แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 8: เขี้ยว

               “Thousands of Vasavi Shakthi! (พันหอกวาสวี) ”

               ซูมมม! ตู้มตู้มตู้ม!

               สิ้นเสียงร่ายคาถาของสเตฟาเนีย วงแหวนมนตราสีขาวขนาดใหญ่รูปร่างซับซ้อนก็ได้ปรากฏขึ้น ณ พื้นที่เป้าหมาย ตามด้วยสายฟ้านับไม่ถ้วนจากเบื้องบนพุ่งลงมายังพื้นพสุธาอย่างต่อเนื่องราวกับสายฝน เสียงสนั่นดังกึกก้องพร้อมส่องแสงวูบวาบไปทั่วอาณาบริเวณ สร้างแรงกดดันให้แก่เหล่าผองเพื่อนที่กำลังรับชมเหตุการณ์ดังกล่าวมากพอสมควร

               แผ่นดินยังคงสั่นสะเทือนโดยไร้ซึ่งวี่แววว่าจะหยุด ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงต่างตื่นตระหนกตกใจอีกเป็นครั้งที่สอง นับหลังจากปรากฏการณ์สายฟ้าฟาดเมื่อช่วงเช้าวันนี้ โดยเฉพาะโมนิก้าที่กำลังยืนหลบอยู่ทางด้านหลังของวัตสันอย่างท่าทีหวาดหวั่น

               ถึงแม้ความรุนแรงของมันจะยังไม่เทียบเท่าเวทมนตร์สายฟ้าของเลวอน แต่หากโดนการโจมตีเข้าอย่างจังก็อาจทำให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นปางตายเลยทีเดียว

               จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวสิบวินาทีการโจมตีจึงแผ่วเบาและยุติลง ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ในขณะที่ฝุ่นควันยังคงลอยฟุ้งกลางอากาศบดบังทัศนวิสัย ภายหลังจากออร่าแสงสีขาวพลันจางหายไป แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มถึงกับเข่าทรุดนั่งลงบนพื้นหญ้าด้วยท่าทีอ่อนแรงเนื่องจากใช้พลังเวทที่มีอยู่จนเกือบหมด เวสน่าและเหล่ามิตรสหายเห็นดังนั้นจึงวิ่งปรี่เข้าไปหาเธออย่างเป็นกังวล

               “คุณสเตฟาเนีย!/สเตฟก้า!”

               ออเดรย์และโมนิก้ายื่นแขนประคองร่างเพื่อให้สเตฟาเนียลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสติเอาไว้ได้จึงถอนหายใจโล่งอก ส่วนเด็กสาวพราวเสน่ห์นัยน์ตาสีส้มตอบกลับโดยยกมือขวาชูสองนิ้วพร้อมเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบ เพื่อบ่งบอกให้ทุกคนรู้ว่าตนยังคงสบายดี

               “เคยใช้เวทมนตร์โบราณขั้นสูงจนสลบ แต่ครั้งนี้ยังไม่ตายค่ะ”

               “ทุกคนดูนั่นสิคะ!”

               คลาร่าทักท้วงพลางชี้นิ้วไปยังป่าทึบหรือจุดที่ได้รับความเสียหาย ทุกคนรีบหันไปมองดูในขณะที่กลุ่มควันเริ่มจางลง พบว่า ณ พื้นที่ดังกล่าวได้กลายเป็นหลุมแอ่งผิวขรุขระนับไม่ถ้วน เหล่าต้นไม้หลายสิบท่อนต่างถูกฉีกขาดสะบั้นโดนเผาไหม้ดำจนเป็นตอตะโก หากลองเทียบเคียงกับผลงานที่เลวอนเคยลงมือก่อเอาไว้เมื่อช่วงเช้าวันนี้ก็นับได้ว่าน่ากลัวสูสีไม่แพ้กัน

               เหล่าหนุ่มสาวทุกคนจ้องมองตาค้างอย่างประหลาดใจ โดยที่ออเดรย์เริ่มเกริ่นพึมพำออกมาก่อน

               “อุหวา… กลายเป็นซากเลยแฮะ นี่ถ้าเปลี่ยนจากซากไม้เป็นคนล่ะก็งานนี้ศพไม่สวยแหง ๆ”

               “สมกับเป็นสเตฟาเนีย แสดงฝีมือได้น่าประทับใจจริง ๆ”

               ยาโรสลาฟก้าวเท้าเดินเข้าใกล้เหล่าลูกศิษย์จากทางด้านหลัง พร้อมส่งเสียงปรบมือแสดงความยินดีพอเป็นพิธี ไม่รอช้าสเตฟาเนียรีบหันไปซักถามขอความคิดเห็นจากอีกฝ่ายโดยพลัน

               “เป็นยังไงบ้างคะศาสตราจารย์ ผลงานที่หนูทำออกมาเหนือชั้นกว่าของคุณเลวอนรึเปล่า?”

               “อืม… ถึงจะยังไม่เหนือชั้นมากพอแต่ผลลัพธ์ที่ออกมาค่อนข้างใกล้เคียงเลยล่ะ ในมุมมองของฉันแล้วคาถาที่เธอใช้ร่ายถือว่าร้ายกาจพอสมควร เหมาะกับการใช้ทรมานศัตรูเพื่อให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเจียนตาย ส่วนเวทมนตร์สายฟ้าของเลวอนนั้นเป็นการโจมตีแบบจัดหนักภายในครั้งเดียวและดูค่อนข้างเมตตาปรานีต่อศัตรูไปสักหน่อย แต่ถ้าหากโดนเป้าหมายเข้าอย่างจังรับรองได้เลยว่าตายสนิท”

               “ยังเร็วเกินไปที่จะเอาชนะเขางั้นสินะคะ”

               สเตฟาเนียเผยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะฟังดูราบเรียบตามปกติ ส่วนออเดรย์และโมนิก้าต่างยิ้มแหยปนหวั่นสะพรึงต่อความสามารถของอีกฝ่าย ถัดมาเวสน่าเริ่มเอ่ยน้ำเสียงกังวลใจ พลางมองดูหลุมขนาดใหญ่ทั้งสองจุดตรงพื้นที่ป่าทึบซึ่งได้รับความเสียหายอย่างน่าเวทนา

               “เวทมนตร์โบราณขั้นสูงที่มีความรุนแรงและใกล้เคียงกับคาถาต้องห้ามแบบนี้ ขืนใช้มันในทางที่ผิดล่ะก็ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ เลยค่ะ”

               “เพราะเหตุนี้หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานจึงต้องมีโรงเรียนสอนเวทมนตร์ เพื่อชี้นำให้นักศึกษามุ่งตรงไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง” คลาร่าอธิบายก่อนจะกล่าวปลอบใจต่อนักพรตสาว “ก็เหมือนอย่างที่ซิสเตอร์กำลังทำอยู่ในตอนนี้ยังไงล่ะคะ ที่คอยชี้แนะคำสั่งสอนให้พวกเราไม่ประพฤติตัวหลงผิดเรื่อยมา”

               “นั่นสินะคะ” เวสน่าเห็นพ้องพลางฉีกยิ้มอย่างใจชื้น

               “ขนาดคนที่ชอบใช้พลังเวทมนตร์สิ้นเปลือง และไม่มีพรสวรรค์ในการดูดซับพลังธรรมชาติอย่างสเตฟก้ายังประคองสติเอาไว้ได้แบบนี้ แสดงว่าเลือดของหมอนั่นไม่ธรรมดาซะแล้วสิ… ปกติเห็นร่ายคาถาโหด ๆ ทีไรยัยนี่ชอบสลบเหมือดลงไปนอน กับพื้นแทบจะทุกทีเชียวล่ะ”

               วัตสันพึมพำทั้งที่ยังอยู่ในอาการตกตะลึง ระหว่างนั้นเองโมนิก้าได้กล่าวทักท้วงต่อยาโรสลาฟด้วยความข้องใจ

               “แล้วทำไมศาสตราจารย์ถึงได้ประเมินระดับพลังเวทของคุณเลวอนแค่เพียงเกรด C ล่ะคะ? ในเมื่อเขาสามารถแสดงวิชาขั้นสูงสุดออกมาได้ถึงขนาดนี้แล้วแท้ ๆ”

               “เพราะเขี้ยวที่ฝังอยู่ภายในหัวใจได้ดูดกลืนพลังเวทของเลวอนไปเสียส่วนใหญ่ ส่งผลทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลง เมื่อถึงคราวที่ต้องร่ายคาถา เขี้ยวจึงจำเป็นจะต้องดูดพลังจากเจ้าของร่างอีกครั้งเพื่อชดเชยสิ่งที่สูญเสียไป ดังนั้นต่อให้เขาดูดซับพลังบริสุทธิ์ตามธรรมชาติเพื่อทดแทนก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนักหรอกนะ”

               “ถ้าหากไม่มีเขี้ยวของวลาดที่สามฝังอยู่ภายในหัวใจ ค่าระดับพลังเวทของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นที่ประมาณเท่าไหร่กันคะ?” คราวนี้ออเดรย์เป็นฝ่ายซักถามศาสตราจารย์บ้าง

               “คงจะเพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับเกรด A หรือเกรด S ได้อย่างสบาย ๆ เพราะเขาเป็นถึงลูกชายของเลออน จอมดาบเวทชาวอาร์มีเนียผู้มีฝีมือระดับพระกาฬ… พูดแล้วก็รู้สึกนึกเสียดายแทนคนเป็นพ่อจริง ๆ”

               “เช่นนั้นแล้ว ระดับพลังเวทของคุณเลวอนก็คงสูสีพอ ๆ กับคุณคลาร่างั้นสินะคะ”

               เวสน่าพึมพำประหลาดใจ โดยที่วัตสันและพรรคพวกต่างก็เผยสีหน้าอากัปกิริยาตกตะลึงไม่แพ้กัน อย่างไรก็ดีโมนิก้ายังคงถกปัญหาคาใจต่อผู้นำหมู่บ้านอีกครั้งด้วยน้ำเสียงฟังดูกังวล

               “ไม่มีหนทางที่จะยืดอายุขัยของคุณเลวอนให้ยาวนานมากกว่านี้ ได้เลยเหรอคะ?”

               “มีแค่หนทางเดียวเท่านั้น คือต้องให้เลวอนดื่มเลือดมนุษย์ทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อไม่ให้เขี้ยวที่อยู่ภายในหัวใจแสดงอาการกำเริบ แต่วิธีนี้มีความเสี่ยงสูงมาก ถ้าพลาดล่ะก็จะส่งผลทำให้เขี้ยวปลุกจิตวิญญาณของวลาดที่สามให้ฟื้นขึ้นมา เข้ายึดครองจิตใจของเลวอนจนกลายเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์… และมีโอกาสคลุ้มคลั่งเสียสติจนทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ถึงคราวพินาศ”

               “…!!”

               เหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวถึงกับแสดงอาการวิตกหวั่นเกรง เมื่อเห็นว่ายาโรสลาฟกล่าวน้ำเสียงจริงจังภายใต้สีหน้าคิ้วขมวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้นบุรุษผู้ทรงสง่าก็ได้เกริ่นคำพูดติดตลกเพื่อให้บรรดาลูกศิษย์ผ่อนคลายความตึงเครียดลง

               “ได้ยินแบบนี้แล้วพวกเธออยากจะลองเสี่ยงกันดูสักหน่อยไหมล่ะ แถมเขี้ยวของเลวอนในตอนนี้เองก็แหลมคมพอที่จะกัดซอกคอใครบางคนได้เลยเชียวล่ะ ฮะฮะฮะ”

               “ม… ไม่ตลกเลยนะครับศาสตราจารย์”

               วัตสันรีบทักท้วง ในขณะที่เหล่าบรรดาเด็กสาวต่างเผยสีหน้ายิ้มเจื่อนด้วยความหวาดผวา ระหว่างนั้นเองสเตฟาเนียได้ชี้นิ้วไปยังพื้นที่ป่าทึบซึ่งได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งสองจุด พลางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบออกมา

               “หลุมพวกนั้นปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนี้มันจะดีเหรอคะ?”

               “นั่นสินะ เดี๋ยวฉันขอจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยก่อน”

               ยาโรสลาฟหยิบไม้กายสิทธิ์ใต้แขนเสื้อชุดครุยขึ้นมาจับในลักษณะคล้ายท่าคีบตะเกียบ แล้วชี้ปลายไม้ไปยังพื้นที่หลุมแอ่งขนาดใหญ่ทั้งสองแห่งในเขตป่าทึบ ลงมือตวัดกวัดแกว่งจนเกิดแสงอักขระสีทองกลางอากาศพร้อมทั้งเปล่งวาจาร่ายคาถาด้วยความสุขุมนุ่มลึก

               “Retrorsum converti (จงย้อนกลับคืนดังเดิม) ”

               กึก… กึกกึก… ซูมมมมมม!

               เศษก้อนดินนับร้อยพันชิ้นซึ่งกระจัดกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วบริเวณ เริ่มเคลื่อนตัวกลิ้งย้อนกลับไปยังแอ่งหลุมทั้งสองแห่ง เร่งความเร็วตรงดิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางคอยประสานรอยแตกร้าวทั้งหมดให้เชื่อมสมานกันอย่างบรรจง วัตสัน ออเดรย์ สเตฟาเนีย คลาร่า เวสน่า และโมนิก้าเห็นดังนั้นก็ถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงต่อเหตุการณ์เหนือธรรมชาติด้วยความอัศจรรย์ใจ

               แผ่นดินซึ่งเคยเป็นหลุมขนาดใหญ่กลับมาประสานราบเรียบกันเป็นปึกแผ่นเดียว ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นเหล่าเศษซากท่อนไม้หลายสิบต้นเท่านั้นที่ไม่อาจคืนสภาพดังเดิม เนื่องจากคาถาบทนี้สามารถใช้ได้ผลกับสิ่งของที่ไม่มีชีวิตหรือไร้จิตวิญญาณเท่านั้น ยาโรสลาฟจึงลงมือเนรมิตรวบรวมเศษซากดังกล่าว จัดการพื้นที่ให้ดูมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นแทน

               “ส่วนเหล่าต้นไม้ที่สูญเสียไปในวันนี้ หลังจากเปิดภาคเรียนฉันคงต้องขอให้พวกเธอเข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ฟื้นฟูป่าเป็นการชดเชยล่ะนะ เดี๋ยวจะเพิ่มคะแนนจิตพิสัยให้เป็นรางวัล… เอาล่ะรีบกลับไปที่ห้องพยาบาลกันเถอะ”

               ยาโรสลาฟกระหยิ่มยิ้มย่องพลางเก็บไม้กายสิทธิ์ ก่อนจะกวักมือเรียกเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสให้ขยับเข้ามาใกล้ ๆ ตน เมื่อรวมกลุ่มกันเสร็จ จึงยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้วดัง “เป๊าะ” จนร่างของทุกคนได้หายวับไปจากพื้นที่แห่งนี้เพียงชั่วพริบตาเดียว เหลือไว้ซึ่งเพียงละอองแสงสีฟ้าจาง ๆ เท่านั้น

               พรึบ!

               ศาสตราจารย์และเหล่าลูกศิษย์ถูกเคลื่อนย้ายมายังห้องพยาบาลดังเดิม ในขณะที่เลวอนยังคงนอนหลับพักผ่อนบนเตียงตามปกติ โมนิก้ารีบก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังเตียงคนไข้ก่อนใครเพื่อน แล้วนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อเฝ้าดูอาการของเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนอย่างใกล้ชิด ระหว่างนั้นเองสเตฟาเนียได้หันไปซักถามข้อสงสัยต่อยาโรสลาฟด้วยความแคลงใจ

               “ถ้าหากมีใครสักคนโดนคุณเลวอนกัดเข้า คนคนนั้นจะได้รับผลกระทบอะไรรึเปล่าคะ?”

               “ในตอนนี้ฉันคิดว่าคงไม่น่ามีปัญหาอะไร เว้นเสียแต่เลวอนมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์เมื่อไหร่ เป็นไปได้อย่าให้เขาเข้ามากัดเธอจะดีกว่า เพราะนั่นอาจทำให้พวกเธอกลายเป็น ‘สิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์’ อีกต่อไป จนกว่าจะถึงคราวสิ้นอายุขัยของตน”

               ยาโรสลาฟอธิบายน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง วัตสัน โมนิก้า คลาร่า เวสน่า และสเตฟาเนียต่างรู้สึกสลดใจปนหวาดหวั่นเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามองดูเด็กหนุ่มนิทราด้วยความเวทนาสงสาร ในขณะนั้นเองออเดรย์กลับเผยท่าทีซุกซน เธอใช้สองมือบางลูบสางเส้นผมของเลวอน แล้วโน้มใบหน้าใช้จมูกดมกลิ่นตรงบริเวณซอกคออีกฝ่ายอย่างสนใจ ทำลายบรรยากาศอึมครึมที่กำลังคุกรุ่นอยู่อย่างสิ้นเชิง

               “ด… ดูเหมือนคุณออเดรย์จะถูกใจในตัวเขามากเลยนะคะ”

               คลาร่าแซวพลางยิ้มแห้ง โมนิก้าที่เห็นออเดรย์กำลังถือวิสาสะล่วงเกินเลวอนถึงกับขมวดคิ้วพองแก้มใส่อย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำได้แค่เพียงนิ่งเงียบเท่านั้นเนื่องจากไม่อยากแสดงท่าทีหึงหวงออกนอกหน้าจนเกินไป

               วินาทีนั้นเองจิ้งจอกสาวเริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอนำปลายนิ้วแง้มริมฝีปากของพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนออกกว้าง เผยให้เห็นเขี้ยวซี่บนและซี่ล่างซึ่งค่อนข้างแหลมคมอย่างชัดเจน ก่อนจะกล่าวพึมพำด้วยความประทับใจ

               “อ๊ะ… มีเขี้ยวแหลมคมจริง ๆ ด้วย อย่างกับแวมไพร์เลย”

               “ฮื่อ…”

               เลวอนส่งเสียงแผ่วเบาโดยที่ร่างกายไหวติงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาเริ่มได้สติกลับคืนมาแล้ว ออเดรย์จึงละนิ้วออกจากริมฝีปากแล้วโน้มใบหน้ามองดูใกล้ ๆ จนปลายเส้นผมนุ่มสลวยปรกลงบนแก้มอีกฝ่าย พร้อมทั้งส่ายหางพลางกระดิกใบหูไปมาด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดเด็กหนุ่มค่อย ๆ เบิกเนตรเผยให้เห็นถึงดวงตาสีอำพันสดใส ทำให้ทั้งคู่ประสานสายตามองกันในระยะประชิด ราวกับว่าต่างฝ่ายต่างจะโน้มจูบริมฝีปากเสียให้ได้

               “อรุณสวัสดิ์พ่อหนุ่มรูปงาม”

               จิ้งจอกสาวกล่าวคำทักทายด้วยรอยยิ้มสดใสทั้งที่สองแก้มแดงระเรื่อ เลวอนที่เพิ่งฟื้นคืนจากภวังค์ถึงกับใจเต้นโครมครามพลางตาโต เมื่อเห็นว่ามีเพศตรงข้ามปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าตนในระยะชิด ก่อนจะรีบเอนตัวลุกขึ้นมาอย่างตะลีตะลาน

               ปึ้ก!

               “โอ๊ย!? /ว้าย!?”

               หน้าผากของสองหนุ่มสาวกระแทกเข้าหากันอย่างจัง ทั้งคู่ต่างส่งเสียงร้องยกมือขึ้นกุมศีรษะด้วยความเจ็บแปลบทันที วัตสันกับยาโรสลาฟเห็นดังนั้นจึงหัวเราะชอบใจ คลาร่ากับเวสน่ายิ้มแหย ส่วนสเตฟาเนียส่ายหน้าเอือมระอาใจต่อความซุกซนของออเดรย์เพียงเล็กน้อย

               “คุณเลวอน ดีจังที่คุณปลอดภัย…!”

               โมนิก้ากล่าวน้ำเสียงตื้นตันใจ พลางเข้าพยุงร่างพ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันเพื่อให้อีกฝ่ายอยู่ในท่านั่ง แล้วกุมมือเขาเอาไว้แน่นราวกับไม่ต้องการให้จากไปไหนไกล เลวอนจึงรีบพูดปลอบขวัญต่อเด็กสาวด้วยน้ำเสียงชวนผ่อนคลายอย่างไม่รีรอ

               “ขอโทษด้วยนะ ผมทำให้โมนิก้าเป็นห่วงจนได้ ตอนนี้ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

               “เจ้าบ้าเอ๊ย ฉันเองก็เป็นห่วงเหมือนกันนะเฟ้ย!” วัตสันทักท้วงก่อนจะฉีกยิ้มให้เลวอนด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าสหายคนสนิทดูท่าทางแข็งแรงและปลอดภัยดี

               “ขอโทษด้วยนะวัตสัน ขอบคุณทั้งสองคนมากเลยที่อุตส่าห์พาผมมารักษาตัวที่นี่”

               “คนที่เข้ามาช่วยคุณเลวอนไม่ได้มีเพียงแค่ฉันกับวัตสันเท่านั้นนะคะ”

               แม่มดสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลอ่อนกล่าวชี้แจง ก่อนจะหันไปสบตาพรรคพวกซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้รอบ ๆ เตียงคนไข้ เลวอนเหลียวมองดูตามเธอจึงพบว่า นอกจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟแล้วยังมีเด็กสาวกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่คุ้นหน้าตาอีกสี่คนนั่งอยู่เคียงข้างตน เขาเกริ่นคำทักทายพร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณออกไปตามมารยาทอย่างสุภาพนอบน้อมโดยพลัน แม้ว่าจะยังไม่รู้จักพวกเธอดีพอก็ตาม

               “สวัสดีครับทุกคน ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ ทั้งที่ตัวผมสร้างปัญหาให้กับชาวบ้านแท้ ๆ …”

               เลวอนก้มหน้าหลบสายตาเหล่าแม่มดสาวด้วยความละอายใจ ยาโรสลาฟซึ่งยืนอยู่ห่างจากปลายเตียงไม่มากนักได้แย้มสรวลหวังให้เด็กหนุ่มผ่อนคลายความกังวล แล้วกล่าวน้ำเสียงละมุนดังนี้

               “พูดเรื่องอะไรน่ะ เธอก็แค่ฝึกซ้อมคาถาในพื้นที่นอกเขตของหมู่บ้านจนโรคหัวใจกำเริบเท่านั้นเอง นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยสักคน ส่วนเรื่องความเสียหายตามสถานที่ต่าง ๆ ฉันได้ลงมือจัดการซ่อมแซมเรียบร้อยแล้วล่ะ เพราะงั้นอย่าคิดมากไปเลย”

               “ชาวบ้านในละแวกนั้นปลอดภัยดีงั้นสินะครับ ค่อยยังชั่ว…

               เลวอนถอนหายใจโล่งอก ถัดมาผู้นำหมู่บ้านจึงเกริ่นคำอธิบายอีกครั้ง คราวนี้ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความหนักแน่นจริงจังชัดเจน

               “ฉันจะขอให้คำแนะนำแก่เธอในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนก็แล้วกัน เรื่องที่ร่ายเวทมนตร์โบราณขั้นสูงโดยใช้เพียงแค่ปลายนิ้วนั้นสารภาพตามตรงว่าเธอทำออกมาได้น่าประทับใจมาก แต่เธอเพิ่งหายป่วยได้ไม่นาน เป็นไปได้ไม่แนะนำให้ใช้คาถาประเภทนั้นบ่อย ๆ จะดีกว่า หรือถ้าหากต้องการฝึกซ้อมจริง ๆ ควรทำแค่เพียงวันละหนึ่งครั้งก็พอแล้ว ไม่งั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้… ที่สำคัญเธอควรเอาใจใส่สุขภาพของตัวเองให้มากกว่านี้ด้วย เข้าใจใช่ไหม?

               “ข… เข้าใจแล้วครับ ผมจะระวังให้มากกว่านี้ ต้องขอโทษทุก ๆ คนด้วยนะครับที่สร้างความเดือดร้อนเอาไว้ให้”

               พ่อมดหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีหิมะตอบรับคำอย่างว่าง่าย ยาโรสลาฟส่งยิ้มอย่างสุขุมก่อนจะหยิบกระปุกพลาสติกสีใสขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ซึ่งภายในขวดบรรจุตัวยารูปทรงกลมสีแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วหลายสิบเม็ด จากนั้นจึงส่งมอบให้แก่อีกฝ่ายแล้วกล่าวต่อไป

               “นี่คือยาบำรุงที่ฉันคิดค้นขึ้นมาเอง ทานวันละหนึ่งเม็ดทุกเช้าจะช่วยให้เธอรู้สึกเหนื่อยน้อยลงในยามที่ใช้คาถา บางทีอาจทำให้เธอร่ายเวทมนตร์โบราณขั้นสูงได้มากสุดสักประมาณสามถึงสี่ครั้ง ถ้าหากเป็นไปได้ควรใช้มนตราประเภทนั้นเมื่อถึงเวลาที่จำเป็นจริง ๆ น่าจะดีกว่า… รับไปแล้วก็ทานให้เรียบร้อยซะสิ ยาหมดแล้วเมื่อไหร่ไว้ค่อยมาขอเพิ่มเติมจากฉันได้เสมอ”

               “ขอบพระคุณมากครับศาสตราจารย์”

               เลวอนรับสิ่งของจากบุรุษจอมเวท ใช้มือหมุนฝากระปุกเพื่อเปิดออกแล้วหยิบเม็ดยาขึ้นมารับประทานตามคำแนะนำ รสชาติแรกที่ปลายลิ้นสัมผัสได้นั้นคือความหวานของเหล่าผลไม้รวมปนความขมฝาดบางอย่าง ระหว่างนั้นเองเขาเริ่มรู้สึกลังเลใจไปชั่วขณะ เรื่องที่ว่าตนควรจะขบเคี้ยวให้ละเอียดก่อนหรือกลืนมันลงไปในลำคอรวดเดียว

               เด็กหนุ่มตัดสินใจทำอย่างหลังโดยกลั้นใจกลืนมันลงไป ก่อนจะนำฝาปิดผนึกขวดยาแล้วเก็บใส่ลงในกระเป๋ากางเกง ขณะเดียวกันสเตฟาเนียผู้ซึ่งมีความรอบรู้ในการปรุงยาชนิดต่าง ๆ ก็ได้เพ่งเล็งมองยาบำรุงสีแดงดังกล่าวอย่างสงสัย ดูเหมือนเด็กสาวจะล่วงรู้ความจริงเข้าให้แล้วว่าสิ่งนั้นมีส่วนผสมชนิดใดบ้าง จึงชำเลืองสายตาไปยังยาโรสลาฟอย่างคลางแคลงใจโดยที่ไม่ปริปากทักท้วงใด ๆ ทั้งสิ้น

Options

not work with dark mode
Reset