แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 331 สามีภรรยาที่อยู่คนละระดับ

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านเจ้าสำนัก ข้าไปหาสามีของข้าได้หรือไม่” หลิวหลีออกตัวว่านางอยากไปอยู่กับสามีของตน

“เออคือว่า” หมิงเยี่ยลำบากใจ ศิษย์ระดับล่างกับศิษย์ระดับพิเศษจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ต่อให้เขายอมให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี

“หลิวหลี” หนานกงเวิ่นเทียนมาถึงก็ผลักประตูเข้ามา พอเห็นเส้นผมและดวงตาสีดำขลับของหลิวหลีก็ถอนหายใจ ยังดีที่แต่ไหนแต่ไรมาน้องหญิงของเขาเป็นคนรอบคอบ เรือนผมสีรุ้งของนางนั้นออกจะสะดุดตาคนมากเกินไป ผู้ท้าชิงตำแหน่งมหาเทพสูงสุดอย่างนางไม่ใช้ตัวจุดชนวนให้เกิดเหตุนองเลือดก็แปลกแล้ว คาดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยคิดจะตีท้ายครัวเขา

“ท่านพี่ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราคลาดกันแค่นิดเดียว” หลิวหลีทำทีเสียใจ ยั้งปากไม่พูดความจริงที่ว่าพวกเขาบรรลุมาพร้อมกัน

“นั่นสิ น้องหญิง ถ้ารู้แบบนี้แต่แรกข้าคงไปรอเจ้าที่ขอบสระบรรลุเทพแล้ว” ทั้งสองพลอดรักกันโดยไม่แยแสสิ่งรอบข้าง ทำเอาหมิงเยี่ยรู้สึกว่าพวกเขาเหมาะสมกันมาก หากจับพวกเขาแยกกันคงรู้สึกบาปทีเดียว

“ท่านพี่ เพราะข้าอ่อนแอเกินไปเลยกลายเป็นตัวถ่วงของท่าน” หลิวหลีแสดงละครอย่างสมบทบาท

“น้องหญิง เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนอดค้านไม่ได้ นี่พูดเรื่องตลกอยู่หรือ เรื่องตลกนี้ของนางไม่ตลกเลยสักนิด เจ้ารู้หรือไหมว่าอะไรที่เรียกว่าเป็นตัวถ่วง

“แค่ก ๆ” หมิงเยี่ยจงใจกระแอมออกมา เจ้าสองคนนี้พลอดรักกันจนเลี่ยนเกินไปแล้ว จะแยกพวกเขาจากกันได้อยู่อีกหรือ

“ท่านเจ้าสำนัก”

“สำนักโลกเทพของข้ามีที่พักสำหรับคู่สามีภรรยา พวกเจ้าอยู่ด้วยกันได้แต่คงไม่สะดวกสบายเท่าศิษย์ระดับพิเศษหรอกนะ” หมิงเยี่ยจงใจเน้นประโยคสุดท้าย

“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านเจ้าสำนักด้วย” ทั้งสองพูดอย่างมีมารยาท

หมิงเยี่ยตกตะลึง ควรพูดว่าน้องหญิงเจ้ารอข้าก่อนนะ รอพลังบำเพ็ญเพียรของข้าพัฒนาขึ้นแล้วจะมารับเจ้าไปไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงว่าจะเห็นด้วยอย่างง่ายดายเช่นนี้

“สวีโจว เจ้าพาศิษย์น้องทั้งสองของเจ้าไปยังที่พักสำหรับสามีภรรยาที” หมิงเยี่ยออกคำสั่ง ถ้าเขาจำไม่ผิดที่นั่นกว้างขวางพอสมควร

“ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก” สวีโจวสับสนเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องผู้เป็นศิษย์ระดับพิเศษผู้นี้จะไม่ยั้งคิดสักนิด เขาจะรู้ไหมนะว่าฐานะของศิษย์ระดับพิเศษนี้ มันเย้ายวนใจขนาดไหน

สวีโจวไม่เข้าใจว่าศิษย์น้องผู้นี้แสดงละครให้ใครดู หรือว่ารักแท้จะสามารถก้าวผ่านความต่างของระดับพลังไปได้ หอพักสำหรับคู่สามีภรรยาเป็นแค่ของประดับเพราะแต่เดิมก็ไม่มีใครจะอยู่ สามีภรรยาที่มีพลังค่อนข้างแข็งแกร่งทั้งสองคนจะอาศัยอยู่ในหอพักระดับสูงและหอพักระดับพิเศษ และคงไม่อยู่กับคู่ครองของตนเองหรอก

“ศิษย์น้องทั้งสอง ถึงแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวล่ะ” พอสวีโจวนำทางไปถึงก็ขอตัว

“น้องหญิง เหตุใดเจ้ามักทำให้ข้าตกอกตกใจอยู่เรื่อย” หนานกงเวิ่นเทียนโอบอีกฝ่าย แต่ในน้ำเสียงเอือมระอาเล็กน้อย

“ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” หลิวหลีงุนงง นางเป็นเด็กดีไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

“โชคดีที่เจ้าติดนิสัยระวังตัว เปลี่ยนสีผมมาเป็นสีดำธรรมดา ไม่เช่นนั้นคาดว่าเราสองสามีภรรยาคงต้องใช้ชีวิตลี้ภัยเร่ร่อนแล้วล่ะ” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกกลัวอยู่ในใจ จะมีคนลอบฆ่าน้องหญิงของเขาตอนที่ร่างกายยังไม่สมบูรณ์ดีหรือไม่

“ผมของข้ามีอะไรผิดปกติหรือ เจ้าหมายถึงผมสีรุ้งนั่นสินะ” หลิวหลีเข้าใจทันที เส้นผมหลายสีของนางมีปัญหาหรือ?

“อืม ไม่รู้ว่าที่นี่พูดได้หรือไม่?” หนานกงเวิ่นเทียนหวาดระแวง

“วางใจเถอะ คนที่เก่งที่สุดก็คือท่านเจ้าสำนักนั่น แต่อยู่ขอบเขตราชาเทพ” หลิวหลีกล่าวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ

“น้องหญิง ก็แค่ราชาเทพเท่านั้นหรือ แล้วพลังบำเพ็ยเพียรของน้องหญิงอยู่ขอบเขตพลังไหนแล้ว?” หนานกงเวิ่นเทียนไม่เชื่อว่าหลิวหลีจะมีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขอบเขตเทพระดับล่าง สีผมล้วนเป็นของปลอม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องพลังบำเพ็ญเพียร

“เทพสวรรค์” หลิวหลีตอบตามความเป็นจริง

“พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ แล้วเหตุใดจึงรู้ว่าเจ้าสำนักอยู่ในขอบเขตราชาเทพได้ล่ะ?” เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพลังบำเพ็ญเพียรของน้องหญิงเขาต่ำเช่นนี้แต่กลับมองเห็นพลังบำเพ็ญเพียรที่อยู่สูงกว่าได้

“พลังบำเพ็ญอยู่แค่ขอบเขตเทพสวรรค์ก็จริง แต่ประสาทเซียนสูงกว่าราชาเทพกระมัง” หลิวหลีขบคิดแล้วเอ่ย ในร่างกายเกิดไอสีขาวขุ่นเหมือนเป็นพลังระดับสูงบางอย่าง

“น้องหญิง เช่นนั้นข้าก็พูดได้อย่างสบายใจแล้วว่าเจ้าเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งมหาเทพสูงสุด หรือน่าจะถือเป็นผู้สืบทอดก็ว่าได้” หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ยขึ้น

“มหาเทพสูงสุดหรือ นั่นคืออะไรกัน?” สีหน้าหลิวหลีฉายแววงุนงง

“ช่วงนี้ข้าพบว่า หากสีผมและสีดวงตามีการเปลี่ยนแปลงจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพ เหมือนข้าที่มีผมและดวงตาสีฟ้าเหมันต์เลยเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพเหมันต์ ตัวข้าเองเคยเจอคนที่ผมสีแดงดวงตาสีดำ ผมสีดำดวงตาสีม่วง พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ระดับพิเศษของที่นี่ พวกเขาเล่าว่าเมื่อหมื่นปีก่อนราชาเทพแห่งดวงดาว (ซิงซิ่ว) ทำนายว่าจะมีมหาเทพสูงสุดปรากฏตัวขึ้น ขจัดความวุ่นวายให้สิ้นสุดลง ทุกคนต่างกำลังเดาว่ามหาเทพสูงสุดคือใคร” หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลี หลิวหลีจึงทิ้งดวงตาและสีผมที่ปลอมแปลงไว้ออก

“ดังนั้นท่านหมายถึงข้าหรือ” หลิวหลีรู้สึกขบขัน

“น่าจะใช่ ข้ากลับหวังว่าจะมีของลอกเลียนแบบปรากฏขึ้นมามากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ น้องหญิงจะได้มีชีวิตอย่างสบายๆกับเขาบ้าง” หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ย ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าน้องหญิงของเขาแล้ว

“พอพูดแบบนี้ ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” หลิวหลีปรับสภาพสีผมและดวงตาให้กลับมาสีดำ เพื่อสื่อว่านางเห็นด้วย นางไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นมหาเทพสูงสุดหรือไม่

“ดังนั้นน้องหญิง ครั้งนี้เจ้าถ่อมตัวให้ถึงที่สุดแล้วกัน แต่ท่านเจ้าสำนักนั่นมีพลังบำเพ็ญเพียรถึงขอบเขตราชาเทพแต่กลับมองเจ้าไม่ออกเนี่ยสิ” หนานกงเวิ่นเทียนนึกถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ต่อให้ประสาทเซียนของน้องหญิงจะแข็งแกร่ง แต่คงจะปิดบังพลังบำเพ็ญเพียรไม่ได้กระมัง

“เรื่องนี้ข้าว่าให้การกระทำเป็นคำตอบดีกว่า” หลิวหลีดึงมือหนานกงเวิ่นเทียนเอาไว้แล้วเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง

“การกระทำ?” ใบหน้าหนานกงเวิ่นเทียนฉายแววงุนงง

ไม่นานเขาก็รู้แล้วว่าการกระทำที่ว่าคืออะไร ใบหน้าแดงก่ำ

“น้องหญิง ลมปราณสีน้ำนมในตัวเจ้าคืออะไร รู้สึกว่าทั้งสุดยอดแต่อันตรายมากเช่นกัน” หนานกงเวิ่นเทียนย่อมรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของนาง เหมือนว่าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายแล้วโคจรอยู่ภายในร่าง เขาถึงขนาดรู้สึกได้ว่าหลิวหลีไม่ต้องดูดซับพลังเทพก็สามารถสร้างลมปราณสีน้ำนม ซึ่งเพียงพอต่อความจำเป็นที่ต้องใช้โคจรในร่างกาย เขาเองก็คืบหน้าไปไม่น้อย จนมีแนวโน้มจะบรรลุขอบเขตเทพสวรรค์

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ หลังจากบรรลุแล้ว ข้าถึงพบมัน รู้แค่ว่ามันมีผลดีต่อข้าแต่เป็นอะไรนั้นข้าไม่รู้แน่ชัดนัก” หลิวหลีส่ายศีรษะ นางก็ไม่รู้ว่าลมปราณสีน้ำนมในร่างตัวเองคืออะไรกันแน่ เพียงแต่ลมปราณสีน้ำนมนี้สร้างขึ้นไม่ง่าย ต้องโคจรเพลิงเทพทั้งหมดที่มีเป็นอาทิตย์ กว่าจะได้จำนวนน้อยนิดเช่นนี้

“ต้องรู้เข้าสักวัน” หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ย

“ก็จริง ยังไม่แน่ใจว่าข้าจำเป็นต้องเรียนอะไรไหม? ในเมื่อข้าเป็นเพียงศิษย์ระดับล่าง” หลิวหลีกระเซ้า

“อันที่จริงก่อนนี้ข้าเคยถามมา เหมือนว่าศิษย์ระดับล่างยิ่งระดับต่ำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องทำงานจิปาถะมากมายมากเท่านั้น” ตอนนี้หนานกงเวิ่นเทียนคิดว่าน้องหญิงของเขามีผมสีเดียวเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

“งานจิปาถะหรือ” หลิวหลีตกใจ ในโลกบำเพ็ญนางเป็นศิษย์โดยตรงของเหล่าปรมาจารย์ ไม่จำเป็นต้องทำงานอะไร เมื่อมาที่โลกเซียนนางเป็นถึงเจ้าตำหนัก มีลูกน้องนับร้อย ยิ่งไม่มีงานอะไรที่ต้องถึงมือนาง จนมาถึงโลกเทพที่เป็นระดับสูงกว่า นี่จะให้นางชดเชยที่นางไม่เคยทำงานเลยหรือ

“จริงสิ ข้าลองดูแล้วมีงานปรุงยาเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย” เพราะหนานกงเวิ่นเทียนไม่รู้ว่าหลิวหลีจะเอาตัวเองไปอยู่ที่ระดับขอบเขตพลังไหน ดังนั้นจึงดูทั้งหมด

“ยาเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ น่าสนใจทีเดียว” ท่าทีหลิวหลีบอกว่าสมแล้วที่เขาเป็นสามีของนาง รู้ว่านางสนใจอะไร

“แล้วศิษย์ระดับพิเศษอย่างท่านพี่ล่ะต้องทำอะไรบ้างหรือ?” หลิวหลีถามขึ้นด้วยความแปลกใจ อยากลองเปรียบเทียบดูสักหน่อย

“เฮ้อ ข้าแค่บำเพ็ญเพียรเท่านั้น” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยท่าทีรู้สึกไม่ดีนัก

“เป็นชนชั้นพิเศษจริงๆ” หลิวหลีหดหู่ใจ

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset