แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 21: กลิ่นหอมทับทิม

               “เอ๊ะ มีวิธีนั้นด้วยเหรอครับ ว่าแต่จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?” เลวอนสงสัย

               “ถ้าหากทำตามคำแนะนำของฉันอย่างเคร่งครัดล่ะก็ เธอจะต้องเป็นจอมดาบเวทชั้นพาลาดินได้อย่างแน่นอน”

               “จริงเหรอ ถ้างั้นผมยินดีปฏิบัติตามคำสั่งเลยครับ!” คราวนี้เด็กหนุ่มเผยน้ำเสียงตื่นเต้น

               “ศ… ศาสตราจารย์คะ”

               เยวารีบแทรกบทสนทนาพร้อมทั้งแสดงท่าทีโต้แย้ง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เห็นพ้องและไม่ต้องการให้ลูกชายของตนเดินบนเส้นทางที่เสี่ยงอันตราย อย่างไรก็ดียาโรสลาฟได้หันไปส่งยิ้มปลอบโยน ก่อนจะชี้แจงเหตุผลแก่เธออย่างใจเย็น

               “อีวา เมื่อคนเราเติบโตขึ้น พวกเขาย่อมมีสิทธิ์ในการเลือกเส้นทางชีวิตตามใจปรารถนา จะไปบังคับหรือห้ามปรามคงไม่ได้ สิ่งที่พวกเราควรมอบให้แก่เขาคือการชี้นำด้วยองค์ความรู้ในทางที่ถูกต้อง รวมถึงคอยให้กำลังใจเพื่อให้เขามีแรงผลักดันในการแสวงหาคุณค่าของชีวิตต่างหาก นี่แหละคือสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างพวกเราควรจะต้องทำ”

               “…เข้าใจแล้วค่ะ อย่างน้อยก็อย่าให้เขาฝึกหักโหมมากจนเกินพอดีนะคะ”

               เยวาผงกศีรษะน้อมรับถ้อยคำของศาสตราจารย์โดยปราศจากคำทัดทาน เพราะเธอเองก็เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอธิบายอย่างชัดเจน ทว่าในความรู้สึกส่วนลึกนั้นยังคงนึกห่วงใยเกี่ยวกับอนาคตของเลวอนอยู่ดี และอยากจะให้ลูกชายตนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเยี่ยงสามัญทั่วไปเสียมากกว่า

               เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ยาโรสลาฟจึงหันไปซักถามขอความสมัครใจต่อบรรดาลูกศิษย์ทุกคน

               “การฝึกในครั้งนี้คงต้องขอยืมมือพวกเธอที่เป็นเพื่อนของเลวอนคอยช่วยเหลือเขาอีกที… ฉันไม่บังคับทุกคนหรอกนะ แต่ถ้าหากเป็นไปได้รบกวนช่วยสอนวิชาความรู้ หรือทักษะที่ตัวเองมีอยู่ทั้งหมดให้เขาสักหน่อยจะได้รึเปล่า?”

               “ไม่ขัดข้องค่ะ ถ้าเรื่องปรุงยาพิษแล้วล่ะก็ฉันยินดีสอนรุ่นพี่เลวอนเอง”

               “เธอน่ะกลับไปปรุงยาเสน่ห์ขายให้กับสาว ๆ เหมือนเดิมเถอะ ปล่อยให้เพื่อนสนิทอย่างฉันจัดการดีกว่า… ถ้าเป็นเรื่องยารักษาโรคหรือยาฟื้นฟูพลังเวทแล้วล่ะก็ไว้ใจฉันได้เลย”

               “ฉันเองก็อยากจะสอนเส้นทางการเป็นจอมดาบเวทให้รุ่นพี่เหมือนกัน!”

               “ข้าจะทำให้ท่านเลวอนรู้จักกับวิถีแห่งซามูไรเองขอรับ”

               “ถ้าหากพลังแห่งการรักษา และคาถาป้องกันตัวจากวิชาศาสตร์มืดของฉันพอจะเป็นประโยชน์ให้กับคุณเลวอนได้บ้าง ตัวฉันก็มีความยินดีพร้อมที่จะถ่ายทอดวิชาเหล่านี้อย่างเต็มใจค่ะ”

               “ดิฉันจะสอนทักษะการใช้คาถาโบราณขั้นสูงด้วยแหวนกายสิทธิ์ รวมถึงวิชาเล่นแร่แปรธาตุให้คุณเลวอนเองค่ะ”

               “นอกจากเวทมนตร์ที่ไม่มีสอนในห้องเรียนแล้ว คุณเลวอนยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการพยากรณ์ด้วยนะคะ”

               “นายอยากจะเป็นจอมดาบเวทใช่ไหมล่ะ ถ้างั้นจงเปลี่ยนมาใช้ดาบคาตานะ แล้วเรียนรู้วิชาอิไอโดและการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดฝั่งตะวันออกกับฉันซะเจ้าลูกแกะ”

               สเตฟาเนีย วัตสัน ออเดรย์ อิทสึกิ เวสน่า คลาร่า โมนิก้า และฮิคาริ ต่างกล่าวขันอาสาและยินดีที่จะสนับสนุนแนวคิดของยาโรสลาฟ ในขณะที่อาเธอเรียยังคงนิ่งเงียบพลางหลบสายตาเลวอนด้วยความรู้สึกผิด ด้วยเหตุนี้พ่อมดผู้เกรียงไกรจึงหันไปซักถามเพื่อรอฟังคำตอบจากเธอ

               “อาเธอเรีย แล้วเธอล่ะว่ายังไง?”

               “คุณอาเธอเรียคงจะยังไม่พอใจเรื่องที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาอยู่งั้นสินะครับ?”

               เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนรวบรวมความกล้าสนทนากับพูดคุยกับยุวสตรีผู้ห้าวหาญ หวังให้ทั้งสองฝ่ายเปิดอกปรับความเข้าใจและลดความบาดหมางระหว่างกัน อาเธอเรียรีบหันมาสบตาให้คำตอบทันทีด้วยสีหน้าจริงจังปราศจากท่าทีเสแสร้ง

               “ไม่ใช่นะ! ที่จริงฉันตั้งใจอยากจะกล่าวขอโทษนายตั้งแต่เมื่อเช้านี้ ที่สำคัญฉันรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวนายจากท่านปู่… จากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟแล้วล่ะ ไม่นึกเลยว่านายจะต้องทุกข์ทนเผชิญหน้ากับคำสาปร้ายแบบนี้… เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ฉันขอโทษด้วยนะเลวอน”

               “อะไรกัน ผมสิที่ต้องขอโทษคุณอาเธอเรีย… สิ่งที่คุณเคยพูดเอาไว้ทำให้ผมเริ่มเข้าใจได้แล้วว่า การต่อสู้เพื่อปกป้องชีวิตของตนเองก็ถือเป็นเรื่องที่สมควร อย่ามัวนั่งรอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ต้องดิ้นรนต่อสู้ให้ถึงที่สุดด้วยใช่ไหมล่ะครับ?”

               “นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อ” เด็กสาวฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจพร้อมพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงปกติ “แต่ตอนนั้นฉันเองก็เผลอพูดจาแรงเกินไปหน่อย แถมยังโดนท่านปู่เทศนาเป็นชั่วโมงจนหูชาไปพักหนึ่ง… ถ้าไม่รังเกียจเดี๋ยวฉันจะเป็นคนถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ให้นายเองเอาไหม ปกติฉันไม่ยอมสอนมวยให้กับพวกผู้ชายหรอกนะจะบอกให้”

               “ย… ยินดีเลยครับ ถ้างั้นจากนี้ไปผมขอรบกวนคุณอาเธอเรียด้วยนะครับ!”

               เลวอนตอบรับข้อเสนอจากอาเธอเรียอย่างไม่ลังเลโดยที่ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กัน ทุกคนต่างรู้สึกใจชื้นขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอเริ่มไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถัดมายาโรสลาฟได้วกกลับเข้าสู่ประเด็นหลักสำคัญ และกล่าวสนทนากับพ่อมดหนุ่มรูปงามอีกครั้ง

               “เลวอน ในความคิดเห็นของฉันแล้วตอนนี้เธอคงเป็นได้แค่จอมเวทสายสนับสนุนมากกว่าสายโจมตี ดังนั้นเธอควรทำหน้าที่นี้ให้กับเพื่อนร่วมทีมไปก่อน จนกว่าจะสามารถต่อสู้เพื่อปกป้องตนเองและผู้อื่นได้ในระดับพื้นฐานทั่วไป ที่สำคัญเธอควรหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ที่อาจต้องได้รับบาดเจ็บหรือโดนทำร้ายร่างกายให้มากที่สุด เป็นการลดความเสี่ยงไม่ให้ถูกวลาดเข้าแทรกแซงจิตใจได้อีก… เข้าใจแล้วใช่ไหม?”

               “เข้าใจแล้วครับ” เลวอนผงกศีรษะน้อมรับคำแนะนำดังกล่าว

               “ดีล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะจัดตารางการฝึกพิเศษให้… เริ่มจากวันอาทิตย์ ซิสเตอร์เวสน่ารับหน้าที่สอนวิชาการใช้คาถารักษาและการป้องกันตัวจากศาสตร์มืด… เย็นวันจันทร์ ฮิคาริและอิทสึกิสอนวิชาดาบ… เย็นวันอังคาร ออเดรย์สอนวิชาการเป็นจอมดาบเวท… เย็นวันพุธ คลาร่าทำหน้าที่สอนวิชาเล่นแร่แปรธาตุและทักษะการใช้เวทมนตร์โบราณขั้นสูง…

               เย็นวันพฤหัสบดี อาเธอเรียต้องสอนวิชาศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า… วันศุกร์ในช่วงคาบพักกลางวัน โมนิก้าสอนวิชาพยากรณ์และคาถานอกตำราเรียน… และวันเสาร์ สเตฟาเนียกับวัตสันสอนวิชาการปรุงยาชนิดต่าง ๆ โดยตารางการฝึกจะมีผลนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป… เอาล่ะมีใครอยากคัดค้านอะไรรึเปล่า?”

               ศาสตราจารย์ผู้มีสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีแจกแจงตารางสอนพิเศษให้แก่บรรดาลูกศิษย์ ราวกับว่าตัวเขาได้ตระเตรียมแผนการนี้เอาไว้มาตั้งแต่แรกเริ่มโดยที่ไม่มีใครกล่าวคำทัดทานใด ๆ เลยสักคน ยกเว้นโมนิก้าเท่านั้น เธอรีบยกมือขวาชูขึ้นเหนือศีรษะพร้อมทั้งเกริ่นแย้งข้อสงสัยออกมาทันที

               “ซิสเตอร์รับหน้าที่สอนในวันอาทิตย์ฉันพอเข้าใจค่ะ เพราะคุณเลวอนรับปากว่าจะช่วยงานที่โบสถ์ในวันนั้นพอดี ว่าแต่ทำไมวิชาปรุงยาถึงต้องจัดให้เป็นวันเสาร์ด้วยล่ะคะ ทั้งที่เรียนง่ายและสิ้นเปลืองพลังเวทน้อยกว่า… บ-แบบนี้ก็ยิ่งทำให้สเตฟก้ามีเวลาอยู่ด้วยกันกับคุณเลวอนแทบทั้งวันเลยน่ะสิ…”

               โมนิก้าเริ่มแผ่วน้ำเสียงเบาลงในช่วงประโยคสุดท้าย จนทุกคนในที่นี้ไม่อาจฟังจับใจความได้ เลวอนสังเกตเห็นสีหน้าของเธอจึงเข้าใจได้โดยทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังนึกกังวลใจอะไรอยู่

               “ที่ฉันมอบหมายให้เธอรับหน้าที่สอนวิชาในวันศุกร์ตอนช่วงพักเที่ยงนั้น ก็เพื่อให้เลวอนได้ทำการวอร์มอัพร่างกายและปรับสภาพวงจรเวททั้งหมดให้เข้าที่ มีความพร้อมก่อนเริ่มกิจกรรมคาบชมรมปราบมาร ที่จะต้องออกเดินทางปฏิบัติภารกิจนอกสถานที่ยังไงล่ะ… ส่วนเรื่องวิชาการปรุงยา เนื่องจากมีครูผู้สอนเข้ามาใช้งานที่ห้องแล็บในช่วงวันปกติ ฉันถึงต้องให้สเตฟก้ากับวัตสันสอนในช่วงวันหยุดแทน… จริง ๆ เธอจะแวะเข้ามาเยี่ยมเลวอนตอนที่พวกเขากำลังฝึกสอนอยู่ก็ยังได้เลย”

               ยาโรสลาฟชี้แจงเหตุผลพร้อมให้คำแนะนำ โมนิก้าได้ยินดังนั้นก็ถึงกับถอนหายใจโล่งอกทันที วัตสันจึงรีบสบโอกาสนี้หยอกล้อเด็กสาวร่างบางอย่างไม่รีรอช้า

               “กังวลเรื่องนั้นเองหรอกเหรอ อย่ากังวลไปเลยโมนิก้า เพราะเจ้าหมอนี่ยังมีฉันเป็นคอยก้างขวางคอให้อยู่ ฮะฮะฮะ”

               “ใช่ค่ะ รุ่นพี่วัตสันน่ะอยู่ไปก็เกะกะฉันกับรุ่นพี่เลวอนเสียเปล่า ให้ฉันรับหน้าที่สอนวิชาปรุงยาคนเดียวก็พอแล้วล่ะค่ะ” สเตฟาเนียเหล่ตามองพลางใช้วาจาทิ่มแทงใส่เด็กหนุ่มมาดทะเล้นแบบไม่เกรงใจ

               “อะไรกัน เห็นแบบนี้แต่ฉันไม่ได้กระจอกอย่างที่เธอคิดนะเฟ้ย!”

               ในขณะที่สองหนุ่มสาวนักปรุงยากำลังพูดจาข่มใส่กัน เลวอนก็ได้หันไปสนทนากับโมนิก้าอย่างเป็นกันเองพร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน

               “อย่างที่ศาสตราจารย์พูดมานั่นแหละ โมนิก้าอย่าได้น้อยใจไปเลยนะ ถ้ายอมรับข้อตกลงนี้ได้เดี๋ยวผมจะยอมทำตามคำขอของเธอหนึ่งอย่างเป็นการตอบแทน ดีไหมเอ่ย?”

               “ส… สัญญาแล้วนะคะ ถ้างั้นฉันจะยอมหยวน ๆ ให้ก็แล้วกันค่ะ”

               เด็กสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยยอมรับข้อตกลง ก่อนจะแย้มสรวลอย่างพึงพอใจโดยที่สองแก้มแดงระเรื่อ ราวกับว่าเธอเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษจากเขา ระหว่างนั้นเองยาโรสลาฟได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่เลวอนอีกครั้ง

               “เลวอน จากนี้ไปเธอควรเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แล้วตื่นขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายตอนเช้ามืดเพื่อให้หัวใจแข็งแรงสักหน่อย ถ้าทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันจะช่วยให้เธอไม่รู้สึกเหนื่อยง่าย แต่อย่าหักโหมวิ่งเร็วมากเกินไป ค่อย ๆ เพิ่มสปีดวันละนิดก็พอ”

               “เข้าใจแล้วครับ” เด็กหนุ่มผงกศีรษะตอบรับ “พรุ่งนี้ผมจะเริ่มลงมือปฏิบัติตามที่ศาสตราจารย์บอกทันที”

               “ว่าแต่นายนี่กล้าหาญกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีกแฮะ ทั้งที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแท้ ๆ แต่กลับทำเรื่องบ้าบิ่นสู้กับมิโนทอร์เพื่อช่วยเด็กสาวแปลกหน้าจนตัวเองปางตายแบบนี้ เห็นทีฉันคงต้องมองดูนายใหม่แล้วสิ”

               อาเธอเรียกล่าวชื่นชม ทว่าเยวาผู้เป็นแม่กลับพูดจาตักเตือนลูกชายตนด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

               “แม่เข้าใจว่าการช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่คราวหน้าลูกต้องระมัดระวังตัวและรู้จักขีดจำกัดของตนเองให้มากกว่านี้ด้วย พ่อกับแม่เป็นห่วงลูกนะรู้บ้างไหม?”

               “ผมรู้ครับแม่ แต่ตอนนั้นเหตุการณ์มันฉุกละหุกมากจนแทบไม่มีเวลาคิดหาทางออกอื่นเลย ถ้าหากผมมัวเสียเวลาวิ่งขอความช่วยเหลือจากพวกชาวบ้าน เด็กคนนั้นก็คงโดนมิโนทอร์ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจไปแล้วแน่ ๆ …”

               “จะยังไงก็เถอะ ตอนนี้ลูกควรกล่าวคำขอบคุณกับซิสเตอร์และคุณหมอเขาก่อนนะ”

               “จริงสิลืมไปเสียสนิทเลย… ขอบคุณซิสเตอร์กับคุณหมอมากเลยนะครับที่ช่วยรักษาผม แล้วก็ต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจอีกครั้ง”

               เลวอนรีบก้มโค้งศีรษะเพื่อแสดงความซาบซึ้งใจ เวสน่า นักพรตสาวผู้เลอโฉมจึงเผยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน พลางนำสองมือบางประคองไหล่ดันให้อีกฝ่ายเงยตัวกลับมาอยู่ในท่านั่งตามเดิมทันที

               “เงยหน้าขึ้นมาเถอะค่ะ ฉันกลับรู้สึกภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่ได้รักษาบาดแผลให้กับชายผู้รู้จักความเสียสละ เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือคนแปลกหน้าให้รอดพ้นจากภัยอันตรายอย่างคุณเลวอนค่ะ”

               “มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วล่ะ เป็นไปได้พยายามอย่าบาดเจ็บบ่อย ๆ ก็พอ ไม่ใช่เพราะลำบากใจอะไรหรอก ฉันแค่ไม่อยากให้แม่ของเธอต้องนั่งเครียดจนความดันขึ้นก็เท่านั้นเอง”

               มิลานซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน ณ บริเวณมุมห้องส่งเสียงตอบกลับมา ทุกคนจึงต่างพากันหัวเราะแห้ง ๆ เห็นพ้องด้วยกับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างพร้อมเพรียง

               “ว่าแต่บุตรีแห่งไซตอน… เด็กคนนั้นเป็นใครกันแน่นะ ถึงขนาดยอมปลดปล่อยพลังพิเศษเพื่อช่วยชีวิตผม ไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะต้องความแตกในภายหลังแบบนี้…”

               เลวอนพึมพำพลางก้มใบหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย คลาร่าจึงสบโอกาสซักถามความคิดเห็นจากเขาโดยพลัน

               “ถ้าได้รู้จักเธอคนนั้นแล้ว คุณเลวอนจะทำยังไงต่อไปคะ?”

               “อยากจะบอกกับเด็กคนนั้นไปว่า ‘ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอต้องแสดงพลังที่แท้จริงออกมา ทั้ง ๆ ที่ตัวผมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลยนอกจากถ่วงเวลาเท่านั้น’ …น่ะครับ”

               “ฉันคิดว่าหล่อนเองก็คงต้องรู้สึกดีใจ และซาบซึ้งในความมีเมตตาของคุณเลวอนอย่างแน่นอน การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสถานการณ์คับขันแบบนั้น ไม่ว่าใครฝ่ายไหนต่างก็ต้องรู้สึกอยากขอบคุณ และอยากกล่าวคำขอโทษให้แก่กันทั้งนั้นแหละค่ะ”

               เวสน่าเกริ่นน้ำเสียงละมุนพร้อมแย้มสรวลอย่างอบอุ่น เลวอนจึงไม่อาจละสายตาไปจากนักพรตสาวได้เลยแม้แต่น้อย

               “ซิสเตอร์…”

               “พูดเหมือนกับว่าท่านซิสเตอร์เป็นบุตรีแห่งไซตอนยังไงยังงั้นเลยนะขอรับ” อิทสึกิตั้งข้อสังเกต

               “เจ้าทึ่ม” วัตสันรีบโต้แย้ง “เป็นเพราะซิสเตอร์เข้าใจถึงหัวอกของลูกผู้หญิงต่างหากถึงได้พูดแบบนี้ อีกอย่างเธอไม่ถนัดการใช้วิชาศาสตร์มืดสักหน่อยอย่าลืมสิ”

               “แต่ผมกลับมั่นใจได้ว่าคนที่เป็นบุตรีแห่งไซตอนน่าจะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มพวกเรานี่แหละครับ”

               เลวอนกวาดสายตาจับจ้องมองเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาว ออเดรย์ถึงกับส่ายหางกระดิกใบหูจิ้งจอกไปมาด้วยความแปลกประหลาดใจ ก่อนจะซักถามต่อพ่อมดหนุ่มอย่างท่าทีฉงนสงสัย

               “เอ๊ะ ทำไมรุ่นพี่เลวอนถึงได้มั่นใจแบบนั้นล่ะ?”

               “เพราะนอกจากจะรู้จักชื่อแล้ว เด็กคนนั้นยังโลมเลียเลือดของผมเพื่อเพิ่มพลังเวทให้กับตัวเองอีกด้วย และคนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงแค่พวกเราเท่านั้น” เลวอนชี้แจงเหตุผลไปสั้น ๆ

               “ด-เดี๋ยว คุณเลวอนรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกันคะ หรือว่าวัตสันจะเป็นคนเล่าให้ฟัง!?”

               โมนิก้ารีบซักถามด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่เธอและทุกคนจะพร้อมใจกันหันมาเขม็งเล็งใส่วัตสัน เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีส้มผู้มาดทะเล้นจึงออกอาการลนลานรีบโบกมือปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างสุดชีวิต

               “ฉันเปล่านะเฟ้ย ทุกคนอย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นสิ เห็นฉันเป็นคนปากสว่างขนาดนั้นเลยเรอะ!?”

               “เมื่อตอนพักเที่ยงฉันเป็นคนเล่าให้เลวอนฟังเองแหละ ทั้งเรื่องคำสาปจากอาการป่วยและคุณสมบัติของเหลวภายในร่างกาย เป็นการตรวจสอบว่าพวกเธอกุมความลับกันเก่งรึเปล่า ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว… เลวอนรายงานว่าไม่มีใครเอาเรื่องดังกล่าวมาเล่าให้เขาฟังเลยสักคน และฉันคิดว่าเจ้าตัวเองก็สมควรรับรู้ความจริงเหล่านี้ด้วยเช่นกัน”

               ยาโรสลาฟอธิบายพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง เหล่าลูกศิษย์ได้ยินดังนั้นจึงเริ่มทำใจยอมรับเหตุผลดังกล่าวได้ ยกเว้นอิทสึกิเท่านั้นที่ยังเผยอากัปกิริยาฉงนงงงวยตามบทสนทนาไม่ทัน โดยเฉพาะเรื่องสาเหตุอาการป่วยที่แท้จริงของเพื่อนสนิท ก่อนที่จะเกริ่นขึ้นด้วยสีหน้าน้ำเสียงประหลาดใจ

               “นี่มันอะไรกัน ทั้งคำสาปจากวลาดที่สามเอย ทั้งเลือดที่สามารถฟื้นฟูพละกำลังได้เอย มีแต่ตัวข้าคนเดียวหรือขอรับที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลยตั้งแต่แรก…!? จ-จริงสิ ท่านฮิคาริกับท่านอาเธอเรียเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกันใช่ไหมขอรับ!?”

               “รู้นานแล้วล่ะย่ะเจ้าลูกหมา ศาสตราจารย์เขาเล่าให้ฉันฟังหลังจากจบปฐมนิเทศเมื่อเช้าวันนี้เอง”

               “เมื่อคืนวานนี้ฉันเองก็ได้ฟังเรื่องราวมาจากท่านปู่ไปแล้วเหมือนกัน ที่ท่านยังไม่รีบบอกให้อิทสึกิรู้ก่อน ก็เพราะว่านายมันกุมความลับไม่เก่งและไม่มีไหวพริบในการโกหกคนอื่นยังไงล่ะ”

               ฮิคาริและอาเธอเรียกลับให้คำตอบเหนือความคาดหมาย เทพสุนัขหนุ่มผู้ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่เพิ่งรับทราบถึงเรื่องนี้ช้ากว่าใครเพื่อน จึงทรุดเข่าลงพื้นส่งเสียงร้องคร่ำครวญอย่างเศร้าใจ

               “ไม่จริ๊งงงงงงง!!”

               วัตสัน โมนิก้า ออเดรย์ และเลวอน ส่งเสียงหัวเราะในลำคอพลางมองดูท่าทีของอิทสึกิด้วยความเห็นใจ ในขณะนั้นเองศาสตราจารย์ผู้ทรงสง่าก็ได้เปิดประเด็นบทสนทนาขึ้นมาใหม่ โดยหันไปพูดคุยกับพ่อมดหนุ่มรูปงามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มจาง ๆ

               “แต่ฉันคิดว่าเธอน่าจะรู้ถึงลักษณะเด่นของบุตรีแห่งไซตอนแล้ว… ใช่ไหมล่ะ?”

               เลวอนผงกศีรษะก่อนที่จะเฉลยปมปริศนาออกมา

               “ร่างกายของเด็กคนนั้นมีกลิ่นหอมทับทิมครับ”

               “กลิ่นทับทิมงั้นเหรอ…?”

               วัตสันลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำท่าใช้จมูกดมกลิ่นตามเรือนร่างของเด็กสาวแต่ละคน ทำให้พวกเธอต่างพากันรู้สึกลำบากใจ จนกระทั่งมาถึงสเตฟาเนียซึ่งเป็นรายสุดท้าย แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มจึงรีบยกศอกขวากระทุ้งใส่หน้าท้องเด็กหนุ่มจอมกะล่อนเต็มรักเกิดเสียงดัง “พลั่ก!” ทันที

               “แอ๊ก!?”

               “ไล่ดมผู้หญิงโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้ มารยาททรามมากเลยนะคะ”

               สเตฟาเนียเทศนาสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ วัตสันจึงพูดจาแซวกลับไปอย่างไม่รีรอทั้งที่ตนอยู่ในท่างอตัวมือกุมหน้าท้องด้วยความเจ็บแปลบ

               “ถ… ถ้าเธออนุญาตก็แปลว่าโอเคใช่ไหม?”

               “ค่ะ แต่สำหรับผู้ชายที่มีจิตใจสกปรกและชอบฉวยโอกาสอย่างรุ่นพี่วัตสันแล้ว ให้ตายฉันก็จะไม่ยอมเอ่ยปากอนุญาตให้คุณเข้ามาดอมดมเรือนร่างของฉันโดยเด็ดขาด เชิญไสหัวกลับไปนั่งที่ได้แล้วค่ะ”

               “ข… ขออภัยด้วยครับนายหญิง”

               วัตสันก้าวเท้าวกกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิมอย่างท่าทีสลด ปล่อยให้อิทสึกิยกมือลูบแผ่นหลังปลอบใจสหายหนุ่มผู้น่าสงสารด้วยความเวทนา จังหวะเดียวเลวอนได้หลับตาจินตนาการนึกถึงลักษณะเด่นของบุตรีแห่งไซตอน แล้วเริ่มต้นอธิบาย

               “กลิ่นกายของเด็กคนนั้นเด่นชัดมาก จนถึงตอนนี้ผมยังคงจดจำกลิ่นนั้นได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญในบรรดาแม่มดสาวทั้งเจ็ดที่อยู่ในห้องนี้เองก็มีกลิ่นคล้าย ๆ กันด้วย”

               “ล… แล้วใครบ้างล่ะที่มีกลิ่นหอมทับทิมแบบนั้น?” คราวนี้ฮิคาริเป็นฝ่ายเกริ่นสงสัย

               “โมนิก้า ซิสเตอร์เวสน่า คุณฮิคาริ แล้วก็สเตฟก้าครับ”

               บุรุษหนุ่มรูปงามลืมตาขึ้นมาพร้อมชี้นิ้วไปยังเป้าหมายที่ตนเอ่ยเรียกขานอย่างไม่รีรอ

               “อ-เอ๊ะ โธ่คุณเลวอน ฉันอายนะคะ!”

               “ตายจริง ตัวฉันมีกลิ่นแบบนั้นเหรอคะเนี่ย?”

               “น… นายนี่มันไอ้โรคจิตจริง ๆ ด้วย!”

               “เห จมูกดีเหมือนกันนี่คะ”

               โมนิก้า ซิสเตอร์เวสน่า คุณฮิคาริ และสเตฟาเนียต่างเผยท่าทีอากัปกิริยาแตกต่างกัน ออเดรย์รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเข้าไปดอมดมเรือนร่างของสี่แม่มดสาวเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะยืนยันข้อพิสูจน์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

               “สี่คนนี้มีกลิ่นหอมทับทิมเหมือนอย่างที่รุ่นพี่เลวอนพูดมาจริง ๆ ด้วย!”

               “ถ้างั้นคนที่ทำตัวน่าสงสัยมากที่สุดก็คือสเตฟก้า เธอนั่นแหละ!”

               วัตสันรีบชี้นิ้วไปยังเด็กสาวนัยน์ตาสีส้มพลางยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัย อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอาพร้อมทั้งอธิบายข้อแก้ต่างไปดังนี้

               “บ่ายวันนี้ฉันเอาแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงบริเวณหน้าบ้าน จนแทบไม่มีเวลาลุกไปไหนมาไหนเลยนอกเสียจากจะเดินเข้าห้องน้ำ จนกระทั่งรู้ข่าวว่ารุ่นพี่เลวอนถูกหามตัวส่งมาที่ศูนย์พยาบาลนี่แหละ รุ่นพี่วัตสันเลิกมโนเพ้อพกสักทีเถอะค่ะ”

               “ยัยนี่มีชาวบ้านแถบนั้นเป็นพยานแฮะ ถ้างั้นก็ต้องเป็นซิสเตอร์แน่นอน!”

               “ไม่ใช่นะคะ ตอนนั้นฉันยังติดประชุมกับเหล่าแม่ชีที่โบสถ์ อีกอย่างฉันไม่ยุ่งเกี่ยวหรือแตะต้องวิชาสายมืดด้วย” เวสน่าตอบกลับอย่างสุภาพ

               “ถ้างั้นโมนิก้าล่ะ!?”

               “คนบ้า วันนี้ฉันมีเรียนพิเศษกับคุณครูในคาบเรียนวิชาพยากรณ์ค่ะ!” โมนิก้ารีบปฏิเสธหนักแน่น

               “ฮิคาริ! …ไม่สิ เธอคนนี้ไม่ถนัดเวทมนตร์สายตะวันตกนี่นา… งั้นก็ออเดรย์นั่นแหละ ได้ข่าวว่าเธอออกไปลาดตระเวนในป่านอกเขตหมู่บ้าน หลักฐานมัดตัวแน่นขนาดนี้คงต้องเป็นเธอชัวร์ป้าบ!”

               “รุ่นพี่วัตสันปัญญาอ่อนรึยังไง ตัวฉันไม่ได้มีกลิ่นทับทิมสักหน่อย” ออเดรย์เหล่ตามอง

               “คนนู้นก็ไม่ใช่ คนนี้ก็มีพยานแวดล้อม คลาร่าเองก็เอาแต่สิงอยู่ในคฤหาสน์ ส่วนอาเธอเรียถนัดแค่เวทมนตร์พื้นฐาน… ตกลงแล้วใครคือบุตรีแห่งไซตอนตัวจริงกันแน่ฟะ~~~~~!!?”

               วัตสันส่งเสียงร้องโอดครวญ เมื่อข้อสันนิษฐานของตนไม่เป็นไปตามดั่งใจนึก

               “ไอ้หมอนี่ท่าทางกู่ไม่กลับแล้วจริง ๆ”

               อาเธอเรียบ่นพึมพำอย่างเอือมระอา แม้แต่ฮิคาริกับโมนิก้าเองยังต้องผงกศีรษะเห็นพ้อง พลางจับจ้องมองพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาด้วยความสมเพชเวทนาใจ

               ในขณะที่บรรยากาศแห่งความสนุกสนานกำลังครื้นเครง เลวอนแอบนึกครึ้มอะไรบางอย่างเพียงลำพัง ดูเหมือนเขาจะได้รับคำตอบตั้งแต่แรกแล้วว่า ในบรรดาแม่มดสาวทั้งเจ็ดนี้ใครคือบุตรีแห่งไซตอน ยุวสตรีลึกลับผู้ซึ่งช่วยเหลือชีวิตตนให้รอดพ้นจากภัยอันตรายในการต่อสู้ครั้งนั้น

               เรื่องนั้นผมพอจะรู้อยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าหากเรายังยืนกรานบอกออกไปตอนนี้คงไม่เกิดผลดีต่อเด็กคนนั้น รวมถึงทุกคนในหมู่บ้านนี้ด้วย… อีกอย่างผมไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์กับเธอ เพียงเพราะพยายามเปิดโปงความลับนี้ออกไป

               เลวอนนำปลายนิ้วแตะริมฝีปากพลางลูบไล้แผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าได้หลงเสน่ห์รสชาติแห่งจุมพิตจากบุตรีแห่งไซตอนเข้าให้แล้ว พ่อมดหนุ่มผู้แสนสุภาพแย้มสรวลพึงพอใจก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ เพื่อเปิดเผยความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจให้เด็กสาวคนนั้นได้รับฟัง

               “…ขอบคุณมากนะ จากนี้ไปขอฝากตัวด้วย”

               เหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสซึ่งกำลังส่งเสียงวุ่นวายอยู่ต่างหยุดชะงักลง หันมาจับจ้องมองเลวอนด้วยความฉงนต่อคำพูดเลื่อนลอยเมื่อสักครู่ ทว่ามีเพียงแค่บุตรีแห่งไซตอนซึ่งแฝงตัวอยู่ในสมาชิกกลุ่มนี้เท่านั้น ที่รับรู้และเข้าใจถึงประโยคดังกล่าวนี้ ความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของบุรุษจอมดาบเวทผู้กล้าหาญ ได้ส่งไปถึงตัวเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Options

not work with dark mode
Reset