แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 6: ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟ

               โมนิก้าและวัตสันรีบพาตัวเลวอนไปยังศูนย์พยาบาล ณ ใจกลางเมืองเพื่อทำการรักษา ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทสีขาวไม่ไกลมากนัก คลาร่า ออเดรย์ และสเตฟาเนียเองก็ได้ร่วมเดินทางมาให้ปากคำด้วย เนื่องจากพวกเธออยู่ใกล้จุดเกิดเหตุและเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด

               ในเขตใจกลางเมืองเป็นแหล่งชุมชนที่มีผู้คนอาศัยอยู่และพลุกพล่านมากพอสมควร แต่ก็มิได้คับแคบแออัด มิหนำซ้ำยังกว้างขวางพอที่จะนำเอารถม้าจำนวนสี่คัน มาวิ่งแล่นบนถนนในรูปแบบแถวหน้ากระดานพร้อมกันได้อย่างสบาย ๆ

               ร่างของเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนนอนหลับใหลไร้ซึ่งสติอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพยาบาล “เวสน่า ซีมูนอฟว่า” ซิสเตอร์สาวรูปร่างสูงเพรียวชาวสโลวักวัย 17 ปี เจ้าของเรือนผมสีม่วงอ่อนถักโพนีเทลยาวลงมาในชุดนักพรตสีกรมท่าแลดูวาบหวิว ได้ลงมือร่ายเวทมนตร์รักษาให้แก่เขาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด โดยเหล่าผองเพื่อนต่างพากันนั่งเก้าอี้อยู่ข้างเตียงคนไข้เพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใจจดใจจ่อ

               แม่ชีนงเยาว์ยกมือขวาสัมผัสกับสร้อยคอไม้กางเขนซึ่งสวมอยู่ นำมืออีกข้างวางลงกลางอกของเลวอนแล้วหลับตาลง กล่าวบทสวดพึมพำเพื่อร่ายคาถารักษา จนร่างของทั้งคู่ปกคลุมไปด้วยออร่าสีทองเพียงชั่วเวลาประเดี๋ยวหนึ่ง ก่อนจะเริ่มจางลงและกลับคืนสู่สภาวะดังเดิม

               ในที่สุดความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารก็พลันสงบลง สีหน้าท่าทีของเขาหาได้แตกต่างจากผู้ที่กำลังนอนหลับพักผ่อนตามปกติแต่อย่างใด เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการเวสน่าจึงละฝ่ามือออกจากร่างของอีกฝ่าย ในระหว่างนั้นเองวัตสันได้รีบซักถามต่อเด็กสาวผู้ทรงศีลอย่างกระวนกระวายใจ

               “ซิสเตอร์ อาการของเลวอนเป็นยังไงบ้าง?”

               “พ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาเลย” เวสน่าตอบกลับแบบเศร้าสร้อย

               “คุณเลวอน…”

               โมนิก้าเผยน้ำเสียงสั่นเครือทั้งน้ำตาคลอพลางจับจ้องมองดูเลวอนอย่างเป็นห่วง เวสน่าเห็นเด็กสาวแสดงท่าทีทุกข์ใจดังนั้นจึงยกสองมือขึ้นมากุมประสานกลางอก ปิดเปลือกตาก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวถ้อยคำปลอบโยนต่ออีกฝ่าย

               “ฉันจะคอยตั้งจิตอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อขอให้คุณเลวอนกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมเองค่ะ… เพราะงั้นได้โปรดเข้มแข็งเข้าไว้นะคะคุณโมนิก้า ถ้าหากยังมีความเชื่อมั่นอยู่ล่ะก็พระองค์ย่อมไม่ทอดทิ้งพวกเราไปอย่างแน่นอน”

               “ขอบคุณมากนะคะซิสเตอร์”

               แม่มดสาวผมสีน้ำตาลอ่อนรีบยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาคลอพร้อมปั้นสีหน้าฮึดสู้ ขณะเดียวกันสเตฟาเนียก็ได้เกริ่นหัวข้อสนทนาบางอย่างด้วยความคลางแคลงใจ

               “ปกติแล้วการใช้เวทมนตร์โบราณขั้นสูงด้วยพลังอันมหาศาล ผู้ร่ายคาถาส่วนใหญ่ที่เผาผลาญพลังเวทมากจนเกินไปมักจะสลบไสลไม่ได้สติ อย่างน้อยที่สุดก็แค่ร่างกายอ่อนเพลียเท่านั้น… แต่ผู้ชายคนนี้กลับรู้สึกเจ็บหน้าอกรุนแรง แถมตอนนั้นดูท่าทางทรมานมากด้วย… โมนิก้าพอจะทราบรึเปล่าคะว่าผลจากคำสาปที่คุณเลวอนได้รับมานั้นทำให้เขาป่วยเป็นโรคอะไร?”

               โมนิก้าและวัตสันผู้ซึ่งกุมความลับเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าวถึงกับสะดุ้งตกใจ ทั้งคู่พยายามเก็บซ่อนท่าทีมีพิรุธอย่างเลิกลั่กก่อนที่พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าจะให้คำตอบบ่ายเบี่ยง

               “ล… เลวอนเขาเป็นโรคหัวใจน่ะ”

               “อ๊ะ ดิฉันเองก็เคยได้ยินมาจากคุณเลออนเหมือนกันค่ะ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ป่วยเป็นโรคหัวใจเพราะคำสาปเมื่อห้าปีก่อน จนถึงตอนนี้แล้วยังรักษาอาการให้หายขาดไม่ได้เลย…”

               ประโยคเมื่อสักครู่นี้ของคลาร่าทำให้ถ้อยคำของวัตสันฟังดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ทว่าเด็กสาวเจ้าของเรือนผมกับนัยน์ตาสีส้มหาได้ปักใจเชื่อไม่ เธอกวาดสายตามองดูใบหน้าของเลวอนซึ่งกำลังหลับใหลอยู่อย่างสนใจ แล้วเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบโดยแฝงไว้ซึ่งความจริงจังออกมาชัดเจน

               “ขนาดนักบวชผู้ที่มีพลังชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บอย่างซิสเตอร์ยังรักษาให้หายขาดไม่ได้แบบนี้ ถ้างั้นคำสาปที่เด็กหนุ่มคนนี้ได้รับมาคงไม่ธรรมดาแน่ ๆ …บางทีภายในตัวเขาอาจมีอะไรบางอย่างที่เกินความคาดหมายแอบซุกซ่อนเอาไว้อยู่ก็เป็นได้”

               “อะไรบางอย่างที่เกินความคาดหมายงั้นเหรอ… แล้วมันคืออะไรกันล่ะ?”

               จิ้งจอกสาวสงสัย ทั้งที่สองมือเล็กบางกำลังลูบสางเส้นผมสีขาวโพลนของเลวอนอย่างหลงใหลพลางกระดิกใบหูส่ายหางไปมา จนคลาร่าต้องหันมาทักท้วงด้วยกิริยาท่าทีสุภาพ

               “ค… คุณออเดรย์ อย่ารบกวนคนไข้สิคะ”

               “โมนิก้า รุ่นพี่วัตสัน ทำไมไม่ลองไหว้วานให้ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟมาช่วยรักษาอาการป่วยเขาดูสักหน่อยล่ะคะ…? ไม่สิ ในเมื่อป่วยเรื้อรังมาตั้งห้าปีเพียงเพราะคำสาปหรือโรคภัยไข้เจ็บโดยทั่วไปล่ะก็ คงได้รับการเยียวยาจนหายดีไปตั้งนานแล้ว หรือว่าทั้งสองคนกำลังปิดบังอะไรพวกเราอยู่หรือเปล่าคะ?”

               สเตฟาเนียส่งสายตาแน่วแน่เพื่อเค้นหาความจริงจากเหล่าเพื่อนสนิท โมนิก้าจึงแสดงท่าทีพร้อมน้ำเสียงลนลานตอบกลับไป โดยมีเม็ดเหงื่อแห่งความหวั่นวิตกผุดขึ้นมาไหลอาบข้างใบหน้าตนอย่างเห็นได้ชัด

               “ส… สเตฟก้าพูดเรื่องอะไรน่ะ พวกเราไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังทุกคนสักหน่อย”

               “ทุกคนไม่แปลกใจกันบ้างเลยเหรอคะ ที่เด็กหนุ่มคนนี้สามารถร่ายเวทมนตร์โบราณขั้นสูงได้เพียงแค่ปลายนิ้ว แถมยังปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมาทั้งที่เจ็บป่วยอยู่… บางทีมันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคำสาปที่เขาเคยได้รับมาแต่ก่อน และดูเหมือนว่ารุ่นพี่วัตสันกับโมนิก้าเองก็น่าจะทราบความจริงเกี่ยวกับเรื่องอยู่นี้แล้ว แต่ต้องปิดเป็นความลับเอาไว้เนื่องด้วยเหตุผลสำคัญบางอย่าง… ใช่ไหมล่ะคะ?”

               ด้วยนิสัยช่างสังเกตและการพูดจาอย่างเปิดเผยของสเตฟาเนีย ส่งผลให้วัตสันและโมนิก้ายอมจำนนต่อข้อสันนิษฐานดังกล่าว ในขณะที่ออเดรย์ คลาร่า และเวสน่าต่างหันมาจับจ้องมองสองพ่อมดแม่มดผู้กุมปริศนาของเลวอนอย่างประหลาดใจ เด็กสาวร่างเพรียวบางเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนจึงจำใจอธิบายเหตุผลออกไปพร้อมด้วยสีหน้าอากัปกิริยาเศร้าสลด

               “ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ พวกเราได้ให้สัญญากับคุณอาเลออนเอาไว้แล้วว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้อย่างเด็ดขาด เพราะงั้นขอปฏิเสธที่จะให้คำตอบค่ะ”

               “อย่างที่โมนิก้าพูดมานั่นแหละ เลวอนเป็นเพื่อนสนิทของพวกเรา ให้ตายฉันก็จะไม่มีวันผิดคำสัญญา ต่อให้พวกเธอพยายามล้วงความลับไปจากพวกเราก็ตาม… ขอโทษด้วยแต่ทางนี้คงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ”

               วัตสันยืนยันความตั้งใจด้วยน้ำเสียงและสายตาอันแน่วแน่ ทว่าสเตฟาเนียกลับเผยรอยยิ้มมุมปากพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วจึงกล่าวถ้อยคำอ่อนละมุนออกมาผ่านทางสีหน้าอันราบเรียบ

               “ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องขอโทษพวกเราหรอกค่ะ ถึงแม้ทางนี้จะอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ตาม ขืนทำตัวสอดรู้สอดเห็นมากเกินไปมีแต่จะทำลายความเป็นมิตรภาพเสียเปล่า ๆ …แต่ได้โปรดจำเอาไว้ด้วยว่าเมื่อใดที่พวกคุณมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร พวกเราในฐานะเพื่อนบ้านยินดีรับฟังปัญหาและพร้อมให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ

               มิหนำซ้ำการที่ทั้งสองคนพยายามปกปิดความลับและให้ความสำคัญต่อคุณเลวอนมากถึงเพียงนี้ แสดงว่าเขาจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจดีในระดับหนึ่งพอสมควร… ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะ ในเมื่อคุณเลวอนเป็นเพื่อนของพวกคุณ เท่ากับว่าเขาเองก็คือส่วนหนึ่งของพวกเราด้วยเช่นเดียวกัน”

               เหล่าพ่อมดแม่มดวัยเยาว์ต่างพากันแปลกใจต่อท่าทีอันอ่อนโยนของเด็กสาวนัยน์ตาสีส้มพราวเสน่ห์ เพราะเดิมทีเธอมีนิสัยค่อนข้างเข้าถึงยากอยู่แล้ว ก่อนที่ออเดรย์ คลาร่า และเวสน่าจะผงกศีรษะเห็นพ้องต่อประโยคดังกล่าว โมนิก้าจึงฉีกยิ้มพร้อมทั้งกล่าวถ้อยคำซาบซึ้งใจอย่างปลื้มปีติ

               “สเตฟก้า ทุกคน… ขอบคุณมากนะคะ!”

               “ให้ตายสิเธอเนี่ยไม่เปลี่ยนไปเลยแฮะ ชอบพูดจาโผงผางแต่แฝงไปด้วยความจริงใจแบบนี้ ฉันชักจะถูกใจเธอซะแล้วสิ” พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาผู้มาดทะเล้นเอ่ยปากชื่นชม

               “เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ แต่รุ่นพี่วัตสันไม่ใช่สเปคของฉันหรอกนะคะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”

               แม้นว่าสเตฟาเนียจะตอบกลับด้วยประโยคสุภาพ นั่นแต่ก็ทำให้วัตสันต้องอ้าปากค้างออกอาการช็อกอย่างผิดหวังไปชั่วขณะหนึ่ง ออเดรย์ยกมือกุมท้องส่งเสียงหัวเราะเยาะแบบไม่เกรงใจ คลาร่าและเวสน่ายิ้มปลอบใจต่อเด็กหนุ่มผู้ชอกช้ำ ส่วนโมนิก้าขำแห้ง ๆ ก่อนจะเกริ่นทักท้วงต่อเพื่อนสนิทของตน

               “โธ่… สเตฟก้าล่ะก็ พูดจาโผงผางแบบนี้ระวังจะหาแฟนหนุ่มไม่ได้นะ”

               “ฮะฮะฮะ ยังเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมช่างสังเกตเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะสเตฟาเนีย”

               เสียงของบุรุษปริศนารายหนึ่งดังก้องไปทั่วห้องพยาบาล ทำเอาเหล่าพ่อมดแม่มดวัยเยาว์ต่างพากันสะดุ้งตกใจรีบหันหน้ามองดูรอบ ๆ ทิศโดยพลัน ทว่านอกเหนือจากพวกเขาแล้วก็ไม่พบเห็นผู้ใดที่น่าสงสัยเลยแม้แต่สักคนเดียว จนกระทั่ง…

               วูบบบบบ

               วงแหวนเวทสีฟ้าขนาดกลางลวดลายสลับซับซ้อนปรากฏขึ้นตรงพื้นระเบียง โดยอยู่ห่างจากเตียงคนไข้ไม่ไกลมากนักก่อนจะเผยร่างสูงโปร่งให้เห็น เป็นชายฉกรรจ์ชาวเช็กหน้าตาคมคายวัย 30 ปีตอนต้น เจ้าของเรือนผมสีดำหยักศกกับดวงเนตรสีนิล ในชุดครุยจอมเวทสีกรมท่าตัดแถบลวดลายสีเลือดหมูและเหลืองอำพัน นามว่า “ยาโรสลาฟ คอนวาลินก้า” ผู้นำหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน และผู้อำนวยการประจำโรงเรียนสอนเวทมนตร์ชั้นมัธยมศึกษานั่นเอง

               ใบหน้าของเขาดูเหมือนบุรุษที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความสุภาพเยือกเย็น บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนอารมณ์ดีและเปี่ยมไปด้วยอัธยาศัยมากเพียงใด

               “ศาสตราจารย์!?”

               เหล่านักเรียนจอมเวทฝึกหัดทั้งหกชีวิตต่างลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมแสดงความเคารพต่อบุรุษผู้ทรงเกียรติ ยาโรสลาฟจึงกล่าวทักทายหลังจากที่วงแหวนเวทบนพื้นพลันจางหาย แล้วก้าวเท้ามุ่งไปยังหัวเตียงเพื่อดูอาการของเลวอนอย่างไม่รีรอช้า

               “อรุณสวัสดิ์ทุกคน ไม่ต้องพิธีรีตองขนาดนั้นก็ได้เชิญนั่งตามสบายเลย… ซิสเตอร์ อาการของเขายังไม่คงที่ใช่ไหม?”

               “ถึงจะบรรเทาอาการเจ็บปวดลงไปได้บ้างแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะฟื้นขึ้นมา… ต้องขออภัยด้วยนะคะที่ความสามารถในการรักษาของฉันยังอ่อนหัดเกินไป รู้สึกละอายใจเหลือเกิน”

               เวสน่ากล่าวน้ำเสียงผิดหวัง ทว่ายาโรสลาฟกลับแย้มสรวลละมุนตามด้วยถ้อยคำปลอบประโลมใจ

               “ถ้างั้นตัวฉันเองก็คงไร้ความสามารถเหมือนกัน ที่ไม่อาจช่วยเหลือเขาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ไปได้… เธอพยายามได้ดีมาก ขอบคุณในความเหนื่อยยากนะซิสเตอร์… ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ฉันได้รับทราบข่าวแล้วล่ะ”

               “ต้องขอโทษด้วยนะครับ พวกเราพยายามห้ามปรามไม่ให้หมอนี่ทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแล้ว แต่ก็ยังไม่วายก่อเรื่องจนทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นพากันเดือดร้อนไปทั่วซะได้!”

               วัตสันรีบก้มโค้งศีรษะลงด้วยความสำนึกผิด โมนิก้าเองก็ได้ปฏิบัติตามเขาด้วยเช่นเดียวกัน

               “พวกเราผิดไปแล้วค่ะศาสตราจารย์!”

               “ไม่เอาน่าเงยหน้าขึ้นมาเถอะ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ดีแล้วล่ะ อีกอย่างพวกเธอทั้งสามคนพากันฝึกซ้อมเวทมนตร์ใกล้นอกเขตชุมชนใช่ไหม เพราะงั้นไม่ต้องรู้สึกผิดถึงขนาดนั้นก็ได้… แต่หลังจากนี้คงต้องตักเตือนไม่ให้เลวอนทำเรื่องฝืนตัวเองโดยไม่จำเป็นแล้วล่ะนะ”

               ผู้นำหมู่บ้านกล่าวพลางนำมือลูบสางศีรษะของเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนซึ่งกำลังนิทราอยู่อย่างเอ็นดู เสมือนว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนลูกหลานหรือญาติผู้ใกล้ชิดของตน ระหว่างนั้นเองคลาร่าได้ตั้งข้อสงสัยขึ้นมา

               “คงไม่ได้มาเพื่อเยี่ยมอาการป่วยของคุณเลวอนเพียงอย่างเดียวงั้นสินะคะ ศาสตราจารย์?”

               “แน่นอนสิ ที่ฉันเดินทางมาที่นี่ ก็เพื่อเล่าความจริงเกี่ยวกับเลวอนให้พวกเธอฟังนั่นแหละ”

               “เอ๊ะ!?”

               บรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวต่างตาโตรีบหันขวับไปยังบุรุษผู้ทรงสง่าด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่โมนิก้าจะเกริ่นซักถามต่อยาโรสลาฟอย่างเป็นกังวล

               “จะดีเหรอคะศาสตราจารย์ ถ้าคุณอาเลออนรู้เข้าคงต้องโกรธพวกหนูแน่ ๆ”

               “ไม่เป็นไร เรื่องนี้ฉันขอเป็นคนรับผิดชอบเอง เพราะนับจากนี้ไปเลวอนจะต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกชมรมปราบมาร ดังนั้นทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่จะรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของเขา ในฐานะที่เขาคือเพื่อนพ้องของพวกเธอ”

               ประโยคดังกล่าวสร้างความแปลกใจต่อเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสอีกครั้ง ขณะเดียวกันคลาร่าได้ทักท้วงต่อยาโรสลาฟพลางเหลือบสายตามองเลวอนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่อย่างระมัดระวัง

               “คงไม่ดีแน่ถ้าหากพวกเราพูดคุยเรื่องนี้ต่อหน้าคุณเลวอน เพราะงั้นควรเปลี่ยนสถานที่สนทนากันดีกว่าค่ะ”

               “ไม่ต้องห่วง ฉันได้ตรวจเช็กร่างกายของเขาด้วยการสัมผัสแล้วล่ะ กว่าจะฟื้นขึ้นมาคงต้องใช้เวลาอีกสักประมาณครึ่งชั่วโมง เลยยังพอมีเวลาอธิบายให้ฟังได้อยู่… แต่พวกเธอต้องรับปากกับฉันก่อนนะว่าจะไม่นำเรื่องราวทั้งหมดไปแพร่งพรายต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง หรือแม้กระทั่งตัวเลวอนเองตกลงไหม…? ในบรรดานักเรียนที่เคยพร่ำสอนมา ฉันไว้ใจพวกเธอมากที่สุด”

               ผู้นำหมู่บ้านร้องขอ ออเดรย์ เวสน่า คลาร่า วัตสัน โมนิก้า และสเตฟาเนียจึงกล่าวรับปากอย่างเต็มใจ

               “ตกลงครับ/ตกลงค่ะ”

               “จริงสิ แล้วอิทสึกิล่ะ พวกเราควรเล่าเรื่องนี้ให้เจ้านั่นฟังด้วยดีไหม?” พ่อมดหนุ่มนักปรุงยายกมือเสนอความคิดเห็น

               “รุ่นพี่อิทสึกิมีนิสัยปากสว่างและกุมความลับไม่ค่อยเก่ง เพราะงั้นอย่าเพิ่งเล่าให้เขาฟังตอนนี้เลย”

               ออเดรย์โต้แย้ง ทุกคนต่างพากันผงกศีรษะเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ วัตสันถึงกับเผยน้ำเสียงสลดออกมาด้วยความเห็นใจต่อสหายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมการสนทนาลับในครั้งนี้ทันที

               “หวา… เจ้านั่นน่าสงสารเป็นบ้าเลยแฮะ”

               “พวกเธอตั้งใจฟังเอาไว้ให้ดี ฉันจะไม่พูดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของเลวอนและครอบครัวของเขาเอง เรื่องราวทั้งหมดมันมีอยู่ว่า…”

               ยาโรสลาฟได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดต่อเหล่าลูกศิษย์ โดยเริ่มต้นตั้งแต่การอพยพย้ายถิ่นฐานของครอบครัวทาวิเทียนมายังหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน การเผชิญหน้ากับราชาผีดูดเลือดจอมเสียบแห่งโรมาเนียในระหว่างเดินทาง จนเลวอนต้องประสบอุบัติเหตุด้วยเขี้ยวของวลาดที่ฝังลึกภายในหัวใจจนกลายมาเป็นเจ้าชายนิทราถึงหนึ่งปีเต็ม รวมทั้งอายุขัยที่สั้นลงของเด็กหนุ่ม

               เวสน่า คลาร่า สเตฟาเนีย และออเดรย์ต่างเผยสีหน้าสลดใจปนเวทนาหลังจากได้ยินเรื่องราวดังกล่าว แม้แต่วัตสันกับโมนิก้าซึ่งรับทราบเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนหน้านี้จากปากของเลออนเองก็พลอยรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย เมื่อสิ้นสุดถ้อยคำอธิบาย บุรุษจอมเวทผู้สูงส่งจึงเอื้อมมือลูบสางศีรษะของเลวอนอีกครั้ง แล้วกล่าวน้ำเสียงราบเรียบที่แฝงถึงความห่วงใยออกมา

               “ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารเหลือเกิน ขอโทษด้วยนะที่ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย”

Options

not work with dark mode
Reset