แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 7: ของเหลวพิศวง

               “ว่าแต่จะดีเหรอคะ ในเมื่อร่างกายของคุณเลวอนไม่ค่อยแข็งแรงแบบนี้ เมื่อถึงคราวที่ต้องออกปฏิบัติภารกิจพร้อมกับพวกเรา ฉันเกรงว่าเขาอาจได้รับอันตรายจากศัตรูไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” สเตฟาเนียเสนอความคิดเห็น

               “ไม่สมกับเป็นสเตฟก้าเลยแฮะ” วัตสันสบโอกาสเกริ่นแซว “ปกติต้องพูดว่า ‘อ่อนปวกเปียก’ หรือไม่ก็ ‘เป็นตัวถ่วง’ สิ ไหงคำพูดคราวนี้ฟังดูระรื่นหูชอบกลจัง?”

               “เห็นแบบนี้แต่ฉันก็ให้เกียรติคนป่วยเป็นเหมือนกันนะคะ แต่สำหรับผู้ชายที่มีนิสัยยียวนกวนประสาท แถมยังดูท่าทางแข็งแรงดีราวกับแมลงสาบอย่างรุ่นพี่วัตสันน่ะมันคนละเรื่องกันเลย”

               “ชิ ปากคอเราะรายจริงยัยสองมาตรฐานเอ๊ย…”

               พ่อมดหนุ่มมาดทะเล้นส่งเสียงบ่นพึมพำ แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มได้ยินแว่วพลางทำหูทวนลมหน้าตาเฉย

               “เห็นแบบนี้แล้วเลวอนถือเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักสำคัญของพวกเธอเชียวนะ… ลองดูเจ้าสิ่งนี้กันก่อนสิ”

               ยาโรสลาฟชี้แจงพลางนำมือขวาล้วงใต้เสื้อครุยเพื่อหยิบชิ้นวัตถุปริศนาบางอย่างขึ้นมา มันคือหลอดแก้วขนาดเล็กจุกด้วยฝาไม้คอร์กซึ่งภายในบรรจุของเหลวเหนียวข้นสีแดงฉาน ด้วยความสงสัยคลาร่าจึงเกริ่นซักถามต่ออีกฝ่ายทันที

               “ศาสตราจารย์ สิ่งนั้นคือ…?”

               “เลือดของเลวอนยังไงล่ะ” ยาโรสลาฟกล่าวน้ำเสียงตื่นเต้น “ทุก ๆ ปีฉันจะเก็บตัวอย่างเอาไว้ในระหว่างทำการรักษาอาการป่วยของเขา เพื่อใช้ทดลองหรือตรวจสอบอะไรบางอย่าง เผื่อสักวันหนึ่งฉันอาจค้นพบวิธีขจัดโรคภัยและคำสาปที่ติดตัวเขาให้หายขาดได้… แต่ผลลัพธ์ที่ได้มามันช่างน่าอัศจรรย์ใจเลยทีเดียว ไม่ว่าพ่อมดแม่มดคนไหนหากได้ลองดื่มสิ่งนี้เข้าไป ก็จะสัมผัสได้ถึงพลังเวทมหาศาลไม่ต่างจากน้ำยาฟื้นฟูเวทมนตร์… ไม่สิ บางทีมันอาจจะดีกว่านี้หลายเท่าตัวเสียด้วยซ้ำ”

               หนุ่มสาววัยรุ่นทุกคนล้วนให้ความสนใจหลังจากที่ได้ยินสรรพคุณ มีเพียงแค่ออเดรย์เท่านั้นที่เหล่ตามองผู้นำหมู่บ้านอย่างเคลือบแคลงใจพลางเกริ่นแย้งขึ้นมา

               “แทนที่จะเอาเลือดมาพัฒนายาเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา แต่ศาสตราจารย์กลับทดลองดื่มเองซะอย่างงั้น”

               “ฮะฮะฮะ ตอนแรกฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอกนะ” ยาโรสลาฟหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่เหล่าหนุ่มสาววัยใสต่างยิ้มเผื่อน ก่อนที่บุรุษจอมเวทผู้ทรงเกียรติจะกลับมาสำรวมกิริยาท่าทีอีกครั้งแล้วเริ่มกล่าวเชิญชวนบรรดาลูกศิษย์ “ไหน ๆ ก็อวดอ้างสรรพคุณไปแล้ว ถ้างั้นลองเอามาทดสอบกันดูสักหน่อยดีกว่า”

               “เอ๊ะ?”

               เวสน่า วัตสัน ออเดรย์ คลาร่า โมนิก้า และสเตฟาเนียอุทานน้ำเสียงประหลาดใจ แต่ไม่ทันที่จะอ้าปากซักคำถามใด ๆ ยาโรสลาฟได้ยกมือซ้ายขึ้นมาดีดนิ้วดัง ‘เป๊าะ’ ทันใดนั้นร่างของทุกคนยกเว้นเลวอนซึ่งกำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ก็พลันหายวับไปจากห้องพยาบาลในชั่วพริบตาเดียว ทิ้งไว้แค่เพียงละอองแสงสีฟ้าจาง ๆ เท่านั้น

               พรึ่บ!

               ศาสตราจารย์จอมทะเล้นได้ใช้คาถาเคลื่อนย้ายขั้นสูงพาบรรดาลูกศิษย์มายังจุดเกิดเหตุ หรือสถานที่ที่เลวอนฝึกซ้อมร่ายเวทมนตร์ใกล้เขตนอกหมู่บ้านอันเป็นแนวป่าทึบนั่นเอง เนื่องจากถูกเคลื่อนย้ายแบบฉับพลันโดยไม่ได้นำเก้าอี้ติดตัวมาด้วย ออเดรย์และพรรคพวกจึงเซถลาเสียหลักหงายหลังลงไป จนบั้นท้ายกระแทกลงบนพื้นหญ้าดัง “พลั่ก!” เข้าเต็ม ๆ

               “โอ๊ย!? /ว้าย!?”

               “ยินดีต้อนรับสู่ชั่วโมงแห่งการทัศนศึกษานอกห้องเรียน เอาล่ะรีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า”

               ยาโรสลาฟยื่นสองมือหนาฉุดแขนของคลาร่าและโมนิก้าเพื่อให้พวกเธอลุกขึ้นยืน ในขณะที่เหล่าสมาชิกคนอื่น ๆ ต่างพยายามพยุงตัวยืนหยัดอย่างทุลักทุเล วัตสันก็ได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดบ่นพึมพำใส่บุรุษผู้อาวุโสอย่างไม่เกรงใจ

               “อย่างน้อยก็ช่วยเตือนให้พวกเราเตรียมพร้อมกันก่อนสิครับศาสตราจารย์!”

               “ว่าแต่จะให้ใครเป็นคนดื่มดีคะ ในเมื่อเลือดของคุณเลวอนมีเพียงแค่หลอดเดียว?” เวสน่าทักท้วง

               “ถ้างั้นมาเป่ายิ้งฉุบตัดสินกัน คนที่ชนะจะได้รับสิ่งของชิ้นนี้เป็นรางวัล… ตกลงไหม?”

               ผู้นำหมู่บ้านเสนอความคิดเห็น เหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสผงกศีรษะเห็นพ้องก่อนที่จะรีบจับกลุ่มแล้วเริ่มลงมือเป่ายิ้งฉุบ ซึ่งผลลัพธ์การแข่งขัน ออเดรย์ เวสน่า วัตสัน และคลาร่า ได้ปราชัยไปตามลำดับจนเหลือเพียงแค่สองคนสุดท้าย นั่นก็คือโมนิก้ากับสเตฟาเนีย

               สองแม่มดสาวต่างหันหน้าประชันกันในระยะห่างไม่เกินสองเมตร บรรยากาศโดยรอบ ณ สถานที่แห่งนี้แผ่ซ่านไปด้วยแรงกดดัน ในระหว่างนี้โมนิก้าได้สบตามองอีกฝ่ายพร้อมทั้งกล่าวน้ำเสียงแน่วแน่ออกมาอย่างไม่รีรอ

               “ขอโทษด้วยนะคะสเตฟก้า ถึงเราสองคนจะสนิทกันมากแค่ไหน แต่มีเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ฉันยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะงั้นมาทำให้มันจบกันเถอะ”

               “ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ ตัวฉันในฐานะเพื่อนสนิทและนักปรุงยาเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกับโมนิก้านั่นแหละ”

               สเตฟาเนียตอบรับคำท้าอย่างไม่เกรงกลัว ถัดมาสองเด็กสาวเริ่มกำหมัดง้างมือขึ้นเหนือศีรษะ วัตสันผู้ซึ่งทำหน้าที่ยืนเป็นกรรมการตัดสินจึงป่าวประกาศให้สัญญาณเสียงดังฉะฉาน โดยที่ออเดรย์ คลาร่า และเวสน่าต่างก็ลุ้นเชียร์อย่างใจจดใจจ่อ

               “เป่า ยิ้ง… ฉุบ!”

               สิ้นเสียงวลีสุดท้าย สองแม่มดสาวรีบสะบัดมือขวาลงพลางทำสัญลักษณ์นิ้วเพื่อตัดสิน โมนิก้าออกค้อน สเตฟาเนียที่แบนิ้วออกกระดาษจึงกลายเป็นผู้ชนะไปท่ามกลางเสียงฮือฮาของเหล่ามิตรสหาย

               “โธ่… แพ้ซะแล้ว อุตส่าห์ว่าจะลองดื่มเลือดของคุณเลวอนดูสักหน่อยว่ามีรสชาติเป็นยังไงบ้าง” เด็กสาวผมสีน้ำตาลร่างเล็กเผยสีหน้าผิดหวังพลางกล่าวพึมพำน้อยใจ

               “อย่าเสียใจไปเลยโมนิก้า นอกจากเลือดแล้วอะไรที่เป็นของเหลวจากร่างกายของเลวอน ไม่ว่าจะน้ำลายหรือน้ำตาก็สามารถใช้ดื่มแทนกันได้” บุรุษอาวุโสแห่งจ้าวอาคมกล่าวรายละเอียดเพิ่มเติม

               “น-น้ำลาย หรือว่า…!?”

               โมนิก้าทวนคำด้วยท่าทีเขินอาย เหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสยกเว้นเวสน่าและสเตฟาเนียต่างพากันแก้มแดงระเรื่อ โดยที่แต่ละคนแอบนึกจินตนาการไปไกล ระหว่างนั้นเองออเดรย์ได้ยกมือขึ้นป้องปากพลางเกริ่นพึมพำ

               “น… น้ำลายงั้นเหรอ ถ้างั้นก็ต้องจูบกันแบบดูดดื่มน่ะสิ”

               “น้ำกามนี่ก็ใช้แทนกันได้ใช่ไหมคะ?”

               “เฮ้ย!?/ว้าย!?”

               ด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาของสเตฟาเนีย เลยทำให้พวกวัตสันถึงกับส่งเสียงอุทานพร้อมด้วยท่าทีประหลาดใจสุดขีด แม้แต่นักพรตสาวอย่างเวสน่าเองก็พลอยรู้สึกเหนียมอายหน้าร้อนผ่าวจนถึงใบหูด้วย

               “ฮะฮะฮะ ตั้งข้อสงสัยแบบไม่เกรงใจเพื่อน ๆ เลยแฮะ” ผู้นำหมู่บ้านส่งเสียงหัวเราะชอบใจ “ใช่แล้วถูกต้องตามนั้นเลย อันที่จริงมันก็ใช้แทนกันได้แต่ขอแนะนำว่าอย่าทำแบบนั้นจะดีกว่า ถือเสียว่าเป็นวิชาเพศศึกษาก็แล้วกันนะทุกคน… ขอแสดงความยินดีด้วย รับไปสิสเตฟาเนีย”

               ยาโรสลาฟมอบหลอดแก้วบรรจุเลือดให้กับเด็กสาวพราวเสน่ห์ ก่อนที่อีกฝ่ายจะรับของรางวัลแล้วกล่าวคำขอบคุณ

               “ขอบคุณมากค่ะศาสตราจารย์”

               “ไหน ๆ ก็ได้มันมาแล้ว จะไม่ลองทดสอบดูสักหน่อยเหรอสเตฟก้า?”

               ออเดรย์เสนอแนะอย่างตื่นเต้น สเตฟาเนียหันหน้ามองยาโรสลาฟเพื่อขอคำชี้แนะ บุรุษผู้ทรงเกียรติให้คำตอบโดยผงกศีรษะเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มจาง สื่อโดยนัยว่าเขาอนุญาตให้เธอทำการทดลองในครั้งนี้ได้

               ไม่รอช้าเด็กสาวนัยน์ตาสีส้มจึงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าแล้วยืนในพื้นที่โล่งกว้าง โดยอยู่ห่างจากพรรคพวกของเธอราว 10 เมตรเพื่อความปลอดภัย ลงมือเปิดจุกไม้คอร์กออกก่อนจะยกหลอดแก้วดื่มของเหลวสีแดงฉานกลืนลงลำคอเพียงรวดเดียว

               “อึ้ก อึ้ก อึ้ก…”

               ในระหว่างที่สเตฟาเนียนำเอาหลอดแก้วสีใสเก็บใส่ลงในกระเป๋ากระโปรง โมนิก้าจึงพลันตะโกนซักถามเธอด้วยความใคร่รู้ ซึ่งเหล่าบรรดาพวกพ้องเองต่างก็รู้สึกเช่นนั้นและนึกสงสัยไม่แพ้กัน

               “สเตฟก้า เป็นยังไงบ้างคะ?”

               “ร… รสชาติขมฝาดธาตุเหล็กเหมือนเลือดมนุษย์ทั่ว ๆ ไปนั่นแหละค่ะ” สเตฟาเนียเริ่มแสดงอาการผิดปกติโดยส่งเสียงหายใจหอบ สองปลายเท้าต่างเหยียดเกร็ง มิหนำซ้ำใบหน้าแดงแจ๋ราวกับสีผิวของแอปเปิล ทว่าแม่มดสาวพยายามสะกดท่าทีดังกล่าวเอาไว้แล้วรายงานผลลัพธ์ต่อไป “ร… ร่างกายมันรู้สึกแปลก ๆ ทั้งคัดตึง ร้อนผ่าว จนภายในหัวสมองขาวโพลนไปหมด”

               ถึงแม้น้ำเสียงของเธอจะฟังดูราบเรียบ แต่ก็ช่างเย้ายวนและค่อนข้างลามกเสียจนพวกวัตสันอดคิดไปทางแง่นั้นไม่ได้ เนื่องจากผลข้างเคียงที่ได้ดื่มเลือดของเลวอนเข้าไปนั่นเอง

               “ท… ทำไมคุณสเตฟาเนียถึงทำเสียงแปลก ๆ ออกมาล่ะคะ แถมดูท่าทางไม่ค่อยสบายด้วย ให้ฉันช่วยร่ายคาถารักษาเธอจะดีกว่าไหมคะ…?”

               เวสน่าผู้ซึ่งไม่ประสีประสาในเรื่องกามารมณ์รีบหันหน้าซักถามต่อพวกคลาร่าอย่างกังวลใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ และยังคงตั้งใจมองดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยปราศจากความหวั่นไหว

               สเตฟาเนียแหงนใบหน้าสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อประคองสติไว้ให้มั่น ถัดมาเชิดศีรษะลงแล้วทอดมองดูหลุมขนาดใหญ่ทางเบื้องหน้าเยื้องซ้าย ซึ่งผู้ที่ลงมือก่อนหน้านี้คือเลวอน ทำให้เด็กสาวเกิดแรงผลักดันอยากจะเอาชนะและล้มล้างสถิติของเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนรายนั้นเสียให้ได้ ก่อนจะแย้มสรวลมุมปากออกมาอย่างมั่นใจ

               จากนั้นจอมเวทฝึกหัดสาวถอดหมวกแม่มดออกจากศีรษะ นำมือล้วงเข้าไปข้างในหยิบหนังสือเวทมนตร์โบราณขึ้นมาเปิดหน้ากระดาษแล้วเลือกคาถาที่ตนต้องการจะร่าย ก่อนจะนำหมวกสวมประดับตามเดิม ดึงไม้กายสิทธิ์ซึ่งซ่อนเอาไว้ใต้แขนเสื้อเชิ้ตตั้งท่าเตรียมร่ายมนตรา พลางกวาดสายตาท่องจำอักขระบนตำราให้ขึ้นใจ

               เมื่อทุกอย่างพร้อมเสร็จสรรพ สเตฟาเนียจึงพรรณนาเกริ่นนำเพื่ออัญเชิญทวยเทพลงมาสถิต

               “Om Indra Devaraja ข้าแด่อินทราเทวราชแห่งไวชยันตวิมาน โปรดดลบันดาลประทานศัสตราวุธแห่งสายฟ้ามาสถิตยังกายเนื้อแห่งข้า เพื่อปลดปล่อยคมหอกสายฟ้าและบดขยี้เหล่าศัตรูนับพันจนพินาศสิ้น”

               เปรี๊ยะเปรี๊ยะ… ครืนนนน!

               มีแสงสว่างสีขาวพร้อมด้วยกระแสไฟฟ้าพลันสว่างวูบวาบไปทั่วเรือนร่าง ก่อกำเนิดลมพายุสลาตันหมุนเวียนรอบตัวจนพัดเศษหญ้าที่อยู่ตามพื้นลอยขึ้นสู่เวหา โมนิก้าและพรรคพวกต่างยกแขนขึ้นมาปิดบังใบหน้าเพื่อไม่ให้เศษฝุ่นกระเด็นเข้าตา ยกเว้นยาโรสลาฟเท่านั้นที่ยังคงยืนจ้องมองแม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มอย่างสุขุมเยือกเย็น

               “ย… ยัยนี่มาถึงก็ร่ายเวทมนตร์โบราณขั้นสูงเลยเรอะ เดี๋ยวก็สลบเหมือดหรอก!” วัตสันกล่าวด้วยท่าทีตื่นตระหนก

               “แถมเป็นวิชาสายฟ้าขั้นสูงของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูด้วยนะคะ!”

               คลาร่าให้คำอธิบายต่อเหล่าผองเพื่อนในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์โบราณขั้นสูง ในขณะเดียวกันสเตฟาเนียเริ่มง้างไม้กายสิทธิ์ขึ้นเหนือศีรษะ สายตาของเธอคอยจับจ้องมองตรงไปยังพื้นที่ป่าทึบ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ไปประมาณ 100 เมตรอย่างไม่ลดละเพื่อใช้เป็นเป้าหมายในการโจมตี

               เมื่อพลังเวทถูกรีดเค้นและสะสมอยู่ภายในร่างกายจนถึงขีดจำกัด แม่มดสาวพราวเสน่ห์จึงเปล่งน้ำเสียงร่ายคาถาด้วยถ้อยคำฉาดฉาน พร้อมทั้งสะบัดไม้กายสิทธิ์ที่อยู่ในมือชี้ไปยังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

               “Thousands of Vasavi Shakthi! (พันหอกวาสวี)”

Options

not work with dark mode
Reset