แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 5: เวทมนตร์สายฟ้าของเลวอน

               “…จริงสิ ผมขอถือโอกาสนี้โชว์อะไรเด็ด ๆ ให้ดูเป็นขวัญตาอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”

               เลวอนเกริ่นขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศความน่าอึดอัดใจ ก่อนจะก้าวเท้ามุ่งตรงไปข้างหน้าโดยอยู่ห่างจากเพื่อน ๆ ในระยะทางราว 20 เมตร วัตสันเห็นดังนั้นจึงตะโกนซักถามเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนอย่างสงสัย

               “นี่นายคิดจะทำอะไรน่ะ?”

               “ผมอยากจะร่ายเวทมนตร์โบราณขั้นสูงดูสักครั้ง ถ้าเป็นที่บ้านล่ะก็คงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้แน่”

               “เฮ้ยเอาจริงดิ ฉันว่านายอย่าฝืนตัวเองจะดีกว่านะ”

               “ถ้าไม่ชำนาญในการดูดซับพลังตามธรรมชาติมากพอ ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวคุณเลวอนก็สูญเสียพลังเวทกันพอดี…!”

               โมนิก้าเตือนด้วยความเป็นห่วง วัตสันทำท่าจะก้าวเท้าเข้าไปหยุดเลวอน แต่พ่อมดหนุ่มเลอโฉมกลับยกมือห้ามปรามเอาไว้พลางแย้มสรวลอย่างละมุน แล้วเกริ่นขึ้นอีกครั้งเพื่อให้ผองเพื่อนทั้งสองคลายวิตกกังวล

               “อย่าเข้าใกล้ผมมากนักสิเดี๋ยวก็เป็นอันตรายหรอก อีกอย่างนาน ๆ ทีลองใช้เวทมนตร์โบราณขั้นสูงดูสักครั้งคงไม่น่ามีปัญหาอะไร… ที่สำคัญตอนนี้ผมอยู่ภายใต้การดูแลของวัตสันและโมนิก้าแล้วด้วย แบบนี้เสี่ยงอันตรายน้อยกว่าใช่ไหมล่ะ?”

               “เฮ้อ เจ้าบ้านี่ ห่วงตัวเองก่อนเถอะน่า…” วัตสันถอนหายใจเอือมระอา ก่อนจะกล่าวอนุญาตให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ “เอาเถอะ อย่าดึงพลังออกมาใช้มากเกินไปก็พอ ไม่งั้นเกิดเป็นลมล้มพับขึ้นมาฉันไม่รับรู้ด้วยนะเออ”

               “โธ่ คุณเลวอนเนี่ยดื้อรั้นจังเลย… ก็ได้ค่ะ อย่างน้อยคงน่าจะดีกว่าแอบไปฝึกคนเดียวจนได้รับอันตราย แต่ต้องดึงพลังเวทออกมาใช้ตามความเหมาะสมนะคะ อย่าลืมตั้งสมาธิเพื่อดูดซับพลังเวทตามธรรมชาติด้วยจะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป”

               โมนิก้ากล่าวเตือนอย่างเข้มงวดทั้งที่สีหน้าของตนแสดงออกถึงความห่วงใย เลวอนผงกศีรษะพลางเผยรอยยิ้มจาง ๆ หันหน้าไปยังป่าทึบด้วยท่ายืนมั่นคง หยิบตำราเวทมนตร์ภาษาอาร์มีเนียโบราณขึ้นมาเปิดค้นหารายชื่อคาถาที่ต้องการจะร่าย แล้วเอื้อมมือขวาดึงดาบอัศวินข้างเอวขึ้นมาตั้งท่าชูตรงเบื้องหน้าเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์สื่อนำในการเนรมิตสิ่งมหัศจรรย์

               สายตาคู่นั้นจับจ้องมองตัวอักษรคอยท่องจำให้ขึ้นใจ จากนั้นพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนจึงเปล่งวาจาร่ายคาถาดังนี้

               “Աստվածների և մարդկանց Հայրը (Astvatsneri yev mardkants Hayry) ข้าแด่มหาเทพแห่งโอลิมปัสผู้ยิ่งใหญ่ โปรดดลบันดาลประทานสิทธิ์อำนาจแห่งสายฟ้า เพื่อลงทัณฑ์เหล่าอริศัตรูเบื้องหน้าให้ศิโรราบในคราเดียวด้วยเทอญ”

               ซูมมมมม เปรี๊ยะเปรี๊ยะ…!

               ออร่าสีฟ้าพร้อมด้วยอสนีบาตพลันสว่างขึ้นรอบ ๆ ตัวเลวอน ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่งกายหรือปลายเส้นผมอันนุ่มสลวยของเหล่าวัยรุ่นทั้งสามคน พื้นหญ้าบนที่ราบกว้าง หรือแม้กระทั่งเหล่าต้นไม้ในป่าทึบต่างก็โบกสะบัดพลิ้วไหวไปตามกระแสลม มิหนำซ้ำท้องฟ้ายังถูกปกคลุมไปด้วยเหล่าเมฆครึ้มสีเทาเข้มจนมืดสลัว

               โมนิก้าและวัตสันยกแขนขึ้นมาบดบังใบหน้าเพื่อไม่ให้เศษฝุ่นเข้าตา แม่มดสาวร่างอรชรพยายามจับรั้งหมวกใบใหญ่เอาไว้ไม่ให้พัดปลิวไปตามแรงลม ระหว่างนั้นเองเลวอนได้จับจ้องมองไปยังเขตป่าทึบที่อยู่ห่างจากเบื้องหน้าประมาณร้อยเมตรเพื่อใช้เป็นเป้าหมาย ส่วนมือขวากำด้ามดาบอัศวินให้กระชับ เมื่อออร่าเวทมนตร์ถูกสะสมจนถึงขีดจำกัดแล้ว ก็ถึงแก่เวลาอันสมควรที่เขาจะเปล่งวาจาร่ายคำสั่งโจมตีออกไป

               “Կայծակի նիզակ! [Kaytsaki nizak (วัชระโตมร) ] ”

               ——วูบบบบบบ!!

 

               ********************

 

               ย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณ 3 นาทีที่แล้ว ห่างจากจุดเกิดเหตุราว 50 เมตรบนทางเดินเท้าของหมู่บ้าน

               บรรยากาศตอนนี้ยังคงเป็นไปด้วยความสงบ โดยที่ชาวบ้านต่างดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างปกติสุข ชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่ซึ่งว่างจากงานปราบภูตผีปีศาจต่างพากันทำไร่ดูแลสวนผักผลไม้ บ้างก็คอยค้นหาสมุนไพรภายในป่าทึบ หรือแม้กระทั่งก่อสร้างปรับปรุงอาคารตามสถานที่ต่าง ๆ ตามประสาผู้ถนัดใช้แรงงาน

               ส่วนเหล่าอิสตรีได้นำสินค้าชนิดต่าง ๆ นำมาวางจำหน่ายให้แก่ลูกค้าตามริมถนน บ้างก็เดินทางมาเพื่อจับจ่ายใช้สอย คอยทำความสะอาดปัดกวาดพื้นที่สาธารณะ หรือจัดการเรื่องครัวเรือนตามประสาแม่บ้าน มองดูแล้วบ่งบอกได้โดยทันทีเลยว่าหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานแห่งนี้สงบสุขมากเพียงใด

               ในระหว่างนั้นเองมีสามแม่มดสาวกลุ่มหนึ่งกำลังก้าวเท้าบนทางเดิน ต่างหอบถุงกระดาษที่บรรจุผลไม้และพืชพรรณสมุนไพรต่างชนิดไว้ในอ้อมอก แต่ละคนหน้าตาน่ารักพราวเสน่ห์มีเอกลักษณ์ชวนดึงดูดแตกต่างกันไป จนทำให้เหล่าวัยรุ่นชายบริเวณแถบนี้หันมาจับจ้องมองพวกเธออย่างไม่ละสายตา

               “มะรืนนี้ใกล้เปิดเทอมแล้วสินะ ได้ข่าวว่ามีนักเรียนใหม่สองคนย้ายเข้ามาด้วยใช่ไหม?”

               “ออเดรย์ เพอร์เน็ต” จิ้งจอกสาวจอมดาบเวทชาวฝรั่งเศสวัย 16 ปีรูปร่างเพรียวบาง เจ้าของเรือนผมสีขาวยาวสลวยมัดรวบด้วยริบบิ้นในชุดแม่มดนักศึกษาสวมใส่สบายสีกรมท่า นัยน์ตาสีเหลืองอำพันฉายแววดูเปล่งประกายสดใส รอบเอวสะพายเข็มขัดโดยมีดาบขนาดใหญ่สองเล่มไขว้เป็นรูปกากบาททางด้านหลัง ได้เริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงร่าเริงแฝงความตื่นเต้น

               “ไม่ใช่สองแต่เป็นหนึ่งคนต่างหากค่ะ เธอคนนั้นเป็นแม่มดชาวญี่ปุ่นในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน คิดว่าน่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ตอนเช้าวันพรุ่งนี้”

               “คลาร่า โรเซนครานซ์” เด็กสาวเจ้าของเรือนผมทรงทวินเทลสีส้มชาวเยอรมันวัย 15 ปีรูปร่างอรชร ในชุดสุภาพสไตล์โกธิคโลลิต้า นัยน์ตาของเธอมีความโดดเด่นในเรื่องเฉดสีที่แตกต่างกัน ข้างซ้ายเป็นสีเหลืองอำพัน อีกข้างเป็นดวงตาเทียมสีฟ้า ส่วนฟันซี่บนเผยให้เห็นถึงคมเขี้ยวเล็กน้อยแลดูมีเสน่ห์ ได้ชี้แจงตอบกลับด้วยกิริยาน้ำเสียงสำรวม

               “อ้าว แล้วอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้ชายนั่นล่ะ?” จิ้งจอกสาวกล่าวสงสัย

               “เขาคนนั้นไม่ใช่นักเรียนใหม่หรอกนะคะ ก็แค่ป่วยด้วยโรคประจำตัวจนเดินทางมาโรงเรียนไม่ได้เท่านั้นเอง เมื่อไม่กี่วันก่อนดิฉันได้ทราบข่าวมาจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟว่า จะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาร่วมเรียนกับพวกเราในคาบชมรมปราบมารด้วย… เห็นว่าเป็นลูกชายของคุณเลออนนี่แหละค่ะ แต่ดิฉันกลับนึกชื่อเขาไม่ออก

               “หรือว่าเขาคนนั้นคือเด็กหนุ่มที่เคยต้องคำสาปจากปีศาจจนกลายมาเป็นเจ้าชายนิทรา!? ฉันก็นึกว่านั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือเสียอีก…!” คราวนี้ออเดรย์ถึงกับตั้งชูปลายหูจิ้งจอกทั้งสองข้างด้วยท่าทีประหลาดใจ

               ขณะเดียวกันเด็กสาวรูปร่างหน้าตาดีเจ้าของเรือนผมรวบหางม้าสั้นสีส้มชาวเช็กวัย 16 ปี ในชุดนักเรียนแม่มดขาวดำแบบเรียบง่ายพร้อมสวมผ้าคลุมจอมเวท “สเตฟาเนีย เลฮารอฟว่า” ได้เกริ่นน้ำเสียงราบเรียบ พลางใช้นัยน์ตาสีส้มอันโดดเด่นทอดมองไปยังเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ราว 30 เมตรนอกพื้นที่ถนน

               “ใช่เด็กผู้ชายผมขาวที่ยืนรวมกลุ่มกับพวกรุ่นพี่วัตสันตรงนั้นรึเปล่าคะ? ฉันรู้สึกไม่ค่อยคุ้นหน้าเขาเลย”

               “อ๊ะ! ใช่แล้วค่ะ ดิฉันเคยเห็นชายคนนี้เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นท่านพ่อเคยพาดิฉันไปเยี่ยมคุณเลออนที่บ้านแล้วก็ได้พบปะกับเขาโดยบังเอิญ… ดูท่าทางกลับมาแข็งแรงตามปกติแล้วสินะคะ”

               คลาร่าตอบกลับพลางชะลอฝีเท้าเพื่อที่เธอจะได้ทอดสายตามองพ่อมดหนุ่มในชุดอัศวินลำลองอย่างถนัด สองสหายสาวคนสนิทจำต้องหยุดก้าวเท้าตาม ก่อนที่สเตฟาเนียจะกล่าวโต้แย้งเห็นต่าง

               “แต่ฉันกลับไม่คิดแบบนั้นนะคะ ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้ชายที่บอบบางพอสมควร ไม่ต่างจากรุ่นพี่วัตสันสักเท่าไหร่เลย”

               “สเตฟก้าชอบพูดจาโผงผางเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยแฮะ เขาเรียกว่าผู้ชายเจ้าสำอางต่างหาก ลองดูเส้นผมสีขาวของเขาให้ดีสิ ท่าทางนุ่มสลวยแถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย…!” จิ้งจอกสาวเกริ่นแซวพลางเรียกชื่อเล่นอีกฝ่าย เธอส่ายหางนุ่มฟูไปมาพร้อมด้วยแววตาที่สื่อให้เห็นถึงอารมณ์ตื่นเต้นชัดเจน

               “ออเดรย์เองก็จมูกไวเหมือนเดิมเชียว หรือว่าจะแอบชอบผู้ชายสเปคแบบนี้กันคะ?”

               สเตฟาเนียสวนคำพูดกลับคืนไป ออเดรย์ถึงกับแก้มแดงระเรื่อรีบหันหน้ามาปฏิเสธทันควัน

               “ม-ม-ม-ไม่ใช่สักหน่อย!”

               “คิก… ทั้งสองคนล่ะก็” แม่มดสาวนัยน์ตาสองสีส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้วกล่าวทักท้วงต่อเหล่าผองเพื่อนอีกครั้ง “อ๊ะ! ดูเหมือนทางนั้นจะเริ่มร่ายคาถาแล้ว คงกำลังฝึกซ้อมการใช้เวทมนตร์อยู่งั้นสินะคะ ทั้งที่อาการป่วยเพิ่งทุเลาลงได้ไม่นานแท้ ๆ”

               “ไหน ๆ ก็ได้เห็นโฉมหน้าแล้ว ถ้างั้นพวกเรามารับชมฝีมือการใช้เวทมนตร์ของเขากันสักหน่อยดีกว่า… เนอะ?”

               ออเดรย์กล่าวเชิญชวน ดูเหมือนว่าเธอจะหลงใหลในตัวเลวอนเสียเหลือเกิน แม้แต่แม่มดสาวผู้ซึ่งมีนิสัยไม่ค่อยแยแสต่อโลกอย่างสเตฟาเนียเอง ก็ยังต้องจับจ้องมองเด็กหนุ่มปริศนารายนั้นที่กำลังลงมือเนรมิตคาถาด้วยความสนใจ

               “หืม…”

               เธอลากน้ำเสียงแผ่วเบา ยกปลายนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากพลางใช้ฟันขบกัดปลายเล็บอย่างนุ่มนวล ราวกับว่าตนเองนั้นได้พบเจอขนมหวานชิ้นใหญ่แลดูน่ารับประทานเข้าให้เสียแล้ว

               สามแม่มดสาวเฝ้ามองสถานการณ์จากระยะไกลอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มปกคลุมด้วยเมฆสีเทา ก่อกำเนิดลมกรรโชกรุนแรงคอยโบกสะบัดพัดชุดแต่งกายและปลายเส้นผมของพวกเธออย่างพลิ้วไหว วินาทีนั้นเองร่างกายของเลวอนก็ได้ปรากฏแสงสีฟ้าแสบตาพร้อมด้วยกระแสไฟฟ้ารอบตัว

               ก่อนที่พ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทจะเปล่งเสียงร่ายคาถาเพื่อสำแดงฤทธิ์

               “Կայծակի նիզակ! [Kaytsaki nizak (วัชระโตมร) ] ”

               ——เปรี้ยงงงง!! ซู่มมมมมม!!

               อสนีบาตขนาดมหึมาจากฟากฟ้าได้พุ่งตรงสู่พื้นที่ป่าทึบนอกเขตหมู่บ้านด้วยความเร็วสูงสุด เกิดแสงสว่างเจิดจ้าทันทีหลังจากกระทบลงใส่พื้นพสุธาพร้อมเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ท่ามกลางกลุ่มควันลูกใหญ่ลอยฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ แรงระเบิดครั้งนี้ส่งผลทำให้เกิดคลื่นอากาศซัดใส่อย่างรุนแรง สิ่งของต่าง ๆ โดยรอบซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าถูกพัดปลิวไปตามกระแสลม ส่วนป่าไม้หลายร้อยต้นต่างพากันส่ายโงนเงนไปมาเพราะต้านทานพายุสลาตันไม่ไหว

               “เหวอออ!? /ว้ายยย!?”

               ร่างของวัตสันและโมนิก้าถูกคลื่นอากาศพัดปลิวลอยไปไกลราว 50 เมตร โชคดีที่ทั้งสองคนร่ายเวทมนตร์ป้องกันภัยทันท่วงทีจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ ออเดรย์ คลาร่า และสเตฟาเนียซึ่งคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน กระแสลมอันรุนแรงได้พัดปะทะเข้าใส่จนพวกเธอถึงกับเซถลาทรุดตัวลงบนพื้นด้วยความหวาดกลัว

               ส่วนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณร้อยเมตรต่างสะดุ้งตกใจกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ถึงแม้จะไม่มีใครได้รับผลกระทบร้ายแรงก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้เหล่าบรรดาเด็กเล็กและหญิงสาวต้องอกสั่นขวัญแขวนมากพอสมควร

               ครืนนนน…

               เสียงอึกทึกครึกโครมเริ่มซาลงในขณะที่ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสดั่งเดิม กลุ่มควันซึ่งปกคลุม ณ จุดเกิดเหตุค่อย ๆ เจือจางลงจนเผยให้เห็นถึงหลุมขนาดใหญ่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100 เมตร เสมือนดั่งถูกลูกอุกกาบาตขนาดเล็กพุ่งเข้าชน เหล่าต้นไม้ภายในป่าลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงคอยส่งกลิ่นเหม็นไหม้ บริเวณรอบจุดที่อสนีบาตซัดปะทะลงมาต่างก็ราพณาสูร สร้างความหวั่นสะพรึงให้แก่ผู้พบเห็นเป็นยิ่งนัก

               คลาร่า ออเดรย์ และสเตฟาเนียค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน รู้สึกตัวอีกทีข้าวของในถุงกระดาษของพวกเธอนั้นล้วนกระจัดกระจายตามท้องถนนไปเสียแล้ว แต่มันก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในเขตป่าทึบ ณ เวลานี้ จิ้งจอกสาวเห็นดังนั้นจึงส่งเสียงอุทานออกมาอย่างตะลึงพรึงเพริด

               “ก-โกหกน่า นี่ใช่เวทมนตร์โบราณขั้นสูงจริง ๆ เหรอเนี่ย…!?”

               “อานุภาพรุนแรงขนาดนี้ โดนเข้าจัง ๆ มีหวังคงถึงแก่ชีวิตแน่นอนค่ะ” คลาร่าพึมพำพลางแสดงสีหน้าหวั่นสะพรึงกลัว

               “…!”

               สเตฟาเนียจับจ้องมองดูเหตุการณ์สุดมหัศจรรย์อย่างอ้ำอึ้ง โดยไม่อาจปริปากหรือสรรหาถ้อยคำใด ๆ มานิยามต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงเบื้องหน้าได้ เนื่องจากเหล่าเพื่อนสนิทได้กล่าวแทนความคิดภายในใจของเธอจนหมดสิ้นแล้ว

               ย้อนกลับมา ณ จุดเกิดเหตุ วัตสันที่กำลังนอนแผ่หลาบนพื้นหญ้าเริ่มได้สติกลับคืนมา ตนยังรู้สึกเวียนหัวไม่ค่อยได้ยินอะไรชัดเจน ไม่รอช้าเขาจึงรีบพยุงตัวลุกขึ้นมองหันซ้ายแลขวา พบว่าแม่มดสาวร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนกำลังนอนแน่นิ่งหมดสติโดยอยู่ห่างจากตรงนี้ไปราวหกเมตร

               “โมนิก้า!!”

               พ่อมดหนุ่มนักปรุงยารีบลุกขึ้นวิ่งเข้าหาเด็กหญิงผู้น่าสงสารด้วยสีหน้าท่าทีตื่นตระหนก เขาทรุดเข่าลงเข้าใกล้แล้วอุ้มประคองร่างบางขึ้นมา เคราะห์ดีที่โมนิก้าไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เธอส่งเสียงโอดครวญเล็กน้อยพร้อมทั้งลืมตามองวัตสันที่อยู่ตรงเบื้องหน้าด้วยความอ่อนแรง

               “ว… วัตสัน?”

               “แข็งใจเข้าไว้ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า!?”

               วัตสันเขย่าร่างของโมนิก้าไปมาเพื่อให้อีกฝ่ายคงสติเอาไว้ ทว่าสาวกลับส่ายหน้าห้ามปรามพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มจึงนำมือทั้งสองคอยประคองร่างอรชรให้มั่นจนกว่าเธอจะสามารถทรงตัวได้เองตามปกติ

               “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่เวียนหัวนิดหน่อย… ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?”

               โมนิก้าตั้งคำถามสงสัย ดูเหมือนเธอจะยังคงมึนงงต่อเหตุการณ์เมื่อสักครู่ วัตสันถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปราศจากบาดแผลฉกรรจ์ใด ๆ ไม่ทันไรพ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าก็ได้เผยสีหน้าหวาดผวาอีกครั้ง หลังจากที่ตนหันไปมองดูบริเวณโดยรอบแล้วไม่พบเจอร่างของเพื่อนสนิทคนสำคัญ

               “เฮ้ เลวอนนายอยู่ที่ไหน ได้ยินแล้วตอบด้วย!”

               “จ-จริงสิ เมื่อกี้นี้คุณเลวอนร่ายเวทมนตร์โบราณขั้นสูงนี่นา ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง…!”

               “ยัยบ้าอย่าพูดแบบนั้นสิ หมอนั่นน่ะเป็นลูกผู้ชายไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า!”

               แม้ว่าวัตสันพูดปลอบขวัญไปเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจทำให้โมนิก้าคลายความกังวลใจลงได้เลย ถึงกระนั้นแล้วสองพ่อมดแม่มดยังคงไม่ละความพยายาม รีบช่วยกันค้นหาตัวเลวอนตามพื้นที่โดยรอบพลางเรียกขานชื่อเพื่อนรักอย่างสุดสุรเสียง ทั้งที่กลุ่มควันสีเทายังคงปกคลุมคอยบดบังทัศนวิสัย

               โมนิก้าตามหาเป้าหมายเจอในท้ายที่สุด พบเห็นเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนกำลังนอนหายใจหอบ พลางยกมือขวาขึ้นกุมหน้าอกอย่างทรมานและขยุ้มเต็มแรงจนเกิดรอยยับบนเสื้อเชิ้ตคอปก โดยอยู่ห่างจากเธอราว 12 เมตร พร้อมทั้งดาบอัศวินและหนังสือเวทมนตร์วางตกอยู่เคียงข้างเขา เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าถึงกับส่งเสียงกรีดร้องอุทาน รีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหาเลวอนด้วยสีหน้าท่าทีหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทันที

               “คุณเลวอน!!”

               “เจอตัวแล้วเหรอ!?”

               วัตสันหันไปมองดูก่อนจะรีบวิ่งตามแผ่นหลังเธอ เมื่อถึงที่หมายแล้วจึงยื่นมือเข้าไปประคองร่างเลวอนขึ้นมาพร้อมทั้งเขย่าตัวอีกฝ่ายให้ฟื้นคืนสติ โมนิก้าน้ำตาคลอด้วยความกังวลใจ พลางนำสองมือบางสัมผัสหลังมือของพ่อมดหนุ่มผู้โชคร้ายที่กำลังสั่นเทานอนกุมหน้าอกอย่างทุรนทุราย

               “ทำใจดี ๆ เอาไว้ ห้ามหลับเด็ดขาดเชียวนะเฟ้ย!!”

               “ค… คุณเลวอน ขอร้องล่ะอย่าตายนะคะ!!”

               วัตสันและโมนิก้าต่างส่งเสียงเรียก ทั้งคู่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เลวอนคงสติ แต่ก็ไม่อาจบรรเทาความทรมานที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างได้ ภายในอกของบุรุษจอมดาบเวทวัยเยาว์กำลังบีบคั้นทิ่มแทงราวกับมีเหล็กแหลมปักลงกลางหัวใจ ถึงแม้จะเคยเผชิญกับอาการเจ็บปวดมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าหนนี้กลับรุนแรงสาหัสสากรรจ์จนยากที่จะสาธยายออกมาอย่างชัดเจน

               เลวอนเลิกคิ้วขมวดแล้วค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง ร่างกายของเขาปราศจากความเจ็บปวดไร้การตอบสนองต่อสิ่งอื่นใด ภาพสุดท้ายที่มองเห็นมีเพียงแค่ใบหน้าของสองเพื่อนรักคนสนิทท่ามกลางหมอกควันเท่านั้น ก่อนจะสูญเสียสติสัมปชัญญะจนเริ่มเข้าสู่ห้วงนิทราแห่งความมืด

               เด็กหนุ่มได้กลับคืนสู่ความว่างเปล่าอีกครั้งหลังจากห่างหายมาเป็นเวลานานกว่าห้าปี

Options

not work with dark mode
Reset