แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 25: ฝึกพิเศษกับเจ็ดแม่มดสาว (4)

               วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม ณ โบสถ์เซนต์มิฮาอิล-ชีลีนา ทางตะวันออกของหมู่บ้านใกล้พื้นที่นอกเขต การฝึกพิเศษประจำวันนี้เลวอนจะต้องพบปะกับซิสเตอร์เวสน่า นักพรตหญิงเจ้าอาวาสผู้ดูแลศาสนสถานแห่งนี้

               เลวอนเดินทางมายังโบสถ์ตามคำเชื้อเชิญของเวสน่า โดยอยู่ในชุดลำลองเสื้อเชิ้ตคอปกกับกางเกงสแล็คแบบสุภาพ เพียงแต่ไม่ได้สวมผ้าคลุมจอมเวทเท่านั้น งานวันแรกที่ได้รับมอบหมายคือการช่วยเหลืองานพิธีมิสซา ต้อนรับชาวบ้านที่มาร่วมกิจกรรมทางศาสนา และคอยอำนวยความสะดวกให้อย่างเหมาะสม ตั้งแต่เวลาแปดนาฬิกาจนถึงสิบนาฬิกา

               หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ เด็กหนุ่มจึงขันอาสาช่วยเหล่าซิสเตอร์ทำความสะอาดภายในและนอกอาคารตัวโบสถ์ก่อนถึงคาบพักเที่ยงด้วยท่าทีขะมักเขม้น

               ศาสนาคริสต์นิกายสโลเวนสกานั้นแตกต่างไปจากนิกายอื่นคือ ไม่มีบาทหลวงทำหน้าที่เป็นประธานประกอบพิธีกรรม โดยซิสเตอร์จะเป็นผู้รับตำแหน่งดังกล่าวแทน ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือนักพรตสาวสามารถแต่งงานครองเรือนได้ ทว่าบุคคลนั้นจะไม่มีสิทธิ์กลับมาครองสมณเพศได้อีกต่อไป

               จนกระทั่งเวลา 11 นาฬิกา 7 นาที เมื่อทำความสะอาดอาสนวิหารเสร็จสิ้น เหล่านักเรียนหญิงในชุดนักพรตสีดำก็ได้แยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย ในขณะที่เลวอนและเวสน่านั่งพักอยู่ในโบสถ์ตามลำพังสองต่อสอง ภายในอาคารนั้นสว่างสดใสมีจิตรกรรมฝาผนังกับกระจกหลากสีลวดลายสวยสดงดงาม พร้อมด้วยรูปปั้นพระเยซูตรึงไม้กางเขนตรงเบื้องหน้า ไม่ได้ต่างจากโบสถ์คริสต์แหล่งอื่นสักเท่าใดนัก

               ทั้งสองหนุ่มสาวนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ไม้สำหรับรองรับเหล่าศาสนิกชน คอยสนทนาเล่าถึงเรื่องราวในอดีตของแต่ละฝ่าย ทำให้เลวอนรับทราบว่าเวสน่าเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพ่อแม่ และมารดาของเธอเคยครองสมณเพศในฐานะผู้ดูแลศาสนสถานแห่งนี้มาก่อนด้วย แต่ต้องมาพลัดพรากจากกันไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าทั้งคู่กำลังอยู่แห่งหนใดในเวลานี้

               ถัดมาบุรุษหนุ่มรูปงามเป็นฝ่ายเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวตนให้ซิสเตอร์ได้รับฟังบ้าง สำหรับเลวอนแล้วเวสน่าคือคนที่สามที่ได้ล่วงรู้ถึงประวัติของต้นตระกูลทาวิเทียนต่อจากโมนิก้าและวัตสัน หลังจากสนทนาจบแล้วนักพรตสาวก็ถึงกับเอ่ยพึมพำด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

               “ที่แท้คุณเลวอนเองก็มีเชื้อชาติสลาวิกเหมือนกับพวกเรางั้นสินะคะ ก่อนหน้านี้ฉันเคยนึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมรูปลักษณ์หน้าตาคุณถึงได้คล้ายคลึงไปทางชาวยุโรปมากกว่า แถมยังนับถือคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์อีกด้วย”

               “ครับ” เลวอนเริ่มอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม ปู่ทวดของผมมีเชื้อสายรัสเซีย ได้อพยพลงมายังประเทศอาร์มีเนียพร้อมด้วยชาวนาหลายพันคนหลังจากการปฏิวัติของพรรคบอลเชวิค และปักหลักอยู่ที่นั่นจนกลายเป็นชาวพื้นเมืองไปโดยปริยาย ก็มีหลายคนอยู่เหมือนกันที่เข้าใจผิดว่าพวกเราเป็นชาวตะวันออกกลาง แต่นับหลังจากรุ่นปู่ทวดลงมาก็ไม่มีใครได้แต่งงานกับชาวอาร์มีเนียเลยนอกจากชาวสลาวิกด้วยกันเอง… อันที่จริงผมตั้งใจอยากจะบอกเรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ ทุกคนรู้นะครับ แต่ไม่มีโอกาสหาช่วงเวลาเหมาะ ๆ สักที”

               “คิดว่าทุกคนคงน่าจะสังเกตเห็นแล้วล่ะค่ะว่าคุณเลวอนไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากชาวเอเชีย แต่ถึงอย่างนั้นฉันรู้สึกดีใจมากเลยนะคะ ที่คุณเลวอนและครอบครัวทาวิเทียนต่างก็มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกัน… ขออวยพรให้พระบิดา พระบุตร และพระจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์โปรดคุ้มครองพวกท่านด้วยเถิด อาเมน”

               “อาเมน”

               ทั้งสองคนกล่าวนมัสการก่อนจะหันหน้าไปยังรูปเคารพตรงลานอาสนะ ยกสองมือขึ้นกุมประสานแล้วหลับตาลงเพื่อระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์เพียงชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง

               เมื่อถึงเวลาอันสมควร เวสน่าจึงลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เดินตรงไปยังพื้นระเบียงโล่งใกล้แท่นโพเดียมสำหรับเทศนาธรรมเพื่อใช้เป็นที่ฝึกซ้อมการร่ายคาถา แล้วกล่าวเชื้อเชิญบุรุษวัยเยาว์ดังนี้

               “พวกเรามาเริ่มฝึกพิเศษกันเลยดีไหมคะ?”

               “รบกวนด้วยนะครับซิสเตอร์”

               เลวอนตอบรับพลางลุกขึ้นก้าวเท้าตามอีกฝ่ายไป จนกระทั่งสองหนุ่มสาวยืนหันหน้าเข้าหากันโดยเว้นระยะห่างราว ๆ หนึ่งเมตร จากนั้นหยิบไม้กายสิทธิ์ที่ซ่อนเอาไว้อยู่ใต้แขนเสื้อฝั่งซ้ายออกมาเตรียมความพร้อม ในขณะเดียวกันเวสน่าได้จับจ้องเขาเพื่อสังเกตถึงภาพรวม ก่อนจะซักถามอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย

               “คุณเลวอนเพิ่งจะได้นั่งพักหลังจากทำงานเสร็จนี่นา ยังรู้สึกเหนื่อยอยู่รึเปล่าคะ?”

               “รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยแต่ก็สบายมากครับ” บุรุษจอมดาบเวทตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส “ช่วงนี้ผมนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ แถมยังตื่นขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายตั้งแต่เช้าฝึกซ้อมวิชาศิลปะการต่อสู้เป็นประจำทุกวัน จนเริ่มหายใจสะดวกขึ้นแล้ว”

               “ดีจังเลยค่ะ เดี๋ยววันนี้พวกเราจะมาฝึกใช้เวทมนตร์ในการรักษาและฟื้นฟูสภาพร่างกายเบื้องต้นกัน” ซิสเตอร์ยิ้มอย่างโล่งอก แล้วเริ่มปฏิบัติหน้าที่เป็นครูผู้สอนโดยทันที “คาถาที่จะให้เรียนต่อไปนี้มีชื่อว่า ‘Sanitatem curatio’ ถือเป็นเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักพรต แต่สำหรับเหล่าจอมเวททั่วไปจะถูกจัดให้อยู่ในประเภทคาถาขั้นสูงนอกตำราเรียน เนื่องจากต้องใช้ไม้กางเขนที่ผ่านการทำพิธีกรรมทางศาสนาและอาบน้ำเสก เป็นตัวสื่อนำในการร่ายเวทหรือดูดซับพลังบริสุทธิ์ตามธรรมชาติค่ะ”

               สิ้นเสียงคำอธิบายโดยสังเขปจากเวสน่า เลวอนได้ชำเลืองตามองไม้กายสิทธิ์ที่อยู่ในมือตน แล้วรีบเก็บใส่ลงในใต้แขนเสื้ออย่างตะลีตะลาน แม่มดสาวในสมณเพศเห็นอีกฝ่ายแสดงความเก้อเขินจึงพลอยรู้สึกลำบากใจตามไปด้วย

               “ต-ตายจริง ขอโทษด้วยนะคะที่บอกช้าเกินไป”

               “อ๊ะ ไม่ใช่ความผิดของซิสเตอร์หรอกครับ ได้โปรดสอนต่อเลย”

               “ค-ค่ะ… จากนี้ไปฉันจะเริ่มทำการร่ายเวทมนตร์แสดงให้ดูเป็นตัวอย่างนะคะ”

               ซิสเตอร์หยิบจี้สร้อยคอรูปไม้กางเขนสีทองคาดแถบน้ำเงินซึ่งสวมประดับอยู่ขึ้นมา แล้วนำสองมือบางกุมประสานกันเอาไว้พลางก้มใบหน้าหลับตาลงในลักษณะตั้งจิตอธิษฐาน เปล่งเสียงแผ่วเบาร่ายคาถาเพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์เป็นที่ประจักษ์

               “Sanitatem curatio (คาถาแห่งการรักษาและเยียวยา) ”

               วูบ…

               รอบตัวของเวสน่าเริ่มปรากฏแสงออร่าสีทองนวลตา โดยเฉพาะจี้ไม้กางเขนในอุ้งมือบางซึ่งส่องสว่างเจิดจ้าเป็นเวลาหลายสิบวินาที เลวอนเองถึงกับอ้าปากค้างคอยจับจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ในระหว่างนั้นเองความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าภายในร่างกายก็ค่อย ๆ มลายหายไปจนหมดสิ้น และสัมผัสได้ถึงกำลังวังชาซึ่งเข้ามาแทนที่

               เมื่อแสงแห่งการรักษาวูบดับลงจนกลับคืนสู่สภาวะปกติ เวสน่าก็ได้ซักถามเลวอนเพื่อสอบถามอาการดังนี้

               “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ?”

               “ดีขึ้นเยอะเลยล่ะครับ แถมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งด้วย” พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนกล่าวน้ำเสียงประทับใจ

               “คาถาบทนี้นอกจากจะใช้รักษาอาการบาดเจ็บหรือบรรเทาโรคภัยให้กับตัวเองได้แล้ว ยังมีผลต่อผู้คนรอบข้างภายในรัศมีใกล้ ๆ อีกด้วย ที่ฉันแนะนำให้คุณเลวอนใช้ไม้กางเขนเป็นตัวสื่อนำในการร่ายคาถาประเภทนี้ เป็นเพราะว่าเครื่องรางที่ผ่านพิธีปลุกเสกนั้นจะดูดซับพลังเวทมนตร์บริสุทธิ์ตามธรรมชาติได้ดีกว่าการใช้ไม้กายสิทธิ์ และเพื่อไม่ให้ร่างกายของคุณต้องรีดเร้นพลังจากภายในมากจนเกินไปยังไงล่ะคะ”

               นักพรตสาวเผยรอยยิ้มอ่อนหวานภายหลังจากอธิบายความรู้เพิ่มเติมเสร็จ เลวอนจึงหยิบจี้สร้อยคอไม้กางเขนซึ่งซ่อนเอาไว้อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตขึ้นมาวางไว้มือฝ่ามือตน จับจ้องมองความแวววาวที่สะท้อนแสงสีเงินราวกับอัญมณีด้วยความสนใจ ก่อนจะเกริ่นน้ำเสียงพึมพำแผ่วเบา

               “อย่างนี้นี่เอง…”

               “คุณเลวอนลองฝึกดูสิคะ ฉันเชื่อว่าคุณต้องทำได้อย่างแน่นอน”

               เวสน่าพูดให้กำลังใจ พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันแย้มสรวลมุมปากพร้อมทั้งผงกศีรษะเล็กน้อย ถัดมานำสองมือหนากุมประสานกันเอาไว้ตามด้วยหลับตาเชิดใบหน้าลงในท่าตั้งจิตอธิษฐาน แล้วเปล่งน้ำเสียงกระซิบร่ายคาถาออกไปดังนี้

               “Sanitatem curatio (คาถาแห่งการรักษาและเยียวยา) ”

               วูบ…

               แม้แต่เลวอนที่เพิ่งเริ่มต้นฝึกการใช้คาถาบทนี้เป็นครั้งแรกเอง ก็ยังสามารถทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเช่นเดียวกัน สร้างความประทับใจแก่ซิสเตอร์สาวเป็นยิ่งนัก ออร่าแสงสีทองยังคงส่องสว่างรอบตัวอยู่เป็นเวลาหลายสิบวินาทีจนกระทั่งแสงวูบดับลงไป เวสน่าจึงกล่าวชมเชยเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที

               “คุณเลวอนเก่งจังเลยค่ะ ทั้งที่เป็นครั้งแรกแท้ ๆ แต่กลับทำออกมาได้ดีถึงขนาดนี้”

               “เป็นเพราะผลจากการฝึกพิเศษ รวมถึงไม้กางเขนที่ซิสเตอร์ได้มอบให้ผมด้วยนั่นแหละครับ ไม่งั้นผมคงทำได้ไม่ถึงขั้นนี้หรอก” บุรุษผู้แสนสุภาพพูดจาถ่อมตน

               “อ๊ะจริงสิ ท่าทางคุณเลวอนคงจะคอแห้ง เดี๋ยวฉันขอตัวไปหยิบน้ำเย็นมาให้ดื่มก่อนนะคะ จะได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง”

               “ไม่เป็นไรหรอกครับซิสเตอร์ เดี๋ยวผมเดินไปหยิบเอง”

               เลวอนเกริ่นเกริ่นอาสา ทว่าเวสน่ากลับส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมด้วยรอยยิ้ม

               “ได้โปรดช่วยอยู่นั่งพักไปพลาง ๆ ก่อนเถอะค่ะ สำหรับพวกเราแล้วคุณเลวอนถือเป็นแขกผู้มาเยี่ยมเยือนนะคะ”

               “ถ… ถ้างั้นรบกวนด้วยนะครับ”

               พ่อมดหนุ่มยอมรับน้ำใจโดยดุษณี ก่อนที่นักพรตสาวจะหันหลังเดินจากเขาเตรียมมุ่งตรงไปยังทางหลังโบสถ์เพื่อหยิบขวดน้ำ ทว่าในขณะที่กำลังก้าวเท้า ทันใดนั้นเองพื้นระเบียงภายในศาสนสถานหลังนี้ซึ่งทำมาจากแผ่นไม้อายุเก่าแก่ก็ได้หักผุพังกลายเป็นหลุมตื้นเสียงดัง “กรอบ!” ทำให้ข้อเท้าขวาของเธอพลิกเสียหลักเซถลาไปข้างหน้า ส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก

               “ว้าย!?”

               “ระวัง!”

               โชคดีที่เวสน่าอยู่ห่างจากเลวอนไม่มากนัก เด็กหนุ่มจึงวิ่งเข้าไปช่วยเหลือเธอได้อย่างทันท่วงที ทว่าเนื่องจากอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันนั้นไม่อาจทำให้เขาคิดหาหนทางรับมือได้ทัน มือขวาอันหนาสากที่ตั้งใจหมายจะประคองร่างบาง กลับสัมผัสหน้าอกข้างซ้ายอันเต่งตึงของนักพรตสาวเต็มไม้เต็มมือจนปลายนิ้วทั้งห้าขยุ้มลงแนบเนื้อ ในขณะที่มืออีกฝังโอบกอดเอวเอาไว้พลางหมุนพลิกตัวให้ร่างสูงแกร่งอยู่เบื้องล่างแทน จนท้ายที่สุดทั้งคู่จึงล้มลงกับพื้นระเบียงเข้าอย่างจัง

               ตึ้ง!

               “อูย… เจ็บเจ็บเจ็บ!”

               เลวอนร้องโอดครวญหลังจากที่แผ่นหลังกระแทกลงพื้น พยายามตั้งสติแล้วมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พบว่าเวสน่ากำลังนอนทับร่างตนในลักษณะหันหลังเข้าหา สิ่งที่รับรู้ได้นอกจากกลิ่นกายอันหอมหวานอย่างทับทิมแล้ว ช่วงล่างเขายังสัมผัสได้ถึงบั้นท้ายกลมกลึงกำลังเบียดแนบชิดกับหน้าตัก มือขวาซึ่งบีบปทุมถันโดยไม่ได้ตั้งใจ และมือซ้ายที่โอบกอดวางประทับอยู่บนท้องน้อยอันแบนราบบริเวณใต้สะดือของฝ่ายหญิงอีกด้วย

               ส่วนนักพรตสาวอยู่ในท่าลักษณะเอียงคอไปทางขวา พลางยกแขนซ้ายโอบรอบศีรษะสัมผัสใบหน้าของพ่อมดหนุ่มรูปงาม โดยที่แก้มแดงแปร๊ดจนไปถึงใบหูหลับตาเม้มริมฝีปากด้วยท่าทีสั่นเทา สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้หัวใจของซิสเตอร์สั่นระรัวจนอีกฝ่ายรับรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจน จนเธอต้องร้องอ้อนวอนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

               “ค… คุณเลวอนคะ มือ…”

               “เหวออออออ!!?”

               เลวอนรีบชักมือออกจากเรือนร่างอันเย้ายวนด้วยท่าทีตื่นตระหนก เพื่อให้เวสน่าประคองตัวลุกขึ้นอย่างสะดวกโดยอยู่ในท่านั่งพับเพียบเฉียงซ้าย จากนั้นเขารีบพลิกตัวให้อยู่ในท่านั่งคุกเข่าวางสองมือลงบนหน้าตักตน โดยที่ต่างฝ่ายไม่กล้าสบตามองกันด้วยท่าทีประหม่าเหนียมอายสุดขีด เพียงเพราะอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ

               “ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินซิสเตอร์เลย ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยเถอะ!”

               เลวอนรีบโค้งตัวก้มศีรษะลงด้วยความสำนึกผิด เวสน่าจึงตอบกลับเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกล่าวโทษตัวเองไปมากกว่านี้

               “ม… ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เพราะงั้นช่วยเงยหน้าขึ้นมาเถอะค่ะ!”

               “ต-แต่ว่า…!”

               ไม่ทันพูดจบประโยค ซิสเตอร์ก็ได้นำมือวางลงบนศีรษะของเด็กหนุ่ม ลูบสางเรือนผมสีขาวโพลนไปมาอย่างอ่อนโยนทั้งที่สองแก้มยังคงแดงระเรื่อ เลวอนทำตาเบิกโพลงเล็กน้อยก่อนที่จิตใจของเขาจะเริ่มรู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด ถัดต่อมาแม่มดสาวผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีก็ได้เอ่ยปลอบโยนคู่สนทนาดังนี้

               “ฉันเข้าใจค่ะว่าคุณเลวอนมีเจตนาดี ไม่ได้ตั้งใจจะแตะต้องหรือฉวยโอกาสฉัน เพราะงั้นได้โปรดอย่าเกลียดชังตนเองไปมากกว่านี้เลย อีกอย่างฉันไม่ได้นึกโทษโกรธเคืองคุณด้วย… ขอบพระคุณมากนะคะที่ช่วยฉันเอาไว้”

               “ซิสเตอร์เวสน่า…”

               เลวอนค่อย ๆ เงยใบหน้าขึ้นโดยมีเวสน่าช่วยประคองไหล่พยุงร่างเขา จากนั้นทั้งคู่ได้สบสายตากันเพียงชั่วขณะหนึ่งก่อนที่ต่างฝ่ายจะเหนียมอายรีบเมินใบหน้าไปทางอื่นเล็กน้อย เพราะนึกถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมา ทว่าอย่างไรก็ดีตัวนักพรตสาวนั้นไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหรือรู้สึกแย่ต่อพ่อมดหนุ่มแต่อย่างใด

               “ฉ… ฉันขอตัวไปหยิบน้ำเย็นก่อนนะคะ… โอ๊ย!?”

               เวสน่ารีบพยุงตัวลุกขึ้น ทว่าผลลัพธ์จากการยุบตัวของแผ่นไม้ผุพังจนเสียการทรงตัวนั้น ทำให้ข้อเท้าขวาแพลงขึ้นมาจนไม่สามารถยืนได้ตามปกติ เธอส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมทรุดเข่านั่งลงพื้นอีกครั้ง เลวอนเห็นดังนั้นจึงรีบเลื่อนขยับเข้าไปดูอาการอย่างไม่รีรอช้า

               “แย่แล้วขาแพลงนี่นา…! เดี๋ยวผมร่ายคาถารักษาให้นะครับ”

               “ม-ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันทำเอง”

               “ขอร้องล่ะ อย่างน้อยขอให้ผมได้ชดใช้ความผิดนี้สักครั้งด้วยเถอะ”

               ถึงแม้เวสน่าจะกล่าวปฏิเสธ ทว่าเลวอนยังคงยืนยันเจตนารมณ์เดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนเธอไม่อาจปิดกั้นน้ำใจอันบริสุทธิ์ของเขาได้อีกต่อไป จึงผงกศีรษะยินยอมคำขอโดยดุษณี แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายใช้คาถาที่เพิ่งได้ร่ำเรียนมาเมื่อสักครู่นี้แสดงอิทธิฤทธิ์รักษาให้แก่ตน

               “Sanitatem curatio (คาถาแห่งการรักษาและเยียวยา) ”

               เลวอนนำมือซ้ายกุมจี้ไม้กางเขนสีเงินแวววาวเอาไว้ นำมืออีกข้างสัมผัสข้อเท้าขวาของนักพรตสาวอย่างแผ่วเบาแล้วเปล่งเสียงร่ายมนตร์ออกมา จนออร่าแสงสีทองอันอบอุ่นส่องสว่างปกคลุมไปทั่วร่างของทั้งสองคน รอยฟกช้ำและความเจ็บปวดที่มีอยู่ค่อย ๆ อันตรธานหายไปพร้อมกับแสงอันอ่อนละมุน ก่อนจะละมือออกห่างจากเธอตามปกติ

               เวสน่าสบสายตามองบุรุษจอมดาบเวทผู้ใสซื่อแล้วกล่าวคำซาบซึ้งต่ออีกฝ่ายไปดังนี้

               “วันนี้ต้องขอขอบพระคุณมากเลยนะคะที่อุตส่าห์ยอมสละเวลาอันมีค่าเพื่อมาช่วยงานที่โบสถ์ แถมยังต้องรบกวนคุณช่วยใช้เวทมนตร์รักษาบาดแผลให้อีกด้วย รู้สึกละอายใจยิ่งนัก…”

               “ไม่ได้รบกวนอะไรเลยครับ ผมดีใจด้วยซ้ำที่ตัวเองได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น และผมเองอยากจะช่วยซิสเตอร์แบ่งเบาภาระหน้าที่ด้วย… ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่ผมก็พอจะรู้นะครับว่าคุณอุทิศตนเพื่อคนอื่นมากขนาดไหน”

               เพียงแค่ถ้อยคำปลอบโยนจากเลวอน ก็ทำให้ซิสเตอร์ถึงกับแก้มแดงระเรื่อแย้มสรวลแห่งความปลื้มปีติออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างชัดเจน พร้อมทั้งระบายความรู้สึกที่แท้จริงออกมา

               “คุณเลวอนเป็นคนที่มีจิตใจดีเหมือนอย่างที่ฉันคิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย โชคดีจังเลยค่ะที่ฉันได้พบเจอคนอย่างคุณ”

               “ย… อย่าพูดแบบนั้นสิครับ!”

               พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันเริ่มแสดงอากัปกิริยาเหนียมอายออกมาให้เห็น จนซิสเตอร์ต้องยกมือปิดปากแอบส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างชอบใจ

               เหตุผลที่เวสน่ากล่าวออกมาเช่นนี้ เป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเธอไม่เคยพบเจอเด็กชายผู้มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์อย่างเลวอนมาก่อน แตกต่างจากเหล่าบรรดาเด็กหนุ่มวัยกลัดมัน ซึ่งเอาแต่จับจ้องมองดูเรือนร่างตนด้วยสายตาแทะโลมแม้จะครองสมณเพศก็ตามจนไม่อาจไว้วางใจใครได้อย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นักพรตสาวกำลังจะเพลี่ยงพล้ำต่อความรู้สึกที่อยู่ภายในจิตใจส่วนลึกเข้าให้เสียแล้ว

               การฝึกสอนยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงช่วงเวลาพลบค่ำ ในวันอาทิตย์ที่สุดแสนจะพิเศษนี้

Options

not work with dark mode
Reset