แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 13: ทะเลาะวิวาทด้วยเพลงดาบ

               “อูย เจ็บเจ็บเจ็บ…! ขออภัยด้วยขอรับ ทั้งสองคนบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า!?”

               “อิทสึกิ นานะโฮชิ” เด็กหนุ่มผู้ปราดเปรียวเจ้าของเรือนผมสีดำมันวาว ในชุดนักเรียนมัธยมชายญี่ปุ่นหรือกักคุรันแต่งกายดูรุ่มร่าม มาพร้อมกับสะพายดาบคาตานะคู่ใจและกระเป๋าไปรษณีย์ บริเวณข้างศีรษะมีหูสุนัขทั้งสองข้าง ด้านหลังเผยให้เห็นหางอันนุ่มสลวยเป็นลักษณะเด่น ได้เกริ่นซักถามอย่างเป็นห่วงพลางพยุงตัวขึ้นจากพื้น เพื่อไม่ให้ตนนอนทับร่างของเลวอนนานมากไปกว่านี้

               “ย… ยังว่องไวใจร้อนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะอิทสึกิ”

               เลวอนตอบกลับทั้งที่ยังอยู่ในสภาพนอนคว่ำ หารู้ไม่ว่าตนเองได้เผลอจุดชนวนต้องห้ามเข้าเสียแล้ว เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันกำลังนอนทับร่างของฮิคาริ แก้มขวาของเขาแนบเข้ากับหน้าท้องอันแบนราบ สองมือหนาสากสัมผัสหน้าอกอวบอิ่มคู่นั้นของแม่มดสาวซึ่งมีทั้งขนาดและรูปทรงกำลังดี ซ้ำร้ายยังเผลอบีบขยุ้มสัญลักษณ์ความเป็นแม่จนเนื้อทะลักล้นซอกนิ้ว ยากที่จะห้ามรั้งตนเองเอาไว้ได้

               “ย้าห์~!?”

               ฮิคาริหลุดเสียงกระเส่าออกมาพลางสั่นกระตุกเกร็งร่างกายเล็กน้อย ในขณะที่ตัวเลวอนไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องราวทั้งหมดต้องลงเอยเช่นนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้สัมผัสความนุ่มละมุนจากเรือนร่างโค้งเว้าของอิสตรีผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายสวมชุดแต่งกายอยู่ก็ตาม ส่วนอิทสึกิลุกขึ้นยืนแล้วก้มหน้ามองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งเกริ่นแซวสหายหนุ่ม

               “Lucky Sukebe~! (พ่อหนุ่มน่ารังเกียจผู้โชคดี) ”

               “กรี๊ดดดดดด!!/หวาาาาาา!!”

               สองหนุ่มสาวผมสีขาวโพลนต่างส่งเสียงร้องตกใจอย่างพร้อมเพรียง เลวอนรีบผละมือออกจากเต้าอวบอันเต่งตึงคู่นั้น ฮิคาริพลันเอนตัวลุกขึ้นสะบัดแขนขวาไล่ให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไป พลางยกแขนอีกข้างปิดแนบหน้าอกปกป้องเรือนร่างตนเองสุดชีวิตโดยที่หน้าแดงแปร๊ดจนถึงใบหู แล้วใช้สายตาดุดันคิ้วขมวดจับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้นปนความอับอาย

               “ผ-ผมขอโทษครับ เมื่อกี้ไม่ได้ตั้งใจจะจับหน้าอกนะ มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ!”

               เลวอนรีบลุกขึ้นยืนโดยมีอิทสึกิคอยช่วยฉุดแขนประคองร่างตน พร้อมทั้งชี้แจงให้เด็กสาวเข้าใจด้วยท่าทีตะลีตะลาน ทว่าฮิคาริกลับลุกพรวดกล่าวโต้แย้งแล้วตามด้วยชี้นิ้วใส่สองบุรุษหนุ่มอย่างเดือดดาล

               “ไม่ได้ตั้งใจอะไรกัน เมื่อกี้ยังเห็นนายขยำหน้าอกฉันอยู่เลย นี่พวกนายสองคนรวมหัวกันวางแผนลวนลามฉันใช่ไหม!?”

               “เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วครับ!”

               เลวอนยังคงยืนกรานปฏิเสธหนักแน่น อิทสึกิเห็นว่าสถานการณ์ในขณะนี้เริ่มมีท่าทีเลวร้ายลง จึงรีบนำมือล้วงกระเป๋าสะพายหยิบซองจดหมายขึ้นมาเพื่อแสดงให้แม่มดสาวได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ แล้วกล่าวน้ำเสียงดุดันยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ

               “ข้ามีนามว่า นานาโฮชิ อิทสึกิ ขอสาบานว่าพวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อท่านเลย ข้าแค่รีบนำเอาจดหมายด่วนไปส่งให้นางพยาบาลแล้วเผอิญวิ่งชนพวกท่านสองคนก็เท่านั้นเอง ที่สำคัญพวกท่านกำลังยืนขวางทางอยู่กลางถนนนะขอรับ!”

               “พอกันที ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้นแล้ว… นายมันเลวที่สุด ทั้งที่ภายนอกดูท่าทางเป็นคนใสซื่อแท้ ๆ”

               ฮิคาริไม่อาจเปิดใจรับฟังเหตุผลที่เทพสุนัขหนุ่มกล่าวมาได้อีก เธอเริ่มขยับเท้าขวาไปข้างหน้าอยู่ในท่าเตรียมชักดาบคาตานะพร้อมโจมตี ซึ่งลักษณะการวางมือตั้งฉาก ณ บริเวณด้ามจับนั้นตรงตามแบบฉบับวิชาอิไอโด หรือศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ที่ใช้ศัสตราวุธฟาดฟันศัตรูเพียงคมดาบเดียวโดยการชักมันออกมาจากฝักอย่างรวดเร็วนั่นเอง

               การแสดงออกของเด็กสาวเมื่อสักครู่สร้างความลำบากใจให้แก่อิทสึกิพอสมควร เด็กหนุ่มตัดสินใจชักคาตานะของตนออกมาจากฝักแล้วใช้สองมือกำด้ามจับอย่างมั่นคง ตั้งท่าเตรียมโจมตีตามแบบฉบับวิชาเคนโด้ หรือศิลปะการต่อสู้ของประเทศญี่ปุ่นอีกแขนงหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลาย ก่อนจะเกริ่นสนทนากับอีกฝ่ายโดยที่สายตาของสองนักดาบต่างจับจ้องมองดูชั้นเชิงระหว่างกันอย่างไม่ลดละ

               “อุบัติเหตุแค่นี้ถึงกับต้องฆ่าแกงกันเลยหรือขอรับ เห็นทีข้าคงต้องขอปกป้องชีวิตสหายอย่างสุดกำลัง…! ในเมื่อท่านเลวอนไม่ได้มีเจตนาประสงค์ร้ายต่อท่าน อีกทั้งยังกล่าวขอโทษสำนึกผิดไปแล้วแท้ ๆ เหตุใดท่านถึงยังกระเหี้ยนกระหือรืออะไรต่อเขาอีก!?”

               “ไม่ได้นะครับทั้งสองคน ที่นี่เป็นเขตชุมชน สู้กันตรงนี้เดี๋ยวก็ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาหรอก รีบเก็บดาบแล้วหันมาพูดจาดี ๆ กันก่อน!”

               เลวอนพยายามห้ามปรามไม่ให้สองซามูไรผู้เลือดร้อนลงมือทำร้ายกันเอง ฮิคาริถึงกับถอนหายใจเอือมระอาต่อความไร้เดียงสาของเขา เธอหมุนพลิกตัวดาบหันส่วนที่เป็นคมชี้ลงข้างล่างหมายจะใช้สันเป็นอาวุธแทน ตามปกติแล้วการใช้คาตานะต่อสู้จะต้องจับในลักษณะงอข้อมือขวาตั้งฉากพร้อมหงายคมขึ้น เพื่อสะดวกในการตั้งรับหรือโจมตีฉับพลันในขณะที่ชักดึงดาบ แต่ถึงกระนั้นเด็กสาวก็ยังคิดเมตตาเพราะเห็นแก่คำพูดของอีกฝ่าย พร้อมทั้งเกริ่นให้เหตุผลส่วนตัว

               “ดูเหมือนพวกนายจะยังไม่เข้าใจศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงดีพอ เอาเถอะ เพื่อเห็นแก่ผู้นำหมู่บ้านแห่งนี้ ถ้างั้นฉันจะขอใช้สันดาบลงทัณฑ์ก็แล้วกัน”

               “ในเมื่อยังปรานีให้กัน ข้าเองก็จะขอใช้สันดาบลงมือต่อท่านขอรับ”

               อิทสึกิพลิกตัวดาบหันส่วนที่เป็นสันเข้าหาคู่ต่อสู้ เมื่อเห็นว่าฮิคาริไม่ได้มีเจตนาจะพรากเอาชีวิตเลวอน ทว่าแม่มดสาวกลับยกยิ้มพูดจาข่มขวัญอีกฝ่ายอย่างมั่นใจ

               “เห นายเองก็เป็นองเมียวจิเหมือนกันกับฉันงั้นสินะ น่าดีใจจริง ๆ …นานาโฮชิ อิทสึกิ ไม่นึกเลยว่าจะได้พบเจอกับคนชาติเดียวกันในที่แบบนี้ แต่ถ้าหากยังรักชีวิตของตัวเองอยู่ล่ะก็ ฉันขอแนะนำให้นายใช้คมดาบเข้าสู้น่าจะดีกว่า”

               “เสียมารยาท ถึงจะเป็นคนชาติเดียวกัน แต่ก็อย่าได้บังอาจดูหมิ่นความตั้งใจของข้าเด็ดขาด!”

               เทพสุนัขหนุ่มเผยสีหน้าคิ้วขมวดพร้อมน้ำเสียงเกรี้ยวกราด หาได้สนใจคำแนะนำของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เขารีบตั้งสมาธิเพ่งกระแสจิตให้แกร่งกล้าขึ้น แล้วตามด้วยท่องบริกรรมคาถาเพื่อเสริมพลังโจมตีทันที

               “On namu dai komoku ten sowaka ข้าแด่ท้าววิรุปักษ์แห่งสี่จาตุมหาราชผู้ปกครองทิศปัจฉิม ขอพระองค์โปรดประทานพลังอำนาจแห่งบริวาร มาสถิติ ณ คมดาบเล่มนี้เสมือนดั่งเขี้ยวนาคาผู้มีพิษสง”

               วูบ…

               ใบดาบของอิทสึกิเริ่มส่องสว่างเป็นแสงสีเขียว ขณะเดียวกันทางด้านฮิคาริเองก็เริ่มทำการตั้งกระแสจิตไปยังอาวุธตน แล้วกล่าวร่ายเวทมนตร์ด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็นดังนี้

               “On aganaya in maya sowaka ข้าแด่พระอัคคีแห่งเทพโลกบาลผู้ปกครองทิศอาคเนย์ โปรดดลบันดาลเพลิงแห่งความพินาศมาสถิติยังศาสตราวุธ เพื่อแผดเผาความชั่วร้ายให้มอดไหม้หมดสิ้นไป”

               ชู่ว…

               แม้นมองไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคมดาบได้อย่างชัดเจน แต่หากสังเกตดูให้ดีจะพบว่าตัวฝักของคาตานะของเด็กสาวเริ่มมีควันไอร้อน ตามด้วยออร่าแสงสีแดงปรากฏขึ้นมาจาง ๆ ณ เวลานี้ทั้งอิทสึกิและฮิคาริพร้อมที่จะห้ำหั่นคมดาบใส่กันแล้ว หาได้สนใจเสียงเชียร์ของบรรดาชาวบ้านที่กำลังยุยงให้สองหนุ่มสาวต่อสู้กันเองแต่อย่างใด

               เลวอนไม่จำเป็นต้องรอให้เทพสุนัขหนุ่มออกคำสั่ง เขารีบถอยหลังออกห่างจากจุดปะทะราว 10 เมตรอย่างรู้งานทันที เพื่อที่ตนจะได้ไม่ต้องถูกลูกหลงหรือยืนเกะกะขวางทาง

               “……”

               ต่างฝ่ายต่างจับจ้องดูเชิงกันเป็นเวลาหลายสิบวินาที แต่ก็ไม่มีผู้ใดเป็นฝ่ายบุกโจมตีก่อน อิทสึกิหมดสิ้นความอดทนในการรอคอยจึงตัดสินใจพุ่งตัวไปข้างหน้า ง้างดาบคาตานะขึ้นเหนือศีรษะเปิดฉากรุกใส่ พร้อมเรียกขานนามแห่งคาถาออกมาอย่างฉะฉาน ซึ่งนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นแสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยวหมายจะเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างแจ่มแจ้ง

               “ดาบเขี้ยวอสรพิษ!”

               “ดาบอัคนีสีชาด!”

               ฮิคาริชักดาบออกมาจากฝักในลักษณะเหวี่ยงสะบัดไปข้างหน้า เป็นจังหวะเดียวกับตอนที่อิทสึกิใช้คาตานะฟันลงมาในแนวดิ่งเกิดเสียงปะทะดัง “เคร้ง!” จนวิถีดาบของเด็กหนุ่มเบี่ยงเบนไปทางฝั่งซ้าย เนื่องจากต้องตั้งรับแรงปะทะที่พุ่งเข้ามาในแนวขวาง จากนั้นแม่มดสาวรีบหมุนข้อมือพลิกปลายแหลมชี้ด้านบน นำมือซ้ายจับด้ามอาวุธให้มั่น แล้วใช้สันฟาดฟันใส่สีข้างของบุรุษเทพสุนัขเข้าอย่างจัง โดยที่เธอไม่ได้ขยับเคลื่อนฝีเท้าเลยแม้เพียงก้าวเดียว

               ผัวะ!

               “อั๊ก!? อ๊ากกกก!!”

               อิทสึกิกรีดร้องพลางทรุดเข่านอนงอตัวลงบนพื้นพร้อมกับดาบคาตานะคู่ใจ เขานำสองมือกุมสีข้างฝั่งซ้ายด้วยอาการเจ็บแสบทรมานไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ชั่วคราว การต่อสู้จึงต้องยุติลงด้วยเพลงดาบเดียว ในขณะที่แม่มดสาวทอดสายตามองต่ำ ชำเลืองดูอีกฝ่ายซึ่งกำลังเผยสีหน้าบิดเบี้ยวดิ้นทุรนทุราย ก่อนจะเกริ่นประโยคออกมาสั้น ๆ

               “ร่ายคาถาอสรพิษใส่ลงในดาบงั้นเหรอ เข้าใจคิดเหมือนกันนี่”

               “น… นี่ท่านเป็นใครกันแน่?”

               อิทสึกิพยายามเงยหน้าซักถามทั้งที่ตนเองตกอยู่ในสภาพเจียนตาย ฮิคาริรีบหมุนตัวตั้งท่าหันศัสตราวุธเข้าหาเลวอนซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ประมาณ 10 เมตร ทำการคลายพลังเวทมนตร์ที่ปกคลุมตัวดาบอยู่ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ แล้วนำเก็บเข้าใส่ในตัวฝักอย่างประณีตเพื่ออยู่ในท่าเตรียมจู่โจมอีกครั้ง จากนั้นจึงให้คำตอบกลับคืนไปตามมารยาท

               “ฮาชิสึเมะ ฮิคาริ จำชื่อนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจด้วยล่ะ”

               “ตระกูลฮาชิสึเมะ ร-หรือว่าท่านคือ…!?”

               เทพสุนัขหนุ่มถึงกับตาเบิกโพลงทันที ไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค ฮิคาริก็พลันกระโจนตัวพุ่งเข้าไปหาพ่อมดวัยเยาว์ผมสีขาวโพลนแบบฉับพลัน เลวอนพยายามก้าวเท้าถอยหลังหลบแต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากประสบการณ์การต่อสู้ของทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

               “หนีเร็วท่านเลวอน!!”

               อิทสึกิส่งเสียงเตือนเพื่อนสนิทแต่ก็ไม่ทันการ สตรีจอมดาบเวทได้เข้าประชิดถึงตัวเลวอนเสียแล้ว ไม่ทันทีเลวอนจะเผยสีหน้าประหลาดใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ ฮิคาริก็ได้ชักสันดาบคาตานะออกมาโจมตีในท่าอิไอโดซัดเข้าใส่กลางอกของเด็กหนุ่มรูปงามเต็มรัก

               ปึ้ก!

               เลวอนเซถลาหงายหลังลงไปนอนกับพื้น แม้จะเป็นเพียงแค่สันดาบธรรมดา ทว่าด้วยแรงปะทะเข้าใส่อย่างรุนแรงเมื่อสักครู่นั้น ก็มากพอที่จะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนสะเทือนไปถึงภายในหัวใจซึ่งมีเขี้ยวของวลาดฝังอยู่ จนยากที่เขาจะสะกดเสียงร้องแห่งความทุกข์ทรมานไหว

               “อ๊ะ… อั๊ก!”

               “ฮึ สมน้ำหน้า สำหรับคนหน้าซื่อใจคดอย่างนายสั่งสอนแค่นี้ยังเบามือเกินไปด้วยซ้ำ… เอ๊ะ!?”

               ซามูไรหญิงเกริ่นเยาะเย้ยพลางนำดาบเก็บใส่ในฝักอย่างระมัดระวัง ทว่าในขณะนั้นเองเธอกลับรู้สึกขนลุกซู่ สัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรงซึ่งแผ่ซ่านมาจากเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพัน ที่กำลังนอนกุมหน้าอกอย่างทุรนทุรายพร้อมทั้งหายใจหอบ ฮิคาริจึงรีบหันกลับไปมองอีกฝ่ายโดยพลัน ก่อนจะก้มหน้าสังเกตดูมือขวาของตนที่กำลังสั่นระริกตามสัญชาตญาณ และแอบครุ่นคิดอยู่ภายในใจพลางตั้งข้อสังเกตต่อเลวอนด้วยความกังขาเพียงครู่หนึ่ง

               อะไรกัน นี่เรากำลังกลัวงั้นเหรอ แค่โดนจิตสังหารรุนแรงซัดใส่เพียงแว้บเดียวก็ทำให้เราตัวสั่นได้ถึงขนาดนี้เลย หมอนี่เป็นใครกันแน่…!?

               ระหว่างนั้นเองอิทสึกิรีบหยิบยันต์สีขาวจากกระเป๋าข้างเข็มขัดขึ้นมา กล่าวพึมพำร่ายคาถาปัดเป่าภัยแล้วแปะประทับลงบนสีข้างฝั่งซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บ ให้แผลสมานตัวกลับมาหายดีเป็นปกติเพียงไม่กี่อึดใจ จากนั้นลุกขึ้นหยิบดาบคาตานะเก็บใส่ในฝัก แล้วรุดหน้าวิ่งโซซัดโซเซเข้าไปสมทบกับเลวอนด้วยความเป็นห่วง

               “ท-ท่านเลวอน แข็งใจเอาไว้นะขอรับ!”

               “อะไรของพวกนายเนี่ย โอเวอร์เกินไปรึเปล่า แค่โดนสันดาบฟาดเข้าไปทีนึงอย่าทำเป็นสำออยหน่อยเลยน่า เสียชาติเกิดลูกผู้ชายหมด”

               เด็กสาวในชุดเครื่องแบบสีดำนิลถอนหายใจเอือมระอาพลาง ภายหลังจากเทพสุนัขหนุ่มคุกเข่าเข้าประคองร่างสหายของตนเพื่อเตรียมปฐมพยาบาลเบื้องต้น เขาก็ได้หันมาจ้องเขม็งเล็งใส่เธอด้วยแววตาอันเกรี้ยวกราด พร้อมทั้งส่งเสียงตวาดใส่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

               “คนอย่างท่านจะไปรู้อะไรกัน!? ท่านเลวอนเขาป่วยเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ท่านกลับไม่ยั้งมือตัวเองเอาไว้เลย!”

               “โรคหัวใจ…? ด-เดี๋ยวสินี่นายไม่ได้อำเล่นใช่ไหม?”

               “ข้าไม่ชอบเอาเรื่องความเป็นความตายของสหายมาพูดปดหรอกนะขอรับ ถ้าหากท่านยังมีจิตสำนึกของความเป็นคนอยู่ล่ะก็ช่วยรีบพาตัวเขาไปส่งที่ศูนย์พยาบาลเร็วเข้าเถอะ!”

               เมื่อฮิคาริใคร่ครวญพิจารณาถ้อยคำจากอีกฝ่าย สลับกับจ้องมองเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนที่กำลังอยู่ในอาการเจ็บปวดโดยปราศจากความเสแสร้ง เด็กสาวก็ถึงกับเผยสีหน้าอากัปกิริยาร้อนรนใจให้เห็น รีบย่อเข่าพยุงร่างของเลวอนให้ลุกขึ้นพร้อมตอบตกลงทันที

               “ข… เข้าใจแล้ว ถ้างั้นนายช่วยนำทางให้ฉันที!”

               “ท… ทั้งสองคนหยุดก่อนครับ ผมไม่เป็นไร”

               เลวอนส่งเสียงห้ามปรามก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อไม่ให้หัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะมากเกินไป จนกระทั่งอาการปวดเริ่มทุเลาลง ฮิคาริที่ยังคงกังวลใจอยู่ก็ได้กล่าวทักท้วงต่ออีกฝ่าย โดยที่เธอและอิทสึกิยังคงประคองร่างของเขาเอาไว้

               “พูดอะไรน่ะตาบ้า ท่าทางปางตายแบบนั้นยังจะเรียกว่าไม่เป็นไรได้อีกเหรอ!?”

               พ่อมดหนุ่มผู้แสนสุภาพส่ายหน้าปฏิเสธ ยังคงตั้งสมาธิกำหนดลมหายใจต่อไปอีกสามถึงสี่ครั้งแล้วค่อย ๆ ประคองตัวลุกขึ้นยืนเอง พลางฉีกยิ้มเพื่อให้ฮิคาริและอิทสึกิคลายความกังวลใจ บุรุษเทพสุนัขเห็นท่าทีสบายดีดังนั้นจึงเกริ่นออกมาสั้น ๆ

               “ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นไรแล้วล่ะขอรับ”

               “จ… จริงเหรอ ค่อยยังชั่ว”

               แม่มดสาวจอมดาบเวทถอนหายใจโล่งอก อิทสึกิได้ทีจึงสบโอกาสพูดจาแซวใส่เธอโดยพลัน

               “เป็นห่วงคนแปลกหน้าด้วยเหรอขอรับ ทั้งที่ตัวเองใช้สันดาบซัดใส่ท่านเลวอนไปแบบนั้น?”

               “น-หนวกหูย่ะ ฉันแค่ไม่อยากโดนลงโทษหรือถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านก็เท่านั้นเอง!”

               “เห… ไม่ใช่ว่ากลัวท่านเลวอนจะเป็นอะไรไปเพราะน้ำมือของตนเองหรือขอรับ?”

               “แน่ใจนะขอรับว่าเป็นห่วงแค่เรื่องนั้นจริง ๆ ไม่งั้นท่านคงไม่เผยท่าทีรู้สึกผิดถึงขนาดนี้หรอก”

               อิทสึกิยกยิ้มอย่างมีเลศนัย ฮิคาริที่ถูกสุนัขหนุ่มอ่านความคิดของตนแบบทะลุปรุโปร่งก็ถึงกับแก้มแดงระเรื่อพลางคิ้วขมวดใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ลดมือขวาลงไปจับด้ามดาบในท่าเตรียมชักอาวุธแล้วเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบแฝงด้วยแรงกดดันทันที

               “พูดจาแบบนี้อยากโดนซัดเข้าที่สีข้างอีกรอบใช่ไหม?”

               “ข… ขออภัยด้วยขอรับ!”

               อิทสึกิหน้าซีดเซียวรีบยกมือขึ้นมาห้ามปรามอย่างหวั่นสะพรึง เนื่องจากเข็ดหลาบกับเพลงดาบของเด็กสาวซามูไรเมื่อสักครู่นี้ เลวอนที่กำลังยืนดูทั้งคู่สนทนาหยอกล้อกันอยู่แอบส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ทำให้ฮิคาริผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปได้บ้าง แต่ยังคงหันมาแสดงสีหน้าบึ้งตึงใส่บุรุษรูปงามตามปกติ

               “เดี๋ยวเถอะ ขำอะไรของนาย?”

               “ป… เปล่าไม่มีอะไรหรอกครับ พอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงแล้วก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย”

               “อะไรกัน ทั้งที่ฉันเกือบจะฆ่านายไปแล้วแท้ ๆ ยังยิ้มได้หน้าตาเฉยอีก เป็นผู้ชายที่พิลึกคนเสียจริง”

               ฮิคาริก้มใบหน้าลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดเคืองแค้นอะไรเธอแล้วก็ตาม ส่วนอิทสึกิได้หันมาพูดคุยและให้คำแนะนำแก่เลวอนไปดังนี้

               “ถ้าไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงก็ดีแล้วล่ะขอรับ แต่เพื่อความปลอดภัยข้าว่าท่านควรรีบเดินทางไปที่ศูนย์พยาบาล เพื่อให้แพทย์คอยตรวจเช็กร่างกายอย่างละเอียดจะดีกว่า”

               “เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะที่เป็นห่วงผม… ว่าแต่อิทสึกิเองก็ควรรีบส่งจดหมายด่วนให้ทันตามกำหนดการเร็วเข้าเถอะ”

               เลวอนเป็นฝ่ายทักท้วงกลับไปบ้าง เทพสุนัขหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ถึงกับส่งเสียงอุทานพลางแสดงท่าทีตื่นตระหนก โดยที่ใบหูกับหางสีดำอันนุ่มฟูตั้งชูขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะลืมธุระสำคัญไปเสียสนิทจนกระทั่งเวลาล่วงเลยหลายนาทีแล้ว

               “เหวอ!? ขืนมัวชักช้าข้ามีหวังโดนพวกผู้ใหญ่ตำหนิแน่ ถ้างั้นข้าขอตัวไปทำงานต่อ รักษาสุขภาพด้วยนะขอรับ!”

               อิทสึกิโค้งศีรษะคำนับเล็กน้อยก่อนจะพลันก้าวเท้าวิ่งออกจากพื้นที่แห่งนี้ไปอย่างสุดชีวิต ปล่อยให้ฮิคาริกับเลวอนอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง ส่วนบรรดาชาวบ้านที่ยืนตั้งวงล้อมคอยเฝ้าดูการต่อสู้เมื่อสักครู่ ต่างพากันแยกย้ายสลายกลุ่มกลับไปทำงานของตนตามปกติ ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทอะไรเกิดขึ้น

               เลวอนจัดเสื้อเชิ้ตของตนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ในระหว่างนั้นเองเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวแกมม่วงก็ได้สนทนาถามไถ่ถึงอาการของเขาอย่างเป็นห่วง

               “นี่ ไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่ไหม? นาย…”

               “เลวอน ทาวิเทียนครับ ยินดีที่ได้รู้จัก… ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะครับ ผมโอเคขึ้นแล้วล่ะ”

               พ่อมดวัยเยาว์กล่าวแนะนำตัวพลางแย้มสรวลอย่างเป็นมิตร ฮิคาริแก้มแดงระเรื่อรีบเมินใบหน้าหลบอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมตอบกลับน้ำเสียงฉะฉาน

               “ย-อย่าหลงตัวเองสิยะ ฉันไม่ได้กังวลเรื่องของนายสักหน่อยไอ้โรคจิต!”

               “นึกแล้วเชียว ยังโกรธอยู่สินะครับ… เรื่องนั้นผมต้องขอโทษด้วยจริง ๆ หากมีเรื่องที่ผมพอจะชดใช้หรือทำให้คุณหายโกรธลงได้บ้างล่ะก็ เชิญพูดออกมาได้เลยนะครับ”

               เลวอนโน้มตัวก้มศีรษะเพื่อแสดงความสำนึกผิดจากใจจริง ฮิคาริเองก็อยากจะกล่าวคำขอโทษแก่เด็กหนุ่มด้วยเช่นกัน ทว่าตัวเธอกลับไม่กล้าหาญมากพอที่จะเอ่ยปากออกไป เนื่องจากยังคงหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตนอย่างเหนียวแน่น

               “อะไรกันเล่า… ทั้งที่ฉันเผลอทำร้ายนายลงไป อย่างน้อยก็ควรจะโกรธใส่ฉันบ้างสิ”

               “จะโกรธได้ยังไงกันล่ะครับ ในเมื่อทางนี้เองก็ทำเรื่องไม่ดีกับคุณลงไปเหมือนกัน”

               “…!”

               ความอ่อนโยนและการรู้จักให้อภัยของเลวอนส่งผลให้ฮิคาริรู้สึกละอายใจ จนนึกรังเกียจนิสัยที่ดื้อรั้นของตัวเองขึ้นมาทันที อย่างไรก็ตามเธอได้ทักท้วงให้อีกฝ่ายเลิกถ่อมตน พร้อมทั้งตั้งเงื่อนไขบางอย่างตามประสาเด็กสาวผู้เอาแต่ใจ

               “เงยหน้าขึ้นมาได้แล้วตาบ้า ฉันยังไม่ยกโทษให้นายง่าย ๆ หรอกนะ… จนกว่านายจะนำทางพาฉันไปที่ปราสาทสีขาว และคอยแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ภายในพื้นที่ใจกลางหมู่บ้านให้ฉันได้รู้จัก รวมถึงต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้อเที่ยงฉันด้วย”

               “ได้สิครับ ผมยินดีรับหน้าที่นี้ให้เอง” เลวอนรีบเงยศีรษะยอมรับข้อตกลงอย่างไม่ลังเล

               “พูดจริงเหรอ!?”

               ฮิคาริจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกาย ใบหน้าและรอยยิ้มอันสดใสของเธอซึ่งเผยให้เห็นเป็นครั้งแรกนั้นทำให้เลวอนเกิดความหวั่นไหวภายในใจ เมื่อแม่มดสาวรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าตนเองเผลอปล่อยตัวไปตามอารมณ์จึงรีบส่งเสียงกระแอมแก้เขิน แล้วสนทนากับบุรุษรูปงามอีกครั้งตามปกติ

               “อะแฮ่ม…! จะว่าไปแล้ว เมื่อกี้นายโดนสันดาบซัดใส่ถึงขนาดนั้นแต่ยังรอดกลับมาเป็นปกติได้ ทั้งที่ป่วยเป็นโรคหัวใจแท้ ๆ ตอนแรกฉันยังแอบนึกกังวลอยู่เลยว่าตัวเองเผลอใช้ดาบคาตานะฆ่าคนไปแล้วรึเปล่า ทำเอาใจหายใจคว่ำหมด”

               “ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ… นี่ถ้าหากไม่ได้ยาบำรุงจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟช่วยเอาไว้ล่ะก็ ถึงตอนนั้นผมคงออกอาการคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ตายไปตั้งนานแล้วล่ะ”

               “คลุ้มคลั่ง? …จริงสิ ตอนที่ฉันใช้สันดาบโจมตีใส่นาย ฉันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงจากตัวนายด้วย ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็เถอะ… ตกลงนายเป็นตัวอะไรกันแน่ เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับอาการป่วยที่กำลังเป็นอยู่รึเปล่า?”

               “คุณฮาชิสึเมะเนี่ยเป็นคนช่างสังเกตจังเลยนะครับ”

               เลวอนเผยรอยยิ้มมุมปากเศร้าสร้อย ฮิคาริเห็นดังนั้นจึงรีบกล่าวออกไปด้วยความเวทนาใจ

               “อ๊ะ ถ้าไม่สะดวกจะเล่าให้ฟังก็ไม่เป็นไร ฉันไม่บังคับนายหรอกนะ”

               “ไม่เป็นไรหรอกครับ คิดเสียว่าเป็นการชดเชยความผิดส่วนหนึ่งก็แล้วกัน ในระหว่างเดินทางเดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณฮาชิสึเมะฟังเอง อาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไร้สาระชวนหดหู่ไปบ้าง… ถ้าไม่รังเกียจจะลองฟังดูสักหน่อยไหมครับ?”

               “เอาสิ ถ้านายยินดีที่จะเล่าให้ฉันฟังล่ะก็นะ”

               หลังจากสิ้นสุดประโยคดังกล่าว ทั้งฮิคาริและเลวอนต่างส่งยิ้มให้แก่กัน ถัดมาเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันจึงผายมือไปยังสัมภาระของแม่มดสาวจอมดาบเวท พร้อมกล่าวเสนอน้ำใจไมตรีจิตไปดังนี้

               “ส่งกระเป๋าเดินทางมาสิครับ เดี๋ยวผมจะลากจูงให้เอง”

               “ฉันถือเองได้ย่ะเจ้าลูกแกะ”

               ฮิคาริรีบยกมือห้ามปรามเลวอนเนื่องจากตนมีนิสัยค่อนข้างขี้ระแวงต่อเพศตรงข้าม ทว่าอีกใจหนึ่งก็คิดอยากจะรักษาความเป็นมิตรภาพที่เด็กหนุ่มได้ยื่นมอบให้แก่ตนเช่นเดียวกัน จึงตอบตกลงโดยดุษณีพลางส่งของสัมภาระให้แก่อีกฝ่าย แม้นว่าน้ำเสียงท่าทีซึ่งแสดงออกมานั้นแลดูเย่อหยิ่งไปบ้างก็ตาม

               “ช่วยไม่ได้แฮะ ถ้างั้นฉันขอฝากสัมภาระเอาไว้ที่นายก่อนก็แล้วกัน… แต่ถ้าหากชิ่งหนีขโมยกระเป๋าไปดื้อ ๆ ล่ะก็ฉันจะไม่มีวันยกโทษให้นายเด็ดขาดเลย”

               เลวอนรับกระเป๋าเดินทางจากฮิคาริพลางยิ้มเจื่อนอย่างไม่ถือสา ก่อนจะก้าวเท้าอาสานำทางให้แก่อีกฝ่าย มุ่งหน้าไปยังปราสาทสีขาว ณ ใจกลางหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตรงจุดนี้ไม่ไกลมากนัก ระหว่างเดินทางทั้งสองหนุ่มสาวได้พูดคุยสนทนากันไปพลาง ๆ เพื่อไม่ให้รู้สึกเบื่อหน่าย จนกระทั่งเกิดความสนิทสนมเพิ่มมากขึ้น

               ความสัมพันธ์แบบเส้นขนานของทั้งคู่นั้นกำลังจะเชื่อมบรรจบกันกลายเป็นหนึ่งเดียวในอีกไม่ช้า

Options

not work with dark mode
Reset