แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 11: การปรากฏตัวของเด็กสาวจอมห้าว

               เลวอนนำจี้ไม้กางเขนเก็บใส่ไว้ในใต้เสื้อเชิ้ตเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาจนเกินไป แล้วก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังปราสาทสีขาวโดยอยู่ห่างจากจุดนี้ราวสี่กิโลเมตร ระหว่างนั้นเองเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงคนบางกลุ่มที่กำลังสะกดรอยตามมาจากทางเบื้องหลัง เขาพยายามทำเป็นเพิกเฉย แต่ในเมื่อมีสิ่งรบกวนใจต่อเนื่อง ไม่ว่าใครก็ต้องหมดความอดทน

               พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันค่อย ๆ ชะลอฝีเท้า ชำเลืองหางตามองไปยังทางด้านหลังแล้วเกริ่นขึ้นมาอย่างชัดถ้อยคำ

               “เห็นแอบเดินตามหลังมาตั้งนานแล้ว พวกนายสามคนมีธุระอะไรกับผมรึเปล่า?”

               เมื่อหันไปมองดู เลวอนก็ได้พบปะกับสามบุรุษวัยเยาว์แลดูผู้คุ้นหน้าคุ้นตา แม้จะไม่ค่อยได้พบเจอกันบ่อยครั้งก็ตามที โดยยืนอยู่ห่างจากจุดนี้ประมาณสิบเมตร

               “เบอร์นาร์ด คลีม่า” ชายรูปร่างท้วมผมสีบลอนด์ทองจอมบ้าพลัง

               “สลาโวมีร์ สลูก้า” หนุ่มรูปร่างเล็กผมสีดำมีนิสัยหยิ่งผยอง

               “อัลเบิร์ต ลิสก้า” บุรุษหนุ่มผมสีบลอนด์เงินจอมเจ้าเล่ห์ แสดงกิริยาท่าทางคล้ายหัวโจกหรือผู้นำกลุ่มชัดเจน

               แต่ละคนต่างได้รับสมญานามจากเหล่าบรรดาวัยรุ่นว่า “เจ้าอ้วน” “เจ้าเตี้ยอวดดี” และ “ไอ้แสบ” ตามลำดับ พวกเขาคือเพื่อนร่วมชั้นของเลวอนที่ไม่ค่อยมีความเป็นมิตรสักเท่าไหร่นัก

               “ไงทาวิเทียน ไปสารภาพบาปที่โบสถ์มาเหรอ?” อัลเบิร์ตเริ่มพูดจายียวนกวนประสาทใส่ “แต่ดูท่าทางอารมณ์ดีแบบนี้คิดว่าคงไม่น่าจะใช่ล่ะมั้ง ฉันเห็นนายพูดคุยกับซิสเตอร์เวสน่าด้วยนี่นา”

               “แถมเอากระเช้าผลไม้เป็นของฝากให้ซิสเตอร์อีกต่างหาก อย่าบอกนะว่านายแอบชอบเธอ ให้ตายเถอะไม่รู้สึกละอายต่อบาปบ้างเลยรึไง?”

               สลาโวมีร์กล่าวถากถางเพื่อยั่วโมโห อัลเบิร์ตและเบอร์นาร์ดส่งเสียงหัวเราะเยาะชอบใจ แต่ถึงกระนั้นแล้วเลวอนกลับไม่คิดที่จะเล่นไปตามน้ำ มิหนำซ้ำยังให้คำตอบต่อคู่สนทนาอย่างใจเย็น

               “ผมไม่ได้คิดอกุศลกับซิสเตอร์เหมือนอย่างที่ใครบางคนกำลังทำหรอกนะ ถามจริงเถอะชอบมองคนอื่นในแง่ลบแบบนี้ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าละอายใจบ้างเลยเหรอ?”

               “ปากดีนักนะไอ้นี่… เอายังไงดีลูกพี่?”

               บุรุษร่างท้วมผมสีบลอนด์ทองทำท่าถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมที่จะใช้กำลังพุ่งเข้าใส่เป้าหมายได้ทุกเมื่อ อัลเบิร์ตได้ยกมือห้ามรั้งสหายเอาไว้ แล้วหันไปโต้คารมกับเลวอนอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

               “ใจเย็นก่อนเบอร์นาร์ด… ว่าไงทาวิเทียน เมื่อกี้ฉันแอบเห็นนะว่าซิสเตอร์มอบของอะไรไว้ให้กับนาย เดิมทีมันควรเป็นของฉันตั้งแต่แรก เพราะงั้นช่วยส่งมันมาให้ฉันจะได้รึเปล่า?”

               “พูดเรื่องอะไรน่ะ ถ้าอยากได้นักก็ไปขอกับซิสเตอร์เองสิ” เลวอนพลันปฏิเสธเสียงแข็ง

               “ก็ฉันไม่ชอบเข้าโบสถ์นี่นา อีกอย่างตอนที่ซิสเตอร์ส่งยิ้มให้นายน่ะเล่นทำเอาฉันรู้สึกหงุดหงิดพิกล ไอ้ลูกแกะอ่อนแอที่ไม่ได้มีอะไรดีสักอย่างแถมนอนป่วยซังกะตายอยู่แต่ในบ้านแท้ ๆ กลับมีผู้หญิงมาให้ความสนใจแบบนี้ รู้สึกหมั่นไส้สุด ๆ เลยว่ะ”

               “ฉันแอบเล็งซิสเตอร์มาตั้งนานแล้วด้วย ถ้าแกยังไม่เลิกยุ่งกับเธออีกอย่าหาว่าฉันไม่เตือนเชียว!” สลาโวมีร์กล่าวแทรก

               “ไอ้เตี้ยนี่หยุดพูดจาโมเมสักที เวสน่าเป็นผู้หญิงของฉันต่างหากเฟ้ย!”

               เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์เงินส่งเสียงตวาดพลางจ้องเขม็งใส่ จนบุรุษร่างเล็กหวาดผวารีบยกมือขึ้นมาตีปากตนเองหนึ่งที เลวอนที่ได้เห็นเหล่าชายฉกรรจ์เกเรเปิดเผยความต้องการออกมาชัดเจนก็ถึงกับถอนหายใจเอือมระอา ก่อนจะกล่าวเทศนาเป็นการปิดท้าย

               “เลิกทำตัวแบบนี้สักทีเถอะ เอาเวลาหาเรื่องคนอื่นไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ดีกว่าไหม ซิสเตอร์ไม่ใช่สิ่งของที่ใครหน้าไหนจะเข้าไปแย่งชิงได้ และพวกนายเองก็ไม่คู่ควรที่จะอยู่เคียงข้างเธอ… ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วผมขอตัวก่อนล่ะ”

               พูดจบเลวอนจึงรีบหันหลังเดินจากไปพร้อมโบกมือลา เพราะเขาไม่อยากจะเสียเวลาเสวนาไปมากกว่านี้ ทว่า…

               ——พลั่ก!

               อัลเบิร์ตได้วิ่งปรี่เข้าผลักแผ่นหลังของเลวอน เพื่อให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มลงพื้นอย่างจังพร้อมแผดเสียงตวาด

               “ฉันจะปล่อยแกไปก็ได้ แต่แกต้องส่งสร้อยไม้กางเขนมาให้ฉันก่อน!”

               เบอร์นาร์ดและสลาโวมีร์รีบเข้าล้อมเป้าหมายเอาไว้โดยไม่ต้องรอให้หัวโจกสั่งการ พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนพยายามประคองตัวจากพื้นอยู่ในท่านั่งชันเข่าซ้าย พลางใช้สายตาจ้องเขม็งเล็งใส่อย่างไม่เกรงกลัวจนอีกฝ่ายหวาดผวาไปชั่วขณะหนึ่ง เลวอนกลั้นใจสะกดอารมณ์โทสะเอาไว้ตามคำแนะนำของโมนิก้าเพื่อไม่ให้เรื่องราวทุกอย่างบานปลาย ก่อนจะยืนกรานปฏิเสธ

               “ผมไม่ให้”

               “อยากเจ็บตัวก่อนว่างั้น…? เฮ้ย จับตัวมันไว้!”

               สิ้นเสียงคำสั่งของอัลเบิร์ต เบอร์นาร์ดและสลาโวมีร์รีบพุ่งเข้ามาล็อกตัวเลวอนจากทางด้านหลัง โดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทันวิ่งหนีแม้เพียงก้าวเท้าเดียว ปล่อยให้เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์เงินใช้กำปั้นชกใส่ไม่ยั้งราวกับถุงกระสอบทรายชิ้นหนึ่ง

               ปึ้ก พลั่กพลั่ก ผัวะ!

               เลวอนส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมาสั้น ๆ รู้สึกจุกจนตัวงอไม่มีแรงพอจะสลัดตัวให้หลุดออกจากพันธนาการ ใบหน้าเริ่มปรากฏรอยแดงฟกช้ำให้เห็นจากการถูกทำร้ายด้วยแรงบันดาลโทสะ แต่ถึงกระนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากร้องขอให้เหล่าบรรดาอันธพาลหยุดทำร้ายตนเลยแม้แต่ประโยคเดียว

               จนกระทั่งอัลเบิร์ตรู้สึกสาแก่ใจและเริ่มเหนื่อยหอบ เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันผู้น่าสงสารก็ตกอยู่ในสภาพคอพับตัวอ่อนไร้เรี่ยวแรง ไอ้แสบหรือบุรุษวัยเยาว์ผมสีบลอนด์เงินสั่งให้พรรคพวกของตนปล่อยตัวคู่อริให้ยืนโซซัดโซเซ ก่อนจะพูดคุยอีกครั้งเพื่อเปิดโอกาสให้เลวอนยอมจำนน

               “ตกลงจะให้หรือไม่ให้ หรือต้องให้ฉันกระชากมันออกมาจากคอ?”

               “ก… ก็เอาสิ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”

               เลวอนโต้คารมด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เขายังจำสัญญาที่มอบให้ไว้กับเวสน่าและพยายามรักษาคำพูดอย่างสุดชีวิต อัลเบิร์ตถึงกับเดาะลิ้นไม่พอใจอย่างแรงพลางเผยสีหน้าไม่รับบุญ ชักไม้กายสิทธิ์ออกจากเสื้อโค้ตสีน้ำตาลตั้งท่าเตรียมโจมตีใส่อีกฝ่ายพร้อมทั้งสบถวาจาท้าทาย สำหรับตนแล้วการพรากเอาสิ่งของโดยที่คู่อริไม่ยอมพ่ายแพ้ถือเป็นความปราชัยอย่างหนึ่ง

               “ชักไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาสู้กับฉันซะทาวิเทียน…! สลาโวมีร์ เบอร์นาร์ด พวกแกไม่ต้องเข้ามายุ่ง!”

               “นายบีบบังคับให้ผมต้องเลือกทางนี้เองนะ”

               นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เด็กหนุ่มแสนสุภาพมีใจคิดอยากสู้ เลวอนในสถานะจนตรอกนั้นไม่มีหนทางอื่นนอกจากต้องหยิบไม้วิเศษซึ่งเก็บซ่อนอยู่หลังเอวขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันตัว เขาและอัลเบิร์ตต่างสบสายตาดูเชิงท่ามกลางแรงกดดัน ไม่มีฝ่ายใดขยับเคลื่อนไหวเป็นเวลาชั่วครู่หนึ่ง ทั้งคู่ล้วนตระหนักใจดีว่าถ้าหากตนเองเริ่มต้นเปิดฉากเสียก่อน อาจทำให้ศัตรูอาศัยจังหวะดังกล่าวสวนกลับการโจมตีได้

               ในท้ายที่สุดแล้วสองพ่อมดหนุ่มก็ได้ตัดสินใจยกแขนง้างไม้กายสิทธิ์ขึ้นพร้อมกันเพื่อเริ่มเปิดศึก ทว่าทันใดนั้นเอง…

               พลั่ก!

               “เหวออออออ!”

               เด็กสาวปริศนารายหนึ่งได้วิ่งพุ่งพรวดมาทางนี้อย่างรวดเร็ว เธอกระโดดยกขาคู่หมุนตัวลอยกลางอากาศ ยืดเท้าออกแรงถีบใส่สีข้างฝั่งซ้ายของอัลเบิร์ตเข้าเต็มรัก จนร่างของไอ้แสบกระเด็นลอยไปไกลเกือบ 20 เมตรก่อนจะกระแทกลงกับพื้นถนน ถัดมายุวสตรีสุดแกร่งรีบลุกขึ้นยืนยกสองกำปั้นตั้งการ์ดเตรียมสู้ เพ่งเล็งใส่สองบุรุษจอมเกเรที่เหลืออยู่ทันที

               เบอร์นาร์ดเห็นดังนั้นจึงเป็นฝ่ายเข้าโจมตีก่อน เขาเหวี่ยงหมัดขวาชกใส่เป้าหมายอย่างสุดกำลัง ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศตรงข้ามที่มีสรีระดูอ่อนแอกว่าตนหลายเท่าตัว

               “นี่หล่อนอีกแล้วเรอะ เอาไปกินซะ!”

               “เจ้างั่ง เคลื่อนไหวได้สูญเปล่ามาก!”

               แม่มดจอมพลังรีบย่อตัวก้มหลบ วาดเท้าขวาเตะใส่ช่วงล่างของเด็กหนุ่มร่างใหญ่ให้เสียการทรงตัว จับกระชากคอเสื้อคู่ต่อสู้ ตามด้วยหมุนลำตัวเพื่อใช้เอวตนเองเป็นจุดศูนย์ถ่วงเหวี่ยงร่างอีกฝ่ายลอยขึ้นกลางอากาศให้พลิกคว่ำ กระแทกลงสู่พื้นโดยอาศัยน้ำหนักของศัตรูจนเกิดเสียงดัง “ตึ้ง!”

               การต่อสู้เมื่อสักครู่นี้คือหนึ่งในท่าพื้นฐานของยูโด หรือศิลปะป้องกันตัวจากประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

               ในขณะที่เลวอนมัวแต่ตกตะลึงต่อความเก่งกาจเกินตัวของเด็กสาวนิรนาม เธอก็ได้พุ่งเข้าหาสลาโวมีร์ใช้แขนกับศอกรัดคอของบุรุษร่างเล็กจากทางด้านหลัง อีกฝ่ายถึงกับตะลีตะลานหายใจไม่ออกรีบยกมือขึ้นมาตีแขนคู่ต่อสู้ประกาศขอยอมแพ้ โดยที่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นแบบฉับพลัน

               “ย… ยัยบ้า ฉันหายใจไม่ออก ย-ยอมแล้ว!”

               เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง เลวอนจึงมองเห็นลักษณะของบุคคลปริศนาอย่างชัดเจน เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวยรูปร่างเพรียว ในชุดนักศึกษาซึ่งผสมผสานกับชุดแฟชั่นลำลองสีสันฉูดฉาดได้แบบลงตัว แม้มีคิ้วที่หนาสะดุดตาแต่ก็ไม่อาจลดทอนความน่ารักของเธอลงได้

               “อาเธอเรีย เรนนีเดย์” หนึ่งในนักเรียนจอมเวทฝึกหัดผู้เก่งกาจเรื่องพละกำลังมากที่สุด โดยที่ไม่มีเด็กวัยรุ่นคนไหนกล้าเทียบเคียงได้เลยสักคน เธอคลายวงแขนที่รัดต้นคอของสลาโวมีร์อยู่เพื่อปล่อยตัว อีกฝ่ายเข่าทรุดยกสองมือขึ้นมากุมคอตนเองพลางส่งเสียงหายใจหอบหมดเรี่ยวแรง สภาพในตอนนี้เหล่าเด็กหนุ่มจอมอันธพาลทั้งสามคนต่างก็ไร้ซึ่งพละกำลังที่จะต่อกรกับแม่มดสาวสุดห้าวได้อีก

               “เหอะ ดีแต่รังแกคนอ่อนแอ เจอกับฉันทีไรล้วนเสร็จทุกราย” เด็กสาวกล่าวอย่างผู้มีชัย

               “ข… ขอบคุณที่เข้ามาช่วยนะครับ”

               เลวอนกล่าวขอบคุณพลางใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อบนใบหน้าตน ทว่าเรื่องราวนั้นยังไม่จบลงแต่เพียงเท่านี้ อาเธอเรียส่งสายตาจิกใส่เด็กหนุ่มผู้ใสซื่ออ่อนต่อโลก พร้อมกล่าวน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ออกไปดังนี้

               “ฉันแอบสังเกตเห็นมาสักพักแล้ว ว่าทำไมนายถึงไม่ยอมขัดขืนหรือตอบโต้เจ้าบ้าสามตัวนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกมันจับซ้อมนายซะอ่วม แถมยังจะดวลไม้กายสิทธิ์กันซึ่ง ๆ หน้าอีก”

               “ถ้าโต้ตอบกลับคืนไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราสมัครใจชวนพวกเขาทะเลาะวิวาทหรอกครับ” เลวอนชี้แจงอย่างสุภาพแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีแข็งกร้าวก็ตาม

               “แต่สุดท้ายนายก็มีใจอยากจะสู้กับอัลเบิร์ตนี่ ทำตัวย้อนแย้งชะมัด”

               “มันช่วยไม่ได้นี่นา ผมแค่ไม่อยากสร้างปัญหาจนทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนก็เท่านั้นเอง”

               “หา ด้วยเหตุผลงี่เง่าพรรค์นี้เนี่ยนะ!?” คราวนี้อาเธอเรียถึงกับคิ้วขมวดส่งเสียงตวาดใส่ “นายอาจจะโดนพ่อแม่ดุด่าจนหูชาก็จริง แต่ถ้าไม่ลุกขึ้นสู้หรือสวนกลับคืนไปหนัก ๆ ซะบ้าง คิดเหรอว่าไอ้พวกนี้มันจะเลิกตามตอแยนายง่าย ๆ น่ะ!?”

               “คุณก็รู้นี่ว่าพ่อของอัลเบิร์ตเป็นคนใหญ่คนโต ถ้าผมเผลอทำอะไรโดยไม่คิดล่ะก็คนที่ลำบากใจที่สุดก็คือพ่อกับแม่ ดีไม่ดีครั้งหน้าผมอาจจะโดนพวกเขากระทำรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยด้วยซ้ำ…”

               เลวอนก้มหน้าหลบสายตาเล็กน้อย พยายามนึกถึงคำพูดของโมนิก้าและเยวาที่เคยกล่าวเตือนตนเอาไว้ให้มั่น แม้ว่าภายในใจจะอยากทำตามเสียงเรียกร้องเหมือนอย่างที่อาเธอเรียแนะนำมาก็ตาม เดิมทีเขาไม่มีความคิดที่จะซ้ำเติมเหล่าคู่กรณีที่หมดสภาพจากการต่อสู้อีกด้วย

               ทว่าอาเธอเรียกลับไม่ชอบใจต่อแนวคิดรักสงบของเลวอน จึงกระชากคอเสื้อของสลาโวมีร์จากด้านหลังเพื่อให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน บุรุษหนุ่มร่างเล็กรีบยกมือจับรั้งคอเสื้อตนด้วยความอึดอัดหายใจลำบาก พร้อมทั้งดิ้นไปมาด้วยสีหน้าท่าทีหวาดกลัว จากนั้นยุวสตรีสุดห้าวก็ได้เกริ่นเชิญชวนเพื่อให้คู่สนทนาลงมือทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจดังนี้

               “ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเองหน่อยสิ นี่เป็นโอกาสเดียวที่น่าจะได้เอาคืนเจ้าพวกนี้เชียวนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกให้ใครรู้… เพราะงั้นรีบลงมือทำซะ ต่อยเจ้านี่ให้เหมือนอย่างที่พวกมันเคยทำกับนายเลย!”

               “ย… อย่าทำร้ายฉันเลยนะเลวอน ฉันสัญญาว่าจะไม่รังแกนายอีก ฉันจะพูดจาและทำตัวดี ๆ กับนาย ขอร้องล่ะได้โปรดยกโทษให้ด้วย ฉันผิดไปแล้ว!”

               สลาโวมีร์ยกมือขึ้นไหว้ส่งเสียงอ้อนวอนทั้งน้ำตา อาเธอเรียเห็นดังนั้นจึงส่งสายตาดูแคลนใส่เขาอย่างเวทนาพร้อมทั้งกล่าวสั่งสอนโดยปราศจากความเห็นใจ

               “ทีตอนทำใส่หมอนั่นล่ะไม่รู้จักคิด พอถึงคราวตัวเองโดนบ้างดันร้องไห้ฟูมฟาย นี่นายเป็นลูกผู้ชายแน่เหรอ!?”

               “ช่วยปล่อยสามคนนี้ไปทีเถอะ พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจจะต่อสู้แล้ว อีกอย่างสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่น่ะมันไม่ได้ต่างอะไรกับการใช้กำลังข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่าเลยด้วยซ้ำ”

               เลวอนกล่าวตักเตือนพลางสบสายแน่วแน่โดยปราศจากความเกรงกลัว อาเธอเรียจึงเผยสีหน้าขุ่นเคืองพลางส่งเสียงเดาะลิ้นไม่พอใจต่อถ้อยคำยอกย้อนของเด็กหนุ่ม เธอละมือปล่อยคอเสื้อสลาโวมีร์จนคู่อรินอนฟุบลงกับพื้นแบบไม่แยแส แล้วชี้นิ้วดุตวาดใส่โดยที่ตนเองนั้นแอบรู้สึกเสียน้ำใจและนึกผิดหวังในตัวอีกฝ่าย

               “ฉันเกลียดพวกที่ชอบใช้กำลังกลั่นแกล้งคนอ่อนแอก็จริง แต่ไอ้คนที่โดนรังแกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ยอมลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องตัวเองน่ะมันน่าหงุดหงิดยิ่งกว่า ถ้างั้นเชิญเสพสุขกับความเจ็บปวดต่อไปเถอะไอ้ลูกแกะงี่เง่า! …คนเขาอุตส่าห์หวังดีเห็นว่านายกำลังตกอยู่ในอันตราย เสียแรงที่เข้ามาช่วยจริง ๆ พับผ่าสิ!”

               “!!”

               เลวอนรู้สึกจุกเสียดต่อคำพูดแทงใจดำของอาเธอเรีย ส่วนเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มก็ได้หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็วด้วยความไม่สบอารมณ์ ในระหว่างนั้นดูเหมือนว่าเธอเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันหน้ากลับไปสนทนาต่อพวกเด็กเกเรทั้งสามคนเป็นประโยคทิ้งท้าย

               “เฮ้ย ไสหัวไปให้พ้นแถวนี้ซะ ก่อนที่ฉันจะเตะก้นพวกแกให้เหมือนหมาข้างถนน!”

               “ธ… โธ่เว้ย ฝากไว้ก่อนเถอะยัยกอริลลา!”

               อัลเบิร์ตรีบโต้ตอบคารม ก่อนที่เขาและสลาโวมีร์จะเข้าไปประคองร่างของเบอร์นาร์ดซึ่งกำลังนอนสลบไสลขึ้นมา แล้วแบกร่างพาสหายถอยกำลังกลับไปด้วยท่าทีโซซัดโซเซ ทิ้งไว้ให้เลวอนยืนอยู่บนทางเท้าตามลำพังในสภาพแลดูสะบักสะบอม

               พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันกัดฟันกรอด พลางยกมือขวาขึ้นกุมเสื้อเชิ้ตตรงบริเวณกลางอกเอาไว้แน่น ไม่ได้สนใจเลยว่าชุดแต่งกายซึ่งสวมใส่อยู่จะปรากฏรอยยับในภายหลัง เขาหาได้รู้สึกเจ็บแปลบเพราะถูกชกต่อย แต่เป็นเพราะเจ็บใจในความอ่อนแอและความทุกข์ทรมานที่กำลังเผชิญอยู่ต่างหาก เลวอนจึงทำได้แค่เพียงพึมพำน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างน่าอดสูเท่านั้น

               “ก็ไม่ได้อยากจะทนอยู่แบบนี้ไปตลอดเลยสักหน่อย คนอย่างคุณน่ะไม่มีวันเข้าใจผมหรอก”

Options

not work with dark mode
Reset