แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 22: ฝึกพิเศษกับเจ็ดแม่มดสาว (1)

               วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม การฝึกพิเศษของเลวอนได้เริ่มต้นขึ้นตามคำแนะนำของยาโรสลาฟ เด็กหนุ่มลุกขึ้นตื่นวิ่งออกกำลังกายนอกบ้านตั้งแต่เช้ามืด โดยการวิ่งครั้งแรกในรอบห้าปีหลังจากที่ต้องพักฟื้นอยู่แต่ในบ้านนั้น ส่งผลทำให้เขารู้สึกเหนื่อยง่ายเป็นเรื่องปกติ

               อย่างไรก็ดีเลวอนยังคงเข้าใจถึงขีดจำกัดของตนเอง คอยก้าวเท้าวิ่งสลับกับหยุดพักหายใจเป็นระยะจนกระทั่งฟ้าสาง ก่อนจะวกกลับไปยังบ้านพักเพื่ออาบน้ำแต่งตัว และรับประทานอาหารเช้าเตรียมเดินทางไปยังปราสาทสีขาว

               การศึกษาเล่าเรียนและการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมชั้นยังคงเป็นไปตามปกติ เมื่อหมดชั่วโมงเรียนคาบสุดท้าย ครูผู้สอนจึงปล่อยให้เหล่าลูกศิษย์แยกย้ายกันกลับบ้านหรือทำกิจกรรมสันทนาการผ่อนคลายความเครียด ซึ่งตารางฝึกพิเศษสำหรับวันนี้เลวอนจะต้องพบปะกับออเดรย์ จิ้งจอกสาวชาวฝรั่งเศส ผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนจอมดาบเวทที่เก่งกาจมากที่สุดในบรรดาเด็กวัยเดียวกัน

               เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะเหล่านักเรียนที่กำลังทำกิจกรรมคลายเครียดในบริเวณพื้นที่ปราสาทสีขาว สองหนุ่มสาวจึงตัดสินใจเดินทางไปยังจุดใกล้นอกเขตของหมู่บ้านทางทิศเหนือ หรือจุดที่พ่อมดรูปงามเคยใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมเวทมนตร์นั่นเอง

               ออเดรย์และเลวอนต่างนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนพื้นหญ้าท่าทีที่ผ่อนคลาย ท่ามกลางท้องฟ้าอันปลอดโปร่งพร้อมทั้งสายลมโบกพัดไปมาอย่างอ่อนโยน ราวกับเป็นการพูดคุยกันเสียมากกว่าการฝึกซ้อม

               “ก่อนที่จะเริ่มบทเรียนแรกในวันนี้ รุ่นพี่คิดว่าคุณสมบัติที่ดีของการเป็นจอมดาบเวทนั้นมีอะไรบ้าง?”

               จิ้งจอกสาวเปิดประเด็น บุรุษวัยเยาว์นัยน์ตาสีอำพันทำท่าครุ่นคิดเป็นเวลาพักหนึ่งก่อนจะให้คำตอบไปดังนี้

               “เป็นหัวหอกในการจู่โจม ต้องรวดเร็วว่องไวลุยเดี่ยวได้ทุกสถานการณ์ มีความแข็งแกร่งกล้าหาญ และถนัดการใช้ดาบเป็นพิเศษ… ล่ะมั้ง”

               “ตอบได้ดีแต่ยังไม่ถูกต้องทั้งหมดนะ… หัวใจสำคัญของการเป็นจอมดาบเวทคือความรวดเร็ว ว่องไว ใจเย็นรอบคอบ เข้าประชิดเพื่อเผด็จศึกเป้าหมายโดยไม่ยืดเยื้อ ชำนาญในการใช้อาวุธหลากหลาย จู่โจมศัตรูในรูปแบบพลิกแพลงมากกว่าการเข้าประจันหน้ากันตรง ๆ สามารถเป็นหัวหอกลุยเดี่ยวโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น แต่ก็ต้องรู้จักทำงานกันเป็นทีมด้วยเช่นกัน

               เรียกได้ว่าเส้นทางสายนี้มีความยืดหยุ่นสูงและขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ สรุปก็คือเป็นการนำเอาความสามารถเด่นของนักดาบกับจอมเวทมาผสมผสานกันกลายเป็นแนวทางการต่อสู้รูปแบบใหม่ ทำให้เกิดทักษะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ในทางกลับกันนี่ถือเป็นอีกคลาสหนึ่งที่เพื่อนร่วมทีมต่างให้ความคาดหวังและต้องแบกภาระหนักมากที่สุด”

               “ม… ไม่นึกมาก่อนเลยว่าจอมดาบเวทจะต้องมีความสามารถหลากหลายถึงขนาดนี้”

               เลวอนพึมพำอย่างประหลาดใจ ออเดรย์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอพร้อมทั้งชี้แจงต่อไป

               “ตามนั้นแหละรุ่นพี่ กว่าที่ฉันจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาหลายปีเลยเชียวล่ะ อาจฟังดูลำบากยากเย็นไปบ้าง แต่ถ้าไม่ถอดใจยอมแพ้ไปเสียก่อน รวมถึงเข้าใจพื้นฐานได้เป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ รับรองว่ารุ่นพี่จะต้องกลายเป็นจอมดาบเวทที่เก่งกาจเหมือนฉันแน่นอน!”

               “ในสายตาของออเดรย์แล้ว ตัวผมนั้นจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขข้อบกพร่องตรงจุดไหนบ้าง และควรเริ่มต้นฝึกวิชาอะไรเป็นอันดับแรกสุด?”

               เลวอนซักถามความคิดเห็น ออเดรย์พิจารณามองดูลักษณะของอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างถี่ถ้วน พลางกอดอกอยู่ในท่าครุ่นคิด ก่อนจะแสดงสีหน้าคิ้วขมวดชี้นิ้วไปยังคู่สนทนาพร้อมทั้งให้คำแนะนำด้วยน้ำเสียงฉะฉาน

               “ที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนเป็นอันดับแรกเลยนั่นก็คือ ชุดแต่งกายออกศึกของรุ่นพี่นี่แหละ!”

               “อ๊ะ ชุดแต่งกายของผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ…?” เลวอนเผยสีหน้าท่าทีผิดหวังเล็กน้อย

               “ม… ไม่ใช่นะรุ่นพี่ ชุดที่ใส่อยู่ดูเท่จะตายไป แต่ในทางปฏิบัติแล้วการแต่งตัวรุ่มร่ามหรือสวมชุดที่มีน้ำหนักมากเกินไปจะทำให้เราเคลื่อนไหวไม่สะดวก ยิ่งมีสัมภาระติดตัวมากก็ยิ่งสิ้นเปลืองแรงโดยใช่เหตุ อาจทำให้เราไม่สามารถใช้อาวุธหนักหรืออาศัยความคล่องตัวหลบหลีกการโจมตีจากศัตรูได้เลย”

               จิ้งจอกสาวอธิบายเหตุผล พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนจึงก้มมองดูเสื้อผ้าอัศวินของตนซึ่งค่อนข้างซับซ้อน สลับกับมองชุดแต่งกายสีน้ำเงินของอีกฝ่ายที่ใส่แล้วให้ความรู้สึกสบายและคล่องตัว ก่อนจะเกริ่นพึมพำเห็นพ้องในคำพูดของเธอ

               “จริงด้วยแฮะ เห็นทีคงต้องเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองแบบสุภาพแทนแล้วล่ะ เพราะตอนที่สู้กับมิโนทอร์เมื่อวานนี้ก็รู้สึกได้ว่าชุดที่ใส่อยู่มันรุ่มร่ามจนทำให้เคลื่อนไหวช้าลง…”

               “ใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นนับจากวันพรุ่งนี้ไปรุ่นพี่เลวอนควรเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดแต่งกายที่ให้ความรู้สึกสบาย ๆ และขยับเคลื่อนไหวอย่างสะดวกซะ ถึงจะเป็นชุดธรรมดาแต่ถ้าหากเรามีฝีมือเก่งกาจมากพอ มันก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของเราดูดีขึ้นมาทันตาเชียวนะรุ่นพี่~”

               “อย่างงี้นี่เอง…” เลวอนผงกศีรษะตอบรับ “เข้าใจแล้ว วันพรุ่งนี้เดี๋ยวผมจะลองนำไปปรับใช้ดู”

               “ดีมาก เอาล่ะถ้างั้นมาเริ่มฝึกบทเรียนแรกกันเลยดีกว่า เดี๋ยววันนี้ฉันจะสาธิตเรื่องการใช้เวทมนตร์ผสมผสานเบื้องต้นให้รุ่นพี่ดูเอง”

               ออเดรย์ฉีกยิ้มแก้มปริพลางกล่าวน้ำเสียงตื่นเต้น รีบพยุงตัวลุกขึ้นเพื่อเริ่มต้นเข้าสู่กิจกรรมการฝึกสอนทันที ในขณะที่พ่อมดหนุ่มชาวอาร์มีเนียเองก็ได้ลุกขึ้นยืนตามจิ้งจอกสาวพร้อมทั้งทวนคำพูดอย่างสงสัย

               “เวทมนตร์ผสมผสาน?”

               “เป็นการนำเอาเทคนิคหลักของเวทมนตร์ฝั่งตะวันตก และของเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกมาประยุกต์ใช้ร่วมกันยังไงล่ะ… รุ่นพี่รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าจอมเวทอย่างพวกเราน่ะถนัดการซึมซับพลังงานตามธรรมชาติ เพื่อแปรเปลี่ยนให้กลายมาเป็นพลังเวท หรืออาจนำเอาพลังมนตราที่สถิตอยู่ภายในร่างกายมาใช้งานแทนก็ได้ แต่นั่นจะทำให้เราสูญเสียพละกำลังตามปริมาณที่ได้ใช้งานออกไป

               ในขณะที่รูปแบบการใช้คาถาของสายตะวันออกนั้นจะเป็นการอาศัยพลังจิต ซึ่งเป็นพลังงานแห่งชีวิตที่เกิดขึ้นจากดวงวิญญาณภายในร่างของมนุษย์ เพื่อเสริมสมรรถภาพความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย จุดเด่นก็คือไม่จำเป็นต้องใช้ไม้กายสิทธิ์หรืออุปกรณ์สื่อนำในการร่ายคาถา แต่จะใช้จิตเป็นตัวควบคุมแทน อย่างไรก็ดีวิธีการแบบนี้ย่อมมีจุดอ่อนเหมือนกัน ถ้าหากสูญเสียสมาธิหรือตั้งจิตไม่มั่นคง จะทำให้เราไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”

               “โกหกน่า เราสามารถใช้งานสองเทคนิคนี้ควบคู่ไปพร้อม ๆ กันได้ด้วยงั้นเหรอ?” เลวอนซักถามอย่างแปลกใจ

               “แน่นอนสิ” จิ้งจอกสาวยืนยันคำตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ที่สำคัญเทคนิคนี้เหมาะสำหรับเหล่าจอมเวทที่ชอบลุยแนวหน้าอย่างแท้จริง นอกจากจะเสริมสร้างพละกำลังแล้ว เรายังใช้มันเป็นเกราะป้องกันการโจมตีทางกายภาพและคาถาชนิดต่าง ๆ ภายในเวลาอันสั้นได้อีกด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพลังเวทและพลังจิตของแต่ละคนว่าแข็งแกร่งมากแค่ไหน… อธิบายปากเปล่าไปก็คงนึกภาพกันไม่ออก เห็นทีคงต้องแสดงตัวอย่างให้ดูเป็นขวัญตาสักหน่อยแล้ว ตามฉันมาสิรุ่นพี่”

               ออเดรย์ก้าวเท้าไปข้างหน้าพลางกวักมือเชิญชวน เลวอนจึงรีบเดินตามแผ่นหลังเธออย่างไม่รีรอ โดยที่ทั้งสองมุ่งตรงไปยังพื้นที่ป่าทึบอันเป็นจุดสิ้นสุดอาณาเขตของหมู่บ้าน ถัดมาแม่มดสาวยืนหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของต้นไม้ซึ่งสูงใหญ่ ก่อนจะยกมือขึ้นห้ามปรามไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ตนไปมากกว่านี้

               “ตรงนี้มันอันตราย ยืนอยู่ห่างฉันเอาไว้ก่อน”

               เด็กหนุ่มหน้าใสผงกศีรษะทำตามที่ครูผู้สอนบอกกล่าว โดยขยับถอยหลังออกห่างจากอีกฝ่ายประมาณสี่ก้าว จากนั้นยุวสตรีจอมดาบเวทจึงหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ต ใช้มือซ้ายถืออุปกรณ์วิเศษ แล้วเปล่งเสียงร่ายคาถาสั้น ๆ

               “Sonantis tonitrui (อสนีวายุ) ”

               ซู่มมมม! เปรี๊ยะเปรี๊ยะ…!

               เกิดประกายแสงอสนีบาตสว่างวูบวาบขึ้นพร้อมทั้งสายลมหมุนวนรอบตัว แทนที่พลังจะถูกปลดปล่อยออกมาจากไม้กายสิทธิ์ แต่ออเดรย์กลับเลือกที่จะดูดกลืนมันเอาไว้ภายในร่างประดุจดั่งมนุษย์สายฟ้า เลวอนเห็นดังนั้นก็ถึงกับเกริ่นน้ำเสียงตื่นเต้นด้วยความประหลาดใจ

               “ร… ร่ายพลังเวทใส่ตัวเอง?”

               “ใช่แล้วล่ะ แต่โชว์ที่แท้จริงน่ะมันเพิ่งจะเริ่มต้นต่อจากนี้ไปต่างหาก!”

               จิ้งจอกสาวกล่าวยกยิ้ม ก่อนจะหลับตาลงเพื่อทำสมาธิและกำหนดลมหายใจให้มีความเสถียร จนพ่อมดหนุ่มสัมผัสได้ถึงกระแสจิตที่มั่นคงแข็งกล้าจากอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ทั้งที่เธอยังไม่ทันได้แสดงฝีมือออกมาให้เห็นเลยด้วยซ้ำ

               ออเดรย์ง้างหมัดขวาขึ้น ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้าพร้อมทั้งเหวี่ยงกำปั้นอย่างรวดเร็ว พื้นดินที่ตนกำลังเหยียบย่ำอยู่เริ่มปรากฏรอยร้าวยุบตัวลงกลายเป็นหลุมขนาดเล็กดัง “ครึ่ก!” จังหวะเดียวกันมืออันแสนบอบบางก็ได้กระทบเข้ากับลำต้นอย่างรุนแรงฉับพลัน เสมือนสายฟ้าฟาดซัดใส่จนเกิดเสียงกัมปนาทสั่นสะท้านไปทั่วบริเวณ

               ——เปรี้ยง!! ซู่มมมมม!!

               คลื่นอากาศปรากฏขึ้นรอบแขนของจิ้งจอกสาว ทำให้เลวอนถึงกับกระเด็นถอยหลังออกไปราวสามเมตร ต้นไม้ที่เธอใช้เป็นเป้าซ้อมโจมตีฉีกขาดกลายเป็นรูขนาดใหญ่ ก่อนจะถูกโค่นล้มครืนลงมาและมอดไหม้กลายเป็นจุณ ไม่ต่างอะไรกับการถูกอัสนีฟาดฟันใส่เลยสักนิด

               ร่างของออเดรย์กลับคืนสู่สภาพปกติหลังจากที่สายฟ้าและสายลมพลันสงบลง เลวอนรีบพยุงตัวลุกขึ้นมองดูผลลัพธ์ตรงเบื้องหน้าจนอ้าปากค้างตกตะลึง เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาเลยว่าแม่มดสาวร่างบางตัวเท่านี้ จะสามารถใช้กำปั้นน้อยนิดโค่นล้มต้นไม้ขนาดใหญ่ลงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว โดยไม่จำเป็นต้องร่ายคาถาขั้นสูงใด ๆ

               “วิชานี้เรียกว่า “ลำนำสัประยุทธ์ (Cantus Bellax) ” …นี่แหละคือพลังที่แท้จริงของมันล่ะ!” แม่มดสาวผมสีขาวโพลนหันมาอธิบายความรู้แก่ลูกศิษย์ด้วยรอยยิ้มอันภาคภูมิ

               “สุดยอด ไม่นึกเลยว่าจะมีวิชาแบบนี้ด้วย!” เลวอนกล่าวอย่างประทับใจ ก่อนจะนึกข้อสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่จะว่าไปในเมื่อเราสามารถร่ายเวทมนตร์ใส่ตัวเอง เพื่อเพิ่มพละกำลังให้กับร่างกายได้ถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องอาศัยพลังจิตเพิ่มด้วยเลยนี่นา”

               “อ๊ะ! อย่ามองข้ามหรือดูถูกความสำคัญของพลังจิตเชียวนะรุ่นพี่ สิ่งนี้แหละที่จะช่วยให้เราสามารถสัมผัสแรงอาฆาตหรือจิตสังหารจากข้าศึก ระบุตำแหน่งของศัตรูที่กำลังหลบซ่อนตัว อีกทั้งยังป้องกันวิชาจากศาสตร์มืดฝั่งตะวันออกได้ดีอีกด้วย”

               “อย่างนี้นี่เอง…”

               “ที่จริงแล้ว อาเธอเรียเองก็ได้ใช้ทักษะนี้ช่วยเสริมพลังในการโจมตีทางกายภาพด้วยเหมือนกัน เพราะเดิมทีหล่อนไม่ได้มีความชำนาญในการใช้เวทมนตร์ใด ๆ นอกเหนือจากคาถาขั้นพื้นฐานเท่านั้น เรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อลุยแหลกโดยเฉพาะ”

               “แหะ ๆ พอจะนึกภาพตอนที่คุณอาเธอเรียใช้ลำนำสัประยุทธ์ออกเลยล่ะ”

               “ก่อนที่พวกเราจะเริ่มฝึกการใช้เวทมนตร์ผสมผสานเบื้องต้น อันดับแรกรุ่นพี่ต้องทำความเข้าใจและสัมผัสถึงจิตของตนเองให้ได้เสียก่อน ถ้าหากอ้างอิงตามหลักวิชาของศาสนาพุทธแล้วสิ่งนั้นคือการทำสมาธิ หรือการกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อให้จิตใจสงบนิ่งนั่นเอง… เอาล่ะรุ่นพี่ลองหลับตาสิ”

               ออเดรย์เกริ่นชักชวนให้เลวอนเริ่มทำการฝึก บุรุษหนุ่มจึงค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงด้วยท่าทีผ่อนคลาย ทว่าด้วยความกระวนกระวายใจในสิ่งที่ตนเองมองไม่เห็น จึงทำให้กระแสจิตนิ่งสงบได้ไม่มากพอ ด้วยเหตุนี้ครูผู้สอนจึงได้ให้คำแนะนำพลางก้าวเท้าขยับเข้าไปใกล้ชิดอีกฝ่าย

               “กำหนดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ ไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งรอบตัว หายใจเข้าให้นึกคำว่า ‘พุท’ หายใจออกให้นึกคำว่า ‘โธ’ พยายามทำจิตใจให้ว่างเปล่าเข้าไว้อย่าไปฟุ้งซ่านนึกถึงเรื่องอื่น”

               พ่อมดผู้กระตือรือร้นเริ่มกำหนดจิตภาวนาตามที่อีกฝ่ายบอก จนกระทั่งการหายใจของเขาเริ่มช้าลงและมีความเสถียรมากยิ่งขึ้น โดยที่สีหน้าราบเรียบปราศจากความกังวลใจ

               ถัดมาจิ้งจอกสาวผู้ร่าเริงก็ได้ทยอยบอกขั้นตอนการฝึกต่อไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพื่อไม่ให้เลวอนต้องสูญเสียสมาธิ

               “เมื่อสัมผัสได้ว่าจิตใจเริ่มสงบลงแล้วก็ให้หยุดท่องคำว่า ‘พุทโธ’ เพื่อปลดปล่อยความคิดทั้งหมดให้ว่างเปล่า จากนั้นรุ่นพี่ลองสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบดู ว่าร่างกายในตอนนี้กำลังรับรู้ถึงสิ่งใดได้บ้าง”

               “……”

               กระแสจิตของเลวอนเริ่มสงบนิ่งลง สิ่งที่สัมผัสได้นอกเหนือจากความมืดมิดคือสายลมที่กำลังพัดปะทะร่างกายอย่างอ่อนโยน รับรู้ถึงเสียงเสียดสีของเหล่าต้นไม้ใบหญ้า ส่วนจมูกได้กลิ่นอายถึงความเป็นธรรมชาติจากทั้งผืนหญ้าและพื้นแผ่นดินภายในป่า ในขณะที่จิตรู้แจ้งได้ถึงกระแสของดวงวิญญาณต่าง ๆ นับสิบซึ่งอยู่ห่างไกลจากจุดนี้ไม่มากนักในย่านเขตชุมชน

               ระหว่างนั้นเองออเดรย์ค่อย ๆ ขยับขาเดินอ้อมไปยังด้านหลังของเลวอน ก่อนจะเขย่งปลายเท้าเอื้อมสองมือบางลูบสางเส้นผมอันนุ่มสลวยของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนและระมัดระวัง มิหนำซ้ำยังฉีกยิ้มแก้มปริพลางส่ายหางกระดิกหูจิ้งจอกไปมาด้วยความพึงพอใจ

               “ล… แล้วทำไมต้องลูบสางเส้นผมด้วยล่ะออเดรย์?”

               “ชะอุ้ย…!”

               ทว่าเลวอนกลับรู้สึกตัวทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่ แม้จะยังไม่มีสิ่งอื่นใดเข้ามาสัมผัส หรือแตะกระทบลงบนผิวหนังโดยตรงเลยก็ตาม สตรีจอมดาบเวทร่างบางสะดุ้งตกใจเล็กน้อยต่อการรับรู้ผ่านทางกระแสจิตของเขา ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด ด้วยเหตุนี้เธอจึงรีบบ่ายเบี่ยงกล่าวอ้างออกไปอย่างตะลีตะลาน

               “ย… อย่าวอกแวกสิ นี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกเหมือนกันนะ ตั้งสมาธิแล้วทำจิตให้นิ่งต่อไปสิรุ่นพี่~”

               ออเดรย์ตัดสินใจที่จะไม่กล่าวคำชมออกไป เพราะคิดว่าเลวอนน่าจะพัฒนาฝีมือไปได้ไกลมากกว่านี้อีก ท้ายที่สุดแล้วบุรุษวัยเยาว์ผู้มากพรสวรรค์ก็สามารถบรรลุผลสำเร็จในวิชาตั้งกระแสจิตภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สองพ่อมดแม่มดวัยใสจึงเริ่มต้นเข้าสู่บทเรียนการใช้เวทมนตร์ผสมผสานหรือ “ลำนำสัประยุทธ์” อย่างไม่รีรอช้า

               โดยตั้งใจฝึกซ้อมอย่างขะมักเขม้นจนกระทั่งถึงช่วงเวลาพลบค่ำ

 

               ********************

 

               วันพุธที่ 15 พฤษภาคม เวลา 16 นาฬิกา 26 นาที ณ คฤหาสน์ตระกูลโรเซนครานซ์ ทางตะวันตกของหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน สถานที่แห่งนี้เป็นอาคารหลังใหญ่สีขาวสูงสามชั้นตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางผืนหญ้าอันโล่งกว้าง อยู่ห่างไกลจากแหล่งชุมชนพอประมาณ จึงทำให้บรรยากาศในที่แห่งนี้แลดูสงบร่มรื่นปราศจากสิ่งรบกวนใจ

               คลาร่าเชิญชวนให้เลวอนเดินทางมายังคฤหาสน์ตนเป็นการส่วนตัว ทั้งสองหนุ่มสาวนั่งดื่มชาอุ่น ๆ พลางรับประทานขนมหวานอย่างเพลิดเพลินบนชุดโต๊ะสนามนอกสถานที่พัก โดยมีเหล่าแม่บ้านคอยยืนปรนนิบัติรับใช้เธออยู่ไม่ห่าง

               วันนี้เลวอนอยู่ในชุดลำลองเสื้อเชิ้ตคอปกกับกางเกงสแล็คตามคำแนะนำของออเดรย์ ซึ่งใส่แล้วให้ความรู้สึกสบายตัวไม่อึดอัดเท่าเครื่องแบบอัศวินตัวเก่า อีกทั้งยังดูเรียบร้อยและเป็นทางการมากกว่า เขาและคลาร่าต่างนั่งสนทนากันอย่างสุภาพ แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันก็ตาม จนทั้งคู่เกิดความสนิทสนมเชื่อใจกันมากขึ้น

               เมื่อถึงแก่เวลาอันสมควร แม่มดสาวจึงใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดปากให้สะอาด ก่อนจะซักถามความพร้อมต่ออีกฝ่าย

               “คุณเลวอนพร้อมที่จะฝึกแล้วหรือยังคะ?”

               “ผมพร้อมแล้วครับ”

               เลวอนรีบตอบกลับ คลาร่าแย้มสรวลมุมปากอย่างพึงพอใจพลางนำมือล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบซองถุงผ้าขนาดเล็กรัดเชือกรอบปากถุง เธอคลายปมออกเพื่อหยิบแหวนสีเงินมันวาวสะท้อนแสงเป็นประกายจากในนั้น ซึ่งสลักด้วยตัวอักษรภาษากรีกพร้อมลวดลายอย่างประณีตก่อนจะส่งมอบให้แก่เด็กหนุ่ม

               “ถ้าเช่นนั้นรบกวนช่วยสวมแหวนกายสิทธิ์วงนี้ด้วยค่ะ”

               พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันรับแหวนจากเธอ นำมาสวมใส่กับนิ้วนางข้างขวาได้อย่างพอดี ส่วนของคลาร่าที่กำลังสวมประดับอยู่นั้นเป็นแหวนวงใหม่ซึ่งทำมาจากทองคำแท้และมีพลานุภาพเหนือกว่า เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งคู่จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้มุ่งตรงไปยังพื้นที่โล่งเพื่อเริ่มต้นทำการฝึกสอนทันที

               คลาร่าได้นำขวดน้ำพลาสติกจำนวนสองใบติดมือมาด้วย เลวอนเห็นดังนั้นจึงเกริ่นสงสัยพลางชี้นิ้วไปยังวัตถุดังกล่าว

               “คุณคลาร่า ทำไมถึงเอาขวดน้ำมาด้วยล่ะครับ?”

               “จากนี้ไปดิฉันจะสาธิตวิธีการใช้แหวนกายสิทธิ์ รวมถึงแสดงวิชาเล่นแร่แปรธาตุให้คุณเลวอนได้รับชมค่ะ อันดับแรกเรามาทำความเข้าใจกฎการแลกเปลี่ยนที่ทัดเทียมกันให้ดีเสียก่อน… อ๊ะ รบกวนช่วยถือขวดน้ำให้ดิฉันหน่อยสิคะ”

               “ได้เลยครับ”

               เลวอนตอบรับคำขอ คลาร่าจึงยื่นขวดน้ำส่งมอบให้แก่เขาหนึ่งขวด ก่อนจะอธิบายถึงแก่นสาระสำคัญไปดังนี้

               “คุณเลวอนคงเคยได้ยินคำกล่าวนี้มาแล้วสินะคะ ว่าการที่ได้อะไรมานั้นจำเป็นจะต้องจ่ายสิ่งที่ทัดเทียมกันออกไป เราไม่สามารถรังสรรค์สิ่งของอย่างหนึ่งให้กลายเป็นรูปแบบอื่นโดยหลุดพ้นจากกฎข้อดังกล่าวได้… หากพูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ ล่ะก็ลองยกตัวอย่างน้ำที่อยู่ในขวดนี้ดูสิคะ คิดว่าเราจะสามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นก้อนหินหรือเปลวไฟได้หรือไม่?”

               คลาร่าชูขวดน้ำพลาสติกที่อยู่ในมือให้เลวอนลองวินิจฉัย บุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนใช้เวลาพิจารณาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะมอบคำตอบกลับไปโดยอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์

               “ไม่เลยครับ เพราะองค์ประกอบของน้ำไม่มีธาตุคาร์บอน นอกจากอะตอมของออกซิเจนและไฮโดรเจนเท่านั้น”

               “ถูกต้องค่ะ น้ำย่อมเป็นน้ำ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นสภาพอื่นโดยฝืนกฎตามธรรมชาติได้ แต่หากทำความเข้าใจถึงองค์ประกอบของมัน รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อวัตถุ ก็จะสามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของมันได้โดยที่ไม่ฝืนกฎแห่งการแลกเปลี่ยน… เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เดี๋ยวดิฉันจะแสดงตัวอย่างให้ดูเองค่ะ”

               ไม่รอช้าเด็กสาวร่างเล็กผมทวินเทลพลันยื่นมือซ้ายที่กำลังถือขวดน้ำพลาสติกให้อยู่ตรงเบื้องหน้า นำฝ่ามืออีกข้างซึ่งสวมแหวนกายสิทธิ์สีทองจ่อเหนือวัตถุแล้วร่ายคาถาสั้น ๆ โดยที่พ่อมดหนุ่มตั้งใจมองดูคอยสังเกตผลลัพธ์อย่างไม่ละสายตา

               “Subcinctus (จงแปรเปลี่ยนสภาพ) ”

               แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาเพียงชั่วขณะหนึ่ง น้ำที่อยู่ในภาชนะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนสถานะกลายเป็นของแข็งมีอุณหภูมิติดลบเกือบร้อยองศาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ โชคดีที่คลาร่าสวมถุงมือป้องกันเอาไว้ หาไม่แล้วผิวหนังอันแสนบอบบางของเธออาจต้องลอกเปื่อยเป็นแน่

               “ส… สุดยอด กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว”

               เลวอนกล่าวอย่างตกตะลึง คลาร่าแย้มสรวลตอบรับคำชมก่อนจะอธิบายถึงเนื้อหาสำคัญต่อไป

               “การใช้คาถาเปลี่ยนสถานะสิ่งของชนิดต่าง ๆ ถือเป็นวิชาเล่นแร่แปรธาตุแขนงหนึ่ง เพียงแค่เพิ่มและควบคุมความดันอากาศที่อยู่รอบ ๆ ขวดพลาสติกเข้าไปจนถึงจุดเยือกแข็ง เป็นการใช้พลังเวทมนตร์โดยอาศัยสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ นำมาแปรสภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะการรังสรรค์ธาตุตามธรรมชาติขึ้นมาใหม่นั้นย่อมสิ้นเปลืองพลังเวทมนตร์มากกว่าการควบคุม… แน่นอนว่านอกเหนือจากน้ำแล้ว เรายังสามารถทำให้โลหะกลายเป็นของเหลวด้วยความร้อน แม้กระทั่งทำถ่านหินให้กลายเป็นคาร์บอนชนิดแข็งได้อีกด้วยนะคะ”

               “หมายความว่า ถ้าหากเข้าใจถึงคุณสมบัติของวัตถุสิ่งนั้น ๆ รวมถึงปัจจัยตัวแปรสภาพได้อย่างถ่องแท้แล้ว ถึงตอนนั้นเราจะสามารถควบคุมมันได้ตามใจนึกเพียงแค่ร่ายคาถาออกไป ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสรรพาวุธรอบตัวโดยไม่ต้องพึ่งพาเวทมนตร์ขั้นสูงหรือคาถาโบราณ… ใช่ไหมล่ะครับ?”

               เด็กหนุ่มสรุปใจความสำคัญด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แม่มดสาวจึงไม่อาจสะกดรอยยิ้มได้อีกพร้อมทั้งเอ่ยปากชมเขา

               “เฉียบแหลมมาก ถูกต้องแล้วค่ะ และนี่ก็ถือเป็นหนึ่งในวิชาขั้นพื้นฐานของเหล่าจอมเวทระดับชั้นพาลาดินที่ควรต้องเรียนรู้… คราวนี้ถึงตาคุณเลวอนฝึกบ้าง เดี๋ยวดิฉันถือขวดน้ำให้เองนะคะ มือของคุณจะได้ไม่ต้องโดนน้ำแข็งกัด”

               “ร… รบกวนด้วยนะครับ”

               เลวอนรับข้อเสนอน้ำใจ คลาร่าจึงนำขวดน้ำที่แข็งเย็นยะเยือกวางลงบนผืนหญ้า แล้วรับขวดพลาสติกจากเขาเพื่อให้อีกฝ่ายลงมือฝึกซ้อมได้อย่างสะดวก ถัดมาพ่อมดหนุ่มยื่นมือขวาซึ่งสวมใส่แหวนกายสิทธิ์ไปยังเบื้องหน้าเข้าใกล้วัตถุเป้าหมาย หลับตาจินตนาการเพียงชั่วครู่ แล้วเริ่มเปล่งเสียงร่ายคาถาออกมาอย่างแผ่วเบา

               “Subcinctus (จงแปรเปลี่ยนสภาพ) ”

               แสงสีขาวส่องสว่างวาบขึ้นมา ของเหลวภายในขวดพลาสติกค่อย ๆ จับกลุ่มแข็งตัวพร้อมไอเย็นระเหย โดยใช้เวลาประมาณห้าวินาทีกว่าจะทำให้น้ำทั้งหมดกลายเป็นสถานะของแข็ง แม้จะมีอุณหภูมิติดลบไม่ต่ำมากนัก ทว่าการร่ายคาถาด้วยแหวนกายสิทธิ์ครั้งแรกของเลวอนนั้นถือว่าทำออกมาได้ดี จนคลาร่าถึงกับเอ่ยปากชมอย่างประทับใจ

               “เก่งมากเลยค่ะคุณเลวอน นี่ขนาดฝึกใช้แหวนกายสิทธิ์เป็นครั้งแรกยังทำเวลาได้เร็วขนาดนี้ ถ้าหากฝึกฝนเป็นประจำทุกวันแล้วล่ะก็ คงต้องตามความเร็วของดิฉันทันอย่างแน่นอน!”

               “แต่กว่าจะไล่ตามฝีมือของคุณคลาร่าได้ทัน ถึงตอนนั้นอัจฉริยะอย่างคุณคงวิ่งแซงนำหน้าผมไปไกลแล้วล่ะครับ”

               “โธ่… อย่ายอฉันแบบนั้นสิคะ” คลาร่าถ่อมตนพลางแสดงท่าทีขวยเขินเล็กน้อย

               “แหะแหะ ขอโทษด้วยนะครับ”

               “……อาจจะนอกเรื่องไปสักหน่อย แต่ขอสารภาพตามตรง ดิฉันดีใจมากเลยล่ะค่ะที่คุณตอบรับคำเชิญเดินทางมาฝึกซ้อมที่คฤหาสน์นี้ ตอนแรกนึกว่าจะเกรงใจจนไม่กล้ามาที่นี่แล้วเสียอีก…”

               “พอได้เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่แบบนี้ผมเองก็แอบประหม่าจนทำตัวแทบไม่ถูกเหมือนกันครับ… อีกอย่าง เดิมทีตัวผมก็เป็นเพียงแค่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้น”

               เลวอนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบแฝงความประทับใจ พลางหันไปเชยชมมองดูอาคารสีขาวที่เด่นตระหง่านและงดงามตา ระหว่างนั้นเองเด็กสาวร่างบางได้ยลโฉมใบหน้าของบุรุษหนุ่มอย่างหลงใหล ก่อนจะเกริ่นซักถามต่ออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

               “ถ… ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ คุณเลวอนช่วยเดินทางมาเยี่ยมดิฉันทุก ๆ สัปดาห์จะได้ไหมคะ?”

               “อ๊ะ จะดีเหรอครับ? รู้สึกเกรงใจท่านเจ้าของบ้านจังเลยแฮะ…” พ่อมดหนุ่มรีบหันมาเผยสีหน้ากังวลใจเล็กน้อย

               “คุณพ่อท่านมีนิสัยใจดีชอบต้อนรับผู้คนที่เป็นมิตรอยู่เสมอ ฉะนั้นอย่าได้วิตกไปเลยนะคะ… ที่สำคัญดิฉันเองก็ไม่เคยรู้สึกสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษมาก่อนนอกจากพวกคุณโมนิก้า เดิมทีเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ต่างเว้นระยะห่าง เพียงเพราะกังวลถึงสถานะที่แตกต่างกันระหว่างเรา… ดิฉันแค่ต้องการอยากจะให้ทุกคนได้รู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของ “คลาร่า โรเซนครานซ์” ในฐานะเด็กสาวคนหนึ่ง มากกว่าในฐานะลูกสาวของครอบครัวชนชั้นสูงก็เท่านั้นเอง”

               คลาร่าก้มใบหน้าลงด้วยความเศร้าสร้อย เลวอนจึงรีบกล่าวปลอบโยนเธอ

               “ไม่ใช่เพราะอยู่ในสถานะลูกสาวของชนชั้นสูง แต่เป็นเพราะคุณคลาร่ามีนิสัยให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ แม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในสถานะชนชั้นใดก็ตาม เลยทำให้ใครอีกหลาย ๆ คนรวมทั้งตัวผมเองยังต้องรู้สึกเกรงใจ… ผมดีใจมากเลยนะที่คุณคลาร่าเปิดอกระบายให้ฟังแบบนี้ ที่ผ่านมาคงจะรู้สึกโดดเดี่ยวมากเลยสินะครับ?”

               “คุณเลวอน…”

               “ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอเรียกเธอว่าคลาร่าจะได้รึเปล่า? เราสองคนจะได้สนิทกันมากขึ้นยังไงล่ะ”

               “อ-เอ๊ะ แบบนั้นมัน…!” แม่มดนัยน์ตาสองสีแก้มแดงระเรื่อพลางแสดงอาการลนลานทันที

               “แย่ล่ะสิ…! ขอโทษด้วยนะครับที่เสียมารยาทเรียกชื่อห้วน ๆ” บุรุษวัยเยาว์รีบกล่าวสำนึกผิดโดยพลัน

               “อย่าขอโทษสิคะ ทางนี้แค่ไม่ทันได้ตั้งตัวหรือเตรียมใจก็เท่านั้นเอง… อีกอย่างดิฉันกลับรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำไป ที่คุณหันใช้คำพูดแบบปกติและเรียกชื่อของดิฉันตรง ๆ”

               เลวอนแอบโล่งใจที่คลาร่าไม่ถือสาเอาความ ก่อนจะพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มละมุนละไม

               “ถ้างั้นจากนี้ไปขอฝากตัวด้วยนะ คลาร่า”

               “ทางนี้ก็เช่นกันนะคะ คุณเลวอน”

               คลาร่าตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทีอบอุ่นหัวใจ โดยที่ต่างฝ่ายออกอาการเหนียมอายทิ้งช่วงบทสนทนาไปพักหนึ่ง ก่อนที่แม่มดสาวผู้น่ารักและแสนสุภาพจะทำลายความเงียบงันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอีกครั้ง

               “ร… เราสองคนรีบฝึกพิเศษกันต่อเถอะค่ะ”

               “อ-อื้อ”

               เลวอนผงกศีรษะเห็นพ้อง จากนั้นสองวัยรุ่นหนุ่มสาวจึงทำการฝึกสอนต่อ สลับกับพูดคุยผ่อนคลายอิริยาบถกันอย่างสนุกสนานภายใต้ท้องฟ้ายามอัสดงจนกระทั่งถึงช่วงพลบค่ำ

Options

not work with dark mode
Reset