แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 3: หมู่บ้านลึกลับในป่าชายแดน

               ณ พื้นที่ป่าทึบอันเขียวขจีแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บริเวณคาบเส้นพรมแดนระหว่างเขตซลีนทางตะวันออกของประเทศเช็กเกีย และแคว้นชีลีนาทางตะวันตกของประเทศสโลวาเกีย ว่ากันว่าภายในสถานที่ดังกล่าวมีสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติซ่อนอยู่ เช่นเจ้าป่าเจ้าเขาหรือภูตผี คอยปกปักรักษาและอำพรางหมู่บ้านจอมเวทให้หลบพ้นจากสายตาผู้คนทั่วไป

               แม้ว่าจะส่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าไปสำรวจหรือใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย แต่พวกเขาก็มิอาจแก้ไขปริศนาสุดแสนพิศวงนี้ได้ เพราะสิ่งที่พบเห็นมีเพียงแค่พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์คอยล้อมรอบเรียงรายอยู่เท่านั้น

               และมีน้อยคนนักที่ล่วงรู้เบื้องหลังอันแท้จริงของสถานที่แห่งนี้

               แสงแดดยามเช้าในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมค่อย ๆ สาดส่องลงมา ทำให้อาณาบริเวณโดยรอบเริ่มสว่างสดใส จากป่ารกชัฏธรรมดาก็ได้เผยให้เห็นถึงสิ่งปลูกสร้างสไตล์ยุโรปยุคกลางนับร้อยหลัง ปราสาทหินสีขาวสูงชันใหญ่โตตั้งเด่นตระหง่านตาบนเนินเขาขนาดย่อม บ้านเรือนสถานที่ต่าง ๆ และโบสถ์ของชาวคริสต์เป็นต้น

               ป่าไม้บางแห่งกลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา มีแม่น้ำเล็ก ๆ ใสสะอาดไหลเอื่อยไปตามกระแสและทอดยาวแตกแขนงออกเป็นหลายสาย ส่องสะท้อนให้เห็นถึงกลุ่มก้อนเมฆซึ่งกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตจะไม่มีวันได้พบเห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอันสวยงามเช่นนี้เลย

               “ฮาเวอร์ชาคาน” เป็นหมู่บ้านลึกลับของเหล่าผู้วิเศษ ถูกอำพรางด้วยเวทมนตร์และป่าไม้นับพันต้น ทำให้คนทั่วไปหรือบุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้ ถึงแม้ต่อให้ค้นหาเจอก็จะต้องถูกพวกจอมเวทลบล้างความทรงจำอยู่ดี ทั้งนี้เพื่อไม่ให้โลกภายนอกล่วงรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเขา

               จอมเวทส่วนใหญ่ต่างพากันดำเนินกิจวัตรประจำวันตามประสาชาวบ้านทั่วไป ทั้งในพื้นที่ตลาดสด บนถนนทางเดินตามเส้นต่าง ๆ สถานศึกษา รวมถึงศาสนสถานเริ่มคึกคักและมีสีสัน ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดูแปลกตาไปสักหน่อยโดยเฉพาะบนฟากฟ้า เพราะมีผู้คนบางส่วนกำลังใช้ไม้กวาดขี่เป็นยานพาหนะลอยโฉบเฉี่ยวไปมาราวกับเป็นเรื่องปกติ

               แต่ถึงกระนั้นแล้ว ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ใช่ว่าจะเป็นคนหัวโบราณคร่ำครึถึงขนาดไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าไว้ใช้งาน บ่งบอกได้ชัดเจนว่าบรรดาพ่อมดแม่มดเหล่านี้สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้ดีมากเพียงใด

               ประชาชนทุกคนล้วนยิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุขดี ทว่ากลับมีผู้คนบางกลุ่มรู้สึกอิ่มเอมใจได้ไม่ค่อยเต็มที่ หนึ่งในนั้นคือครอบครัวทาวิเทียน พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านไม้สองชั้น ตั้งอยู่ห่างจากปราสาทสีขาวราวสองกิโลเมตร โดยสถานที่แห่งนี้แลดูเงียบสงบวังเวงราวกับไม่มีผู้ใดมาอาศัยอยู่

               เลวอน เด็กหนุ่มผิวขาวหน้าตาดีรูปร่างสูงโปร่งวัย 17 ปี เจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีขาวโพลนรวบหางม้าโดยถักเปียข้างใบหน้าทั้งสองฝั่ง ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวแบบคอปกสีขาว กางเกงสแล็คกับถุงเท้าสีดำ กำลังนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนชั้นที่สอง พลางใช้ดวงตาสีเหลืองอำพันทอดมองท้องฟ้าเบื้องบนผ่านบานหน้าต่างด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม หลังจากที่ได้รับการรักษาอาการป่วยเรื้อรังและพักฟื้นสภาพร่างกายมาเป็นเวลานานถึงห้าปี

               ก่อนที่เขาจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติภายในอีกไม่ช้านี้

               “มะรืนนี้งั้นเหรอ ชักอดใจรอไม่ไหวเสียแล้วสิ”

               มะรืนนี้ที่เลวอนกล่าวถึงคือวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม เป็นวันที่เขาต้องเดินทางไปโรงเรียนเป็นครั้งแรกเพื่อศึกษาวิชาเวทมนตร์และศาสตร์ต่าง ๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงนั่งอ่านตำราเรียนอยู่แต่ในบ้านมาโดยตลอด

               ด้วยปัญหาทางด้านสุขภาพทำให้เขาได้รับการอนุโลมไม่ให้หมดสิทธิ์เข้าสอบ ทุก ๆ ปีผู้อำนวยการโรงเรียนจะเดินทางมาที่บ้านเพื่อเป็นกรรมการคุมสอบ พร้อมนำชุดแบบฝึกหัดให้เลวอนลงมือทำทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีเสียด้วย ยกเว้นแค่เพียงคะแนนสมรรถภาพทางด้านพละกำลัง และระดับปริมาณพลังเวทมนตร์ในร่างกายเท่านั้นที่ได้เกรด C

               ถ้าหากเลวอนมีร่างกายแข็งแรงเหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไป บางทีเขาอาจกลายเป็นนักเรียนดีเด่นได้เลยเสียด้วยซ้ำ

               อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาเริ่มแข็งแรงพอที่จะเดินเล่นหรือวิ่งออกกำลังกายเหยาะ ๆ ได้แล้ว ทว่าโรคภัยไข้เจ็บซึ่งแฝงอยู่ในตัวนั้นยังไม่ได้หายขาดโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้สืบเนื่องด้วยเหตุผลบางประการ

               ก๊อก ก๊อก ก๊อก

               เสียงเคาะประตูดังขึ้น เลวอนจึงหันไปมองดู แล้วพบว่ามีใครบางคนกำลังเปิดประตูเดินเข้ามา

               “เลวอน วัตสันกับโมนิก้ามาเยี่ยมแน่ะ”

               “เยวา ทาวิเทียน” สตรีเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวยวัย 40 ปีตอนต้น นัยน์ตาสีน้ำเงินเป็นประกายในชุดชาวพื้นเมืองอาร์มีเนีย เกริ่นขึ้นก่อนจะผายมือไปยังด้านหน้าเพื่อเรียกแขกให้เข้ามาข้างในห้อง หลังจากนั้นวัยรุ่นหนุ่มสาวคู่หนึ่งก็ได้ก้าวเท้าเข้ามาพร้อมทั้งกล่าวทักทาย

               “ไงเลวอน”

               คนแรกคือ “วัตสัน โรเวลล์” พ่อมดหนุ่มชาวอังกฤษผมสั้นสีน้ำตาลอมส้มวัย 18 ปี นัยน์ตาสีฟ้าส่องประกายรูปร่างผอมสูง แต่งกายชุดลำลองโดยสวมเสื้อหมวกฮู้ดสีขาวแถบน้ำตาลทับอีกที บนไหล่ขวาสะพายกระเป๋าหนังสัตว์บรรจุหลอดยาแบบพาดลำตัวลงมา กล่าวด้วยน้ำเสียงฟังดูสดใสและเป็นกันเอง

               “อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

               อีกรายหนึ่งคือ “โมนิก้า ซิบูลโคว่า” เด็กสาวชาวสโลวักเจ้าของเรือนผมสีขาวอมน้ำตาลอ่อนยาวสลวยวัย 15 ปี นัยน์ตาสีฟ้าสดใสรูปร่างเพรียวบางในชุดนักเรียนแม่มดฝึกหัดแลดูสุภาพและค่อนข้างเป็นทางการ พร้อมด้วยผ้าคลุมจอมเวทสีดำขลับ ยืนส่งเสียงทักทายอยู่ทางด้านซ้ายมือของวัตสันด้วยกิริยาท่าทีค่อนข้างเหนียมอาย

               “วัตสัน โมนิก้า อรุณสวัสดิ์ครับ” เลวอนกล่าวทักทายตอบกลับทั้งคู่ด้วยความอบอุ่นใจ

               “เชิญตามสบายเลยจ้ะ เดี๋ยวน้าจะไปชงโกโก้ร้อนมาให้”

               เยวานำมือทั้งสองตบลงบนบ่าของวัตสันกับโมนิก้าอย่างอ่อนโยน ทั้งคู่จึงตอบกลับด้วยกิริยาท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน

               “ขอบคุณครับ/ขอบคุณมากค่ะ”

               เมื่อสุภาพสตรีก้าวเท้าเดินออกจากห้องพร้อมปิดประตู วัตสันจึงหยิบเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ข้างโต๊ะทำงานขึ้นมาวางไว้ใกล้ ๆ เตียงที่เลวอนกำลังพำนักอยู่แล้วนั่งเอนตัวลงไป ในขณะที่โมนิก้ามุ่งตรงไปยังปลายเตียง เธอค่อย ๆ ทิ้งตัวนั่งลงอย่างนุ่มนวล ตามด้วยถอดหมวกแม่มดออกจากศีรษะแล้ววางลงบนหน้าตักตน

               ถัดมาทั้งสามคนจึงเริ่มต้นบทสนทนาตามประสาวัยรุ่น โดยที่วัตสันเกริ่นซักถามเลวอนก่อน

               “เป็นยังไงบ้างสบายดีไหม?”

               “ผมสบายดี ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์แวะมาเยี่ยมอยู่บ่อยครั้ง แถมยังคอยสอนวิชาเวทมนตร์และศาสตร์แขนงอื่น ๆ ให้ผมอีกด้วย นี่ถ้าหากไม่ได้วัตสันกับโมนิก้าคอยช่วยเหลือล่ะก็ผมคงทำข้อสอบไม่ผ่านแน่ ๆ”

               “แหม ๆ อย่าถ่อมตัวนักสิ… ถึงจะไม่มีพวกฉันคอยช่วยเหลือ แต่คนที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างนายคงสอบผ่านฉลุยทุกวิชาอยู่แล้ว”

               “นั่นสินะคะ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความมุมานะของคุณเลวอนด้วย ถ้าหากไม่มีสิ่งนั้นตั้งแต่แรก ต่อให้พวกเราสอนแทบตายยังไงก็ไม่มีวันประสบผลสำเร็จอยู่ดี… คุณน่ะเป็นคนที่วิเศษมากเลยล่ะรู้รึเปล่า?”

               โมนิก้ากล่าวชื่นชมด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนหวาน เลวอนจึงถ่อมตนอย่างเหนียมอาย

               “โธ่ ผมไม่ได้เป็นคนวิเศษถึงขนาดนั้นสักหน่อย”

               “ในเมื่อเลวอนพยายามได้ดีถึงขนาดนี้ ฉันว่าเธอควรมอบรางวัลให้เขาสักหน่อยนะ ยกตัวอย่างเช่นยอมทำตามคำสั่งทุกอย่างเป็นเวลาหนึ่งวันอะไรทำนองนี้น่ะ”

               วัตสันกล่าวแซว โมนิก้าถึงกับออกอาการตะลีตะลานให้เห็น

               “เดี๋ยวก่อนสิคะ ให้ทำตามคำสั่งทุกอย่างแบบนั้นฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ!”

               “นั่นน่ะสิ ในเมื่อผมอุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านมาตลอดห้าปี จะไม่ให้รางวัลตอบแทนอะไรเลยมันก็น่าท้อใจพิลึกแฮะ” เลวอนรีบตบมุกอย่างไม่รีรอ

               “ย… อย่างน้อยก็ขอเวลาให้ฉันได้เตรียมใจสักหน่อยเถอะค่ะ”

               น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มแผ่วเบาลงและฟังดูอ่อนหวาน แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด วัตสันเห็นดังนั้นจึงแสดงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องออกมา มองดูเพียงแว้บเดียวก็รู้ได้โดยทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังนึกปรารถนาต่อสิ่งใดอยู่ ขณะเดียวกันเลวอนรีบสบโอกาสนี้ใช้อภิสิทธิ์ของตนอย่างไม่รีรอ

               “ถ้างั้นผมขอออกคำสั่งเลยก็แล้วกัน”

               “เฮ้ย!? ตรงนี้เลยเหรอ คิดจะทำกันตรงนี้เลยเหรอ ต่อหน้าฉันคนนี้เนี่ยนะ!?”

               “ม-ไม่ได้น้าาาาาาาา!!”

               วัตสันและโมนิก้าออกอาการสะดุ้งพลางส่งเสียงอุทานตามลำดับ เด็กสาวรีบยกสองมือบางขึ้นมาโอบกอดร่างตนด้วยความประหม่าพร้อมทั้งใบหน้าแดงก่ำและร้อนผ่าวอย่างชัดเจน เลวอนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบทักท้วงออกไปโดยเร็ว

               “ต… ตกใจเรื่องอะไรกัน? ผมก็แค่อยากให้โมนิก้ามานวดไหล่เท่านั้นเอง”

               “เอ๊ะ?”

               วัตสันและโมนิก้าชะงักไปชั่วครู่ ทั้งสองพากันส่งสายตามองบุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนอย่างแปลกประหลาดใจ คราวนี้ใบหน้าของแม่มดสาวบ่งบอกถึงความผิดหวังและแอบเสียดายอยู่เล็กน้อย จนเลวอนต้องเกริ่นซักถามสงสัย

               “นี่ทั้งสองคนกำลังคิดเรื่องอะไรแปลก ๆ อยู่ใช่ไหม?”

               “ป-เปล่าซะหน่อย/ม-ไม่มีอะไรหรอกค่ะ!” สองพ่อมดแม่มดรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยพลัน

               ก๊อก ก๊อก ก๊อก

               เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมด้วยน้ำเสียงอันคุ้นเคยของสุภาพสตรีแว่วตามมา

               “ทุกคน แม่เอาโกโก้ร้อนมาเสิร์ฟให้จ้ะ”

               “เดี๋ยวหนูเปิดประตูให้นะคะ”

               โมนิก้าขานรับก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์ซึ่งเหน็บซ่อนไว้ในซอกถุงเท้าบริเวณต้นขาขึ้นมา ชี้ปลายไม้ไปยังประตูห้องแล้วโบกสะบัดกวัดแกว่งเล็กน้อย ตามด้วยเปล่งวาจาร่ายมนตราออกมาสั้น ๆ

               “Apertus! (จงเปิดออก) ”

               แกร๊ก…!

               ปลายไม้กายสิทธิ์ปรากฏแสงสว่างดวงเล็กขึ้นมาเพียงชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นลูกบิดถูกหมุนและเปิดบานประตูออกเองอัตโนมัติ เยวาจึงก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องนอนโดยมือทั้งสองถือถาด ซึ่งรองรับแก้วโกโก้อุ่น ๆ จำนวนสามใบ แล้วทำการยกเสิร์ฟให้แก่เหล่าหนุ่มสาวตรงเบื้องหน้าคนละถ้วย

               “ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ” เลวอน วัตสัน และโมนิก้ากล่าวพร้อมทั้งรับเครื่องดื่มจากอิสตรีผู้เลอโฉม

               “วัตสัน โมนิก้า ขอบคุณที่ช่วยดูแลเลวอนมาโดยตลอดนะจ๊ะ ที่ผ่านมาน้าคงจะรบกวนพวกเธอสองคนมากพอสมควร” เยวาเกริ่นซาบซึ้งในน้ำใจด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มละมุน

               “คุณน้าอย่าได้คิดมากเลยนะครับ เลวอนเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมทั้งทียังไงก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นเรื่องรบกวนอะไรหรอกครับ” วัตสันตอบกลับอย่างสุภาพก่อนจะยกถ้วยโกโก้อุ่น ๆ ขึ้นมาดื่มดับกระหาย

               “อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงพวกหนูยินดีช่วยเหลือเสมอ คุณน้าสบายใจได้เลยนะคะ” โมนิก้าฉีกยิ้มร่าเริงสดใสพลางนำไม้กายสิทธิ์เก็บลงในซอกถุงเท้าบริเวณต้นขาไว้ดังเดิม

               “ถ้าหากมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรก็แวะมาปรึกษาขอความช่วยเหลือจากพวกเราได้ทุกเมื่อเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวน้าขอตัวทำงานบ้านก่อน ทั้งสองคนเชิญตามสบายจ้ะ… ส่วนเลวอน ตอนที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ลูกห้ามทำอะไรแผลง ๆ เด็ดขาด เข้าใจไหม?”

               เยวาสนทนากับโมนิก้าและวัตสันอย่างเอ็นดู แล้วหันหน้าไปทักท้วงต่อลูกชายตนพลางขมวดคิ้วใส่ โดยภายในใจลึก ๆ แอบรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยในตัวเขาพอสมควร เลวอนจึงยิ้มเฝื่อนตอบรับคำขอเพื่อคลายความกังวลใจของอีกฝ่าย

               “แม่ล่ะก็ ผมไม่ทำอะไรห่าม ๆ แบบนั้นหรอกครับ อีกอย่างนี่ก็ใกล้จะถึงวันเปิดเทอมแล้วด้วย”

               “ได้ยินแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย ถ้างั้นแม่ไม่รบกวนแล้วล่ะจ้ะ”

               ผู้เป็นแม่แย้มสรวลโล่งใจเล็กน้อยเป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องปิดประตูให้เรียบร้อย และในขณะที่เลวอนกำลังยกแก้วใช้ปากเป่าเตรียมซดโกโก้อุ่น ๆ วัตสันก็พลันเกริ่นสงสัยขึ้นมาตามประสาเด็กหนุ่มผู้ใคร่รู้

               “เรื่องแผลง ๆ ที่แม่นายพูดเมื่อกี้นี้หมายถึงเรื่องอะไรน่ะ?”

               “เอ๊ะ… นี่อย่าบอกนะว่าคุณเลวอนแอบฝึกซ้อมร่ายคาถาคนเดียว!?”

               โมนิก้ากวาดสายตามองสิ่งของบางอย่างบนโต๊ะทำงาน มันคือดาบอัศวินเล่มยาวขนาดสี่ฟุตกับหนังสือเวทมนตร์เล่มหนาปกหนังสีน้ำตาล พร้อมด้วยผ้าคลุมสีดำเข้มซึ่งพับเป็นระเบียบเรียบร้อย เลวอนจึงต้องจำนนต่อหลักฐานกล่าวคำสารภาพออกไปโดยดุษณี

               “ส… สมกับเป็นโมนิก้าเลยแฮะ ทำไงได้ล่ะ จะให้นั่งเฉย ๆ อยู่แต่ในบ้านแบบนี้คงน่าเบื่อตายกันพอดี เพราะงั้นผมเลยต้องแอบฝึกคนเดียวน่ะ…”

               “ลงมือฝึกโดยพลการทั้ง ๆ ที่ไม่มีพวกเราคอยดูแลแบบนี้ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยนะคะ!”

               โมนิก้าส่งเสียงเอ็ดใส่ ครั้งนี้สีหน้าของเธอแลดูจริงจังมาก ในขณะที่วัตสันอ้าปากค้างมองดูเพื่อนชายด้วยความตะลึงพรึงเพริดพลางถอนหายใจอย่างเอือมระอา เขารู้ดีว่าถึงแม้จะคอยห้ามปรามสักเท่าใดอีกฝ่ายก็คงดื้อด้านไม่ยอมรับฟังอยู่แล้ว

               เลวอนยิ้มแหย ๆ ก้มหน้าหลบสายตาลงเล็กน้อย แล้วจึงเกริ่นถ้อยคำสำนึกผิดออกมา

               “ขอโทษด้วยนะ พอรู้ว่าใกล้ถึงช่วงเวลาเปิดเทอมมันก็ยิ่งทำให้ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ เพราะงั้นเลยอยากจะฝึกเวทมนตร์คาถาเพื่อให้เกิดความชำนาญมากขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย”

               “ทีหลังอย่าทำแบบนั้นอีกนะคะ รู้รึเปล่าว่าพวกเราเป็นห่วงสุขภาพของคุณเลวอนมากแค่ไหน? ครั้งหน้าถ้าจะฝึกซ้อมล่ะก็ควรให้พวกเราตามไปดูแลด้วยสิคะ”

               “ทุกคนเป็นห่วงมากเกินไปแล้วนะ ถ้าจะให้เทียบกับเมื่อคราวก่อนแล้วล่ะก็ตอนนี้ผมรู้สึกโอเคขึ้นตั้งเยอะ แถมอาการเจ็บปวดทั่วร่างก็เริ่มบรรเทาลงจนแทบไม่แสดงอาการแล้วด้วย เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกน่า”

               “นายเพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นาน ฉันว่าอย่าได้ฝืนขีดจำกัดแล้วเก็บพลังเวทไว้ใช้ตอนฝึกในห้องเรียนน่าจะดีกว่า เดิมทีนายเองก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่สามารถเข้าใจถึงศาสตร์แห่งคาถาต่าง ๆ แถมยังสอบได้คะแนนสูงสุดอีกด้วย ไม่จำเป็นต้องฝึกถี่ขนาดนั้นก็ได้มั้ง” วัตสันให้คำแนะนำแก่เลวอนอย่างใจเย็น

               “ถ้ายังทำตัวดื้ออยู่อีกล่ะก็ฉันจะไม่ให้รางวัลคุณเลวอนแล้วนะคะ!”

               โมนิก้าพูดจาข่มขู่ เลวอนถึงกับอ้ำอึ้งหวั่นสะพรึง ในขณะที่วัตสันส่งเสียงหัวเราะพร้อมทั้งเกริ่นแซวออกไป

               “ฮะฮะฮะ ระหว่างรางวัลจากหญิงสาวผู้น่ารักกับความทิฐิมุมานะจนเกินพอดี ตัวเลือกอย่างไหนสำคัญกว่ากัน คิดให้ดีก่อนตอบล่ะเพื่อนเอ๋ย โอกาสแบบนี้เผลอ ๆ ร้อยปีอาจมีเพียงแค่หนเดียวนะเออ”

               “ผ… ผมรู้แล้วล่ะน่า” เลวอนคิ้วขมวดใส่วัตสัน พร้อมหันมาผงกศีรษะยอมรับข้อตกลงจากโมนิก้าอย่างว่าง่าย “เข้าใจแล้ว ผมขอสัญญาว่าจะไม่แอบฝึกร่ายคาถาตามลำพังโดยพลการอีก”

               “ดีมากค่ะ… ถ้างั้นจากนี้ไปเดี๋ยวฉันจะมอบรางวัลให้คุณเลวอนเอง กรุณารอสักครู่นะคะ”

               โมนิก้าแย้มสรวลอย่างพึงพอใจ ค่อย ๆ ยกถ้วยดื่มโกโก้ให้หมดก่อนจะลุกขึ้นไปวางลงบนโต๊ะไม้ข้างหัวเตียง ถัดมาขยับตัวคลานอ้อมไปยังทางด้านหลังของเลวอน วางเข่ายืดลำตัวแล้วตามด้วยนำสองมือบางคอยบรรจงบีบหัวไหล่ร่างสูงโปร่งทีละจุด ทำแบบนั้นซ้ำไปมาสลับตำแหน่งเพียงเล็กน้อย จนชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายพลางส่งเสียงเคลิบเคลิ้มออกมา

               “อ-อื้ม… รู้สึกดีจังเลย~”

               “เหะเหะ ฉันทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้มากกว่านี้อีกนะคะ~”

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีฟ้าโน้มตัวขยับเข้าไปใกล้ ๆ สอดมือขวาอันบอบบางลอดใต้วงแขนของชายหนุ่มเพื่อกอดกระชับร่างจนหน้าอกของเธอเบียดชิดเข้ากับแผ่นหลังกว้าง ตามด้วยยกศอกซ้ายขึ้นมาบดคลึงไหล่อีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล ก่อนจะขยับใบหน้ากระซิบหยอกเย้าข้างใบหูฝั่งขวาอย่างละมุน

               “เป็นยังไงบ้างคะ~?”

               “ด-เดี๋ยวสิโมนิก้า แบบนั้นมันแนบชิดเกินไปแล้ว”

               เลวอนทักท้วงพลางตัวแข็งเกร็งไปทั่วร่าง แก้วโกโก้ในอุ้งมือถึงกับสั่นระริกเล็กน้อยจนของเหลวเกือบล้นกระฉอก เขารู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมของหัวใจที่กำลังสั่นไหวอยู่ภายในอกด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากถูกกระตุ้นด้วยน้ำเสียงหวาน ๆ ของเธอ ถึงแม้จะมีเสื้อผ้าขวางกั้นแต่ชายหนุ่มกลับสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนของหน้าอกขนาดกะทัดรัดซึ่งเบียดเข้ากับแผ่นหลัง ทำให้ไม่อาจอดนึกฟุ้งซ่านหรือหักห้ามใจได้เลย

               ค… คนอะไรช่างน่ารักน่าแกล้งเสียจริง

               โมนิก้าแอบยิ้มมุมปากทั้งที่สองแก้มแดงระเรื่อ ดูเหมือนว่าเธอจะเพลิดเพลินไปกับการกลั่นแกล้งชายหนุ่มรูปงามตรงเบื้องหน้าเสียเหลือเกิน

               “เฮ้ ถ้าไม่เห็นแก่ฉันก็ช่วยเกรงใจคนในบ้านนี้หน่อยเถอะ พวกนายไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะ”

               วัตสันส่งเสียงแทรกทำลายบรรยากาศเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ต้องบานปลายกลายเป็นความใคร่มากไปกว่านี้ เลวอนและโมนิก้าต่างสะดุ้งตกใจจนทำตัวไม่ถูก โดยที่ฝ่ายหญิงรีบผละร่างตนออกจากแผ่นหลังของบุรุษหนุ่มผู้แสนสุภาพอย่างรวดเร็ว

               “เหวอ/ว้าย!?”

               “โมนิก้า เธอเองก็ช่างปล่อยตัวไปตามอารมณ์เหลือเกิน นี่ถ้าหากฉันไม่อยู่ในห้องนี้ด้วยล่ะก็มีหวังพวกนายสองคนคงพากันจับกดลงเตียงไปแล้วแหง ๆ” วัตสันเกริ่นแซวพลางเหล่ตามองสองหนุ่มสาว

               “จ-จับกด พูดเรื่องอะไรกันคะลามกที่สุดเลย!” แม่มดสาวถึงกับหน้าแดงก่ำรีบแย้งคำพูดกลับไปอย่างตะลีตะลาน

               “ทีตอนนวดไหล่ให้ฉันไม่เห็นเธอทำแบบนี้ให้บ้างเลย… ว่าแต่เป็นไงมั่งเลวอน หน้าอกของยัยนี่นุ่มนิ่มดีไหม?”

               “…ฉันจะสาปนายให้เป็นกบเดี๋ยวนี้แหละ!!”

               โมนิก้าไม่อาจสะกดความเหนียมอายได้อีกต่อไป เธอรีบชักไม้กายสิทธิ์ออกมาทำท่าจะร่ายคาถาใส่อีกฝ่าย วัตสันจึงรีบยกสองแขนขึ้นมาป้องใบหน้าตนอย่างหวาดผวาทันที

               “เฮ้ยอย่านะเฟ้ยยัยบ๊อง ฉันขอโทษ…! แต่เดี๋ยวสิ เวทมนตร์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ห้ามเอามาไล่แช่งคนอื่นเขาแบบนี้สิฟะ เดี๋ยวก็ฟ้องให้ศาสตราจารย์ลงโทษเธอซะหรอก!”

               ระหว่างนั้นเลวอนแอบส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย วัตสันและโมนิก้าที่กำลังจะทะเลาะวิวาทกันจำต้องหยุดชะงักเพื่อผ่อนคลายลง แล้วหันไปจับจ้องมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ ถัดมาพ่อมดหนุ่มผู้ใส่ซื่อก็ได้เกริ่นขึ้นอีกครั้ง

               “ฮะฮะฮะ…! โทษที ๆ ผมไม่เคยเห็นทั้งสองคนหยอกล้อกันแบบนี้มานานแล้ว เอาเป็นว่าอย่าถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลย”

               “โธ่ ทำไงได้ล่ะคะ เขาน่ะชอบหาโอกาสพูดแซวฉันอยู่เรื่อยเลย” โมนิก้าคิ้วขมวดพองแก้มพลางนำไม้กายสิทธิ์เก็บใส่ไว้ที่เดิม แล้วตั้งใจลงมือนวดแผ่นหลังให้เลวอนต่อไปด้วยสีหน้าอารมณ์บูด

               “แหม พวกฉันไม่บ้าพอที่จะหันมาทำร้ายกันเองหรอกน่า”

               วัตสันยิ้มมุมปากเพียงครู่หนึ่งก่อนจะชักสีหน้ากลับ พร้อมทั้งกล่าวให้คำแนะนำเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               “นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละเลวอน อย่ามัวแต่เป็นห่วงคนอื่น หัดใส่ใจเรื่องของตัวเองเสียบ้าง สองสามปีที่ผ่านมานี้ฉันสังเกตได้ถึงพลังเวทที่เพิ่มมากขึ้นจากตัวนาย จะบอกว่าไปในทางที่ดีขึ้นก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นเพราะอะไร แต่อย่าลืมสิว่าสุขภาพของนายในตอนนี้ยังไม่แข็งแรงพอ ขืนใช้เวทมนตร์ติดต่อกันมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายรับภาระหนักอึ้ง และยากที่จะรักษาตัวให้หายขาดจากอาการป่วยได้เชียวนะ”

               “เข้าใจแล้วครับรุ่นพี่ ผมจะระมัดระวังครับ”

               เลวอนยิ้มเจื่อนพลางเรียกขานอีกฝ่ายว่า “รุ่นพี่” เนื่องจากวัตสันเป็นเด็กหนุ่มผู้มีอายุมากที่สุดในบรรดาเหล่านักเรียนซึ่งกำลังศึกษาศาสตร์แห่งเวทมนตร์โบราณขั้นสูง แม้ว่าทั้งสองจะอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกเหมือนกัน และมีอายุห่างกันเพียงแค่หนึ่งปีก็ตาม

               “รู้สึกดีขึ้นไหมคะ ชอบให้นวดแบบนี้รึเปล่า?” โมนิก้าเกริ่นซักถามโดยยังคงนวดไหล่และแผ่นหลังของเลวอนต่อไป

               “แน่นอนสิ เป็นไปได้ก็อยากให้มานวดอีกบ่อย ๆ เลย แต่เกรงว่าจะเป็นการรบกวนโมนิก้ามากเกินไป” เลวอนตอบกลับด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ โดยยังคงหลับตาเคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์ชวนผ่อนคลาย

               “โธ่ รบกวนอะไรกันคะ จะให้ฉันตามมานวดไหล่ให้คุณเลวอนจนถึงยามแก่เฒ่าเลยก็ย่อมได้ค่ะ”

               “เดี๋ยวเถอะโมนิก้า…!”

               วัตสันรีบเอ็ดเสียงห้ามปราม โมนิก้าเห็นท่าทีของอีกฝ่ายจึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ทันที เธอชะงักปลายนิ้วซึ่งกำลังบรรจงบนหัวไหล่ร่างสูงแกร่งพร้อมทั้งเม้มริมฝีปากเผยสีหน้าคิ้วขมวดสลดใจ เลวอนสังเกตเห็นอากัปกิริยาทุกข์ทรมานใจของทั้งคู่จึงเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อไม่ให้บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนต้องย่ำแย่ลงไปมากกว่านี้

               แม้ว่าตัวเขาจะยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงและยังคงค้างคาใจอยู่ก็ตาม

               “จริงสิ ผมอยากออกไปเดินเล่นใกล้นอกเขตหมู่บ้านสักหน่อย แถวนั้นน่าจะปลอดคนแถมยังใช้เป็นที่ฝึกซ้อมเวทมนตร์ได้อีกด้วย… ทั้งสองคนช่วยตามไปพร้อมกับผมได้รึเปล่า?”

               “ให้ตายเถอะวันเสาร์ทั้งทีแทนที่จะนอนพักอยู่กับบ้าน นี่นายจะขยันไปถึงไหนกันเนี่ย?” วัตสันหลุดขำออกมาเล็กน้อยก่อนตอบรับคำเชื้อเชิญ “ก็ดีเหมือนกัน หัดออกไปเดินเล่นคอยสูดอากาศข้างนอกเสียบ้าง นั่งอยู่แต่ในบ้านตลอดปีแบบนี้ท่าทางนายคงอึดอัดน่าดู”

               “โธ่เอ๊ย สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องฝึกซ้อมเวทมนตร์อีกจนได้ แต่ถ้าให้พวกเราคอยตามไปดูแลด้วยก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไร… ถ้างั้นเป็นอันตกลงค่ะ แต่อย่าฝืนทำอะไรเกินตัวเด็ดขาดเชียวนะคะ” โมนิก้ากล่าวพึมพำพลางหยิกดึงแก้มของเลวอนเบา ๆ ด้วยความใคร่เอ็นดู

               “ถึงตอนนั้นเดี๋ยวผมจะแสดงอะไรดี ๆ ให้ชมเป็นขวัญตา รับรองว่าทั้งคู่ต้องตกใจจนอ้าปากค้างแน่”

               เลวอนเอ่ยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมด้วยสีหน้าที่มั่นใจเต็มเปี่ยม จนโมนิก้าและวัตสันหันมาจ้องมองตากันด้วยความฉงนต่อท่าทีของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันชายหนุ่มผมสีขาวโพลนก็ได้เกริ่นขึ้นมาอีกครั้ง

               “เดี๋ยวผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ทั้งสองคนช่วยนั่งรอผมอยู่ที่ชั้นล่างกันก่อนนะ… มันน่าอายน่ะ”

               “ไม่เป็นไรหรอกค่ะฉันไม่ถือสา หรือจะให้ฉันช่วยคุณเลวอนเปลี่ยนชุดตอนนี้เลยก็ได้นะคะ”

               โมนิก้ายิ้มแป้นพลางนำสองมือบางวางลงบนบ่าของชายหนุ่ม วัตสันรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปดึงคอเสื้อของหญิงสาวเพื่อให้เธอถอยออกห่างจากเพื่อนสนิทตนทันที

               “แต่ผู้ชายอย่างพวกฉันถือสา เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าทำตัวแก่แดดแบบนี้สิฟะ รีบลงไปชั้นล่างได้แล้ว ปล่อยให้เลวอนเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จก่อนเถอะ!”

               “ด-เดี๋ยว อย่าดึงคอเสื้อสิคะ ฉันก็แค่พูดจาหยอกเล่นเท่านั้นเองนะ!”

               โมนิก้าพยายามสะบัดตัวเพื่อให้หลุดพ้นจากมือหนาแต่ก็ไม่เป็นผล เลวอนฉีกยิ้มหลุดขำพร้อมทั้งส่งมอบหมวกแม่มดซึ่งวางอยู่ปลายเตียงแก่วัตสัน ถัดมาพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาจึงฉุดดึงแขนลากหญิงสาวเดินออกจากห้องนอนแห่งนี้ไป เพื่อปล่อยให้สหายคนสนิททำธุระส่วนตัวได้อย่างสะดวก

Options

not work with dark mode
Reset