แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 23: ฝึกพิเศษกับเจ็ดแม่มดสาว (2)

               วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม เวลา 16 นาฬิกา 3 นาที การฝึกพิเศษสำหรับวันนี้เลวอนจะต้องพบปะกับอาเธอเรีย เด็กสาวผู้มีพละกำลังเหนือมนุษย์และทนทานมากที่สุดในหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน ณ พื้นที่ใกล้นอกเขตของหมู่บ้านทางทิศเหนือ

               อาเธอเรียและเลวอนทำการวอร์มอัพร่างกายก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มทำการฝึกสอน เสร็จเรียบร้อยแล้วยุวสตรีสุดแกร่งจึงยืนประจันหน้ากับพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลน กล่าวเปิดประเด็นเพื่อให้อีกฝ่ายได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาในวันนี้

               “นี่เลวอน นายเคยดูหนังหรือคลิปที่เกี่ยวกับวิชาศิลปะการต่อสู้มาบ้างรึเปล่า?”

               “เคยดูอยู่บ้างครับ ทั้งกังฟู มวยไทย คาโปเอร่า ยูโด แล้วก็วิชามวยอื่น ๆ …จะว่าไปผมยังไม่รู้เลยว่าสไตล์การต่อสู้ของคุณอาเธอเรียนั้นเป็นรูปแบบไหน” เลวอนตอบกลับพลางครุ่นคิด

               “งั้นนายน่าจะรู้จักกับคำว่า ‘ศิลปะการต่อสู้แบบผสม’ (Mixed martial arts) ด้วยใช่ไหม?” เด็กสาวยกยิ้มพลางกล่าวคำอธิบายต่อไป “อ้อ เจ้านี่ไม่ได้หมายถึงชื่อของศิลปะการต่อสู้หรอกนะ แต่เป็นการนำเอาศาสตร์ป้องกันตัวหลากหลายแขนงที่ใช้งานได้จริงมารวบรวมเข้าไว้ด้วยกันต่างหาก”

               “ทำไมถึงไม่เน้นเฉพาะวิชาการต่อสู้เพียงรูปแบบเดียวล่ะครับ?”

               “การที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายแขนงย่อมได้เปรียบกว่าผู้ที่รู้แค่เพียงเฉพาะด้านเดียว ก็จริงอยู่ว่าการเลือกทักษะเฉพาะเจาะจงโดยฝึกฝนให้ชำนาญถือเป็นเรื่องสำคัญ ยังไงก็ดีศิลปะการต่อสู้แต่ละรูปแบบย่อมมีจุดอ่อนที่แตกต่างกันออกไป

               ตัวอย่างเช่น ยูโดหรือไอคิโดนั้นมีจุดเด่นในเรื่องยืมแรงคู่ต่อสู้ แต่ก็ยังมีจุดอ่อนเรื่องความรุนแรงด้านการโจมตี จุดเด่นของไท่เก๊กคือความหนักแน่นและท่วงท่าต่อเนื่อง แต่การเคลื่อนไหวเกินความจำเป็นจะทำให้เราเหนื่อยง่าย สิ้นเปลืองพลังกาย เพราะต้องอาศัยจังหวะในการหายใจเพื่อส่งพละกำลังโจมตีใส่ศัตรู ในขณะที่จุดเด่นของหวิงชุนคือการปัดป้องคู่ต่อสู้และอาศัยความเร็วในการชกแทน เป็นต้น”

               “ส… สุดยอดไปเลยครับ” เลวอนพึมพำอย่างประทับใจ

               “ฮะฮะฮะ จะปากหวานไปถึงไหน นี่ฉันยังไม่ได้แสดงท่วงท่าอะไรให้นายดูเลยนะ” อาเธอเรียทำท่ายักไหล่เกริ่นทักท้วง

               “อ๊ะ ขอโทษครับ พอดีตื่นเต้นเกินไปหน่อยก็เลยเผลอตัว… ว่าแต่ศิลปะการต่อสู้ที่คุณอาเธอเรียเคยร่ำเรียน แล้วนำมาผสมผสานกันนั้นมีวิชาอะไรบ้างครับ?”

               “อืม… ก็มีทั้งปันจักสีลัต ไท่เก๊ก หวิงชุน แปดปรมัตถ์ ยูโด ไอคิโด คราฟมากา บราซิลเลียนยิวยิตสู เทควันโด ปาร์กัวร์ แล้วก็มวยแขนงอื่น ๆ น่ะ” เด็กสาวทำท่ายกสองมือขึ้นมานับนิ้วตนไปพลาง

               “อุหวา เยอะจังเลยแฮะ…”

               “ก็แหม นอกจากจะต้องใช้หมัดกับเท้าเตะต่อยชกตีแล้ว การแก้ทางตอนถูกจับล็อกตัวบนพื้นหรือการเคลื่อนไหวต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยก็ถือเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน เพราะในสถานการณ์จริงเมื่อถึงเวลาต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองหรือหมายจะเอาชีวิตอีกฝ่ายน่ะ มันไม่เกี่ยงวิธีการหรอกว่าเราจะต้องใช้รูปแบบใดหรือศิลปะแขนงไหน

               อีกอย่างนอกเหนือจากการฝึกซ้อมแล้วนายยังต้องขยันออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันด้วย เพราะฝึกแค่ท่วงท่าเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ การเสริมสร้างและพัฒนากล้ามเนื้อให้แข็งแรงก็มีส่วนช่วยมากพอสมควร เพราะงั้นจงขยันออกมาวิ่งทุกเช้าและฝึกวิชากับฉันทุกวันพฤหัสซะ เข้าใจไหมเจ้าลูกศิษย์?”

               “เข้าใจแล้วครับท่านปรมาจารย์!”

               บุรุษหนุ่มตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่น ยุวสตรีจึงแย้มสรวลอย่างพึงพอใจ ก่อนจะยืนกางเท้าออกจากกันในแนวระนาบพลางย่อเข่าลงเล็กน้อย ยื่นแขนซ้ายงอศอกลงตามด้วยยกแขนขวาให้อยู่ในระดับเอวโดยแบฝ่ามือทั้งสองข้าง ถือเป็นลักษณะการตั้งท่าเตรียมต่อสู้สไตล์มวยจีนแบบหวิงชุน ถัดมาจึงส่งเสียงฮึกเหิมเชื้อเชิญอีกฝ่าย

               “เอาล่ะมาเริ่มบทเรียนแรกกันเลยดีกว่า… เข้ามาชกฉันสิเลวอน เอาให้สุดแรงเกิดนายไปเลย อย่าคิดออมมือให้เพราะเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงเด็ดขาดเชียว ไม่งั้นนายอาจได้เจ็บตัวมากกว่านี้แน่”

               “ถ้างั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ… ย้าก!”

               พ่อมดหนุ่มหน้าใสตอบรับคำท้าทายหลังจากลังเลใจสักพัก ก่อนเปล่งเสียงเหวี่ยงกำปั้นขวาซัดใส่เต็มกำลังโดยเล็งไปที่ใบหน้าของอาเธอเรีย เสี้ยววินาทีนั้นเองเด็กสาวทอมบอยรีบสะบัดมือซ้ายปัดการโจมตี วาดแขนขวาตั้งฉากตามเข็มนาฬิกาพลางสไลด์เท้าข้างถนัดไปยังเบื้องหน้าเฉียงซ้าย แล้วหมุนลำตัวเพื่อย่นระยะเข้าประชิดถึงตัวอีกฝ่าย

               “อ๊ะ!?”

               เลวอนถึงกับตื่นตระหนักตาเบิกโพลง แขนขวาที่หมายจะชกใส่กลับถูกปัดลงโดยไม่ทันตั้งตัว ถัดมาอาเธอเรียหมุนบิดขาทั้งสองข้างกับช่วงเอวพร้อมหันศีรษะไปทางซ้าย แขนซ้ายเหยียดตรงสะบัดศอกขวาออกด้านข้างคล้ายลักษณะท่าง้างคันธนู พุ่งกระแทกใส่หน้าท้องของเด็กหนุ่มเข้าอย่างจัง

               ——พลั่ก!

               การเคลื่อนไหวแบบฉับพลันเมื่อสักครู่ของแม่มดสาวจอมพลัง ส่งผลให้อีกฝ่ายปลิวกระเด็นลอยออกไปไกลราวสามถึงสี่เมตร ก่อนจะหงายหลังล้มลงนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นหญ้าในสภาพที่ดูไม่ค่อยจืดสักเท่าไหร่นัก

               “อูย…!”

               เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันส่งเสียงโอดครวญพลางยกสองมือขึ้นกุมหน้าท้องด้วยความจุก อาเธอเรียที่เพิ่งฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายป่วยด้วยโรคประจำตัวอยู่จึงรีบรุดหน้าวิ่งเข้าไปหา ยื่นมือส่งให้เขาจับประคองพร้อมทั้งซักถามอย่างกระวนกระวายใจทันที

               “เฮ้ ขอโทษที เป็นอะไรรึเปล่า!?”

               “ม… ไม่เป็นไรครับ แค่รู้สึกจุกเฉย ๆ”

               เลวอนยกแขนคว้ามือบางของผู้ฝึกสอน เด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้มจึงออกแรงดึงเพื่อยกให้เขาลุกขึ้นยืนได้อย่างสะดวก หลังจากตั้งสติได้แล้วบุรุษวัยเยาว์จึงเอ่ยน้ำเสียงตื่นเต้นออกไป

               “ท่วงท่าเมื่อสักครู่นี้สุดยอดมากเลยครับ ทั้งรวดเร็วรุนแรงจนผมรับมือแทบไม่ทัน…!”

               “ใช่ไหมล่ะ? นี่แค่ท่าพื้นฐานเท่านั้นเองนะ สมัยตอนที่ยังอ่อนหัดฉันมักจะใช้ท่านี้โจมตีใส่ศัตรูอยู่บ่อย ๆ แต่จะใช้ได้ผลกับคู่ต่อสู้ทั่วไปที่ไม่เก่งเรื่องชกต่อยเสียมากกว่า โดยพลิกแพลงมาจากการวาดแขนเหวี่ยงมือปัดป้องแบบมวยหวิงชุน และสวนกลับด้วยมวยแปดปรมัตถ์อีกที”

               “นี่ ๆ ได้โปรดช่วยสอนท่านี้ให้ผมหน่อยสิครับท่านปรมาจารย์!”

               เลวอนเผยกิริยาท่าทีกระตือรือร้นตามประสาเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสา อาเธอเรียเห็นดังนั้นก็ถึงกับส่งเสียงหัวเราะในลำคอเนื่องจากชอบใจในความมุ่งมั่นของเขา แล้วตามด้วยเกริ่นแซวอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง

               “โธ่เอ๊ยเจ้าเด็กบ้า ก็กำลังจะสอนอยู่นี่ไง… เอาล่ะ ถ้างั้นอันดับแรกนายต้องเคลื่อนไหวร่างกายให้ตรงตามจังหวะและคล่องตัวเสียก่อน มองดูแล้วค่อย ๆ ทำตามฉันไปนะ”

               “ครับผม!”

               ทั้งสองหนุ่มสาวร่วมฝึกซ้อมวิชาศิลปะการต่อสู้อย่างตั้งอกตั้งใจจนถึงช่วงพลบค่ำ แม้ว่าเลวอนจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับบทเรียนในวันนี้ ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั้นนอกเหนือจากทักษะวิทยายุทธ์แล้ว เขายังได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อและพลังกายเพื่อให้ตัวเองมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตนกับอาเธอเรียอีกด้วย

 

               ********************

 

               วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม เวลา 12 นาฬิกา 21 นาที ณ พื้นที่นอกปราสาทสีขาวใจกลางหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน การฝึกพิเศษประจำวันนี้เลวอนจะต้องพบปะกับโมนิก้า เพื่อฝึกวิชาพยากรณ์และคาถานอกตำราเรียนในช่วงคาบพักกลางวัน ก่อนถึงคาบชมรมตอนบ่าย

               เลวอน และโมนิก้า นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ท่ามกลางสนามหญ้าอันกว้างขวาง หลังจากที่ทั้งคู่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จสิ้น ในขณะที่เหล่านักเรียนหลายร้อยชีวิตต่างทำกิจกรรมสันทนาการเพื่อผ่อนคลายความเครียด ทว่าสองพ่อมดแม่มดวัยเยาว์กลับเลือกที่จะฝึกสอนวิชาตามคำแนะนำของยาโรสลาฟแทน

               “ความจริงแล้วฉันควรได้รับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดให้กับคุณเลวอน แต่ศาสตราจารย์ได้ไหว้วานให้ฉันสอนวิชาพยากรณ์กับคาถานอกตำราเรียนแทน นึกดูแล้วก็แอบน้อยใจอยู่เหมือนกันนะคะ…”

               เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยเกริ่นบทสนทนาขึ้น พลางเผยสีหน้าคิ้วขมวดเล็กน้อยอย่างไม่พึงพอใจ บุรุษหนุ่มรูปงามซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างเธอจึงเสนอแนะไปดังนี้

               “ไว้ค่อยมาฝึกสอนผมต่อตอนเย็น ๆ หลังเลิกเรียนก็ได้นี่นา”

               “ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวร่างกายคุณเลวอนก็เหนื่อยล้าจนทรุดโทรมกันพอดี นอกเหนือจากการฝึกซ้อมในวันนี้แล้วพวกเรายังจะต้องใช้พลังเวทต่อสู้กับเหล่าปีศาจนอกสถานที่ทุก ๆ วันศุกร์อีกด้วย ถึงแม้ว่ากิจกรรมคาบชมรมชั่วโมงแรกจะยังไม่ต้องทำอะไรมากก็เถอะ…”

               โมนิก้าแสดงสีหน้าท่าทีกังวลใจด้วยความเป็นห่วง เลวอนจำต้องกล่าวปลอบโยนเธอพร้อมด้วยรอยยิ้มจาง ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ

               “ไม่เป็นไรหรอกน่า เกิดเป็นลูกผู้ชายทั้งทีลองเผชิญหน้ากับความยากลำบากดูสักครั้งจะเป็นไรไป และที่สำคัญผมเองก็อยากจะใช้เวลาร่วมกันกับโมนิก้าให้มากกว่านี้อีกด้วย”

               “โธ่ คุณเลวอนนี่ดื้อจังเลย… แต่พอได้ยินแบบนั้นแล้วฉันแอบรู้สึกดีใจนะคะ” แม่มดสาวร่างเล็กแก้มแดงระเรื่อพลางฉีกยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะสลับสับเปลี่ยนท่าทีมาอยู่ในมาดครูผู้สอนแล้วเข้าสู่เนื้อหาวิชาการโดยพลัน “อะแฮ่ม…! ถ้างั้นชั่วโมงแรกในวันนี้พวกเรามาเรียนเรื่องวิชาพยากรณ์กันก่อนดีกว่าค่ะ”

               “ได้เลย ว่าแต่ทำไมถึงไม่เริ่มสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดก่อนล่ะ?” พ่อมดหนุ่มสงสัย

               “ถ้าหากฝึกวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดในที่สาธารณะแบบนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ อาจทำให้พวกเราตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นได้… เพื่อเป็นการชดเชย เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะสอนวิชาเวทมนตร์โบราณขั้นสูงอย่าง ‘เจ็ดกำแพงศักดิ์สิทธิ์’ ให้คุณเลวอนเองนะคะ”

               “…!?”

               เลวอนตาเบิกโพลงเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนขึ้นมา หรือตอนที่บุตรีแห่งไซตอนเนรมิตคาถา ‘เจ็ดกำแพงศักดิ์สิทธิ์’ คอยป้องกันการโจมตีจากมิโนทอร์เพื่อช่วยเหลือเขาซึ่งได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่โมนิก้าเปิดกระเป๋าสะพายหยิบลูกแก้วสีใสขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือซ้ายของตน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มแสดงอาการเช่นนั้นเธอจึงรีบซักถามออกไปด้วยความเป็นห่วงทันที

               “อ… อาการป่วยกำเริบรึเปล่าคะ ให้ฉันพาไปส่งคุณที่ห้องพยาบาลไหม?”

               “ป… เปล่าหรอก พอดีนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนขึ้นมาน่ะ”

               บุรุษหนุ่มชี้แจงสั้น ๆ ทำให้เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าคลายความกังวลใจลงได้บ้าง ทว่าภายในจิตใจส่วนลึกแล้วเธอยังคงนึกห่วงใยเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย ก่อนจะ

               “ถ้าหากยังรู้สึกไม่ดีอยู่ล่ะก็รีบบอกฉันมาได้เลยนะคะ ฉันน่ะไม่อยากทนเห็นคุณเลวอนฝืนตัวเองอีกต่อไปแล้ว” โมนิก้ากล่าวน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมทั้งแสดงท่าทีให้กำลังใจ “ที่สำคัญการดูแลรักษาสุขภาพต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่งเสมอค่ะ!”

               “โมนิก้าเนี่ยใจดีจังเลยนะ” เลวอนเผยรอยยิ้มอย่างอบอุ่น “นอกจากจะฝึกสอนวิชาศาสตร์ต่าง ๆ ให้แล้ว ยังอุตส่าห์นึกเป็นห่วงผมอยู่เสมอจนไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณยังไงดี… ที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณโมนิก้ามาก ๆ เลยนะ ถ้าหากไม่ได้เธอช่วยสอนวิชาป้องกันตัวอย่าง ‘คาถาสะท้อนกลับขั้นสูงสุด’ ถึงตอนนั้นผมคงตายด้วยน้ำมือของมิโนทอร์ไปนานแล้ว”

               “ฉันเองก็ดีใจเหมือนกันนะคะ ที่ความรู้ของฉันเป็นประโยชน์ต่อคุณเลวอนมากถึงขนาดนี้…”

               โมนิก้าตอบรับความรู้สึกของเลวอนอย่างปลื้มปีติ โดยที่ทั้งคู่สบสายตามองกันเป็นเวลานานหลายสิบวินาทีและไร้ซึ่งถ้อยคำใด ๆ จนแก้มของเด็กสาวแดงแปร๊ดถึงใบหูรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที ทางด้านบุรุษหนุ่มเองก็ออกอาการตะลีตะลานเขินอายเล็กน้อยก่อนจะเปล่งเสียงทักท้วงแบบตะกุกตะกัก

               “ร-รีบฝึกพิเศษกันเถอะ เดี๋ยวจะหมดคาบพักเที่ยงไปเสียก่อน!”

               “น-นั่นสินะคะ!” ยุวสตรีตัวน้อยเห็นพ้อง รีบตั้งสติพร้อมทั้งแสดงกิริยาท่าทางให้มั่นคง แล้วเริ่มบรรยายการสอนอย่างไม่รีรอช้า “ถ้างั้นอันดับแรกฉันจะอธิบายถึงวิธีการใช้ลูกแก้วขั้นพื้นฐานให้คุณเลวอนเข้าใจก่อน อาจจะเป็นวิชาที่ยากและต้องใช้เวลาฝึกค่อนข้างนานสักหน่อย แต่โดยหลักการแล้วแทบไม่ต่างอะไรกับการส่งพลังจิตหรือพลังเวทใส่ลงไปในลูกแก้วใบนี้เลย”

               “แต่ก็ต้องอาศัยสมาธิขั้นสูงในการทำนายด้วยใช่ไหม?”

               “ใช่แล้วค่ะ แต่สำหรับคุณเลวอนที่สอบผ่านเรื่องการใช้จิตมาจากออเดรย์ก่อนหน้านี้แล้ว ก็น่าจะฝึกฝนกับลูกแก้วใบนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก… ลองถือดูสิคะ จากนี้ไปพวกเราจะเริ่มทำการฝึกเพื่อให้เกิดความคุ้นชินกับอุปกรณ์กันก่อนค่ะ”

               โมนิก้านำลูกแก้วสีใสขนาดใกล้เคียงกับผลของส้มโอส่งมอบให้แก่เลวอน บุรุษหนุ่มยื่นมือรับมันมาจากเธอ แล้วยกขึ้นถือประคองไว้ให้มั่นพลางก้มหน้ามองดูด้วยความสนใจ พิจารณาถึงคุณลักษณะของอุปกรณ์สื่อนำโดยใช้เวลาเพียงสักพักหนึ่ง ก่อนจะบรรยายความรู้สึกออกมาด้วยประโยคสั้น ๆ

               “หนักเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย”

               “จากนั้นตั้งสมาธิให้มั่นคงโดยไม่ต้องหลับตาลง แล้วมองดูลูกแก้วพยากรณ์ด้วยท่าทีผ่อนคลาย ค่อย ๆ ใส่พลังเข้าสู่อุปกรณ์สื่อนำด้วยเวทมนตร์ธาตุแสงขั้นพื้นฐาน… อย่าใช้คาถาเร่งพลังมากเกินไปเพราะนั่นอาจทำให้ลูกแก้วเสียหายได้ค่ะ”

               “เข้าใจแล้ว”

               เลวอนลงมือปฏิบัติตามคำแนะนำของโมนิก้า เมื่อตั้งสมาธิจนกระแสจิตเริ่มสงบนิ่ง จึงเปล่งเสียงพึมพำร่ายคาถาโดยไม่จำเป็นต้องใช้ไม้กายสิทธิ์แต่อย่างใด เนื่องจากลูกแก้วพยากรณ์ที่อยู่ในมือของเขาเองก็ถือเป็นอุปกรณ์สื่อนำเช่นเดียวกัน

               “Claritas… (คาถาส่องสว่าง) ”

               แว้บ…

               การฝึกฝนครั้งแรกสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แสงสีขาวนวลจากลูกแก้วค่อย ๆ ส่องสว่างขึ้นมาจนนิ่งเสถียร โดยที่เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นภายในวัตถุทรงกลมชิ้นนี้ เมื่อเด็กสาวเห็นผลลัพธ์ดังกล่าวก็ถึงกับฉีกยิ้มรีบเอ่ยปากชมเขาอย่างประทับใจ

               “ก… เก่งจังเลยค่ะ เรียนรู้ไวกว่าตอนที่ฉันเริ่มฝึกใช้ลูกแก้วเป็นครั้งแรกเสียอีก…!”

               “ที่น่าเป็นห่วงก็คือความสามารถในการทำนายอนาคตนี่แหละ ไม่รู้ว่าจะทำออกมาได้ดีเท่าโมนิก้ารึเปล่า…” เลวอนพูดจาถ่อมตนพลางเผยสีหน้ากังวลใจเล็กน้อย

               “ไม่หรอกค่ะ ในเมื่อคุณเลวอนสอบผ่านเรื่องพื้นฐานแล้ว การฝึกวิชาทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอีกต่อไป… เชื่อฉันเถอะค่ะ ถ้าหากตั้งใจฝึกฝนต่อไปอีกสักหน่อยล่ะก็จะต้องทำออกมาได้ดีอย่างแน่นอนเลย”

               มิโนก้าให้กำลังใจเลวอนด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใส ทำให้อีกฝ่ายแย้มสรวลมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง

               “นั่นสินะ โมนิก้าพูดถูก… ถ้างั้นรบกวนช่วยสอนขั้นตอนต่อไปให้ผมหน่อยสิ ตอนนี้ลูกแก้วกำลังสว่างได้ที่เลยล่ะ”

               “ได้เลยค่ะ~!”

               สิ้นเสียงคำขานรับ แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนก็รีบขยับตัวเข้าไปเบียดชิด จนหน้าอกขนาดเล็กได้แนบพิงกับแผ่นหลังของพ่อมดหนุ่มผู้ใสซื่อ แล้วนำสองมือบางวางลงบนไหล่ร่างแกร่งอย่างละมุนละไม ส่งผลให้อีกฝ่ายสะดุ้งตกใจหันมามองดูเธอด้วยท่าทีลนลานโดยพลัน

               “ม… โมนิก้า!?”

               “คิก~ …เดี๋ยวเถอะ ๆ ตั้งใจทำสมาธิหน่อยสิคะคุณเลวอน~”

               โมนิก้ากระซิบกระซาบแผ่วเบาตรงใบหูฝั่งขวาจนเลวอนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ซึ่งกระทบเข้ามา พร้อมด้วยกลิ่นหอมทับทิมจากเรือนร่างของยุวสตรีร่างบาง ทำให้บุรุษหนุ่มเริ่มสูญเสียสมาธิในการควบคุมพลังเวทมนตร์ จนแสงสีขาวภายในลูกแก้วทรงกลมส่องสว่างวูบวาบเพียงชั่วขณะหนึ่ง

               ทั้งคู่ยังคงทำการฝึกพิเศษกันต่อไปอย่างท่าทีสนิทสนมจนกระทั่งหมดเวลาพักกลางวัน โดยที่เขาและเธอหาได้รู้สึกตัวเลยว่า เหล่านักเรียนซึ่งกำลังทำกิจกรรมสันทนาการภายในบริเวณโดยรอบของปราสาทนั้น เริ่มเบนสายตาจับจ้องมองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้มชอบใจ ในขณะที่บรรดาวัยรุ่นชายบางคนแอบนึกอิจฉาริษยาเลวอนอยู่พอสมควร

               อย่างไรก็ดี ผู้ที่ดูเหมือนจะมีความสุขและสนุกสนานไปกับการฝึกสอนมากที่สุดในวันนี้ คงหนีไม่พ้นโมนิก้ากับเลวอน ซึ่งในสายตาของใครหลาย ๆ คนต่างมองเห็นว่าทั้งคู่เป็นคนรักกัน มากกว่าสถานะความสัมพันธ์แบบฉันพี่น้องตามปกติ

               ทว่าการฝึกพิเศษกับเจ็ดแม่มดสาวของเลวอนนั้นยังไม่ได้ปิดฉากลงแต่เพียงเท่านี้

Options

not work with dark mode
Reset