แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 19: ราชันผีดูดเลือด & จูบจากบุตรีแห่งไซตอน

               “อ… อะไรน่ะ นี่คุณเป็นใคร ทำไมถึงได้…!?”

               “คนที่ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์กับคำสาปแช่งของข้ายังไงล่ะ บุตรแห่งจอมดาบเวททาวิเทียนเอ๋ย!”

               สิ้นน้ำเสียงแข็งกร้าว ร่างของเลวอนก็เริ่มผ่อนคลายความแข็งเกร็งก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ทั้งที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนพร้อมด้วยโลหิตสีแดงฉาน และหาได้สนใจไม้กายสิทธิ์บนพื้นเลยแม้แต่น้อย

               ปลายเส้นผมของพ่อมดวัยเยาว์กลับกลายเป็นสีเทาเข้มจนเกือบดำ เมื่อเงยศีรษะขึ้นมานัยน์ตาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำทะเลส่องประกายสว่างสดใส ภายใต้ใบหน้าคิ้วขมวดเปี่ยมล้นไปด้วยความกล้าหาญและจิตมุ่งร้ายอาฆาตแค้นซึ่งแตกต่างจากเลวอนคนเดิมโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญกระแสจิตในตอนนี้กลับนิ่งสงบโดยแสดงให้เห็นถึงออร่าสีฟ้าเจือจางโดยรอบ สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลเทียบเท่าจอมเวทระดับชั้นพาลาดิน

               คนที่อยู่ตรงเบื้องหน้าของมิโนทอร์ ณ ตอนนี้หาได้ใช่เลวอนผู้ใสซื่อและสุภาพเรียบร้อยอีกต่อไป

               “ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว วันที่ข้าได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล… ส่วนเจ้าจงจับตามองดูข้าอย่างเงียบ ๆ เสียเถอะ”

               บุรุษปริศนาผู้ยึดครองร่างเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบแต่งแฝงไว้ซึ่งความหนักแน่น บ่งบอกนิสัยความเป็นผู้นำอย่างชัดเจน เลวอนที่ยังคงสติสัมปชัญญะก็ได้กลายเป็นฝ่ายร้องตะโกนอยู่ภายในหัวแทน แม้พยายามสั่งให้ร่างกายขยับตามใจนึกสักกี่ครั้งก็ไม่อาจเป็นผล เพราะสถานะของเด็กหนุ่มในเวลานี้แทบไม่ต่างอะไรกับผู้สังเกตการณ์เลยแม้แต่น้อย

               “อะไรกัน ร่างกายเราขยับไม่ได้… ไม่สิ นี่เรากำลังถูกควบคุมร่างงั้นเหรอ!?”

               “กรรรรรรรร!!”

               เมื่อมิโนทอร์เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงขยับตัวลุกขึ้นยืนไหวและอยู่ในท่าทีหยิ่งผยอง จึงส่งเสียงแผดคำรามข่มขวัญกำลังใจใส่อีกครั้ง ทว่าพ่อมดผู้ห้าวหาญกลับแน่นิ่งไม่สะทกสะท้านใด ๆ ก่อนจะสวนกลับด้วยวาจาที่ฟังดูแข็งกร้าวดังนี้

               “เจ้าอสูรร้ายผู้บังอาจมาต่อกรกับร่างสถิตข้า บัดนี้เจ้าจะต้องได้รับการชดใช้อย่างสาสม จงก้มหัวศิโรราบให้แก่วลาด แดรกคิวลาแห่งวาลาเคียผู้นี้ซะ!”

               “วลาด แดรกคิวลา หรือว่า…!?”

               เลวอนผู้อยู่ในฐานะเฝ้าสังเกตการณ์ชั่วคราวส่งเสียงประหลาดใจหลังจากได้ยินชื่อ ขณะเดียวกันบุรุษหนุ่มดวงตาสีน้ำทะเลเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนแซมเทาหรือวลาดที่สาม ราชาผีดูดเลือดจอมเสียบแห่งโรมาเนีย รีบก้าวเท้าหมายปะทะเข้าใส่มิโนทอร์อย่างไม่เกรงกลัว โดยที่อสูรร้ายตนนั้นได้เร่งความเร็วพุ่งปรี่ง้างหมัดขวาพร้อมซัดใส่เต็มแรงด้วยเช่นเดียวกัน

               อมนุษย์ร่างแกร่งเหวี่ยงกำปั้นโจมตีใส่ ทว่าราชันผีดูดเลือดในร่างเด็กหนุ่มกระโดดเหยียบแขนอีกฝ่ายลอยขึ้นสูงเหนือศีรษะแล้วม้วนตัวกลางอากาศไปข้างหน้า ในช่วงจังหวะที่สายตาจับจ้องมองแผ่นหลังของศัตรูในท่ากลับหัว วลาดได้ยื่นมือขวาไปข้างหน้า หมุนพลิกในลักษณะหงายมือชี้ไปยังตำแหน่งของเป้าหมาย จากนั้นเปล่งเสียงร่ายคาถาพลางกำหมัดแน่น เพื่อให้มนตราสำแดงฤทธิ์เดชโดยพลัน

               “Tragere in teapa! (ปฐพีเสียบลงทัณฑ์) ”

               ครืนนนนน ฉึกฉึกฉึกฉึก สวบสวบ!!

               “กรรรรร!!”

               พื้นดินที่มิโนทอร์กำลังเหยียบย่ำอยู่กลับกลายเป็นเสาหนามอันแหลมคมนับสิบเล่ม ยื่นขึ้นมาเสียบทะลุร่างของปีศาจครึ่งคนครึ่งสัตว์จากทั่วทุกสารทิศด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ประดุจดั่งแท่งโลหะแข็งกล้ายากที่จะโค่นล้มลง ทำให้ศัตรูเปล่งเสียงกรีดร้องอย่างเวทนาไม่สามารถขยับตัวได้ โดยที่มันพยายามดิ้นสุดฤทธิ์เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ

               วลาดที่สามพลิกตัวนำสองฝีเท้าแตะลงพื้นอย่างนุ่มนวล พร้อมย่อเข่าม้วนตัวไปข้างหน้าเพื่อชะลอความเร็วก่อนจะลุกขึ้นยืนหันหลังกลับไปมองยังศัตรูผู้น่าเกรงขาม ซึ่งกำลังดิ้นรนหาทางรอดจากหนามอันแหลมคม ตามปกติแล้วหากเป็นอสูรหรือมนุษย์ทั่วไปถูกมนตราชนิดนี้เขาโจมตี ก็ยากที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้อีก

               “ยังประคองสติได้อีกเรอะ แถมสัมผัสได้ถึงรังสีที่ชั่วร้ายแบบนี้ เจ้าคงเป็นข้ารับใช้ของจอมมารไซตอนงั้นสินะ… ทว่าฝีมือของเจ้าในตอนนี้ยังเทียบเคียงกับจอมเวทระดับสูงอย่างข้าไม่ได้หรอก!”

               ราชันผีดูดเลือดกล่าวหยิ่งผยองราวกับผู้มีชัย สายตาอันแข็งกร้าวยังคงจับจ้องมองอมนุษย์ตนนั้น พลางยกแขนขวาขึ้นมาในลักษณะงอศอกตั้งระนาบแนวนอน นำปลายนิ้วจรดบริเวณหัวไหล่อีกข้างแล้ววาดสะบัดมือออกไปจนสุดคล้ายกับการขีดเส้น พร้อมเปล่งเสียงร่ายคาถาแสดงอิทธิฤทธิ์อย่างฉับพลัน

               “Prabusire! (พสุธาพลันทลาย) ”

               ครึกกก ครืนนน!!

               พื้นดินแตกแยกทรุดตัวลงอย่างกะทันหัน ทำให้ร่างแกร่งของมิโนทอร์ดำดิ่งจมลงสู่ห้วงลึกแห่งพสุธาพร้อมเหล่าบรรดาเสาต้นหนามนับสิบเล่ม เหลือไว้แค่เพียงช่วงบริเวณเอวขึ้นไปเท่านั้น เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสขยับตัวหรือปีนป่ายขึ้นมาได้

               ——เพล้ง!!

               ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่วลาดคาดคิด เมื่ออสูรร้ายฮึดสู้ส่งเสียงคำรามเรียกพละกำลังกลับคืนมาจนทั่วร่างปกคลุมไปด้วยออร่าสีแดงฉานคล้ายพลังเวท ก่อนจะสะบัดกระชากสองแขนทำลายแท่งหนามที่เสียบร่างตนเป็นเสี่ยง ๆ วีรบุรุษหนุ่มจึงหัวเราะชอบใจ พลางวาดมือขวาเตรียมร่ายคาถาโบราณขั้นสูงโจมตีใส่มิโนทอร์อีกครั้งหมายจะเผด็จศึกในคราวเดียว

               “ฮะฮะฮะ น่าสนุกดีนี่เจ้าอสูรร้าย งั้นข้าจะไม่เกรงใจต่อเจ้าล่ะนะ!”

               ตึกตัก…!

               เนื่องจากเจ้าชายแห่งวาลาเคียใช้เวทมตนร์ระดับสูงติดต่อกันหลายครั้ง จึงส่งผลทำให้ร่างกายต้องคำสาปของเลวอนไม่อาจแบกรับความเจ็บปวดได้อีก เขารีบยกมือขวากุมกลางอกด้วยท่าทีแสนเจ็บปวดทรมานจนเสื้อเชิ้ตที่สวมใส่เกิดรอยยับยู่ยี่ ในขณะที่ดวงตาทั้งสองเบิกโพลง มีอาการหอบเหนื่อยและหายใจลำบาก

               “อึ้ก… ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย!? ร่างกายของเด็กคนนี้บอบบางกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก ถ้าหากข้าได้ดื่มเลือดของมนุษย์แม้เพียงสักหยดล่ะก็…!”

               “กรรรรร!!”

               มิโนทอร์ยังคงตะเกียกตะกายพยายามหาทางปีนป่ายขึ้นมาจากหลุมลึก ในขณะที่บาดแผลทั่วร่างค่อย ๆ สมานตัวกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ วลาดได้หันซ้ายแลขวาค้นหาบางสิ่งจนกระทั่งพบเจอเด็กสาวผู้น่าสงสารนอนไม่ได้สติ โดยอยู่ห่างจากจุดนี้ประมาณสิบเมตร จึงตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปหาเธอด้วยอากัปกิริยาโซซัดโซเซคล้ายผู้ที่กำลังหิวโหยอย่างไม่รีรอ

               “จ… จริงสิ เด็กผู้หญิงคนนั้นยังไงล่ะ ไม่แน่ว่าบางทีนี่อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว ที่จะทำให้ข้ากลับมาฟื้นคืนชีพได้อย่างสมบูรณ์!”

               ——กึก!

               วินาทีนั้นเองร่างกายของบุรุษวัยเยาว์ก็พลันหยุดชะงักไปเสียดื้อ ๆ ราวกับว่ามีใครบางคนคอยฉุดรั้งเอาไว้ แม้ว่าวลาดจะพยายามออกแรงขยับแขนขาทั้งสองข้างอย่างสุดความสามารถก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงเกริ่นเสียงซักถามขึ้นมาด้วยความกังขา

               “นี่เจ้าคิดจะควบคุมร่างคืนงั้นเรอะ!?”

               “เดิมทีร่างนี้มันเป็นของผมอยู่แล้ว อีกอย่างคุณจะไปทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นผีดูดเลือดเหมือนคุณไม่ได้นะ!” เลวอนทัดทานจนเกิดเสียงกึกก้องดังสะท้อนอยู่ภายในหัว ดูเหมือนว่าเขาจะทวงคืนร่างได้เกือบสำเร็จแล้ว เพียงแต่วลาดยังคงดื้อด้านแสดงท่าทีต่อต้านไม่ยอมเลิกราโดยง่าย

               “ย… หยุดเดี๋ยวนี้เจ้าเด็กโง่เขลา เดี๋ยวก็ถูกฆ่าตายกันหมดหรอก!”

               “ผมเองก็อยากมีจะชีวิตรอดกลับไปเหมือนกันแหละน่า แต่ต้องไม่ไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเพราะเราด้วยสิ เลิกก่อเรื่องตามอำเภอใจในร่างของผมได้แล้วเจ้าผีดูดเลือด!”

               เพียะ! ตุ้บ…!

               เด็กหนุ่มรูปงามรีบสะบัดมือขวาตบเข้าใส่ใบหน้าตนเอง ในที่สุดเลวอนก็ได้ฟื้นคืนสติกลับมา ทั้งนัยน์ตาและปลายเส้นผมกลับกลายเป็นสีปกติดังเดิม ออร่าพลังเวทสีฟ้าซึ่งปกคลุมทั่วร่างพลันสลายหายไปพร้อมด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งหมด ก่อนจะทรุดเข่านอนหมอบลงกับพื้นดิน แต่ถึงกระนั้นเขายังคงใจสู้พยายามคืบคลานเข้าใกล้เด็กสาวตรงเบื้องหน้าพลางเปล่งเสียงแหบพร่าเพื่อปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากภวังค์

               “ก… เกือบจะต้องพรากชีวิตอันแสนสุขไปจากเธอเสียแล้วสิ ขอโทษนะที่ผมช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้เลย… ขอร้องล่ะได้โปรดลืมตาขึ้นมาแล้ววิ่งหนีไปจากที่นี้เร็ว ๆ เข้าเถอะ…!”

               เลวอนใช้แรงเฮือกสุดท้ายคิดหาวิธีช่วยเหลือ เขาเหลือบสายตามองไปยังไม้กายสิทธิ์บนพื้นซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ราว ๆ สิบเมตร ยากจะขยับตัวเอื้อมมือไขว่คว้ามันภายในเวลาอันสั้น ในท้ายที่สุดตนจึงตัดสินใจพลิกตัวนอนหงายชูแขนขวาชี้นิ้วไปยังฟากฟ้า แล้วเปล่งวาจาร่ายคาถาออกไปอย่างแผ่วเบา

               “…Fulsere ignes (เปลวไฟส่งสัญญาณ) ”

               มีดวงไฟแสงสีส้มปรากฏขึ้นยังปลายนิ้วก่อนจะค่อย ๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกโปรยปรายลงมา เมื่อถึงระดับความสูงพอเหมาะจึงระเบิดแตกกระจายออกเป็นวงกว้างคล้ายดอกไม้ไฟหรือละอองแสงชิ้นเล็ก เพื่อให้ชาวบ้านในละแวกนี้สังเกตเห็น ซึ่งวิชานี้ถือเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือขั้นพื้นฐานที่นักเรียนจอมเวททั่วไปควรเรียนรู้ติดตัวยามฉุกเฉิน

               …เรามาได้แค่นี้งั้นสินะ อุตส่าห์ดิ้นรนอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะได้มีชีวิตรอดต่อไปแล้วแท้ ๆ

               พ่อมดหนุ่มลดแขนลงจนอยู่ในท่านอนระนาบ ปล่อยให้หยาดน้ำฝนชโลมทั่วเรือนร่างจนรู้สึกหนาวสั่นสะท้าน โดยหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดซึ่งแผ่ซ่านอยู่ภายในร่างกายให้เบาบางลงไป ในขณะที่ดวงตาทั้งสองยังคงจับจ้องมองท้องฟ้าสีเทาแม้ว่าทัศนวิสัยจะเริ่มพร่ามัวแล้วก็ตาม

               ทันใดนั้นเองเด็กสาวปริศนาเริ่มขยับตัวลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่พบเห็นคือมิโนทอร์ มันกำลังออกแรงหักเสาหนามซึ่งเสียบร่างตนอยู่ทีละต้นเพื่อปีนป่ายขึ้นมาจากหลุม โดยที่สภาพของมันเริ่มกลับมาแข็งแรงเป็นปกติ ก่อนจะเหลือบเห็นร่างของเลวอนกำลังนอนแผ่หลาในสภาพสะบักสะบอม เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจเคลื่อนไหวหรือลุกขึ้นยืนได้อีก

               “ไม่นะ!”

               แม่มดสาวในชุดผ้าคลุมจอมเวทสีดำนิลรีบพยุงตัวลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีตื่นตระหนกสุดขีด เร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปหาผู้ช่วยชีวิตอย่างเป็นห่วง แล้วคุกเข่านั่งลงพลางนำสองมือบางประคองร่างให้อยู่ในอ้อมแขนตนเพื่อเฝ้าดูอาการทันที

               “จ… เจ้านั่นมันตัวอันตราย ทิ้งผมเอาไว้ที่นี่แล้วรีบหนีไปเร็วเข้า” เลวอนกล่าวทักท้วงเธอด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

               “จะให้วิ่งหนีตัวคนเดียวทั้งที่คุณเสี่ยงชีวิตช่วยฉันเอาไว้น่ะเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก…! อุตส่าห์ได้รู้จักกันทั้งที เพราะงั้นฉันจะไม่ยอมให้คุณตายตรงนี้อย่างเด็ดขาด!”

               “หมายความ… ว่ายังไงกัน…?”

               “กรรรรรรร!!”

               ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะเอะใจต่อคำพูดของคู่สนทนา เสียงคำรามของมิโนทอร์ก็พลันดังสนั่นไปทั่วพงไพรเกิดคลื่นอากาศลูกใหญ่ โบกสะบัดพัดเศษใบไม้ซึ่งอยู่ตามพื้นดินให้ปลิวกระจายลอยขึ้นฟ้าท่ามกลางลมกรรโชกอันแสนบ้าคลั่ง หลังจากที่มันใช้ความพยายามทั้งหมดหักเสาต้นหนามจนสำเร็จลุล่วงแล้ว จึงกระทืบเท้ากระโดดขึ้นมาจากหลุมลึกเสียงดัง “ตึ้ง!” หันมาจ้องเขม็งเล็งใส่สองหนุ่มสาวอย่างเกรี้ยวกราดทันที

               ไม่รอช้าอสูรร้ายจอมพลังได้ก้าวเท้าพุ่งเข้าหาเป้าหมายอีกครั้ง ใช้เขาบนศีรษะเป็นอาวุธพร้อมทั้งเรืองแสงออร่าสีแดงขึ้นมา ในระหว่างนั้นเองแม่มดสาวปริศนาก็ได้ยกแขนขวาวาดนิ้วชี้ไปยังศัตรู เปล่งเสียงร่ายเวทมนตร์โบราณขั้นสูงสั้น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวบทพรรณนาเพื่ออัญเชิญเทพเจ้าองค์ใดทั้งสิ้น

               “Septem murum lux! (เจ็ดกำแพงศักดิ์สิทธิ์) ”

               วูบบบ ซูมซูมมมมม!

               มีลำแสงสีขาวคล้ายแผ่นกระจกใสปรากฏขึ้นจากพื้นดิน ตั้งเรียงรายซ้อนกันถึงเจ็ดชั้นในลักษณะคล้ายรูปโดมครึ่งทรงกลม ปกคลุมรอบตัวสองวัยรุ่นชายหญิงโดยมีระยะห่างกันบานละหนึ่งเมตร มิโนทอร์ได้ปะทะเข้ากับบาเรียดังกล่าวจนเสียหลักล้มลง ก่อนจะลุกขึ้นใช้กำปั้นคู่ใจรัวหมัดใส่ไม่ยั้งจนเกราะป้องกันเริ่มเกิดรอยแตกร้าว

               ปึ้งปึ้งปึ้ง…! เพล้ง!!

               เกราะชั้นที่หนึ่งแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อมนุษย์ร่างแกร่งยังคงไม่ลดละความตั้งใจหมายจะทำลายเกราะชั้นถัดไปอย่างแน่วแน่ แม่มดสาวในชุดหมวกฮู้ดสีดำทมิฬเห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้เริ่มไม่ค่อยสู้ดีนัก เธอจึงหยิบเม็ดยารูปทรงกลมสีแดงสดขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ โดยมีลักษณะเป็นแบบเดียวกันกับยาบำรุงร่างกายที่เลวอนพกติดตัว นำมันใส่เข้าไปในปากตนแล้วอมไว้ก่อนจะเลื่อนสองมือบางประคองศีรษะพ่อมดหนุ่ม พร้อมเอ่ยถ้อยคำน้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยออกไป

               “ได้โปรดช่วยมอบพลังให้ฉันด้วย”

               “เอ๊ะ หมายความว่าไง… อุ๊บ!?”

               ไม่ทันที่เลวอนจะซักไซ้ข้อสงสัย เด็กสาวปริศนาก็ได้โน้มใบหน้าเข้าใกล้เขาให้ริมฝีปากสัมผัสแนบชิดกัน สอดปลายลิ้นบางเข้าไปยังโพรงปากอันอบอุ่น แล้วป้อนเม็ดยาสีแดงเพื่อให้อีกฝ่ายได้กลืนกิน พลางตวัดหยอกเย้าเกี่ยวพันปลายลิ้นหนาสากอย่างเร่าร้อนหนักหน่วงจนเกิดเสียงจุมพิตขึ้นมา

               เลวอนถึงกับตกใจตาโตไปชั่วขณะ ทว่าในท้ายที่สุดเขาเริ่มยอมรับในตัวเด็กสาว โดยการดูดด่ำปลายลิ้นโต้ตอบพลางหลับตาเคลิบเคลิ้ม ภายในเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายสีใสผสมปนเปกันเป็นเนื้อเดียวตามด้วยส่งเสียงกระเส่าเล็ก ๆ ผ่านทางลำคอ อีกทั้งยังโลมเลียกลืนกินมันลงไปโดยที่ทั้งสองต่างไม่รู้สึกรังเกียจต่อกัน

               ฝ่ายหญิงออกแรงดูดปากตวัดดึงปลายลิ้นหนาของบุรุษวัยเยาว์อย่างโหยหา ราวกับต้องการจะพรากวิญญาณอีกฝ่ายเสียให้ได้ ในขณะเดียวกันกำแพงชั้นที่สองได้ถูกทำลายลงโดยฝีมือของอสูรร้ายผู้บ้าคลั่ง ทว่านั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งความต้องการอันเร่าร้อนของแม่มดสาวไร้นามผู้นี้ได้เลย

               ภายในหัวของเลวอนว่างเปล่า เขารับรู้ได้แค่เพียงความอบอุ่นนุ่มนวลที่แผ่ซ่านจากปลายลิ้นและริมฝีปากของเด็กสาวแปลกหน้าเท่านั้น ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าร่างกายที่ถูกสัมผัสกำลังหลอมละลายกลายเป็นหนึ่งเดียว จนยากจะหักห้ามรั้งใจได้แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์อันไม่สมควรก็ตาม โดยที่ใบหน้าของทั้งคู่ในตอนนี้แดงก่ำพร้อมทั้งหัวใจสั่นระรัว

               ——เพล้ง!

               กำแพงชั้นที่สามถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว มิโนทอร์พยายามเร่งความเร็วในการรัวหมัดอย่างสุดฤทธิ์ พลางแผดเสียงร้องดังกึกก้องด้วยความเดือดดาล เมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่ตนหมายปองอยู่นั้นกำลังมอบจุมพิตอันลึกซึ้งให้แก่ชายอื่น หรือผู้ซึ่งเคยทำให้ตนเกือบถึงแก่ความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง

               “ฮืมมม…ฟุว้าห์~”

               แม่มดสาวค่อย ๆ ถอนริมฝีปากเลวอนหลังจากดื่มด่ำรสหวานจนสาแก่ใจ โดยยังคงแลบปลายลิ้นออกมา น้ำลายสีใสของทั้งสองคนได้ยืดเหนียวไหลย้อยเชื่อมติดกัน มองดูแล้วชวนให้ความรู้สึกสยิวไปจนถึงขั้วหัวใจ ถัดมาเธอโลมเลียคราบเลือดที่ติดอยู่ตามเรือนร่างของพ่อมดหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นซอกคอหรือปลายคางก็ตามจนกระทั่งเปียกชุ่มเหนียวเหนอะหนะ ก่อนจะผละใบหน้าออกห่างแล้วเผยรอยยิ้มปลอบประโลมแก่อีกฝ่าย

               เลวอนจ้องมองใบหน้าของสตรีวัยเยาว์ผู้ลึกลับอย่างตั้งใจ ภายใต้หมวกฮู้ดซึ่งปกคลุมบดบังรูปพรรณสัณฐานจนเหลือเพียงส่วนคางจนถึงปลายจมูกเท่านั้น ทั้งที่ทัศนวิสัยพร่ามัวยากต่อการสังเกตเห็น ก่อนจะเกริ่นซักถามสงสัยต่ออีกฝ่ายด้วยเสียงอันแผ่วเบา

               “ธ… เธอเป็นใครกันแน่…?”

               “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ สักวันหนึ่งฉันจะตอบแทนบุญคุณให้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่คุณกำลังปรารถนาอยู่ หรือแม้กระทั่งร่างกาย หัวใจ และชีวิตของฉันก็ตาม… เลวอน ได้โปรดจดจำคำสัญญานี้เอาไว้ให้ดีนะ”

               “เดี๋ยว… ก่อน…!”

               เลวอนไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับเปล่งเสียงหรือขยับร่างกายได้อีก เนื่องด้วยอาการชาจากฤทธิ์ยาซึ่งถูกป้อนเข้าปากเมื่อสักครู่ แม่มดสาวไร้นามแย้มสรวลเศร้าสร้อยเป็นครั้งสุดท้ายแก่เขา โดยปรากฏให้เห็นถึงนัยน์ตาสีม่วงส่องประกายสดใสชวนน่าดึงดูดและหลงใหล ภายใต้บรรยากาศสีเทาอันมัวสลัว

               เธอค่อย ๆ วางร่างเด็กหนุ่มรูปงามลงบนพื้นอย่างทะนุถนอม แล้วลุกขึ้นยืนหันหน้าไปยังมิโนทอร์ซึ่งกำลังจะพังทลายเกราะบาเรียสีใสชั้นที่สี่ ใช้สายตาจับจ้องมองอีกฝ่ายพร้อมทั้งเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบที่ซ่อนเร้นถึงความเกรี้ยวกราดออกมาชัดเจน

               “ทำตัวน่าสมเพชจริง ๆ อยากให้เราช่วยสงเคราะห์เจ้าไหมล่ะ?”

               เป๊าะ… เพล้ง!!

               ยุวสตรีนัยน์ตาสีม่วงยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้วเพื่อสลายเกราะป้องกันทั้งหมด ทันทีที่เธอเผยช่องว่าง อสุรกายร่างแกร่งก็พลันง้างหมัดเข้าซัดใส่สองหนุ่มสาวหมายจะระบายความเดือดดาล และเพื่อดับลมหายใจของฝ่ายศัตรูอย่างสุดกำลัง

               ——สวบ! แซ่ก…!

               “กรรรรรร!!?”

               ทว่ามิโนทอร์กลับกลายเป็นฝ่ายส่งเสียงร้องคร่ำครวญ แขนขวาของมันถูกตัดขาดด้วยการโจมตีเพียงชั่วพริบตาเดียว ที่แม้แต่เลวอนเองก็ไม่อาจจับจ้องมองเห็นได้ทัน สิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายเงาจากพื้นดิน แปรเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นคมมีดโดยเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และว่องไวปราดเปรียวประดุจความเร็วแสง

               แขนข้างขวาของอสูรร้ายครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ได้ตกลงสู่พื้นพร้อมด้วยเลือดสีแดงสด อาบไหลนองหลอมรวมเข้ากับแอ่งน้ำฝนจนสีเริ่มซีดจาง ในขณะที่มันกำลังตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างของแม่มดสาวปริศนาก็เริ่มเผยให้เห็นถึงแสงออร่า ตามด้วยกระแสไฟฟ้าปกคลุมรอบตัวทั้งสีขาว ดำทมิฬ และม่วงเข้ม เล็บมือทั้งสองข้างแหลมยาวกว่าปกติเล็กน้อย อีกทั้งฟันเขี้ยวซี่บนและซี่ล่างแหลมคมคล้ายผีดูดเลือด มีลักษณะไม่แตกต่างไปจากอมนุษย์หรือลูกครึ่งเผ่าปีศาจสักเท่าไหร่นัก

               “ในนามบุตรีแห่งไซตอน จะขอมอบความตายแก่เจ้าอย่างสาสม!”

               ยุวสตรีป่าวประกาศชื่อเสียงเรียงนามอย่างกึกก้อง ก่อนจะร่ายคาถาโบราณขั้นสูงต้องห้ามฉีกร่างของมิโนทอร์จนขาดเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับถูกเงาแห่งคมมีดนับพันเชือดเฉือนด้วยความเร็วสูงสุดดังฉึบฉับซ้ำไปมา ปิดท้ายด้วยการอัญเชิญเปลวเพลิงสีดำทมิฬแกมม่วง แผดเผาร่างของอสูรร่างสูงแกร่งให้มอดไหม้กลายเป็นจุณโดยไม่เหลือแม้เพียงเศษซากเดียว

               ——พรึบพรึบพรึบ!

               “กรรรรรรรรร!!”

               มิโนทอร์ดิ้นทุรนทุรายร้องโหยหวนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างทั้งหมดจะพลันสลายหายไปพร้อมกับเปลวไฟ ท่ามกลางสายฝนซึ่งพรำลงมาอย่างต่อเนื่อง เลวอนที่ได้แต่นอนเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับตกตะลึงปนประหลาดใจ ทว่าสายตาของเขาในตอนนี้เริ่มพร่ามัว ซ้ำร้ายหูทั้งสองข้างก็อื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงเสียกระนั้น

               อา… เธอคนนี้เป็นใครกันแน่ แถมยังรู้จักชื่อของเราอีก สุดท้ายแล้วคนที่ถูกช่วยเอาไว้ก็คือผมงั้นสินะ ทั้งที่ยังไม่รู้จักชื่อหรือเห็นใบหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ… แย่ล่ะสิ… สติของเรากำลัง… จะ…

               เลวอนพยายามประคองสติสัมปชัญญะเอาไว้ให้นานที่สุด โดยหวังจะได้ยลโฉมใบหน้าของบุตรีแห่งไซตอนให้ชัดเจน ทว่าด้วยเรี่ยวแรงซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิดพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่ยังคงรุมเร้าไปทั่วร่าง สุดท้ายแล้วเขาจึงพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคดังกล่าว ภาพจำที่ยังคงหลงเหลืออยู่มีเพียงแค่แผ่นหลังของแม่มดสาวลึกลับในชุดผ้าคลุมจอมเวทสีดำเท่านั้น ในขณะที่ความมืดมิดกำลังย่างกรายเข้ามารบกวนทุกชั่วขณะ

               เปลือกตาของบุรุษวัยเยาว์ค่อย ๆ ปิดลงสนิท ก่อนจะกลับคืนสู่ห้วงแห่งนิทราอีกครั้ง

Options

not work with dark mode
Reset