานไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนี้…ถ้าหากเธอรู้ เธอคงหัวเราะออกมา เพราะนั่นมันเหมือนกับการหนีลูกเสือ ไปขอความช่วยเหลือจากสัตว์ร้ายตัวจริง…

สิบนาทีกว่าผ่านไป จู่ๆ หลิงม่อก็ผ่อนลมหายใจ ขณะเดียวกันซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินก็เดินแทรกตัวเข้ามาในประตู “เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เข้าไปได้ละ”

“อืม แต่ยังไงก็ยังต้องเงียบเสียงหน่อย” หลิงม่อกำชับ พลางหันไปมองสวี่ซูหาน “จะกรี๊ดไม่ได้อีกแล้วนะ”

“นายคิดว่าระบบกั้นเสียงที่นี่มันแย่ขนาดนั้นจริงๆ หรือไง…” สวี่ซูหานหน้าแดง พร้อมกับตอกกลับด้วยความอายปนโมโห

กลัวความมืดแล้วทำไม…ผู้หญิงกลัวความมืดมันแปลกตรงไหนล่ะ!

ทั้งที่ตัวเองก็มีผู้หญิงอยู่ด้วยตั้งสาม…

พอคิดถึงตรงนี้ สวี่ซูหานก็นิ่งไป เธอแอบเหลือบมองพวกเย่เลี่ยนอย่างสงสัย ในใจคิดว่า ไม่รู้ว่าพวกเธออยู่กับหลิงม่อตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ตอนที่เป็นคน หรือว่าตอนที่กลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว?

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผู้หญิงข้างกายหลิงม่อก็ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไป…

“ไม่น่าล่ะถึงไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลย…” สวี่ซูหานลอบกลอกตาขาวลำพัง

หลังเปิดประตู ทุกคนก็เดินเข้ามาด้านในอย่างเงียบที่สุด จากนั้นก็เดินเลียบไปตามทางเดินแคบๆ ระหว่างชั้นวางของ และเข้าไปในตัวห้างฯ ช้าๆ

ห้างฯ แห่งนี้พื้นที่ไม่กว้าง แสงสว่างก็มีไม่มาก หากไม่เปิดไฟฉาย ก็จะรู้สึกว่าทุกที่เต็มไปด้วยเงาน่าสงสัยกำลังจับจ้องมา

สวี่ซูหานเกร็งร่างด้วยความกลัว เธอรู้สึกเหมือนเลือดในกายไหลเวียนเร็วขึ้น

แต่ “คำกำชับเป็นพิเศษ” ของหลิงม่อใช้ได้ผลกับเธออย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้สีหน้าดูแย่ แต่สวี่ซูหานก็กัดฟันปิดปากไว้แน่น

ด้านล่างของห้างฯ แห่งนี้ยังมีซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารรสเลิศอีกหนึ่งชั้น จำนวนซอมบี้มีไม่น้อย และพวกเขาก็อยู่ห่างกันเพียงเพดานกั้น อาจถูกพบได้ทุกเมื่อ

ชั้นที่พวกหลิงม่ออยู่ เป็นชั้นที่ขายเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าพอดี

“รีบหาเสื้อผ้าเร็วๆ เข้าล่ะ” หลิงม่อลดเสียงให้เบาลงที่สุด แล้วโบกมือ

สามสาวซอมบี้หายตัวไปในพริบตา มู่เฉินสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เดินหายเข้าไปในทางเดินเส้นหนึ่งเช่นกัน

“ส้นรองเท้าฉันจะขาดอยู่แล้ว…” มู่เฉินพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น

หลิงม่อกวาดตามองซ้ายขวาหนึ่งรอบ แล้วก็เหลือบไปเห็นช็อปขายแบรนด์กีฬา

ในขณะเดียวกัน ณ บันไดทางลงของชั้นเดียวกันนี้ ซอมบี้ตัวเล็กตัวหนึ่งกำลังเดินลงไปข้างล่างอย่างเชื่องช้า…

“นี่…”

หลิงม่อกำลังจะเดินไป ก็รู้สึกว่าชายเสื้อตัวเองถูกดึงไว้

พอหันกลับไป ก็เห็นสวี่ซูหานกำลังจ้องมองมาด้วยดวงตาประกายแดงจางๆ “ฉัน…ไปด้วยคน”

“ซอมบี้ในชั้นนี้กลายเป็นศพไปหมดแล้ว…” หลิงม่อพูดอย่างจนใจ ตอนนี้เขากำลังทำสองอย่างในเวลาเดียวกันนะ…

“แต่…แต่ฉันกลัว…” สวี่ซูหานฝืนพูดออกมา

ตอนแรกเธอจะไปกับพวกเย่เลี่ยน แต่พอคิดว่าต้องอยู่กับพวกเธอโดยลำพังก็อดลังเลไม่ได้อีก

แม้ร่างกายอยู่ในระหว่างกลายพันธุ์ แต่ความคิดของเธอยังเป็นมนุษย์อยู่…

ผลปรากฏว่าเพราะความลังเลเพียงวินาทีเดียว พอเธอตัดสินใจได้ พวกเธอก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว…

แค่คิดว่าต้องเดินไปเดินมาอยู่ในสภาพแวดล้อมวังเวงน่ากลัวอย่างนี้ แล้วอาจบังเอิญจ๊ะเอ๋กับศพเอยอะไรเอยอีก…พอถึงตอนนั้นถ้าเธอตกใจจนร้องกรี๊ดออกมา อาจทำให้ทุกคนต้องพลอยลำบากไปกันหมด

สวี่ซูหานมองมาด้วยสายตาที่ทั้งกระอักกระอ่วนและคาดหวัง หลิงม่อจึงทำได้เพียงถอนหายใจ

“อยากจะเอากระจกให้เธอส่องจริงๆ เลย สภาพแบบนี้ยังจะไปกลัวอะไรอีก…”

หลิงม่อเพิ่งจะพูดจบ ก็โดนตีแขนแรงๆ หนึ่งที

เขาขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงหมุนกายแล้วเดินตรงไป

สวี่ซูหานเดินตามหลิงม่อทุกฝีก้าว ดวงตาประกายแดงจางๆ กวาดมองซ้ายทีขวาที

“กึก…”

เท้าเล็กๆ ข้างหนึ่งก้าวลงบนบันไดขั้นสุดท้าย และเหยียบลงบนผิวพื้นเหล็ก

ซอมบี้ตัวเล็กหยุดเคลื่อนไหว มันก้มหน้ามองพื้น แล้วเงยหน้ามองไปรอบทิศ

หลายวินาทีผ่านไป เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ซอมบี้ตัวเล็กก็กระโดดไปข้างหน้า จากนั้นก็ทิ้งเท้าลงพื้นอย่างเงียบเชียบ

ชั้นนี้เป็นชั้นใต้ดิน นอกจากบริเวณใกล้ตัวลิฟท์แล้ว ที่อื่นล้วนถูกปกคลุมด้วยความมืด

ทว่าเพราะสายตาของซอมบี้ตัวเล็ก เขาจึงสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในความมืดได้

เพียงแต่บนพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือดมากมาย

ซอมบี้ตัวเล็กทำจมูกฟุดฟิด จากนั้นก็ค่อยๆ เดินหน้าไปช้าๆ ไม่นานมันก็เดินเลี้ยว และหายตัวเข้าไปในความมืด…

“นายคิดอะไรอยู่?” จู่ๆ สวี่ซูหานก็ถาม

หลิงม่อสะดุ้งเล็กน้อย เขาหันมาตอบว่า “ไม่มีอะไรนี่…”

เขาบอกสวี่ซูหานไม่ได้ ว่าตัวเองกำลังควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ตามหาสาเหตุของความไม่สบายใจนั้นอยู่

ถึงแม้สวี่ซูหานจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกซอมบี้แล้ว และเธอก็คงรู้เรื่องของพวกเย่เลี่ยนแล้วอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเผยความสามารถพิเศษของตัวเองให้เธอรู้…

“งั้นหรอ…ทั้งที่ดูตั้งอกตั้งใจขนาดนั้นน่ะนะ…” สวี่ซูหานงึมงำ เขาไม่คิดว่าตัวเองตอบส่งๆ เกินไปหน่อยหรอ…

“เธอล่ะ? ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เห็นเธอถือเครื่องอัดเสียงแล้วล่ะ?” หลิงม่อหันกลับไปถาม

“เรื่องที่เกิดขึ้นพักนี้…ไม่อัดเสียงเก็บไว้จะดีกว่า รอให้ฉันกลายพันธุ์แล้ว หากยังสามารถครองสติรู้คิดไว้ได้จริงๆ ฉันก็จะอัดเสียงต่อไป อัดเกี่ยวกับเรื่อง…บันทึกของซอมบี้” สวี่ซูหานอดยิ้มขมขื่นออกมาไม่ได้

“ใช้ได้เลยนี่ ถ้าหากเผยแพร่ออกไปได้ คงดังไม่เบา” หลิงม่อพูดติดหัวเราะ

“เผยแพร่…” สวี่ซูหานหัวเราะ สีหน้าดูเจ็บปวดเล็กน้อย “ใครจะไปรู้ว่าอนาคตมนุษย์จะเป็นอย่างไร? ไม่แน่อาจสูญพันธุ์กันหมด”

“อย่าคิดแง่ร้ายขนาดนั้นสิ มนุษย์เองก็กำลังวิวัฒนาการอยู่ไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อหันไปมองเธอ แล้วพูดขึ้น

สวี่ซูหานอึ้ง จู่ๆ เธอก็อยากถามหลิงม่อมากๆ ว่าระหว่างมนุษย์กับซอมบี้ เขาจะเลือกยืนอยู่ข้างไหน…

“อ๊ะ ที่นี่มีเสื้อผ้าผู้หญิงขายด้วย เธอใส่ชุดกีฬาได้ใช่ไหม? องศาในการเคลื่อนไหวของซอมบี้ค่อนข้างกว้าง ฉันคิดว่าน่าจะเหมาะกับเธอนะ” หลิงม่อเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป แล้วมองซ้ายมองขวาในตัวร้าน

สวี่ซูหานเม้มปาก สุดท้ายเธอก็ถามไม่ออก

เธอพยักหน้า “ได้สิ…”

“แต่ทำไมพวกเย่เลี่ยนถึงไม่ใส่แบบนี้ล่ะ…”

“อืมม ใส่แล้วคงไม่สวย…อีกอย่างพวกเธอก็ควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเองได้แล้วด้วย”

“นาย…ฉัน…”

“เธอจ้องฉันทำไม ก็มันเรื่องจริงนี่…เธอมันก็แค่ซอมบี้น้องใหม่เท่านั้น”

“…มนุษย์หน้าโง่”

แผงลอยขายของกินสองข้างทางถูกทิ้งร้างทั้งหมด อาหารที่วางไว้ข้างบนขึ้นราและกลายเป็นก้อนดำๆ มานาน ด้านในกระจกใสก็กลายเป็นสีดำไปทั้งแถบ

บางครั้งเสียงกัดแทะเบาๆ ก็ดังแว่วมา ไม่รู้ว่าเป็นหนูหรือแมลงสาบ

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้แข็งแกร่งจริงๆ หลังจากที่รอดจากการเน่าเพราะสัมผัสถูกเชื้อไวรัสมาได้ พวกมันก็เดินออกมาจากมุมมืดอีกครั้ง

ถึงแม้จำนวนลดลงมาก แต่ในจำนวนนี้ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกเชื้อไวรัสฆ่าตายอีกอย่างแน่นอน

ซอมบี้ตัวเล็กกำลังเดินอยู่ท่ามกลางโต๊ะและเก้าอี้ที่วางระเกะระกะ ม่านตาสีแดงกลอกมองไปมาอย่างต่อเนื่อง

“จี๊ดๆ…”

ทันใดนั้นแสงสีแดงอ่อนๆ สองจุดก็ปรากฏตรงมุมมืดมุมหนึ่ง แต่ไม่นานก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว

“สีแดง?”

ซอมบี้ตัวเล็กชะงักกึกชั่วขณะ ขณะเดียวกันร่างจริงอย่างหลิงม่อก็อึ้งไปเล็กน้อย

ถึงแม้จะอ่อนมาก แต่เป็นแสงสีแดงไม่ผิดแน่…

ติดเชื้อ? ดูไม่ค่อยเหมือนนะ…

แต่สภาวะอย่างนี้ ก็ถือว่ามีอันตรายต่อมนุษย์เช่นกัน

“สัตว์จำพวกหนู…ปกติจะเจอไม่ค่อยบ่อย แต่ว่า…”

หลิงม่อขมวดคิ้วบางๆ นี่ถือเป็นสัญญาณที่อันตรายมากอย่างหนึ่ง

สัตว์ที่มีร่างกายขนาดเล็กซึ่งเดิมไม่อาจต้านทานเชื้อไวรัสได้ ตอนนี้กลับสามารถต้านทานได้แล้ว กระทั่งอาจมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวด้วย…”

เหมือนพืช ที่เริ่มเจริญเติบโตไปในทิศทางแปลกประหลาดเมื่อต้องอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเชื้อไวรัส

ป่าสีเขียวในตอนนี้เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ไม่เพียงยุ่งเหยิงขึ้น แต่ยังหนาทึบจนผิดปกติไปมาก

รูปร่างก็เปลี่ยนแปลงไป ส่วนมากล้วนเจริญเติบโตไปในทิศทางที่เต็มไปด้วย “สัญลักษณ์โจมตี” ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นลงมือโจมตีมนุษย์จริงๆ แต่เมื่อใดที่ต้องแหวกป่าฝ่าดงก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกข่วนจนเกิดแผล

“โลกทั้งใบกำลังเข้าสู่ช่วงเชื้อไวรัสแพร่ระบาด…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้

“รับไว้” จู่ๆ ก็มีเสียงพูดเบาๆ ดังมาจากข้างหน้าดึงสติหลิงม่อให้ตื่นจากภวังค์ทันที

วัตถุสีดำลอยเข้ามาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว หลิงม่อยกมือขึ้นรับไว้ กลิ่นขึ้นราลอยโชยมาทันที

“ยังไม่ได้แกะห่อ แต่ก็มีกลิ่นนิดหนึ่งแล้ว…ตากลมหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว” สวี่ซูหานพูด ส่วนตัวเองก็กอดเสื้อผ้าไว้แล้วชะเง้อมองเข้าไปด้านหลังอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“รีบไปเปลี่ยนเถอะ ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้แหละ” หลิงม่อพูดอย่างเอือมระอา

“อย่าไปไหนล่ะ…”

สวี่ซูหานกำชับซ้ำ แล้วค่อยเดินเข้าไปด้านหลังชั้นวางของเงียบๆ

“ถ้าปล่อยให้เธอกลายพันธุ์ไปเสียอย่างนี้ เธอจะกลายเป็นซอมบี้ที่ขี้ขลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ไหมนะ?”

หลิงม่อสวมเสื้อนอกตัวใหม่ พลางคิดในใจ

คิดดูแล้วก็น่าจะเป็นไปได้…

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset