แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 10: เครื่องราง

               วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม ปีคริสต์ศักราช 2019 เวลา 8 นาฬิกา 36 นาที ณ หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน

               ท้องฟ้าสีครามปลอดโปร่งปราศจากเมฆบัง แสงแห่งรุ่งอรุณเฉิดฉายความอบอุ่นลงมายังพื้นที่พงไพรและแหล่งชุมชน เหล่าพ่อมดแม่มดต่างลุกตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันของแต่ละคน และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างปกติสุขเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

               เลวอนอยู่ในชุดลำลองสุภาพแบบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงสแล็ค ได้ก้าวเท้าลงบันไดจากห้องนอนชั้นสองหลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสิ้น เพื่อลงมารับประทานอาหารเช้าซึ่งแม่ของตนตระเตรียมเอาไว้ให้ในห้องครัว เมนูวันนี้คือ Gata ขนมปังอาร์มีเนียที่ทำจากแป้งถั่วและเบกกิ้งโซดาเป็นส่วนผสมหลัก พร้อมถ้วยโกโก้อุ่น ๆ หนึ่งแก้ว

               หลังจากที่เด็กหนุ่มลงมือรับประทานมื้อเช้าเสร็จสิ้น ตามด้วยยาบำรุงเม็ดสีแดงซึ่งได้รับมาจากยาโรสลาฟเมื่อวานนี้ เขาก็พลันเกริ่นซักถามเยวาในระหว่างที่เธอกำลังยืนทำความสะอาดภาชนะตรงบริเวณหน้าอ่างล้างจานด้วยความสงสัย

               “พ่อยังไม่กลับมาถึงบ้านอีกเหรอครับ?”

               “ยังเลยจ้ะ เมื่อเช้าพ่อโทรศัพท์มาบอกแม่ว่าอาจเดินทางกลับมาถึงที่บ้านช้าหน่อย”

               “หายไปทั้งวันแบบนี้คงจะเป็นภารกิจปราบปีศาจที่ตึงมือน่าดูเลยแฮะ ชักเป็นห่วงซะแล้วสิ”

               “เห็นแบบนี้แล้วพ่อเขาก็เอาตัวรอดเก่งเหมือนกันนะจะบอกให้ ลูกน่ะควรเป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่า อย่าลืมสิเมื่อวานนี้ลูกได้ทำอะไรลงไปไว้บ้าง”

               ผู้เป็นแม่ทักท้วงพลางนำภาชนะที่ชะล้างน้ำเสร็จแล้วขึ้นมาเช็ดถูให้หมาดด้วยผ้าขนหนู แล้วนำไปวางบนชั้นตะแกรงให้เรียบร้อย เลวอนถึงกับอ้ำอึ้งไม่อาจสรรหาคำพูดใด ๆ มาโต้แย้งได้ ขณะนั้นเองเด็กหนุ่มสังเกตเห็นกระเช้าผลไม้วางอยู่บนโต๊ะอีกฝั่งหนึ่งทางด้านซ้ายมือ ก่อนจะกล่าวสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง

               “แม่ครับ กระเช้าผลไม้นั่น…”

               “อ๋อ แม่ตั้งใจว่าจะมอบของขวัญให้กับซิสเตอร์เวสน่าที่โบสถ์สักหน่อย ตอบแทนเรื่องที่เธอช่วยรักษาอาการป่วยให้ลูกเมื่อเช้าวานนี้ยังไงล่ะ”

               “ว่าจะออกไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอกอยู่พอดี ถ้างั้นเดี๋ยวผมเอาของไปส่งให้นะครับ”

               “หืม… ไม่ใช่ว่าลูกแอบไปฝึกซ้อมคาถาข้างนอกเหมือนเมื่อวานนี้อีกใช่ไหม?”

               เยวาหันมาจ้องเขม็งจนเลวอนสะดุ้งตกใจ เด็กหนุ่มจึงรีบหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาแสดงให้เห็นพร้อมชี้แจงอย่างลนลาน

               “ม-ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ดูสิวันนี้ผมพกแค่ไม้กายสิทธิ์ติดตัวมาด้วยเท่านั้น”

               “ถ้าลูกยังแอบก่อเรื่องโดยพลการอีกคราวนี้แม่จะริบทั้งไม้กายสิทธิ์ หนังสือเวทมนตร์และดาบอัศวิน รวมถึงกักบริเวณลูกให้อยู่แต่ในบ้านเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เลยคอยดูสิ”

               ผู้เป็นแม่กล่าวเตือน ส่วนลูกชายได้แต่ยิ้มแห้งพลางนำไม้กายสิทธิ์เก็บเข้าใส่ในซองกระเป๋าหนังหลังเข็มขัดไว้ตามเดิม ก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระเช้าผลไม้ขึ้นมาแล้วเกริ่นอาสาขอทำหน้าที่แทนอย่างท่าทีกระตือรือร้น

               “ผมขอสัญญาว่าจะไม่ก่อเรื่องเหมือนเมื่อวานนี้อีก ที่สำคัญผมอยากมอบของขวัญพร้อมกล่าวคำขอบคุณแก่ซิสเตอร์ด้วยตัวเอง เพราะงั้นวางใจได้เลยครับ”

               เยวาถอนหายใจเล็กน้อย ไม่ใช่เอือมระอาแต่เป็นเพราะรู้สึกกังวลใจและห่วงใยเสียมากกว่า เธอจึงผงกศีรษะยอมรับข้อเสนอแล้วเอ่ยกำชับออกมาอีกครั้ง

               “เข้าใจแล้วจ้ะ ถ้างั้นแม่ขอฝากด้วยนะ แล้วอย่ามัวเที่ยวเถลไถลไปไกลเชียวล่ะ… พ่อกับแม่เป็นห่วงลูกนะรู้ไหม?”

               “ผมรู้แล้วล่ะ ถ้างั้นผมไปล่ะนะครับ”

               เลวอนส่งรอยยิ้มละมุนเพื่อให้ผู้เป็นแม่คลายความกังวลใจ ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องครัวมุ่งไปยังระเบียงเพื่อสวมรองเท้าหนังสีดำมันวาว แล้วเริ่มเดินทางออกจากบ้านอย่างไม่รอรีด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใส

               พ่อมดหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนก้าวเท้าบนบาทวิถีริมถนน มุ่งหน้าไปยังทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านใกล้นอกเขตพื้นที่ ซึ่งมีโบสถ์คริสต์สไตล์อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์สีขาวตั้งเด่นตระหง่าน โดยอยู่ห่างจากจุดนี้ประมาณสองกิโลเมตรเท่านั้น

               เมื่อเดินทางไปได้สักพัก เขาก็เผอิญเห็นเด็กสาวร่างเพรียวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาในชุดแม่มดนักศึกษา กำลังนั่งดูลูกแก้วพยากรณ์อยู่บนเก้าอี้สาธารณะใต้ต้นไม้อย่างใจจดใจจ่อ เธอคนนี้คือโมนิก้านั่นเอง

               “อรุณสวัสดิ์โมนิก้า กำลังทำนายอะไรอยู่เหรอ?”

               เลวอนทักทายพลางย่างเท้าเข้าไปหาเด็กสาวใกล้ ๆ จนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงเล็กน้อย เธอรีบเงยหน้าตอบกลับด้วยท่าทีตื่นเต้นพร้อมทั้งขยับตัวไปทางซ้ายแบ่งปันพื้นที่ว่าง เพื่อให้บุรุษหนุ่มสามารถนั่งพักผ่อนอยู่เคียงข้างเธอได้อย่างสะดวก

               “อ-อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณเลวอนมาได้จังหวะพอดีเลย นั่งลงก่อนสิคะ”

               “สีหน้าดูไม่ค่อยสบายใจเชียว มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

               เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันค่อย ๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้สาธารณะแล้วหันไปทอดมองอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล ทว่าโมนิก้ากลับส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมตอบไปดังนี้

               “ทางฉันไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ คุณเลวอนต่างหากที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อครู่นี้ฉันได้ลองทำนายดวงชะตาของคุณเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ สัมผัสได้ถึงลางบอกเหตุบางอย่าง ก็เลยรู้สึกกังวลใจขึ้นมาน่ะค่ะ”

               “อ-เอ๊ะ บอกได้ไหมว่าผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง?”

               เลวอนเผยสีหน้าคิ้วขมวดเมื่อรู้ว่าตนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย โมนิก้าก้มหน้าทอดสายตามองลูกแก้วพยากรณ์ซึ่งวางอยู่บนหน้าตักของตนต่อไป พลางนำสองมือบางประคองเอาไว้อย่างมั่นคงจนเกิดแสงสว่างขึ้นภายในวัตถุสีใส ก่อนจะปรากฏกลุ่มหมอกควันก่อกำเนิดเป็นรูปร่างอะไรบางอย่าง ถัดมาแม่มดสาวจึงเริ่มสรุปคำทำนายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               “ฉันมองเห็นรูปร่างของหมอกควันสีเทาคล้ายคล้ายมนุษย์เพศหญิง แต่มันค่อนข้างคลุมเครือจนไม่สามารถอธิบายถึงเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน แต่ก็พอตีความหมายคร่าว ๆ ได้ว่าคุณเลวอนอาจจะต้องประสบภัยอะไรบางอย่าง ด้วยน้ำมือของอิสตรีค่ะ

               “ม… หมายถึงแม่รึเปล่า? ไม่แน่ว่าบางทีผมอาจเผลอตัวก่อความเดือดร้อนจนโดนแม่ดุซ้ำสองอีกก็เป็นได้”

               “คิดว่าไม่น่าใช่นะคะ เพราะกลุ่มหมอกที่ก่อตัวขึ้นมานั้นเป็นเด็กสาว น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณเลวอน… ว่าแต่เมื่อวานนี้คุณเลวอนได้สุงสิงอยู่กับพวกสเตฟาเนียไปแล้วนี่คะ? หรือว่ามีนัดกับพวกเธอเอาไว้ถึงได้ออกมาข้างนอกพร้อมกระเช้าผลไม้ติดมือมาด้วย… น่าสงสัยจังเลยค่ะ”

               โมนิก้าหันมาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน เลวอนถึงกับเหงื่อตกรีบกล่าวปฏิเสธเธออย่างรวดเร็ว

               “ไม่ใช่นะ ผมแค่เดินทางเอาของขวัญไปมอบให้กับซิสเตอร์ที่โบสถ์ก็เท่านั้นเอง ตอบแทนเรื่องที่คนคนนั้นเคยช่วยรักษาอาการป่วยให้ผมเมื่อวานนี้ยังไงล่ะ!”

               “จริงเหรอคะ ถ้างั้นก็แล้วไปค่ะ” แม่มดสาวนัยน์ตาสีฟ้าพองแก้มใส่เล็กน้อย ก่อนจะดึงท่าทีและน้ำเสียงจริงจังกลับคืนมาแล้วกล่าวคำอธิบายต่อไป “คิดว่าคงไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ทางที่ดีคุณเลวอนควรระวังตัวเอาไว้ให้มาก พยายามหลีกเลี่ยงผู้หญิงแปลกหน้าไปสักระยะหนึ่ง อย่าใช้อารมณ์โต้ตอบกลับไปโดยเด็ดขาด แล้วเรื่องเลวร้ายหนักหนาสาหัสทุกอย่างจะกลายเป็นเบาค่ะ”

               “โมนิก้าเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนี่นา ถ้างั้นผมควรถอยห่างออกจากเธอก่อนดีกว่า” เด็กหนุ่มแซว

               “คุณเลวอนใจร้ายที่สุด! พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งนานแต่กลับมองเห็นฉันเป็นผู้หญิงแปลกหน้าเหรอคะ!? นี่ฉันกำลังจริงจังอยู่นะ อุตส่าห์ตั้งใจดูดวงชะตาของคุณเลวอนทุกวันก็เพราะว่าเป็นห่วงแท้ ๆ พูดจากันแบบนี้ไม่ขอคุยด้วยแล้วค่ะ!”

               โมนิก้าขมวดคิ้วส่งเสียงไม่พอใจก่อนจะหันหน้าเมินหนี เลวอนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบกล่าวออกไปด้วยท่าทีสำนึกผิด

               “ข… ขอโทษที ไม่รู้มาก่อนเลยว่าโมนิก้าจะทำเพื่อผมถึงขนาดนี้ เพราะงั้นมาคืนดีกันเถอะนะ!”

               “……ลูบหัวให้รางวัลกันก่อนสิคะ แล้วฉันจะยกโทษให้”

               เด็กสาวยกสองมือบางถอดหมวกแม่มดออกจากศีรษะแล้วนำมาวางลงบนตัก ค่อย ๆ หันหน้าสบตามองเลวอนอีกครั้งอย่างลึกซึ้ง บุรุษหนุ่มถึงกับเหนียมอายนึกลังเลใจเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจยกมือขึ้นลูบสางศีรษะเธอ พร้อมเอ่ยน้ำเสียงนุ่มลึกชวนให้ความรู้สึกสบายใจออกมา

               “ขอบคุณมากนะ ผมจะทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเลย… ให้ตายสิผู้หญิงอะไรนอกจากจะเรียนเก่งแล้วยังมีนิสัยชอบเอาใจใส่เพื่อน ๆ ทั้งเข้มงวดแถมน่ารักอีกต่างหาก ถ้าหากมีผู้ชายคนไหนได้โมนิก้าไปเป็นเจ้าสาวล่ะก็คงโชคดีน่าดู”

               “อ-เอ๊ะ!?”

               โมนิก้าตาโตแก้มแดงแปร๊ดถึงใบหูด้วยอาการตกตะลึง เธอยกหมวกใบใหญ่สีดำขึ้นมาปิดบังใบหน้าส่วนล่าง เหลือไว้แค่เพียงดวงตาสีฟ้าชวนหลงใหลเท่านั้น แล้วกล่าวกับคู่สนทนาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือพอประมาณ

               “ถ… ถ้าพูดถึงขนาดนั้น ก็แล้วทำไมไม่ทำให้ฉันกลายเป็นเจ้าสาวของคุณเลวอนซะเลยล่ะคะ?”

               “เอ๊ะ!?”

               ครั้งนี้ถึงคราวที่เลวอนเป็นฝ่ายแปลกประหลาดใจบ้างแล้ว แม้นว่าตนและโมนิก้าต่างรู้สึกใจเต้นรัวด้วยความเขินอาย แต่ทั้งคู่ก็ไม่อาจละสายตาแยกจากกันได้เลยท่ามกลางความเงียบสงบ ประดุจดั่งว่าบนโลกใบนี้มีเพียงแค่เขาและเธอสองคน

               “อะแฮ่ม อรุณสวัสดิ์ทั้งสองคน”

               ทว่าทั้งบรรยากาศและความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กันนั้นกลับต้องพังทลายลงด้วยเสียงกระแอมของวัตสัน พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาจอมทะเล้น ซึ่งกำลังยืนอยู่ทางด้านหลังของเลวอนและโมนิก้า จนสองวัยรุ่นชายหญิงสะดุ้งเฮือกตกใจรีบเอนตัวถอยหลังออกห่างจากกันอย่างรวดเร็ว

               “เหวอ!? /ว้าย!?”

               “ฮะฮะฮะ โทษทีที่มาสาย นี่ฉันเข้ามาขัดจังหวะพวกนายสองคนรึเปล่าเนี่ย?”

               วัตสันซักถามพลางฉีกยิ้ม ทว่าโมนิก้ากลับให้คำตอบด้วยสีหน้าไม่พอใจสุดขีด พลางใช้สายตาจิกใส่จนอีกฝ่ายหวาดผวา ก่อนที่เด็กสาวจะนำเอาลูกแก้วพยากรณ์เก็บใส่ลงในหมวกแม่มดใบใหญ่ซึ่งสามารถบรรจุสิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด แล้วหยิบขึ้นมาสวมศีรษะให้เรียบร้อย เธอลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้และหันมาพูดคุยกับเลวอนอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

               “ขอโทษด้วยนะคะ จากนี้ไปฉันกับวัตสันต้องเดินทางไปยังปราสาทสีขาว เพื่อนำรายชื่อสมุนไพรที่เก็บเกี่ยวมาได้ส่งให้ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟ กว่าจะว่างจากงานคงถึงช่วงเวลาพักเที่ยงพอดี ถ้าหากคุณเลวอนเสร็จธุระจากทางโบสถ์เมื่อไหร่เชิญแวะมาหาพวกเราได้เสมอเลย… ที่สำคัญช่วงนี้ควรระมัดระวังตัวเอาไว้ให้มาก ๆ มีเรื่องฉุกเฉินอะไรก็ขอให้รีบโทรติดต่อมาหาฉันได้โดยทันที ตกลงนะคะ?”

               “เข้าใจแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะโมนิก้า… ถ้างั้นเอาไว้เจอกันใหม่นะทั้งสองคน เดินทางกันดี ๆ ล่ะ” เลวอนตอบกลับพร้อมทั้งฉีกยิ้มละมุนปิดท้ายบทสนทนา

               “โอ้ว นายเองก็ด้วย แล้วเจอกันสหาย”

               วัตสันกล่าวคำอำลา ส่วนโมนิก้าโบกมือให้เลวอน ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินจากสถานที่แห่งนี้ไป

               หลังจากที่เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนนั่งพักผ่อนอยู่เป็นเวลาครู่หนึ่งจนรู้สึกหายเหนื่อย ตนจึงตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อออกเดินทางต่อไปโดยมุ่งหน้าสู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน และไม่ลืมที่จะถือกระเช้ากระเช้าผลไม้ติดมือมาด้วย

 

               ********************

 

               เลวอนเดินทางมาถึงโบสถ์เซนต์มิฮาอิล-ชีลีนา ตั้งอยู่ห่างจากปราสาทสีขาวประมาณห้ากิโลเมตร สถานที่ดังกล่าวเป็นอาคารสีขาวบริสุทธิ์สูงเท่าตึกสามชั้น บนยอดโดมสีทองมีลักษณะคล้ายรูปทรงหัวหอมสไตล์อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ สื่อให้เห็นถึงความเรียบง่ายแต่แฝงไว้ซึ่งความวิจิตรตระการตา

               เมื่อถึงที่หมายเด็กหนุ่มจึงได้พบปะกับเวสน่า ซิสเตอร์สาวหน้าตาสะสวยเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีม่วงและนัยน์ตาสีอำพัน กำลังช่วยเหล่าบรรดาลูกศิษย์หญิงทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบของศาสนสถานอย่างขะมักเขม้น เลวอนมอบกระเช้าผลไม้ให้แก่เจ้าอาวาสทันทีเพื่อไม่ให้รบกวนการทำงานของพวกเธอ ส่วนอีกฝ่ายรับของฝากด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มพร้อมกล่าวคำขอบคุณกลับไปอย่างเป็นมิตร

               “อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่โบสถ์เพื่อนำของฝากมาให้แบบนี้ ต้องขอขอบพระคุณมากเลยนะคะ”

               “ทางนี้เองก็ต้องขอขอบพระคุณเช่นเดียวกันครับที่ซิสเตอร์รักษาอาการป่วยให้ผมเมื่อวาน แต่ไม่รู้ว่ากระเช้าผลไม้นี้จะเพียงพอสำหรับการตอบแทนบ้างรึเปล่า…” เลวอนหลบสายตาอีกฝ่ายเล็กน้อยด้วยความละอายใจ

               “เพียงแค่น้ำใจอันบริสุทธิ์ที่คุณเลวอนมอบให้ก็ถือว่ามากพอสำหรับฉันแล้วล่ะค่ะ… อลิซ ช่วยนำกระเช้าผลไม้ไปวางไว้ในห้องครัวที”

               เวสน่าส่งเสียงเรียกนักเรียนหญิงเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองที่กำลังตกแต่งสวนรอบรั้วโบสถ์ เด็กสาวคนนี้อยู่ในชุดนักพรตแบบเดียวกันเพียงแต่เป็นโทนสีขาวดำดูเรียบง่าย ไม่รอช้าอลิซจึงเดินเข้ามารับกระเช้าผลไม้ แล้วนำไปเก็บไว้ในห้องครัวตามที่เจ้าอาวาสร้องขอ

               “อ๊ะจริงสิ ฉันมีของสำคัญอยากจะมอบให้คุณเลวอนด้วยค่ะ”

               จากนั้นเวสน่าหยิบสิ่งของบางอย่างซึ่งเก็บซ่อนไว้ในกระเป๋าสะพายไหล่สีน้ำตาลขึ้นมา เป็นไม้กางเขนเหล็กคล้องด้วยเชือกยาวสีน้ำตาลถักสายแน่นหนาเป็นอย่างดี ก่อนจะสนทนากับเลวอนอีกครั้งพร้อมยื่นเครื่องรางให้แก่เขา

               “เมื่อคืนนี้ฉันทำไม้กางเขนขึ้นมาโดยร่ายเวทมนตร์ป้องกันศาสตร์มืดชนิดต่าง ๆ ใส่ลงไป เพื่อปกป้องไม่ให้สิ่งชั่วร้ายคอยตามมารังควานแก่ผู้ที่สวมใส่… ฉันขอมอบสิ่งนี้ให้คุณค่ะ”

               “อ-เอ๊ะ จะดีเหรอครับ? ที่จริงซิสเตอร์ไม่จำเป็นต้องทำให้ผมก็ได้ แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ก็รบกวนคุณมากพอแล้ว รู้สึกเกรงใจจังเลยแฮะ…”

               เลวอนรีบยกมือห้ามปรามพลางถอยหลังออกห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย อย่างไรก็ดีนักพรตสาวยังคงยืนกรานที่จะมอบเครื่องรางชิ้นนี้ให้เขาอย่างแน่วแน่ เธอจึงขยับตัวเข้าใกล้พร้อมทั้งกล่าวทักท้วงดังนี้

               “ไม่เป็นการรบกวนเลยค่ะ งานช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านถือเป็นหน้าที่หลักของฉันอยู่แล้ว ได้โปรดช่วยรับความหวังดีจากฉันด้วยเถอะนะคะ… อย่างน้อยพกติดตัวเอาไว้ดีกว่าไม่มีอะไรมาปกป้องคุ้มครองเลย”

               บุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนไม่อาจปฏิเสธน้ำใจอีกฝ่ายได้ เขาผงกศีรษะยอมรับข้อเสนอ แล้วโน้มตัวลงมาเล็กน้อยเพื่อให้ซิสเตอร์สาวนำสร้อยคอเครื่องรางสวมประดับคล้องคอตน ทว่าด้วยขนาดของเชือกที่ยาวเกินพอดีทำให้จี้ไม้กางเขนต้องห้อยต่ำจนเกือบถึงตำแหน่งสะดือ

               เสร็จแล้วเลวอนจึงเงยใบหน้าขึ้น เวสน่าร่างนิ้วทำเครื่องหมายกางเขนนิกายออร์ทอดอกซ์ จากนั้นนำมือทั้งสองมากุมประสานกันในท่าอธิษฐานสวดวิงวอน กล่าวมอบคำอวยพรแก่พ่อมดหนุ่มรูปงามด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุนชวนผ่อนคลาย

               “ข้าแห่งผู้ศรัทธาแด่ในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต โปรดประทานความสุขสวัสดิ์ ความรุ่งโรจน์ และคอยปกปักรักษาอย่าให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามาย่างกรายแก่บุรุษผู้มีจิตเมตตาท่านนี้ด้วยเทอญ… อาเมน”

               เลวอนร่างนิ้วทำเครื่องหมายกางเขนก่อนจะกุมมือประสานเพื่อรับพรจากซิสเตอร์สาวเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี เงยศีรษะขึ้นด้วยสีหน้าแย้มสรวลอันอบอุ่นแล้วตอบกลับอีกฝ่ายอย่างสุภาพนอบน้อม

               “ขอบพระคุณมากนะครับซิสเตอร์ ผมจะเก็บรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดีให้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยครับ”

               “ดีใจนะคะที่ได้ยินคุณเลวอนกล่าวออกมาเช่นนี้” เวสน่ายิ้มแก้มปริโดยที่ใบหน้าแดงระเรื่อ “ถึงอย่างนั้นแล้วชีวิตของคนเราย่อมสำคัญกว่าเครื่องรางของขลังเสมอ ได้โปรดใส่ใจตัวเองให้มากกว่านี้เถอะนะคะ”

               “เข้าใจแล้วครับ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณซิสเตอร์อีกครั้งสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มอบให้ผมด้วยนะครับ… ผมไม่รบกวนการทำงานของทุกคนแล้วล่ะ ไว้จะแวะมาที่นี่อีกครั้งพร้อมกับครอบครัวนะครับ”

               เลวอนกล่าวคำอำลาตามด้วยโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพก่อนจะเดินทางจากไป เวสน่ารีบแสดงท่าทีดังกล่าว แล้วคอยเฝ้ามองยืนส่งเด็กหนุ่มตรงบริเวณหน้าประตูโบสถ์แห่งนี้อย่างเงียบเชียบ แต่กว่าจะรู้สึกตัวได้ว่าตนเองกำลังใจเต้นโครมครามเพราะด้วยความเหนียมอายและหลงใหลในเสน่ห์ของอีกฝ่ายนั้น ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว

               ขณะเดียวกันเหล่านักเรียนสาววัยใสได้วิ่งกรูเข้ามาหาเจ้าอาวาสหญิงพร้อมทั้งเกริ่นซักถามสงสัย

               “ซิสเตอร์ เด็กผู้ชายผมขาวหน้าตาดีคนนั้นเขาเป็นใครกันคะ?”

               “นั่นสิไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย ใช่นักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามารึเปล่านะ?”

               “พวกเธอเป็นถึงผู้ศึกษาธรรมรับใช้พระผู้เป็นเจ้าแท้ ๆ แต่ประพฤติตัวไม่สำรวมเอาเสียเลย ถ้ายังอยากทานมื้อเที่ยงอยู่ล่ะก็รีบกลับไปทำความสะอาดโบสถ์ต่อให้เสร็จเถอะค่ะ!”

               เวสน่าหันมากล่าวตักเตือน ทำเอาเหล่าบรรดาซิสเตอร์สาวทั้งหลายต่างพากันสะดุ้งโหยงรีบแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนอย่างรวดเร็วทันที

               สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง นักพรตสาวในชุดสีกรมท่าแกมม่วงแอบผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความละอายต่อบาป เธอยกสองมือบางขึ้นมากุมประสานแนบชิดตรงบริเวณอกเพื่อตั้งจิตภาวนาทั้งที่แก้มแดงระเรื่อ หลังจากที่สีหน้าและคำพูดของเลวอนเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกหวั่นไหว ก่อนที่เด็กสาวผู้ทรงศีลจะหลับตาพึมพำน้ำเสียงสลด

               “……พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดอภัยบาปให้ลูกด้วยเถิด”

Options

not work with dark mode
Reset