แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 20: เศษเสี้ยวความทรงจำ

               ศตวรรษที่ 15 ณ พื้นที่ราบทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป สถานที่แห่งนี้กำลังจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นสนามรบ ระหว่างกองทัพแห่งแคว้นวาลาเคียกับกองทัพแห่งจักรวรรดิออตโตมัน ท่ามกลางแสงตะวันยามบ่ายอันร้อนระอุ

               สุลต่านเมห์เหม็ดที่สองผู้ขึ้นชื่อในเรื่องการยึดครองเมืองคอนสแตนติโนเปิล ได้นำทัพจำนวนนับหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ก้าวเท้าเคลื่อนพลในดินแดนทรานซิลเวเนียจนกระทั่งมองเห็นกองทัพฝ่ายข้าศึก โดยที่เหล่าทหารฝ่ายตนต่างถือธงผืนสีแดงรูปจันทร์เสี้ยวสีขาวสามดวงพร้อมด้วยอาวุธและชุดเกราะเต็มยศ

               ทว่าสิ่งที่ทำให้แม่ทัพผู้เกรียงไกรองค์นี้ต้องตกใจ ไม่ใช่เพราะจำนวนกองทัพแห่งแคว้นวาลาเคียที่มีเพียงแค่หมื่นเดียว แต่กลับเป็นร่างของเหล่าทหารออตโตมันหลายพันนายถูกเสาเหล็กแหลมเสียบลอยเหนือพื้น ชโลมเลือดสีแดงสดอาบไหลนองแผ่นดินโดยอยู่ห่างจากเบื้องหน้าพวกเขาไม่ไกลต่างหาก

               “ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่เคยคิดเกรงกลัวมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น แต่กับปีศาจแล้วมันคนละเรื่อง…!”

               สุลต่านเมห์เหม็ดที่สองอุทานเสียงแผ่วเบาบนหลังอาชาสีขาวคู่ใจ ทั้งที่สายตายังคงจับจ้องมองดูสิ่งอันน่าหวั่นสะพรึง ถัดจากเหล่าเสานรกเล่มยาวซึ่งทั้งแหลมและสูงชัน จึงพบเห็นบุรุษดวงตาสีน้ำตาลเข้มวัยสามสิบปีตอนปลาย เจ้าของเรือนผมสีดำยาวประบ่าไว้หนวดเคราในชุดอัศวินนักรบ กำลังยืนนำทัพเหล่าทหารของตนอย่างกล้าหาญ

               โดยที่ทุกคนต่างรู้จักเขาในนาม “วลาดที่สามนักเสียบ” นั่นเอง

               ในสายตาของเหล่าอริศัตรูผู้รุกรานต่างมองว่า เจ้าชายแห่งวาลาเคียผู้นี้มีความโหดเหี้ยมอำมหิตเลือดเย็น ทว่าสำหรับประชาชนชาวโรมาเนียแล้วเขาคือวีรบุรุษพื้นบ้านและเป็นที่เคารพยำเกรง คอยนำทัพขับไล่อิทธิพลของจักรวรรดิออตโตมันเพื่อปกป้องเอกราช อีกทั้งยังเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้า และยังชิงชังต่อสุลต่านเมห์เหม็ดที่สองอย่างมาก

               วลาดที่สามเปล่งวาจาให้แก่เหล่าทหารชายฉกรรจ์ทุกนายบนสนามรบ ณ พื้นที่แห่งนี้ได้รับทราบ ด้วยสีหน้าน้ำเสียงขึงขังเปี่ยมล้นถึงความห้าวหาญ ราวกับเป็นการประกาศสงครามโดยพฤตินัยต่อเหล่าบรรดาข้าศึกผู้รุกรานดินแดนตน

               “แผ่นดินนี้เป็นของพวกเราชาววาลาเคีย พวกข้าจักไม่มีวันยอมศิโรราบต่อพวกเจ้าโดยเด็ดขาด!”

 

               ********************

 

               “เฮือก!?”

               เลวอนรีบลืมตาตื่นจากภวังค์พร้อมเอนตัวลุกขึ้น ออเดรย์ จิ้งจอกสาวจอมดาบเวทที่กำลังยืนโน้มใบหน้าเฝ้ามองบุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนอย่างเป็นห่วงถึงกับสะดุ้งตกใจ แต่ไม่ทันที่จะเงยตัวถอยออกห่างจากอีกฝ่าย หน้าผากของทั้งสองหนุ่มสาวก็ได้ปะทะเข้าหากันอย่างจังเสียแล้ว

               ——ปึ้ก!

               “โอ๊ย!/ว้าย!”

               ทั้งคู่รีบยกมือขึ้นกุมหน้าผากด้วยความเจ็บแปลบ ระหว่างนั้นเองเลวอนได้เบิกตามองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ สิ่งที่พบเห็นนอกเหนือจากจิ้งจอกสาวออเดรย์แล้ว ยังมีโมนิก้า เวสน่า วัตสัน อิทสึกิ ฮิคาริ สเตฟาเนีย คลาร่า แม้กระทั่งอาเธอเรีย กำลังนั่งเฝ้าดูอาการของตนอย่างเป็นห่วงท่ามกลางห้องพยาบาลสีขาวสะอาดตา

               ขณะนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น แสงตะวันเริ่มลับลงเส้นขอบฟ้าแล้ว หลังจากที่ฝนตกพรำมาเป็นเวลานานเกือบสองชั่วโมง ส่วนกระเป๋าเป้ ไม้กายสิทธิ์ และดาบอัศวินถูกวางเอาไว้บนโต๊ะอีกฝั่งหนึ่งซึ่งสภาพโดยรวมยังคงเป็นปกติ ไม่มีสิ่งของใดตกหล่นหรือถูกขโมยแม้แต่ชิ้นเดียว

               “นี่ผมอยู่ในศูนย์พยาบาลอีกแล้วเหรอเนี่ย…?”

               พ่อมดหนุ่มพึมพำพลางก้มหน้ามองดูชุดแต่งกายที่กลับมาอยู่ในสภาพปกติ ปราศจากคราบดินโคลนและคราบเลือด โดยที่นักพรตสาวเวสน่าเป็นผู้ร่ายคาถารักษาอาการให้เขา จังหวะนั้นเองโมนิก้าได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พลันเข้าสวมกอดเลวอนทั้งน้ำตาพร้อมแนบใบหน้าซบลงกลางอกทันที

               “คุณเลวอน ดีใจจังที่คุณปลอดภัย!”

               “ขอโทษนะโมนิก้า ผมทำให้เธอเป็นห่วงอีกจนได้…” เลวอนปลอบโยนอย่างละมุนพลางยกมือลูบสางศีรษะเด็กสาวด้วยความเอ็นดู

               “ฟื้นแล้วเหรอ ไหนหมอขอดูอาการเขาหน่อยสิ”

               “มิลาน บูเรียน” บุรุษแพทย์ผมสั้นสีดำเจ้าของดวงตาสีฟ้าใสในชุดกาวน์วัยสี่สิบปีตอนต้น ได้ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานมุมห้องมุ่งตรงไปยังเตียงผู้ป่วยเพื่อซักถามอาการเลวอน โมนิก้าจึงคลายกอดออกจากเด็กหนุ่มแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม

               “เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บหน้าอกอยู่รึเปล่า?”

               “ไม่ครับ แค่มึนหัวนิดหน่อย… ว่าแต่ใครเป็นคนพาผมมาส่งถึงที่นี่กันครับ?” เลวอนสงสัย

               “เด็กผู้หญิงที่สวมชุดผ้าคลุมสีดำเป็นคนแบกร่างพาเธอมาส่งถึงที่น่ะสิ”

               พ่อมดหนุ่มรูปงามถึงกับเผยท่าทีตื่นตระหนกเล็กน้อยหลังจากที่แพทย์ให้คำตอบ พร้อมทั้งภาพความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งล่าสุดได้ผุดแวบเข้ามาภายในหัว ทั้งตอนที่เขาต่อสู้กับมิโนทอร์ การตื่นขึ้นมาของราชันผีดูดเลือด หรือแม้กระทั่งตอนที่แม่มดสาวปริศนามอบจุมพิตให้แก่ตน ไม่รอช้าเลวอนจึงรีบตั้งคำถามคาใจต่อมิลานอย่างรวดเร็ว

               “ด… เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง เธอปลอดภัยดีใช่ไหมครับ แล้วคุณหมอพอจะรู้จักหรือเห็นใบหน้าเธอบ้างรึเปล่า!?”

               เหล่าผองเพื่อนต่างพากันแปลกใจต่อท่าทีของเขา บุรุษแพทย์ส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปอย่างสุขุม

               “ตอนนั้นหล่อนดูท่าทางรีบร้อนมากเลยไม่ทันได้มองเห็น แถมยังสวมหมวกฮู้ดปิดบังหน้าตาจนหมอเองก็เดาไม่ถูกว่าเป็นใครมาจากไหน พอถามชื่อแล้วก็ไม่ยอมตอบรีบวิ่งออกจากห้องพยาบาลไปเสียดื้อ ๆ ส่วนเสื้อคลุมที่สวมใส่อยู่ก็เปื้อนเลือดเปื้อนโคลนจนน่าใจหายเลย… แต่มองดูภาพรวมแล้วน่าจะปลอดภัยดีนั่นแหละ”

               “งั้นเหรอครับ… ถ้าเด็กคนนั้นปลอดภัยผมก็โล่งใจแล้วล่ะ”

               เลวอนเผยสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน ทว่าตัวเขากลับรู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าแม่มดสาวไร้นามคนนั้นไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ขณะเดียวกันคลาร่าก็ได้ซักถามข้อสงสัยต่อบุรุษวัยเยาว์ด้วยท่าทีกังวลใจ

               “ก่อนหน้านี้ดิฉันได้รับแจ้งข่าวมาจากชาวบ้านว่า พบเห็นคุณเลวอนกำลังวิ่งเข้าไปในป่าทึบนอกเขตหมู่บ้านตอนสี่โมงเย็นหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กสาว… ที่แห่งนั้นมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นรึเปล่าคะ ได้โปรดช่วยเล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังด้วยเถอะค่ะ”

               “เรื่องนั้น…”

               เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งพลางก้มหน้าหลบสายตา เขานึกลังเลใจว่าควรจะชี้แจงความจริงให้ทุกคนได้รับทราบดีหรือไม่ ระหว่างนั้นเองเสียงเปิดประตูตรงหน้าห้องพยาบาลพลันดังขึ้น ทำเอามิลานและเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสต่างสะดุ้งโหยงรีบหันไปมองดู

               เยวา แม่ของเลวอนได้ก้าวเท้าเข้ามายังห้องพยาบาลโดยที่สีหน้าของเธอแลดูเคร่งเครียดอย่างเด่นชัด เธอมาพร้อมกับยาโรสลาฟ ผู้นำหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน ทั้งสองคนมุ่งปรี่ไปยังเตียงผู้ป่วยอย่างไม่รีรอช้า สร้างความกระอักกระอ่วนใจแก่เลวอนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาไม่อาจสรรหาคำแก้ตัวใด ๆ มาอธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความโกรธลงได้

               “ม… แม่ ศาสตราจารย์ คือว่า…!”

               “ชอบทำให้แม่หนักใจอยู่เรื่อยเลยนะ คราวนี้ก่อเรื่องเดือดร้อนอะไรอีก!?”

               เยวาส่งเสียงตวาดจนบรรดาคนรอบข้างต่างหวาดผวา โดยไม่ทันที่ลูกชายจะอ้าปากชี้แจงเหตุผล ยาโรสลาฟจึงกล่าวทักท้วงต่อสตรีในชุดพื้นเมืองอาร์มีเนียอย่างสุภาพเพื่อเตือนสติ

               “ไม่เอาน่าอีวา ฟังเลวอนเขาอธิบายให้จบก่อนจะเป็นไรไป อีกอย่างที่นี่มันห้องพยาบาล จะส่งเสียงดังแบบนี้ไม่ได้นะ”

               “ข… ขออภัยค่ะศาสตราจารย์ ดิฉันเผลอไป…”

               เยวาตอบกลับอย่างว่าง่ายโดยพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นมัวไปพลาง แต่ยังคงแสดงสีหน้าคิ้วขมวดใส่เลวอนเฉกเช่นเดิมจนอีกฝ่ายไม่กล้าสบตามองเธอตรง ๆ เมื่อสถานการณ์เริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติ ศาสตราจารย์ผู้มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสจึงหันไปบอกกล่าวแก่มิลานเพื่อรับหน้าที่ดูแลต่อ

               “ขอบคุณมากนะมิลาน เดี๋ยวทางนี้ผมจะจัดการต่อเอง”

               บุรุษแพทย์ผงกศีรษะตอบรับ ก่อนจะหันหลังกลับไปนั่งประจำที่ตรงโต๊ะทำงานมุมห้องตามเดิม จากนั้นยาโรสลาฟได้หันมาพูดคุยกับเลวอนอย่างเป็นกันเอง เพื่อไม่ให้คู่สนทนารู้สึกกดดันหรือเคร่งเครียดมากจนเกินไป

               “ทำไมถึงได้วิ่งเข้าไปในพื้นที่อันตรายแบบนั้น มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า ช่วยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเราฟังหน่อยสิ”

               “ถ้าเล่าออกไป เกรงว่าทุกคนจะไม่เชื่อในคำพูดของผม…” เด็กหนุ่มจอมดาบเวทเกริ่นลังเลใจ

               “สิ่งที่เธอกำลังจะพูดมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉัน… พูดออกมาเถอะเลวอน ยิ่งปิดเงียบเอาไว้ก็มีแต่จะทำให้แม่ของเธอรู้สึกลำบากใจมากขึ้นเท่านั้นนะ”

               “……เข้าใจแล้วครับ เรื่องทั้งหมดมีอยู่ว่า…”

               เลวอนตัดสินใจอธิบายเรื่องราวทั้งหมดนี้ออกไป ทั้งตอนที่ตนต่อสู้กับมิโนทอร์จนอาการสาหัสปางตาย การตื่นขึ้นมาของวลาดที่สามภายในตัวเขา รวมไปถึงเรื่องราวของบุตรีแห่งไซตอนซึ่งยังคงเป็นปริศนา ภายหลังจากที่บุรุษวัยเยาว์เล่าเนื้อหาใจความสำคัญจนจบ ทุกคนยกเว้นยาโรสลาฟต่างพากันแสดงสีหน้าแปลกประหลาดทันที

               “ม-ไม่จริง คุณเลวอนเสียจูบครั้งแรกให้กับผู้หญิงคนอื่นไปแล้วเหรอคะ? ถ-ถ-ถ-แถมยังเป็นลูกสาวของไซตอนอีกด้วย!” โมนิก้าเกริ่นน้ำเสียงตื่นตระหนก ภายในใจเธอนั้นแอบนึกเสียดายและผิดหวังอย่างแรง

               “ท่านเลวอนเนี่ยช่างเป็นผู้ชายที่ Lucky Sukebe จริง ๆ นะขอรับ” อิทสึกิพึมพำด้วยความอิจฉา

               “ตรงนั้นมันใช่ปัญหาซะที่ไหนกันเล่า!?” วัตสันทักท้วง “ว่าแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่ฟังดูน่าเหลือเชื่อจังเลยแฮะ โดยเฉพาะเรื่องของบุตรีแห่งไซตอน ถ้าหากเป็นความจริงล่ะก็หมู่บ้านนี้คงไม่พังพินาศไปตั้งนานแล้วหรอกเรอะ…?”

               แทนที่จะทำให้เลวอนฉุนเฉียวต่อถ้อยคำดังกล่าว ทว่าผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม บุรุษหนุ่มผู้แสนสุภาพยังคงสีหน้าเรียบเฉยพลางจับจ้องมองวัตสันอย่างแน่วแน่เพื่อยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ จนคู่สนทนาก้มหน้าลงต่ำเล็กน้อยไม่กล้าสบสายตาตอบกลับเพื่อนสนิท พร้อมพูดแก้ต่างออกไปอย่างตะลีตะลาน

               “ฉ… ฉันไม่ได้คิดว่านายจะพูดโกหกหรอกนะ ก็แค่สงสัยน่ะ!”

               เพื่อไม่ให้เรื่องราวต้องบานปลาย ยาโรสลาฟจึงไขข้อข้องใจแก่ทุกคนโดยพลัน

               “ไม่เลย ที่เลวอนเล่ามาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องโกหก แถมเรื่องราวของบุตรีแห่งไซตอนเองก็เป็นความจริงด้วย แต่ให้ตายสิไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเด็กคนนั้นจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาในเวลาแบบนี้ ฮะฮะฮะ”

               “เอ๊ะ!? /เรื่องจริงเหรอเนี่ย!/อะไรนะ!?”

               เยวาและเหล่านักเรียนจอมเวทฝึกหัดต่างร้องอุทานประหลาดใจ เลวอนแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพ่อมดผู้สูงศักดิ์ยอมรับในข้อกล่าวอ้างของตนทั้งที่ไม่ได้มีหลักฐานใด ๆ มายืนยัน จึงกล่าวซักถามออกไปอย่างฉงน

               “ศาสตราจารย์ไม่คิดว่าผมพูดโกหกบ้างเลยเหรอครับ?”

               “ฉันรู้จักเธอมาตั้งกี่ปีแล้ว ทุกครั้งที่เธอพูดความจริงหรือโกหกก็มักจะแสดงท่าทีไม่เหมือนกัน… อีกอย่างเอเดน่าเองก็ยืนยันกับฉันถึงเรื่องนี้แล้วด้วย เพราะหล่อนเป็นคนเดียวที่รู้เห็นเรื่องราวทั้งหมดภายในหมู่บ้านนี้”

               “เอเดน่า” ที่ยาโรสลาฟพูดถึงคือสตรีภูตพิทักษ์ประจำหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน และเป็นผู้นำก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน เนื่องจากบุรุษจอมเวทพาลาดินผู้นี้มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณ ทุกคนจึงยอมรับคำตัดสินของเธอผ่านทางคำพูดของศาสตราจารย์ และเชื่อมั่นในสิ่งที่เลวอนอธิบายมาทั้งหมด

               ทว่าอย่างไรก็ดี นอกเหนือจากยาโรสลาฟแล้วก็ไม่มีใครเคยพบเห็นตัวจริงของเอเดน่าเลย ยกเว้นเหล่าบรรดาชาวบ้านรุ่นแรกผู้ซึ่งเริ่มปักหลักถิ่นฐานร่วมกันกับเธอในสมัยตอนยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

               “ขอโทษด้วยนะเลวอน ฉันเชื่อนายแล้วล่ะ”

               วัตสันเกริ่นสำนึกผิด โชคดีที่เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนไม่คิดถือสาแต่อย่างใดพลางส่งยิ้มปลอบประโลมกลับคืนมา เลยทำให้ตนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ขณะเดียวกันแม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มพราวเสน่ห์ หรือสเตฟาเนีย ก็ได้เอ่ยตำหนิทักท้วงต่อเขาด้วยวาจาเจ็บแสบปราศจากความเกรงใจ

               “รุ่นพี่วัตสันห่วยแตกที่สุดเลยค่ะ รู้จักกับรุ่นพี่เลวอนกันมาตั้งหลายปีแต่กลับไม่เชื่อใจในตัวเพื่อนสนิทแบบนี้… แค่นี้ดูไม่ออกเหรอคะว่าเขาพูดเรื่องจริงหรือโกหก?

               “ข… ขอร้องล่ะสเตฟก้า เลิกฆ่าฉันด้วยคำพูดสักทีเถอะ ฉันผิดไปแล้วจริง ๆ”

               เด็กหนุ่มนักปรุงยามาดทะเล้นถึงกับคอตกอย่างน่าสลดใจ ออเดรย์ โมนิก้า และอิทสึกิ ต่างส่งเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ทว่าในระหว่างนั้นเอง เด็กสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีขาวในชุดเครื่องแบบสีดำนิล หรือฮิคาริ ก็ได้วกกลับเข้าสู่ประเด็นสำคัญชวนเคร่งเครียดอีกครั้ง

               “ปล่อยเอาไว้แบบนี้มันจะดีเหรอคะศาสตราจารย์? …เอ่อ หนูหมายถึงบุตรีแห่งไซตอนน่ะค่ะ”

               “อย่ากังวลไปเลย เด็กคนนั้นไม่ใช่ตัวอันตรายอย่างที่คิดหรอกนะ แถมยังมีฉันอยู่ทั้งคนเพราะงั้นสบายใจหายห่วงได้ ฮะฮะฮะ” ยาโรสลาฟแย้มสรวลอารมณ์ดีราวกับว่าเรื่องราวดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต

               “อ… อะไรทำให้ท่านศาสตราจารย์มั่นใจได้ถึงขนาดนี้ล่ะขอรับ ราวกับว่าท่านรู้จักเธอคนนั้นเป็นการส่วนตัวยังไงยังงั้น รบกวนช่วยอธิบายรายละเอียดให้พวกเราฟังหน่อยจะได้ไหมขอรับ?”

               อิทสึกิซักถามอย่างคลางแคลงใจ ทว่าบุรุษผู้ทรงสง่าในชุดครุยสีกรมท่ากลับชักสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมตอบปฏิเสธอย่างสุขุมเยือกเย็นเพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริง

               “ขอโทษด้วยนะ ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ฉันจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเธอฟัง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในหมู่บ้านและเด็กคนนั้น เพราะหล่อนเองก็กำลังถูกไซตอนตามล่าอยู่เช่นกัน… ขอให้รู้เพียงแค่ว่าเด็กคนนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของฉันก็พอแล้ว”

               “เดี๋ยวก่อนสิทุกคน ปัญหาใหญ่สุดมันไม่ได้อยู่ที่ตัวตนของบุตรีแห่งไซตอนนะ แต่เป็นการตื่นขึ้นมาของวลาดที่สามในตัวเลวอนต่างหาก”

               อาเธอเรีย เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มในชุดลำลองแฟชั่นประจำตัว ได้กล่าวทักท้วงถึงประเด็นสำคัญขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบกริบรับฟังบทสนทนามาเป็นเวลาพักหนึ่ง ทำเอาเลวอนรู้สึกประหลาดใจพลางนึกสงสัยว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่อีกฝ่ายยังคงรู้สึกไม่ดีต่อเขา ส่วนยาโรสลาฟผงกศีรษะเห็นพ้องก่อนจะพูดคุยถึงปัญหาสำคัญอีกครั้ง

               “นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันกับอีวากำลังกังวลอยู่ การตื่นขึ้นของวลาดที่สามในตัวเลวอนอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในกรณีที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจึงไปกระตุ้นเขี้ยวที่ฝังอยู่ภายในหัวใจให้ทำงานขึ้นมา… เมื่อใดที่วลาดสัมผัสได้ว่าร่างสถิตของตนกำลังถูกภัยคุกคาม ก็จะทำการสับเปลี่ยนบุคลิกเข้าควบคุมร่างของเลวอนเพื่อต่อสู้กับศัตรูแบบสุดกำลังทันที”

               “จริงสิ เมื่อวานนี้ตอนที่เลวอนถูกตีโจมด้วยสันดาบ ฉันเองก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรงจากตัวเขาด้วย ถึงจะเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียวก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ากระแสจิตจะเป็นของอีกคนนึงเสียมากกว่า… นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฝีมือของวลาดที่สาม เจ้านั่นมันตัวอันตรายจริง ๆ”

               ฮิคาริอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าน้ำเสียงเคร่งเครียด ซึ่งอิทสึกิเองก็กล่าวเสริมสนับสนุนความคิดเห็นของเธอ พร้อมทั้งรู้สึกสับสนต่อเรื่องราวที่กำลังสนทนาด้วยเช่นเดียวกัน

               “ข้าเองก็สัมผัสได้เหมือนกันขอรับ ถึงขนาดทำให้ข้าเสียวสันหลังวาบได้เพียงนี้ ว่าแต่ท่านเลวอนโดนปีศาจพรรค์นั้นสิงร่างด้วยหรือขอรับ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย…?”

               “ก่อนที่ผมจะฟื้นขึ้นมา ตอนนั้นผมฝันเห็นว่าตัวเองเป็นวลาดที่สาม กำลังนำทัพเตรียมต่อสู้กับสุลต่านเมห์เหม็ดที่สองและเหล่าทหารออตโตมันด้วย… ภาพในความฝันนั้นสมจริงมากเหมือนกับว่ามันคือส่วนหนึ่งของความทรงจำ โดยเฉพาะตอนที่เขากำลังใช้เสาเหล็กแหลมเสียบใส่ร่างเหล่าทหารฝ่ายศัตรูจนเลือดไหลนองอาบลงบนพื้นสนามรบ ส่งกลิ่นเหม็นคาวมองดูแล้วชวนสะอิดสะเอียน แต่ภายในใจกลับรู้สึกชินชาอย่างน่าประหลาด… นี่ผมกำลังจะถูกเขาเข้าครอบงำจิตใจแล้วใช่ไหม?”

               เลวอนก้มศีรษะพึมพำด้วยสีหน้าน้ำเสียงกังวล พลางกำหมัดทั้งสองข้างบนหน้าตักด้วยความเจ็บปวดใจ ทำให้ผู้คนรอบข้างพลอยสลดหดหู่ตามไปด้วย ในขณะนั้นเองสเตฟาเนียซึ่งนั่งอยู่ใกล้เตียงพยาบาลทางฝั่งขวาได้เข้ากุมมือของบุรุษหนุ่มอย่างสุภาพนุ่มนวล แล้วกล่าวปลอบโยนเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความทุกข์ใจลง

               “รุ่นพี่เลวอนอาจจะยังมีอาการเหนื่อยล้าสะสมจากการต่อสู้กับมิโนทอร์ เลยทำให้ฝันเห็นถึงเรื่องราวแปลก ๆ ขึ้นมา… หรือต่อให้ความรู้สึกเหล่านี้เป็นของจริงก็ตาม ฉันขอแนะนำไม่ให้รุ่นพี่ใส่ใจกับมันมากเกินไปน่าจะดีกว่า ไม่งั้นอาจทำให้วลาดเข้าครอบงำจิตใจของคุณได้ง่ายยิ่งขึ้นนะคะ”

               “…นั่นสินะ สเตฟก้าพูดถูก ดูเหมือนผมจะคิดมากไปเองนั่นแหละ”

               เลวอนกุมมือเล็กบางของแม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มด้วยความกลัดกลุ้มใจ ซึ่งเธอเองก็ยินยอมให้เขาทำเช่นนั้นโดยดุษณีพลางใช้ปลายนิ้วโป้งลูบสางมือหนาคอยบรรเทาเยียวยาจิตใจไปพลาง

               “มาแปลกแฮะที่วันนี้สเตฟก้าใจดีเป็นพิเศษ ปกติเห็นชอบพูดจาดูถูกพวกผู้ชายมาโดยตลอดนี่นา”

               วัตสันกล่าวแซวสเตฟาเนียหวังจะยียวนกวนประสาทอีกฝ่าย ทว่าเธอกลับเผยกิริยาท่าทีสงบเสงี่ยมพร้อมเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบซึ่งแฝงถึงความเศร้าใจ หาได้ใช้ถ้อยคำแสบสันใส่คู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย

               “รุ่นพี่เลวอนเพิ่งจะเจอเรื่องอันตรายมาหมาด ๆ รุ่นพี่วัตสันเป็นถึงเพื่อนสนิททั้งทีก็ควรพูดปลอบใจเขาด้วยนะคะ”

               “นั่นสินะ เธอพูดถูก… ก็ไม่รู้ว่าจะพูดปลอบใจยังไงดี แต่ขอให้นายเข้มแข็งเข้าไว้นะ พวกเราจะคอยอยู่เคียงข้างเสมอในยามที่นายทุกข์ร้อนใจ… เพราะงั้นเลิกคิดมากได้แล้ว กังวลมากไปมีแต่จะทำให้สุขภาพแย่ลงเปล่า ๆ”

               วัตสันกล่าวให้กำลังใจพลางนำมือตบบ่าสหายรัก เลวอนจึงเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นพร้อมเกริ่นซาบซึ้งในน้ำใจต่อทุกคน

               “ขอบคุณมากนะครับ ตอนนี้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นเยอะเลย”

               “ศาสตราจารย์ ไม่มีวิธีผนึกวิญญาณของวลาดที่สามได้เลยเหรอคะ ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้มีหวังคุณเลวอนคงต้อง…!” โมนิก้าซักถามโดยที่สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความไม่สบายใจอย่างชัดเจน

               “อาจฟังดูโหดร้ายสำหรับพวกเธอไปสักหน่อย แต่คงต้องขอพูดตามตรง ขนาดตัวฉันเองก็ยังจนปัญญานึกหาหนทางแก้ไขที่ดีที่สุดไม่ได้เลย เขี้ยวของวลาดถือเป็นเศษเสี้ยววิญญาณรูปแบบหนึ่ง เมื่อฝังเข้าไปในร่างกายที่เต็มไปด้วยแหล่งพลังเวท ก็แทบไม่ต่างอะไรกับเมล็ดพันธุ์ที่รอวันเจริญเติบโต… ถ้าหากอีกฝ่ายฟื้นคืนชีพขึ้นมาโดยสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นหมู่บ้านแห่งนี้ก็คงต้องพังพินาศย่อยยับเป็นแน่”

               ศาสตราจารย์ผู้ทรงสง่าอธิบายน้ำเสียงจริงจัง ทำให้บรรยากาศการสนทนาเริ่มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ทุกคนซึ่งอยู่ในห้องพยาบาลแห่งนี้ต่างพากันตระหนักใจถึงประโยคสุดท้าย ทว่าจังหวะเองเลวอนได้เกริ่นข้อเสนอบางอย่าง หลังจากที่เขาพิจารณาไตร่ตรองและเตรียมใจเอาไว้มาเป็นอย่างดีแล้ว

               “ถ้าหากมีเหตุการณ์ที่ว่าเกิดขึ้นมาจริง ๆ ถึงตอนนั้นเชิญศาสตราจารย์ลงมือฆ่าผมได้เลยนะครับ”

               “ไม่ได้นะลูก!/เจ้าลูกแกะบ้า!/เจ้าบ้านี่!/เลวอน!/คุณเลวอน/รุ่นพี่!”

               เยวาผู้เป็นแม่ รวมถึงเหล่าผองเพื่อนของเลวอนต่างส่งเสียงห้ามปรามพลางคิ้วขมวดใส่ ทำเอาเด็กหนุ่มรูปงามสะดุ้งโหยงด้วยความประหลาดใจทันที ทางด้านยาโรสลาฟเองก็ไม่รีรอที่จะมอบคำอธิบายด้วยเหตุผลเดียวกัน

               “ไม่ได้นะ เธอจะต้องมีชีวิตรอดต่อไป และฉันอยากจะให้เธอรู้จักกับความหมายของการมีชีวิตอยู่ให้มากกว่านี้ด้วย… อะไรกัน ตอนนั้นเธอยังฝืนตัวเองไม่ให้วลาดเข้าควบคุมร่างได้เลยนี่นา ในเมื่อหาทางกำจัดให้สิ้นซากไม่ได้เราก็นำมันมาใช้งานให้เกิดประโยชน์ซะเลยสิ”

Options

not work with dark mode
Reset