แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 9: ผูกมิตร

               “จริงสิเลวอน ไหน ๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว จะไม่แนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จักกันสักหน่อยเหรอ?”

               ผู้นำหมู่บ้านเสนอแนะพลางหันหน้าไปยังเหล่าแม่มดสาวทั้งสี่ ซึ่งพวกเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้เตียงคนไข้ทางฝั่งขวามือของเลวอน บุรุษหนุ่มรูปงามจึงกล่าวแนะนำตนเองด้วยท่าทีสุภาพภายใต้สีหน้าเปื้อนรอยยิ้มจาง ๆ อย่างไม่รีรอช้า

               “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อเลวอน ทาวิเทียน อายุ 17 ปี นักเรียนจอมเวทฝึกหัดชั้นมัธยมปลายปีที่ 3 สายจอมดาบเวท เนื่องจากผมป่วยด้วยโรคประจำตัวจึงไม่สามารถเดินทางไปโรงเรียนได้เอง แต่นับจากนี้เป็นต้นไปผมพร้อมที่จะศึกษาเล่าเรียนไปกับเพื่อน ๆ ทุกคนตามปกติแล้วนะครับ… ฝากตัวด้วยนะครับ!”

               “อายุมากกว่าเราหนึ่งปี แถมยังอยู่ม.ปลายปีสุดท้ายด้วยแฮะ” จิ้งจอกสาวเกริ่นพลางส่ายหางนุ่มฟูไปมาเล็กน้อย

               “แบบนี้คงต้องเรียกคุณว่ารุ่นพี่เลวอนสินะคะ” สเตฟาเนียเอ่ยพึมพำอย่างน่าเสียดาย

               “เปิดตัวได้ดีนี่… ถ้างั้นฉันขอเรียงลำดับโดยเริ่มต้นจากเธอก่อนเลยก็แล้วกัน ซิสเตอร์เวสน่า”

               ยาโรสลาฟผายมือไปยังนักพรตสาวตรงบริเวณใกล้ปลายเตียง เวสน่าผงกศีรษะตอบรับก่อนจะหันหน้ากล่าวแนะนำตัวต่อเลวอนด้วยรอยยิ้มอัธยาศัย พลางยกมือขวาทาบกลางอกอย่างนอบน้อม

               “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อเวสน่า ซีมูนอฟว่า อายุ 17 ปี เป็นนักเรียนจอมเวทฝึกหัดชั้นมัธยมปลายปีที่ 3 พวกเราได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุณจากศาสตราจารย์แล้วนะคะ ฉันในฐานะผู้ศรัทธาขออำนวยอวยพรให้พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองเมตตาคุณค่ะ”

               “เวสน่าเป็นซิสเตอร์ประจำโบสถ์ในหมู่บ้าน ดำรงตำแหน่งผู้นำศาสนาคริสต์นิกายสโลเวนสกาคนปัจจุบัน… มิหนำซ้ำหล่อนยังสละเวลามาที่นี่เพื่อรักษาอาการป่วยให้เธออีกด้วยนะ”

               ศาสตราจารย์พูดเสริม เลวอนจึงรีบโค้งศีรษะให้แก่นักพรตสาวด้วยความเคารพ

               “ข… ขอบพระคุณซิสเตอร์มากนะครับที่ช่วยรักษาอาการป่วยของผม”

               “ด้วยความยินดีค่ะ งานช่วยเหลือผู้คนคือหน้าที่หลักของฉันตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่แล้ว ที่สำคัญฉันกับคุณเลวอนเองก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะงั้นได้โปรดเงยหน้าขึ้นมาเถอะนะคะ”

               เวสน่ากล่าวถ่อมตน เลวอนจึงทำตามที่อีกฝ่ายร้องขอ ถัดมาแม่มดสาวนัยน์ตาสองสีซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างถัดจากซิสเตอร์ได้กล่าวแนะนำตัวเป็นรายต่อไปตามประสากุลสตรี

               “ดิฉันชื่อคลาร่า โรเซนครานซ์ อายุ 15 ปี นักเรียนจอมเวทฝึกหัดชั้นมัธยมปลายปีที่ 1 งานอดิเรกคือศึกษาเวทมนตร์โบราณขั้นสูงค่ะ… ดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในผู้สังเกตการณ์ในตอนที่คุณเลวอนกำลังฝึกซ้อมร่ายเวทสายฟ้าด้วยเช่นเดียวกัน แสดงพลังออกมาได้รุนแรงและน่าประทับใจมากเลยล่ะค่ะ”

               “คลาร่าเป็นลูกสาวของผู้รักษาการผู้นำหมู่บ้าน หรือปีเตอร์ โรเซนครานซ์ สำหรับฉันแล้วหล่อนคือนักเรียนจอมเวทฝึกหัดดีเด่นประจำโรงเรียนที่มีความสามารถเก่งกาจแทบทุกด้าน เชี่ยวชาญคาถาโบราณขั้นสูงต่างจากเด็กวัยรุ่นทั่วไป ส่วนตาสีฟ้าข้างซ้ายที่เธอเห็นอยู่เป็นของเทียม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะมองไม่เห็นโดยสมบูรณ์หรอกนะ”

               เลวอนที่ได้ยินคำอธิบายจากยาโรสลาฟดังนั้น จึงกล่าวถ้อยคำสุภาพถ่อมตนต่อเด็กสาวร่างเล็กผมทวินเทลเป็นการให้เกียรติแก่อีกฝ่าย เนื่องจากเธอเป็นลูกสาวของคนใหญ่คนโต และดูท่าทางน่าจะมีความรอบรู้มากกว่าตนเองอยู่พอสมควร

               “ตัวผมยังต้องเรียนรู้อะไรบางอย่างจากคุณโรเซนครานซ์อีกมากนัก จากนี้ไปรบกวนช่วยให้คำแนะนำผมด้วยนะครับ”

               “ได้โปรดเรียกดิฉันว่าคลาร่าเถอะค่ะ ความจริงแล้วตัวดิฉันเองก็ยังต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากศาสตราจารย์เช่นเดียวกัน คุณเลวอนควรรับฟังคำชี้แนะจากท่านน่าจะเป็นการดีกว่า… แล้วก็ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้นะคะ ครอบครัวของดิฉันไม่ใช่คนที่มีอำนาจบาตรใหญ่ถึงขนาดนั้น”

               “ให้ตายสิสมกับเป็นคุณหนูจริง ๆ ทำเอาฉันประหม่าตามเลวอนด้วยเลยแฮะ”

               วัตสันเกริ่นแซว โมนิก้าซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทสนมกับคลาร่ามากที่สุดจึงหันไปทักท้วงต่อเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีส้มด้วยสีหน้าคิ้วขมวดทันที

               “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันคะ ระวังคนฟังเขาจะรู้สึกไม่ดีนะ”

               “คร้าบ ๆ อย่าลืมกล่าวตักเตือนสเตฟก้าด้วยล่ะ ยัยนี่เองก็ชอบพูดจาแสบสันใช่ย่อยเหมือนกัน”

               วัตสันสบโอกาสยอกย้อนเด็กสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลอ่อนพลางยิ้มเยาะ จนอีกฝ่ายออกอาการหน้ามุ่ยไม่อยากเสวนาอะไรอีก คลาร่ายิ้มเจื่อนโดยไม่ถือสา ส่วนสเตฟาเนียเหลือบสายตาเขม็งเล็งไปยังพ่อมดหนุ่มมาดทะเล้นด้วยอาการนิ่งสงบ ทว่าภายในใจกลับไม่สบอารมณ์ต่อความยียวนกวนประสาทของเขาเป็นอย่างยิ่ง

               เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูกร่อยลง จิ้งจอกสาวผู้ร่าเริงจึงรีบเกริ่นแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มสดใส

               “อะแฮ่ม…! ฉันชื่อออเดรย์ เพอร์เน็ต อายุ 16 ปี นักเรียนจอมเวทฝึกหัดชั้นมัธยมปลายปีที่ 2 เป็นสายจอมดาบเวทเหมือนกัน ถ้าหากรุ่นพี่เลวอนสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเส้นทางสายนี้ล่ะก็มาขอคำปรึกษาจากฉันได้เสมอเลย ทางนี้ยินดีต้อนรับ แล้วก็ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ หัดเป็นกันเองให้มากกว่านี้สักหน่อยสิ”

               “อ-อื้อ คุณออเดรย์… ไม่สิ ออเดรย์… จะว่าไปแล้วหูกับหางจิ้งจอกนั่นของจริงใช่ไหม?” เลวอนซักถามเธอพลางชี้นิ้ว

               “ของจริงแน่นอน” ยาโรสลาฟสบโอกาสนี้อธิบายรายละเอียดแทน “ออเดรย์คือมนุษย์จิ้งจอกที่อพยพย้ายดินแดนมาจากฝรั่งเศส แถมยังเป็นจอมดาบเวทสายตะวันตกที่เก่งกาจที่สุดในเวลานี้ สำหรับคนที่เดินสายจอมดาบเวทเหมือนกัน ฉันขอแนะนำให้เธอเรียนรู้วิชาจากหล่อนเอาไว้ให้ดีจะถือเป็นประโยชน์อย่างมากเลยล่ะ”

               “โห…”

               เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนส่งเสียงอุทานแผ่วเบาอย่างประทับใจด้วยแววตาเป็นประกาย ดูเหมือนเขาจะให้ความสนใจต่อหูและหางจิ้งจอกของออเดรย์มากกว่าถ้อยคำชี้แจงจากผู้นำหมู่บ้านเสียอีก แม่มดสาวจอมดาบเวทนัยน์ตาสีอำพันจึงรีบขดหางนำสองมือบางขึ้นมาปิดบังใบหูด้วยความเหนียมอายทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำทันที

               “ย… อย่าจ้องขนาดนั้นสิ ก็รู้อยู่หรอกว่ามันไม่ได้เข้ากับหน้าตาฉันเลย”

               “พูดอะไรแบบนั้น ทั้งใบหูและหางจิ้งจอกนั่นเข้ากับออเดรย์มากเลย แถมยังน่ารักสุด ๆ ด้วย”

               “อ-เอ๊ะ!? จริงเหรอ นี่ไม่ได้พูดปลอบใจฉันใช่ไหม?”

               ออเดรย์ซักถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เลวอนผงกศีรษะยืนยันคำตอบพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น เด็กสาวจึงฉีกยิ้มค่อย ๆ ละสองมือบางวางลงบนตักตนอย่างอ่อนระทวย พลางส่ายหางกระดิกหูจิ้งจอกไปมาช้า ๆ ด้วยความตื้นตันใจต่อคำชมจากเขา

               “ขอเสียมารยาทนะคะ จะว่ายังไงดีล่ะ เห็นใช้คำพูดหยอดออเดรย์แบบนี้ดูแล้วก็แทบเดาไม่ออกเลยว่ารุ่นพี่เลวอนเป็นผู้ชายที่ใสซื่อหรือร้ายบริสุทธิ์กันแน่ ขืนทำตัวอัธยาศัยดีต่อเด็กสาวคนอื่น ๆ ไม่เลือกหน้าระวังจะกลายมาเป็นศัตรูของผู้หญิงในภายหลัง ดีไม่ดีอาจถูกเหล่าบรรดาวัยรุ่นชายทั้งหมู่บ้านรุมหมั่นไส้ใส่ด้วย”

               สเตฟาเนียผู้ซึ่งนั่งอยู่ใกล้เลวอนมากที่สุดทางฝั่งขวามือเกริ่นคำพูดโผงผางโดยปราศจากความอ้อมค้อม วัตสันถึงกับยกสองมือขึ้นปิดปากกลั้นขำสุดกำลัง ทางโมนิก้าเองก็ได้ผงกศีรษะเห็นพ้องต่อความคิดเห็นดังกล่าว ขณะเดียวกันพ่อมดหนุ่มวัยเยาว์เริ่มสนทนาตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไม่ถือสาพร้อมด้วยรอยยิ้มจาง ๆ

               “แหะ ๆ โมนิก้าเองก็ชอบจะแซวผมแบบนี้อยู่เหมือนกัน ไม่แปลกหรอกที่คุณจะมองผมเป็นคนแบบนั้น ขอบคุณสำหรับคำเตือนนะครับ ผมจะระมัดระวังให้มากกว่านี้… เอ่อ คุณ…”

               แม่มดสาวพราวเสน่ห์ถึงกับอ้าปากค้างเล็กน้อยเพียงชั่วขณะ รู้สึกผิดคาดที่เลวอนยังคงเผยท่าทีจริงใจและใสซื่อถ่อมตนอย่างเป็นธรรมชาติ มิหนำซ้ำยังรับฟังคำแนะนำจากตนแต่โดยดีแม้ว่าจะใช้ถ้อยคำแบบตรงไปตรงมาก็ตาม ด้วยเหตุนี้เธอจึงแย้มสรวลเล็ก ๆ มุมปาก พร้อมกล่าวแนะนำตัวต่อเขาอย่างอ่อนละมุน

               “สเตฟาเนีย เลฮารอฟว่า อายุ 16 ปี นักเรียนจอมเวทฝึกหัดชั้นมัธยมปลายปีที่ 2 งานอดิเรกคือการปรุงยากับศึกษาด้านเภสัช โดยเฉพาะยาพิษและยาต้องเสน่ห์… ต้องขอโทษรุ่นพี่ด้วยที่ฉันชอบพูดจาขวานผ่าซากจนติดเป็นนิสัย คงจะรู้สึกไม่ดีงั้นสินะคะ?”

               “ไม่หรอกครับ ดีแล้วล่ะที่เปิดใจพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ผมชอบคนที่มีนิสัยแบบนี้มากกว่าพวกหน้าไหว้หลังหลอกเสียอีก ถึงแม้คำพูดคำจาจะฟังดูรุนแรงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายกับใครอยู่แล้วใช่ไหมล่ะครับ?”

               เลวอนกล่าวปลอบโยนด้วยความสัตย์จริง วัตสันที่เห็นเพื่อนสนิทยังคงอากัปกิริยาใจเย็นต่อถ้อยคำของสเตฟาเนียไปตามปกติถึงกับเกริ่นแซวใส่อีกฝ่ายโดยพลัน

               “ไอ้หยา เจ้าบ้านี่เอาแล้วไง ขนาดฉันเจอแบบนี้ยังต้องถอยออกห่างไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับเธอด้วยเลย นี่อย่าบอกนะว่านายเป็นพวกมาโซคิสม์?”

               “ใช่ซะที่ไหนกันเล่า!”

               เลวอนรีบปฏิเสธเสียงแข็ง เหล่าบรรดาแม่มดสาวแอบส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ส่วนยาโรสลาฟเริ่มอธิบายรายละเอียดให้เด็กหนุ่มฟังอีกครั้ง

               “ในเรื่องของการปรุงยาสมุนไพร สเตฟาเนียถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของวัตสันเลยก็ว่าได้ เนื่องจากทั้งคู่มีความชำนาญในด้านนี้สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโรงเรียนจนถึงขนาดไม่ค่อยกินเส้นกันในบางครั้ง… จริงสิ ก่อนหน้านี้หล่อนยังใช้คาถาสายฟ้าที่เป็นเวทมนตร์โบราณชั้นสูงทดสอบใกล้จุดเกิดเหตุอีกด้วย ดูเหมือนหล่อนตั้งใจอยากจะลบล้างสถิติที่เธอเคยทำเอาไว้เมื่อช่วงเช้าตรู่นั่นแหละ”

               กล่าวจบผู้นำหมู่บ้านจึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดคลิปบันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่สเตฟาเนียร่ายคาถาพันหอกวาสวีให้เลวอนได้รับชมตั้งแต่ต้นจนถึงจบ เมื่อรับชมเสร็จแล้วพ่อมดหนุ่มก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความประทับใจ ไม่นานนักโมนิก้าก็ได้เกริ่นทักท้วงต่อยาโรสลาฟด้วยความสงสัย

               “ด-เดี๋ยว ศาสตราจารย์แอบถ่ายคลิปเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ?”

               “ฮะฮะฮะ เห็นหัวโบราณแบบนี้แต่ฉันเองก็เป็นมนุษย์กล้องเหมือนกันนะ”

               ยาโรสลาฟพูดจาติดตลกก่อนจะเก็บสมาร์ตโฟนเอาไว้ที่เดิม ส่วนพ่อมดแม่มดวัยใสต่างพากันหัวเราะแห้ง ระหว่างนั้นเลวอนก็ได้หันไปสนทนากับสเตฟาเนียด้วยสีหน้าท่าทีตื่นเต้น

               “ส… สุดยอดมากเลยครับคุณสเตฟาเนีย”

               “ฉันไม่ได้เป็นคนที่สุดยอดอะไรถึงขนาดนั้นหรอกนะคะ” เด็กสาวนัยน์ตาสีส้มพูดจาถ่อมตน “ช่วยเรียกฉันว่าสเตฟก้าเถอะค่ะ อีกอย่างฉันเป็นรุ่นน้องของคุณ ไม่จำเป็นต้องใช้คำสุภาพก็ได้ แบบนั้นมันจะทำให้เราสองคนสนิทสนมและเข้าถึงกันได้ง่ายมากกว่า”

               “เข้าใจแล้วล่ะ… จะว่าไปแล้วคาถาพันหอกวาสวีนี่ดูทรงพลังมากเลย ถึงขนาดอัญเชิญสายฟ้าทำลายเป้าหมายเป็นบริเวณวงกว้างแถมยังมีความต่อเนื่องแบบนี้ ถ้าเป็นผมล่ะก็คงต้องฝึกฝนอีกหลายปี…”

               “แต่ฉันว่าเวทมนตร์สายฟ้าของรุ่นพี่เลวอนสุดยอดมากกว่านะคะ เห็นแล้วยังแอบนึกอิจฉาจนถึงขั้นอยากเอาชนะสถิติของคุณให้ได้เสียด้วยซ้ำไป”

               “นี่สเตฟก้า ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ช่วยสอนคาถาพันหอกวาสวีให้ผมหน่อยสิ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนผมเองก็จะสอนคาถาวัชระโตมรให้เธอเหมือนกัน”

               เลวอนยื่นข้อเสนอชักชวนอีกฝ่ายตามประสาเด็กหนุ่มผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้สเตฟาเนียจึงเกิดความรู้สึกสนใจและนึกอยากกลั่นแกล้งเขาขึ้นมา เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้โน้มเรือนร่างเข้าใกล้เขาจนใบหน้าเริ่มแนบชิดพร้อมด้วยรอยยิ้มยั่วยวน แล้วเอ่ยน้ำเสียงกระซิบแผ่วเบาออกไป ส่งผลให้อีกฝ่ายออกอาการเหนียมอายตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง

               “นึกแล้วเชียว เป็นคนที่ร้ายกาจจริง ๆ ด้วย… แต่ดูท่าทางอ่อนต่อโลกแบบนี้เห็นทีฉันคงต้องสอนวิธีรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้หญิงให้กับรุ่นพี่เลวอนแบบสองต่อสองซะแล้วล่ะสิ”

               “ไม่ได้นะคะสเตฟก้า ฉันจะไม่ยอมให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพังเด็ดขาด เว้นแต่ต้องให้ฉันตามไปดูแลด้วย!”

               โมนิก้ารีบลุกขึ้นห้ามปราม คลาร่าเห็นท่าทีหึงหวงของเพื่อนสนิทดังนั้นจึงนึกสนุกอยากกลั่นแกล้งตาม โดยการพูดจาเชิญชวนเลวอนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พลางส่งซิกหลับตาซ้ายโปรยเสน่ห์ใส่เด็กหนุ่มอย่างมีชั้นเชิง

               “ถ้าหากคุณเลวอนสนใจในวิชาเวทมนตร์โบราณขั้นสูงแขนงอื่น ๆ ล่ะก็ เดินทางมาปรึกษากับดิฉันที่คฤหาสน์ได้เสมอเลยนะคะ เผื่อจะได้ดื่มน้ำชาและทานของหวานด้วยกัน”

               “ส่วนเรื่องวิถีแห่งจอมดาบเวทไว้ใจฉันได้เลย” จิ้งจอกสาวชักชวนพลางลุกขึ้นโน้มตัวเข้าใกล้เลวอน เธอส่งสายตาออดอ้อนพร้อมส่ายหางกระดิกหูไปมาอย่างตื่นเต้น “แต่มีข้อแลกเปลี่ยนคือต้องให้ฉันลูบสางผมของรุ่นพี่ทุกครั้งหลังจากทำการสอนเสร็จแล้ว ถือซะว่าเป็นการเสียค่าครูตามธรรมเนียมก็แล้วกัน แหะแหะ~”

               “แม้แต่คุณคลาร่ากับออเดรย์เองก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอคะเนี่ย? ฉันเองก็อยากจะอยู่กับคุณเลวอนแบบสองต่อสองเหมือนกันนะ โธ่…!”

               โมนิก้าคิ้วขมวดบ่นพึมพำด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ วัตสันจึงส่งยิ้มเวทนาพลางยกมือวางบนไหล่ร่างเล็กเพื่อปลอบโยน ยาโรสลาฟซึ่งได้แต่ยืนมองดูบรรยากาศอันแสนชื่นมื่นของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ถึงกับแย้มสรวลมุมปากอย่างพึงพอใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นบทสนทนาสำคัญอีกครั้งดังนี้

               “เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ฉันอยากจะให้พวกเธอช่วยเก็บเอาไว้เป็นความลับ เพราะฉันไม่อยากทำให้ทุกคนในหมู่บ้านนี้แตกตื่นหรือเกิดความสับสน เข้าใจแล้วใช่ไหมทุกคน?”

               “เข้าใจแล้วครับ/รับทราบค่ะ” เหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสตอบรับคำขออย่างพร้อมเพรียง

               “จริงสิศาสตราจารย์ แม่รู้เรื่องที่ผมแอบลงมือก่อเหตุแล้วหรือยังครับ” เลวอนซักถามต่อยาโรสลาฟด้วยสีหน้ากังวลใจ “เป็นไปได้อยากให้ช่วยปิดเงียบเรื่องนี้เอาไว้ก่อนเพราะไม่อยากทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ ผมน่ะไม่อยากให้ใครต้องมาคอยเป็นห่วงมากไปกว่านี้อีกแล้ว…”

               “การที่ไม่ยอมบอกความจริงออกไปทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายถึงชีวิตเนี่ยสิน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า เพราะงั้นฉันถึงรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แม่เธอได้รับทราบแล้วล่ะ”

               “เอ๊ะ!?”

               แกร๊ก

               ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูทางเข้าออกของห้องพยาบาลดังขึ้น เยวา สตรีรูปงามผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวยในชุดพื้นเมืองอาร์มีเนีย ก้าวเท้ามุ่งตรงเข้ามาหาเลวอนด้วยสีหน้าคิ้วขมวดไม่สบอารมณ์สุดขีด สร้างความแปลกใจต่อเหล่าหนุ่มสาวทั้งเจ็ดเป็นอย่างมาก แต่ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะพูดแก้ตัวใด ๆ ผู้เป็นแม่ก็รีบหยิกใบหูของเขาแดงแปร๊ดพร้อมทั้งส่งเสียงตวาดใส่ทันที

               “เลวอน รู้ตัวบ้างไหมว่าทำอะไรลงไป ก่อเรื่องเดือดร้อนไม่พอแถมยังฝืนตัวเองทั้งที่ร่างกายเพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นานแท้ ๆ ชอบทำให้พ่อกับแม่ลำบากใจอยู่เรื่อยเลยนะ เดี๋ยวก็ได้ตายก่อนวัยอันควรหรอกเจ้าเด็กคนนี้!”

               “โอ๊ยเจ็บเจ็บเจ็บ! แม่ครับนี่มันห้องพยาบาลนะ อย่าส่งเสียงรบกวนคนอื่นสิ!” พ่อมดหนุ่มกล่าวทักท้วงพลางยกมือขึ้นกุมใบหูตนด้วยความเจ็บแปลบ ในขณะที่ทุกคนภายในห้องต่างเฝ้ามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ

               “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย นอกจากลูกแล้วก็ไม่เห็นมีผู้ป่วยคนอื่นเลยสักคน กลับบ้านกันได้แล้ว!” เยวาส่งเสียงเอ็ดใส่ลูกชายอีกครั้ง ก่อนจะหันไปสนทนากับผู้นำหมู่บ้านด้วยสีหน้าท่าทีสำนึกผิด “ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะที่ลูกชายของดิฉันสร้างความเดือดร้อน แล้วก็ขอขอบพระคุณมากที่ช่วยรักษาเขาจนอาการป่วยบรรเทาลง ดิฉันทั้งรู้สึกซาบซึ้งและละอายใจเสียเหลือเกินค่ะ”

               “ไม่เอาน่าอีวา สำหรับฉันแล้วเลวอนเองก็เปรียบเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง… พาลูกชายกลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านเถอะ นี่ก็ใกล้จะถึงวันเปิดเทอมแล้ว เพราะงั้นคอยระวังอย่าให้เขาดึงพลังเวทออกมาใช้แบบสิ้นเปลืองโดยเด็ดขาด”

               ยาโรสลาฟให้คำแนะนำด้วยน้ำเสียงละมุนพร้อมเรียกชื่อเล่นอีกฝ่าย เยวาจึงก้มโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ แล้วเงยใบหน้าขึ้นมาก่อนจะสนทนากับบุรุษผู้ทรงสง่าอย่างนอบน้อมอีกครั้ง

               “เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน ไว้ดิฉันกับสามีจะนำของฝากมาเยี่ยมศาสตราจารย์ที่ปราสาทสีขาวเป็นการตอบแทนนะคะ” จากนั้นสตรีผู้มีใบหน้าโฉมงามก็ได้หันมาพูดกับลูกชายตนด้วยสีหน้าคิ้วขมวด “กลับถึงบ้านคงต้องเทศนายาวเหยียดกันสักหน่อยล่ะ โมนิก้ากับวัตสันเองก็ด้วย”

               “ค… ครับ/ค่ะ”

               พ่อมดหนุ่มนักปรุงยามาดทะเล้นกับเด็กสาวร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลถึงกับออกอาการจ๋อย ทั้งคู่คาดเดาเอาไว้แล้วว่าหากกลับไปถึงบ้านเมื่อไหร่คงไม่พ้นโดนเยวาบ่นชุดใหญ่อย่างแน่นอน

               เลวอนลงจากเตียงโดยที่ไม่ต้องรอให้แม่ของตนสั่งซ้ำสอง มุ่งเท้าเดินไปหยิบหนังสือเวทมนตร์ภาษาอาร์มีเนียโบราณกับดาบอัศวินซึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมา ก่อนจะหันไปกล่าวคำอำลาต่อผู้นำหมู่บ้านกับเหล่าบรรดาเพื่อน ๆ ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มอารมณ์ดี

               “วันนี้ต้องขอขอบคุณและต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ถ้างั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน ไว้เจอกันใหม่นะครับ”

               พูดจบเลวอน เยวา โมนิก้า และวัตสันจึงเดินทางออกจากห้องพยาบาลแห่งนี้ ในขณะที่แม่มดสาวทั้งสี่ต่างยิ้มมุมปากอย่างชอบใจต่อความใสซื่อ และความมีอัธยาศัยที่เป็นธรรมชาติของเขา ส่วนยาโรสลาฟได้แหงนศีรษะทอดมองไปยังท้องฟ้าสีครามยามเช้าผ่านทางบานหน้าต่าง พร้อมทั้งกล่าวพึมพำออกมาอย่างพึงพอใจ

               “จากนี้ไปคงต้องมีเรื่องสนุก ๆ เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างแน่นอน ฉันกล้ารับประกันเลย”

Options

not work with dark mode
Reset