แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 12: นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวญี่ปุ่น

               เลวอนยืนพักหายใจบนทางเดินเท้าเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่เพิ่งเผชิญมา ถึงแม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่เป็นอะไรมากนัก แต่ผลจากการโดนพวกอัลเบิร์ตประทุษร้ายใส่ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บชาบนใบหน้าและตามตัว ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาต้องประสบกับสถานการณ์ดังกล่าว

               ขณะเดียวกันเลวอนได้เหลือบเห็นเด็กสาวรายหนึ่งซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากำลังวิ่งตรงมาทางนี้ พร้อมส่งเสียงเรียกเขาอย่างท่าทีร้อนรนใจ เธอคือซิสเตอร์เวสน่านั่นเอง

               “คุณเลวอน!”

               “ซ-ซิสเตอร์ ทำไมถึงได้…?”

               เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนเกริ่นประหลาดใจเล็กน้อยพลางก้าวเท้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย เมื่อนักพรตสาววิ่งมาถึงจึงชะลอฝีเท้ายืนพักหายใจเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมากล่าวสนทนาอย่างท่าทีเป็นห่วง

               “เมื่อสักครู่นี้ฉันได้รับแจ้งมาจากชาวบ้านว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกเหล่าวัยรุ่นรุมทำร้าย ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจจึงรีบวิ่งมาดู ที่แท้ก็เป็นคุณเลวอนนี่เอง… เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ!?”

               “แหะ ๆ ผมโดนพวกอัลเบิร์ตเข้ามาหาเรื่องน่ะ แถมยังข่มขู่จะแย่งชิงสร้อยคอไม้กางเขนอีกด้วย คิดว่าพวกเขาน่าจะแอบซุ่มดูพวกเราตั้งแต่แรก แต่ผมปฏิเสธไม่ยอมยกให้เพราะไม่อยากทำลายสัญญาที่มอบไว้ให้กับซิสเตอร์น่ะครับ ก็เลย…”

               เลวอนตัดสินใจเล่าความจริงออกไป ถึงแม้ว่าเดิมทีเขาตั้งใจจะปิดบังเรื่องนี้เอาไว้เพราะไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกกังวลก็ตาม ทว่าผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าตนในเวลานี้คือนักพรตสาว การโกหกหรือตอบปฏิเสธกลับไปอาจทำให้ตัวเองปราศจากความน่าเชื่อถือ และกลายเป็นบาปติดตัวได้ในภายหลัง

               “โหดร้าย ไม่เห็นต้องลงมือถึงขนาดนั้นเลยนี่นา…! เดี๋ยวฉันจะร่ายเวทรักษาให้นะคะ!”

               เวสน่ารีบเอื้อมแขนคว้าสองมือหนาของเลวอนแล้วหลับตาลง ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงพึมพำเนรมิตคาถาอย่างแผ่วเบา

               “ข้าแด่พระบิดาผู้เป็นเจ้า หากเป็นพระประสงค์แท้จริงของพระองค์แล้ว โปรดให้พระโลหิตอันบริสุทธิ์และสมบูรณ์ด้วยพระพลานามัยของพระองค์ไหลเวียนอยู่ในร่างกายที่เจ็บป่วย ขอให้พระวรกายอันบริสุทธิ์และสมบูรณ์ด้วยพระพลานามัยของพระองค์ฟื้นฟูสุขภาพที่อ่อนแอ ให้มีจิตใจที่เบิกบานผ่องใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิตด้วยเทอญ… อาเมน”

               ทันใดนั้นแสงสว่างสีทองพลันปรากฏขึ้นทั่วร่างของสองหนุ่มสาว สายลมซึ่งพัดผ่านไปมาอย่างอ่อนโยนคอยโบกสะบัดให้ปลายเส้นผมและเสื้อผ้าพลิ้วไหว ให้ความรู้สึกชวนผ่อนคลายสงบจิตใจเป็นอย่างดี ถัดมาซิสเตอร์ได้กล่าวขานนามแห่งคาถาอีกครั้งเพื่อให้เวทมนตร์สำแดงเดช

               “Misericordias Domini (พระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า) ”

               วูบบบบบ

               ทั้งความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า รอยแผลฟกช้ำ และความเจ็บปวดที่อยู่ตามร่างกายของเลวอนเริ่มจางหายไป เสื้อผ้าซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นพร้อมรอยยับค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างน่าอัศจรรย์ สร้างความประหลาดใจให้แก่พ่อมดหนุ่มพอสมควร ก่อนที่แสงสีทองรอบตัวพร้อมด้วยสายลมจะพลันสงบลง หลังจากสำแดงอิทธิฤทธิ์มาเป็นเวลาหลายสิบวินาที

               เวสน่าค่อย ๆ ละมือออกจากเลวอนแล้วกลับมาอยู่ในอากัปกิริยาท่าทีสุภาพ เผยนัยน์ตาสีอำพันขึ้นมาจับจ้องมองคู่สนทนาสักพัก ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกล่าวน้ำเสียงสลดใจออกมา

               “ไม่นึกเลยว่าคุณเลวอนจะต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความผิดของฉันแท้ ๆ”

               “อะไรกัน ไม่ใช่ความผิดของซิสเตอร์สักหน่อย คนที่ผิดคือพวกอัลเบิร์ตต่างหากล่ะครับ!”

               “ขอโทษด้วยนะคะ ถ้าหากฉันมอบไม้กางเขนให้คุณเลวอนเป็นการส่วนตัวกว่านี้ ก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวเพราะฉัน…”

               นักพรตสาวกล่าวโทษตัวเองทั้งน้ำตา ต่อให้อยู่ในท่าทีสำรวมกายแต่ก็ไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกผิดเอาไว้ได้ จึงทำให้เลวอนพลอยสลดหดหู่ตามไปด้วย เด็กหนุ่มตัดสินใจหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต แล้วส่งมอบให้ซิสเตอร์ผู้มีจิตใจเมตตาพร้อมด้วยถ้อยคำปลอบโยน

               “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะความโลภและความริษยาของพวกเขา ซิสเตอร์ก็แค่มอบเครื่องรางให้ผมเท่านั้น คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องขอโทษผมหรอก… รับสิ่งนี้ไว้เช็ดน้ำตาก่อนสิครับ”

               เวสน่าเผยท่าทีลังเลใจสักครู่ ก่อนจะน้อมรับไมตรีจิตหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กจากเขาขึ้นมาซับน้ำตา เสร็จแล้วจึงส่งคืนให้แก่อีกฝ่ายพร้อมทั้งแย้มสรวลจาง ๆ อย่างอบอุ่น

               “ขอบคุณสำหรับผ้าเช็ดหน้านะคะ”

               “ไม่ต้องคืนให้ผมหรอกครับ ซิสเตอร์ช่วยเก็บมันเอาไว้กับตัวเถอะ” เลวอนรีบยกมือห้ามปรามอย่างสุภาพ

               “อ-เอ๊ะ จะดีเหรอคะ? ทั้งที่สิ่งนี้เป็นของใช้ส่วนตัวของคุณเลวอน…”

               “ตอบแทนเรื่องที่ซิสเตอร์ใช้คาถารักษาผมเมื่อสักครู่นี้ยังไงล่ะครับ แถมยังอุตส่าห์วิ่งออกมาจากโบสถ์เพื่อช่วยเหลือโดยไม่สนใจว่าตัวเองอาจถูกลูกหลงไปด้วย… เพราะงั้นได้โปรดช่วยรับน้ำใจจากผมเถอะนะครับ”

               เลวอนยังคงยืนยันเจตนารมณ์เดิมด้วยความจริงใจ เวสน่าถึงกับแก้มแดงระเรื่อจับจ้องมองพ่อมดหนุ่มผู้ใสซื่ออย่างไม่ละสายตา เธอนำผ้าเช็ดหน้าซึ่งอยู่ในอุ้งมือบางขึ้นมากุมประสานแนบชิดตรงบริเวณอก เผยรอยยิ้มแสนละมุนอีกครั้งพร้อมทั้งบรรยายความรู้สึกที่อยู่ภายในใจออกมา

               “เป็นคนอ่อนโยนเหมือนอย่างที่ฉันคิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย ถึงแม้เราสองคนจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เห็นแบบนี้แล้วฉันน่ะมองดูนิสัยของแต่ละคนออกนะคะ”

               เลวอนเองก็เผลอออกอาการเหนียมอายผ่านทางสีหน้าเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยการวางตัวอย่างสุภาพและความน่ารักชวนลุ่มหลงของเวสน่า เขาพยายามสลัดความคิดอันฟุ้งซ่านและไม่สมควรออกไปให้พ้น ก่อนจะกล่าวถ่อมตนต่อนักพรตยุวสตรีผู้น่าเลื่อมใสจากใจจริง

               “ม-ไม่เลยครับ ซิสเตอร์ต่างหากที่มีจิตใจงดงามยิ่งกว่าใคร ๆ …วันนี้ต้องขอขอบพระคุณมากเลยนะครับ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องลำบาก”

               “ม-ไม่ได้ลำบากเลยค่ะ ว่าแต่ทำไมฉันถึงกลายเป็นฝ่ายถูกปลอบใจเสียเองล่ะคะ ทั้งที่คุณเพิ่งได้รับบาดเจ็บจากเหล่าวัยรุ่นเกเรมาแท้ ๆ …”

               สองหนุ่มสาวได้ทิ้งช่วงบทสนทนาไปพักหนึ่งเนื่องจากต่างฝากต่างเก้อเขินทำตัวไม่ค่อยถูก ระหว่างนั้นเองเวสน่าเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง เหลือบสายตาลอกแลกชำเลืองเลวอนสลับกับจ้องมองไปทางอื่นพอประมาณ หลังจากตัดสินใจได้แน่วแน่แล้วจึงเกริ่นน้ำเสียงแผ่วเบาออกมาอีกครั้ง

               “คือว่า ถ้าหากคุณเลวอนอยากจะตอบแทนน้ำใจฉันจริง ๆ จากนี้ไปรบกวนช่วยเดินทางมาที่โบสถ์เพื่อเข้าร่วมพิธี และช่วยพวกเราทำงานปลีกย่อยทุกวันอาทิตย์จะได้รึเปล่าคะ…? อ๊ะ ทางนี้ไม่ได้บังคับให้คุณด่วนตัดสินใจตอนนี้หรอกนะคะ ฉันแค่ต้องการความสมัครใจมากกว่า…”

               “ได้สิครับ” เลวอนรีบให้คำตอบโดยปราศจากความลังเล “ปกติผมว่างวันเสาร์-อาทิตย์อยู่แล้ว ออกจากบ้านมาขยับตัวยืดเส้นยืดสายทำงานสักหน่อยคงดีไม่น้อยเลย อีกอย่างงานที่ต้องใช้แรงควรปล่อยให้ผู้ชายจัดการน่าจะเหมาะสมกว่า ถ้างั้นวันอาทิตย์ถัดไปเดี๋ยวผมจะเดินทางมาช่วยงานซิสเตอร์ที่โบสถ์เองครับ”

               “จ-จริงเหรอคะ? ดีใจจังเลย… อ๊ะ ขอบคุณสำหรับผ้าเช็ดหน้านะคะ ฉันจะเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี เหมือนอย่างที่คุณได้ให้คำมั่นสัญญากับฉันเอาไว้เลยล่ะค่ะ”

               เวสน่ากล่าวด้วยสีหน้าน้ำเสียงปลื้มปีติ เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันถึงกับประหม่าใจเต้นตึกตักไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบตอบกลับคู่สนทนาอย่างตะลีตะลาน

               “ม-ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ครับซิสเตอร์… ถ้างั้นผมขอตัวก่อน ไว้พบกันใหม่นะครับ”

               “ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ”

               เวสน่ากล่าวอำลา เธอและเลวอนต่างโค้งศีรษะให้กันเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนที่พ่อมดหนุ่มจะหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้นักพรตสาวยืนจับจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มสักพักด้วยอาการเคลิบเคลิ้มตามลำพัง พร้อมนึกถึงบทสนทนาที่พูดคุยร่วมกันไปพลาง จนเริ่มสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะท้านบางอย่างอยู่ภายในอก

               “ม… ไม่นะ นี่ฉันคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำจิตใจให้เข้มแข็งกว่านี้หน่อยสิเวสน่า!”

               กว่าจะรู้สึกตัวได้ว่าหัวใจตนเองกำลังสั่นคลอนอยู่ก็สายเกินไปแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเด็กผู้ชายในหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างเข้าหาเวสน่าด้วยสายตาแทะโลม พูดจาคุกคาม หรือหวังล่อลวงเธอไปทำมิดีมิร้ายก็มี ทว่าเลวอนกลับมีนิสัยแตกต่างจากบุรุษเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากเด็กสาวเกิดหัวใจหวั่นไหวขึ้นมาตามประสาวัยแรกแย้ม

               เวสน่าผ่อนลมหายใจแผ่วเบาโดยที่แก้มยังคงแดงฝาด ยกสองมือบางขึ้นกุมประสานในระดับอกเพื่อตั้งจิตภาวนาทั้งที่ตนยังถือครองผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวซึ่งได้รับมาจากเลวอน ก่อนจะหลับตาเปล่งเสียงพึมพำด้วยความละอายใจตามลำพัง

               “……พระผู้เป็นเจ้า ลูกได้พลาดพลั้งต่อความรู้สึกของตนเองเสียแล้ว ได้โปรดอภัยบาปแก่ลูกด้วยเถิด”

 

               ********************

 

               เลวอนยังคงก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังปราสาทสีขาวตามที่ได้นัดหมายกับโมนิก้าและวัตสัน ระหว่างนั้นเองเขาสังเกตเห็นท่าทีของชาวบ้านในละแวกนี้ที่เปลี่ยนไป ทุกคนต่างพากันจับจ้องมองบางสิ่งอย่างสนใจ ทำให้เด็กหนุ่มนึกใคร่สงสัย พยายามกวาดสายตาสอดส่องจนกระทั่งพบเจอบุคคลแปลกหน้ารายหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก

               เด็กสาวรูปร่างหน้าตาดีเจ้าของเรือนผมสีขาวสะท้อนแสงอมม่วงยาวสลวยถึงบั้นท้าย ในชุดแต่งกายสีดำตัดแถบแดงคล้ายเครื่องแบบทหารของกองทัพญี่ปุ่นสมัยก่อน โดยสวมผ้าคลุมผืนยาวทับปกคลุมอีกที กำลังก้าวเท้าลากจูงกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่บนถนนตรอกซอยแห่งหนึ่งในหมู่บ้านนี้ พร้อมกับดาบคาตานะคู่ใจซึ่งพกติดตัวอยู่บริเวณเอวฝั่งซ้าย

               “ฮิคาริ ฮาชิสึเมะ” เป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกและนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวญี่ปุ่น ได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานตอนเช้ามืด แต่ดูเหมือนว่าเธอกำลังหลงทางอยู่ในย่านชุมชนด้วยความไม่คุ้นชิน อีกทั้งชุดแต่งกายที่สวมใส่ดูค่อนข้างแตกต่างไปจากชาวบ้าน เลยทำให้ตนต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

               แม่มดสาวจอมดาบเวทรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เมื่อเห็นว่าแววตาของเหล่าบุรุษหนุ่มบางคนที่กำลังจับจ้องมองเธออยู่นั้นดูค่อนข้างคล้ายสัตว์ป่าผู้หื่นกระหาย ฮิคาริจึงมิอาจปั้นสีหน้ายิ้มสู้หรือไว้วางใจขอความช่วยเหลือจากใครได้ตามปกติ

               ในขณะนั้นเองฮิคาริได้พบเห็นเด็กหนุ่มรูปงามเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลน โดยอยู่ห่างจากเบื้องหน้าราว 10 เมตรและกำลังจะเดินสวนทางตนไป เธอใช้สายตาพินิจดูท่าทางอีกฝ่ายจนแน่ใจได้แล้วว่าไม่น่ามีพิษภัยอะไร จึงรีบสไลด์เท้าขวางหน้าให้เลวอนหยุดชะงักเพียงชั่วขณะจนทั้งคู่ยืนเว้นช่องว่างห่างกันเพียงแค่ศอกเดียว

               ครืด…!

               “…!”

               ดวงตาสีเทาอันดุดันของฮิคาริเพ่งเล็งใส่เป้าหมายโดยตนยังคงนิ่งเงียบ ทว่าเลวอนยังไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอในเวลานี้ และยังคงพึงระลึกถึงคำเตือนของโมนิก้าเอาไว้เสมอ แต่ถ้าหากเขาพยายามบ่ายเบี่ยงหลบหลีกหรือหันหลังหนีไปก็คงไม่แคล้วโดนอีกฝ่ายตามรังควานอย่างแน่นอน เพราะดูจากลักษณะแล้วบ่งบอกได้เลยว่าเด็กสาวคนนี้มีอุปนิสัยดื้อรั้นเพียงใด

               “ม… มีธุระอะไรกับผมรึเปล่าครับ?” พ่อมดหนุ่มซักถามไปตามมารยาท

               “ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นคงไม่มายืนดักนายแบบนี้หรอก… ช่วยนำทางพาฉันไปพบกับศาสตราจารย์ยาโรสลาฟแล้วพาเดินชมรอบหมู่บ้านนี้ที พอดีฉันไม่ค่อยไว้ใจคนแถวนี้น่ะ แถมนายเองก็ดูเหมือนเจ้าลูกแกะท่าทางซื่อบื้ออีกด้วย”

               ฮิคาริพูดจาโผงผางอย่างไม่เกรงใจ ทำเอาเลวอนถึงกับหัวเราะแห้ง ๆ พลางนึกถึงเด็กสาวผู้มีนิสัยพูดจาขวานผ่าซากอย่างสเตฟาเนียขึ้นมา แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีและน้ำเสียงที่แข็งกร้าวกว่าก็ตาม ก่อนที่เขาจะตอบปฏิเสธถนอมน้ำใจต่อเธอ

               “ผมไม่ค่อยชำนาญเส้นทางในหมู่บ้านนี้แบบทุกซอกทุกมุมสักเท่าไหร่ อย่างมากคงทำได้แค่พาคุณไปที่ปราสาทสีขาว หรือพาแวะชมในพื้นที่ใจกลางหมู่บ้านเท่านั้น เพราะงั้นต้องขอโทษด้วยนะครับ”

               “พูดอะไรน่ะ นายเป็นคนในหมู่บ้านนี้แท้ ๆ แต่กลับไม่ชำนาญพื้นที่เนี่ยนะ จะแล้งน้ำใจไปถึงไหนกัน หรือต้องให้ฉันจ่ายเงินจ้างนายก่อน?” คราวนี้เธอเริ่มคิ้วขมวดใส่

               “ม-ไม่ใช่แบบนั้นครับ ที่จริงแล้วผมน่ะ…”

               “มีไปรษณีย์ด่วน ช่วยหลีกทางหน่อยขอร้าบบบบบบบ!!”

               ทันใดนั้นเสียงของบุรุษปริศนารายหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของเลวอน ฟังดูแสบแก้วหูจนชาวบ้านต่างพากันสะดุ้งตกใจ ไม่ทันที่พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันจะหันไปมองดู แผ่นหลังของเขาก็ถูกอีกฝ่ายพุ่งเข้าชนอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ทั้งคู่เสียการทรงตัวพร้อมทั้งเซถลาไปตามแรงเฉื่อย

               พลั่ก!

               “เหวอ!? /ว้าย!?”

               ฮิคาริซึ่งยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของเลวอนพลอยถูกผลักให้หงายหลังตาม โดยไม่อาจต้านแรงน้ำหนักที่โถมเข้ามาได้ไหว เหล่าวัยรุ่นชายหญิงทั้งสามคนจึงล้มลงไปนอนกับพื้นถนนอย่างน่าอนาถใจในท้ายที่สุด

               ตึ้ง!

Options

not work with dark mode
Reset