แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 28: มุ่งหน้าสู่บ้านร้าง

               สมาชิกทีม Order of the Dragon ทั้งสิบชีวิตได้จับกลุ่มรวมตัวกันบนพื้นสนามหญ้านอกปราสาทสีขาว ท่ามกลางแสงตะวันยามบ่ายโดยมีเหล่าเมฆคอยปกคลุม เหล่าจอมเวทฝึกหัดวัยหนุ่มสาวอยู่ในระหว่างการเตรียมอาวุธและอุปกรณ์เวทมนตร์ให้เสร็จสรรพ ก่อนจะออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เป้าหมาย จังหวะนั้นเองอิทสึกิได้เกริ่นบทสนทนานอกประเด็นขึ้นมา

               “เป็นไปได้ข้าก็อยากจะแวะเที่ยวใจกลางกรุงปรากดูสักครั้งนะขอรับ”

               “เดี๋ยวเถอะเจ้าบ๊อง นี่เราไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นกันนะยะ” ฮิคาริทำหน้าคิ้วขมวดพลางทักท้วงอีกฝ่าย

               “ขอโทษด้วยนะคลาร่า การวาร์ปครั้งนี้พวกเราคงต้องขอพึ่งพาเธอแล้วล่ะ”

               อาเธอเรียหันไปขอร้องไหว้วาน แม่มดสาวร่างบางผมทวินเทลสีส้มจึงตอบรับอย่างเต็มใจพร้อมด้วยรอยยิ้มอันสดใส

               “ด้วยความยินดีค่ะ เช่นนั้นแล้วรบกวนทุกคนช่วยขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ ดิฉันด้วย”

               ไม่รอช้าเหล่าสมาชิกทุกคนรีบก้าวเท้าขยับตัวเข้าใกล้คลาร่าทันที ก่อนที่เลวอนจะยื่นแผ่นเอกสารส่งมอบให้เธอ ถัดมาเด็กสาวร่างเพรียวผู้มีนัยน์ตาสองสีเริ่มก้มหน้าอ่านรายละเอียดบนกระดาษ โดยระบุตำแหน่งที่ตั้งพร้อมแนบรูปถ่ายของสถานที่อย่างชัดเจน เป็นบ้านร้างสองชั้นทำจากไม้อายุเก่าแก่และอยู่ในสภาพทรุดโทรม บรรยากาศรอบ ๆ นั้นอึมครึม มืดมนชวนวังเวง หาได้แตกต่างจากบ้านผีสิงหรือสุสานเสียด้วยซ้ำไป

               “จะเริ่มทำการใช้เวทมนตร์วาร์ปแล้วนะคะ”

               คลาร่าแจ้งเตือนพรรคพวกให้รับทราบ เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรจึงผงกศีรษะตอบรับด้วยสีหน้าจริงจังและเริ่มเตรียมตัวเองให้พร้อม ถัดมาเด็กสาวเจ้าของเรือนผมทวินเทลสีส้มนำมือซ้ายถือกระดาษแจ้งเควสเอาไว้ให้มั่น จับจ้องมองรูปถ่ายของสถานที่ซึ่งต้องการจะไป แล้วยกมืออีกข้างซึ่งสวมแหวนกายสิทธิ์ในลักษณะจีบนิ้วโป้งกับนิ้วกลาง ก่อนจะเปล่งเสียงแผ่วเบาร่ายบทอัญเชิญดังนี้

               “ข้าแด่เฮอร์มิสแห่งเทพผู้คุ้มครองเหล่านักเดินทาง ได้โปรดนำพาพวกเรามุ่งสู่สถานที่ดั่งใจนึกโดยสวัสดิภาพด้วยเถิด”

               ใต้เบื้องเท้าของเหล่ายุวชนปรากฏวงแหวนเวทสีขาวลวดลายซับซ้อนขึ้นมา โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางราวห้าเมตร สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่พวกเลวอนเป็นอย่างยิ่ง ไม่รอช้าคลาร่าจึงเรียกขานนามแห่งมนตรา พร้อมดีดนิ้วสำแดงอิทธิฤทธิ์โดยพลัน

               “Propulsio curvaturam! (คาถาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา) ”

               เป๊าะ…! วูมมมมมม!

               แสงสีขาวสว่างเจิดจ้าไปทั่วอาณาบริเวณเพียงช่วงเสี้ยววินาที ทันทีที่ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ ร่างของเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสก็ได้อันตรธานหายไปจากที่แห่งนี้ภายในชั่วพริบตาเดียว เหลือไว้แค่เพียงละอองแสงระยิบระยิบเจือจางเท่านั้น

               ——ซูมมมมมม!

               ณ บริเวณพื้นที่แห่งหนึ่งนอกเขตกรุงปราก อยู่ห่างจากหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานประมาณสองร้อยกิโลเมตรบนถนนไร้ซึ่งผู้คนท่ามกลางป่าทึบ ในที่สุดสมาชิกทีม Order of the Dragon ก็ได้เคลื่อนย้ายมาถึงสถานที่แห่งนี้เพียงไม่กี่อึดใจ

               ทุกคนต่างหันซ้ายแลขวามองดูบริเวณรอบ ๆ พบว่าบรรยากาศแห่งนี้มีความวังเวงและเงียบสงัด โดยที่ท้องฟ้ามืดครึ้มประดุจดั่งยามวิกาล พร้อมด้วยจันทร์เพ็ญสีขาวนวลดวงกลมโตปรากฏสูงเหนือศีรษะ ทั้งที่ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศเช็กเกียและสโลวาเกียในขณะนี้เป็นช่วงบ่ายโมงกว่าเท่านั้น

               “นี่ พวกเราวาร์ปมาผิดที่กันรึเปล่า?”

               วัตสันสงสัย คลาร่ารีบส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะชี้แจงเหตุผล

               “ต้องเป็นที่นี่ไม่ผิดแน่ค่ะ เพราะดิฉันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทมนตร์แห่งความมืด สิ่งนั้นถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของปีศาจโดยตรง แล้วสร้างภาพลวงตาขึ้นมาทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นยามค่ำคืนเหมือนอย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ”

               “ว่าแต่บ้านร้างที่ปีศาจ Aka Manah ใช้เป็นแหล่งซ่อนตัวนั้นตั้งอยู่แถวไหนกันแน่นะ?” โมนิก้าเอ่ยพึมพำพลางกวาดสายตาสอดส่องพื้นที่ภายในป่าทั้งสองฟากฝั่งอย่างกระตือรือร้น

               “ใช่บ้านหลังนั้นรึเปล่าคะ?”

               เวสน่าชี้นิ้วไปทางทิศตะวันออก โดยมีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางพงไพร และอยู่ห่างจากพวกเธอราว 30 เมตร ทุกคนจึงหันไปมองดูตำแหน่งดังกล่าวด้วยสีหน้าท่าทีที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก จังหวะนั้นเองฮิคาริได้เลื่อนมือขวาไปยังด้ามจับคาตานะซึ่งเหน็บอยู่บริเวณเอวฝั่งซ้ายในท่าเตรียมชักดาบ พร้อมแจ้งให้สมาชิกได้รับทราบ

               “น่าจะเป็นอย่างนั้น… ทุกคนเตรียมอาวุธเอาไว้ให้พร้อม ในระหว่างเดินทางห้ามประมาทโดยเด็ดขาด”

               สมาชิกทุกคนรีบลงมือปฏิบัติตามคำสั่งทันที ออเดรย์กับอิทสึกิซึ่งเป็นผู้ใช้ดาบคอยเฝ้าระวังจากทางด้านซ้ายและขวา เลวอน โมนิก้า สเตฟาเนีย และคลาร่า ทำหน้าที่คุ้มกันให้แก่เวสน่ากับวัตสันซึ่งอยู่ตรงกลาง อาเธอเรียคอยปกป้องคุ้มภัยจากทางด้านหลังให้ ส่วนฮิคาริก้าวเท้านำกลุ่มอย่างไม่เกรงกลัว ซึ่งการจัดรูปแบบดังกล่าวถือเป็นหลักสูตรขั้นพื้นฐาน ที่มีสอนอยู่ในหนังสือวิชาการรบทั่วไปนั่นเอง

               จนกระทั่งเดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุ เบื้องหน้าของเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสนั้นคือบ้านร้างสองชั้นเก่าแก่ทำจากไม้ และอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมพอสมควร ล้อมรอบด้วยรั้วเหล็กที่หักงอพร้อมด้วยก้อนอิฐผุกร่อน เหล่าต้นไม้ต่างแห้งสากเหลือเพียงกิ่งก้านสาขาไร้ซึ่งชีวิตชีวา มองดูแล้วชวนขนลุกซู่แทบไม่ต่างอะไรกับสุสานในป่าช้าเลยสักนิดเดียว

               ฟิ้วฟิ้ว…

               สายลมเย็นยะเยือกคอยพัดปะทะเข้ากับร่างกาย ยิ่งทำให้พวกเลวอนรู้สึกหวั่นใจมากขึ้นเท่านั้น

               เมื่อย่างกรายผ่านรั้ว ฮิคาริและพรรคพวกจึงแยกย้ายกันตรวจสอบสิ่งที่น่าสงสัยทั่วบริเวณรอบบ้าน เพื่อให้แน่ใจได้ว่าพื้นที่แห่งนี้ปราศจากกับดักซึ่งใช้ต่อต้านผู้บุกรุก โดยไม่พบสิ่งผิดปกติอื่นใดแอบแฝงเจือปนอยู่ นอกเสียจากซากปรักหักพังตามมุมต่าง ๆ ของอาคารเท่านั้น

               ทุกคนกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้งตรงบริเวณหน้าประตูรั้ว เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนการโจมตี Aka Manah หรือปีศาจนักเชิดมนุษย์ ออเดรย์ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากที่สุดรับหน้าที่เป็นหัวหน้าสั่งการ คอยถ่ายทอดคำสั่งแก่สมาชิกเป็นรายบุคคลด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังดังนี้

               “ต่อไปนี้ฉันจะเริ่มแจกแจงหน้าที่ของแต่ละคนให้ฟัง เริ่มจากคลาร่าก่อน เมื่อพวกเราบุกเข้าไปถึงข้างในบ้านร้างแล้วรบกวนช่วยร่ายคาถาม่านพลังครอบคลุมพื้นที่เอาไว้ให้ที อย่าให้เจ้าปีศาจ Aka Manah หลบหนีออกจากที่นี่ คอยจำกัดความเสียหายทั้งหมดให้อยู่ในรัศมีวงแคบเข้าไว้”

               “ทราบแล้วค่ะ” เด็กสาวร่างบางนัยน์ตาสองสีน้อมรับอย่างสุภาพ

               “รุ่นพี่ฮิคาริ รุ่นพี่อิทสึกิ และอาเธอเรียรับหน้าที่เป็นหัวหอกประจันหน้าศัตรูไปพร้อม ๆ กับฉัน อาศัยเทคนิคการโจมตีสลับกับป้องกันในรูปแบบสวิตช์คอยหลอกล่อให้อีกฝ่ายสับสน มองหาจุดอ่อนของเป้าหมายให้เจอ แล้วรีบแจ้งให้ทุกคนรู้ทันที”

               “อือ/เข้าใจแล้วขอรับ/ได้เลยแม่สาวน้อย” ซามูไรหญิง แม่มดสาวจอมห้าว และเทพสุนัขหนุ่มขานรับคำสั่ง

               “ซิสเตอร์เวสน่าทำหน้าที่สนับสนุนในแนวหลัง ถ้าหากมีใครได้รับบาดเจ็บรบกวนช่วยร่ายคาถารักษาให้พวกเราด้วย ส่วนรุ่นพี่วัตสันคอยแจกจ่ายน้ำยาฟื้นฟูพลังเวทให้กับกองกำลังจู่โจมแนวหน้า และปกป้องซิสเตอร์ให้ถึงที่สุด

               “รับทราบค่ะ/อ… โอ้” นักพรตสาวแสดงสีหน้ามุ่งมั่น ในขณะที่พ่อมดนักปรุงยากลับเผยท่าทีขาดความมั่นใจออกมา

               “รุ่นพี่เลวอน โมนิก้า และสเตฟก้าคอยหาช่องว่างร่ายคาถาโจมตีใส่ Aka Manah เพื่อตัดกำลังอีกฝ่าย รวมถึงคุ้มกันความปลอดภัยให้กับซิสเตอร์เวสน่า คลาร่า และรุ่นพี่วัตสันด้วย หลังจากที่พวกเราทำให้ศัตรูอ่อนแรงลงได้เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นค่อยปิดฉากตะลุมบอนใส่ไม่ยั้งไปเลย”

               “เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ” บุรุษหนุ่มรูปงามกับเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ส่วนแม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มผงกศีรษะรับรู้ด้วยสีหน้าราบเรียบ

               “ถ้าไม่มีใครคัดค้านอะไร เดี๋ยวพวกเราจะบุกเข้าไปข้างในตอนนี้เลย… ทุกคนพร้อมที่จะลุยกันแล้วหรือยัง?”

               จิ้งจอกสาวจอมดาบเวทซักถามความพร้อมเป็นครั้งสุดท้าย เหล่าพ่อมดแม่มดต่างพยักหน้าให้คำตอบด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง แต่ในขณะเดียวกันสเตฟาเนียได้ชูมือขวาขึ้นเหนือศีรษะ แล้วเกริ่นร้องข้อเสนออะไรบางอย่างออกมา

               “เดี๋ยวก่อนค่ะ ขอเวลาให้ฉันร่ายคาถาเปลี่ยนชุดสำหรับออกศึกไม่เกินสิบวินาทีจะได้ไหมคะ?”

               “แม่คุณเอ๊ย เวลาแบบนี้ยังจะมาห่วงสวยอยู่อีกเรอะ?” วัตสันพูดแซว

               “พูดอะไรน่ะวัตสัน” อาเธอเรียรีบหันไปตำหนิเด็กหนุ่มมาดทะเล้น “ในยามต่อสู้ เสื้อผ้าที่สวมใส่มีผลต่อการเคลื่อนไหวโดยตรง ขืนให้หล่อนสวมชุดคอร์เซ็ตรัดเอวแบบนี้เดี๋ยวก็อึดอัดตายกันพอดี… รีบเปลี่ยนชุดเร็วเข้าเถอะสเตฟก้า ไม่งั้นคงได้เห็นใครบางคนแถวนี้น้ำลายฟูมปากตายเพียงเพราะเสียเวลาไปแค่สิบวินาทีแหง ๆ”

               วัตสันถึงกับออกอาการจุกอกนึกสรรหาคำพูดมาโต้เถียงไม่ออก ดูเหมือนว่าอาเธอเรียจะติดนิสัยชอบพูดจากระแหนะกระแหนมาจากสเตฟาเนียเข้าเสียแล้ว ในขณะที่เลวอนและผองเพื่อนต่างพากันส่งเสียงหัวเราะในลำคอตลกขบขัน

               เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ สเตฟาเนียจึงยกมือซ้ายถอดหมวกกายสิทธิ์อเนกประสงค์ออกจากศีรษะ นำมือขวาล้วงเข้าไปในช่องว่างหยิบไม้กวาดแม่มดด้ามยาวขึ้นมาจับประคองให้มั่น แล้วนำหมวกสวมประดับเหนือหน้าผากเอาไว้ดังเดิม จากนั้นยื่นแขนขวาชูไปยังเบื้องหน้า พร้อมทั้งเปล่งเสียงร่ายคาถาออกมาอย่างแผ่วเบา

               “Pythonissa modus (อาภรณ์แม่มด) ”

               วูมมมมม…!

               แสงสีขาวพลันสว่างเจิดจ้าทั่วเรือนร่างท่ามกลางกระแสลมโบกพัด เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวทุกอย่างรอบตัวก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ โดยชุดแต่งกายของเด็กสาวมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวคอปกสีขาว กับเสื้อโค้ตแบบมีหมวกฮู้ดสำหรับคลุมศีรษะ ตามด้วยกระโปรงเรียบสั้นเหนือเข่าสีดำตัดลวดลายโทนสีขาว ส่วนช่วงล่างสวมรองเท้าบูตเสริมส้นสูงยาวรัดรูปจนถึงบริเวณหน้าตัก

               สำหรับพวกคลาร่า การได้เห็นสเตฟาเนียร่ายคาถาเปลี่ยนชุดนั้นถือเป็นเรื่องปกติชินตา แต่สำหรับสามเด็กหนุ่มอย่างเลวอน อิทสึกิ หรือแม้แต่วัตสันแล้วกลับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจเพราะหาดูได้ยาก แถมยังจับจ้องมองตาค้างด้วยท่าทีตกตะลึง

               ออเดรย์ได้ยื่นมือเข้าใกล้ใบหน้าของพ่อมดหนุ่มมาดทะเล้น แล้วโบกขึ้นลงหวังจะให้อีกฝ่ายสะดุ้งตกใจแต่ก็ไม่เป็นผล ดูเหมือนเขาจะตกอยู่ในห้วงภวังค์โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่สำหรับตนแล้วสเตฟาเนียเป็นทั้งคู่กัดและไม้เบื่อไม้เมา ในขณะที่โมนิก้าคิ้วขมวดพองแก้มแอบส่งสายตาเขม็งเล็งใส่เลวอนด้วยความหึงหวง

               “เฮ้อ… ให้ตายสิพวกนาย”

               ฮิคาริถอนหายใจเอือมระอาต่อพฤติกรรมของเหล่าบุรุษวัยเยาว์ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สเตฟาเนียกำลังสวมใส่อยู่นั้นมีความน่ารักและโดดเด่นชวนดึงดูดสายตา โดยเฉพาะเลวอนที่ได้เห็นดังนั้นแล้วก็รู้สึกถูกใจเธอเสียทีเดียว

               “รีบเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ”

               สเตฟาเนียกล่าวเตือนสติเหล่าสมาชิกทีม Order of the Dragon ก่อนจะก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังบ้านร้างซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ราวสิบเมตรโดยปราศจากความหวั่นเกรงใด ๆ ทุกคนจึงตัดสินใจสลัดความคิดอันฟุ้งซ่านออกไปให้พ้นจากหัว แล้วรีบเดินตามแผ่นหลังแม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มอย่างไม่รีรอ

               แกร๊ก… เอี๊ยด…

               เพื่อความปลอดภัยของเหล่าผองเพื่อนที่ไม่ได้ชำนาญด้านการต่อสู้ ฮิคาริจึงอาสารับหน้าที่เสี่ยงอันตรายคอยเดินนำทัพแทนสเตฟาเนีย ก่อนจะบิดกลอนผลักบานประตูช้า ๆ ถัดมาเหล่าหนุ่มสาวจอมเวทฝึกหัดทั้งสิบชีวิตได้ก้าวเท้าเข้าไปข้างในบ้านร้างอย่างระมัดระวัง มองซ้ายแลขวาคอยสอดส่องสิ่งผิดปกติท่ามกลางความมืดสลัว

               “ค… คุณเลวอน”

               ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนวังเวง โมนิก้ารีบเข้าไปกอดแขนซ้ายของเลวอนเอาไว้แน่นเนื่องจากหวาดกลัวต่อความมืดมิด อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเจือจางภายในห้อง เด็กหนุ่มจึงหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาเตรียมพร้อมรับมือ และเพื่อปกป้องเด็กสาวให้รอดพ้นจากอันตรายแม้ว่าจะยังไม่พบเห็นศัตรูก็ตาม

               “ถึงจะจับจิตสังหารได้ แต่มืดสลัวแบบนี้มีหวังพวกเราคงโดนอีกฝ่ายดักเชือดแหง ๆ” อาเธอเรียพึมพำโดยที่สีหน้าท่าทีของเธอยังคงสงบนิ่ง ปราศจากอาการหวั่นวิตกแต่อย่างใด

               “เช่นนั้นเดี๋ยวดิฉันจะร่ายเวทมนตร์เพื่อให้ห้องแห่งนี้สว่างขึ้นนะคะ”

               คลาร่าเกริ่นอาสาพลางยกมือขวาขึ้นมาในลักษณะจีบนิ้วโป้งกับนิ้วกลาง ก่อนจะเปล่งเสียงแผ่วเบาร่ายคาถาออกไป

               “Claritas (คาถาส่องสว่าง) ”

               เป๊าะ…!

               สิ้นเสียงดีดนิ้วของแม่มดสาวผมทวินเทล ลำแสงสีขาวนวลดวงโตจึงพลันปรากฏขึ้นจากแหวนกายสิทธิ์ ทำการแบ่งตัวพุ่งไปยังโคมไฟเหนือเพดานกับตะเกียงไฟข้างผนังหลายสิบดวง ทำให้ภายในบ้านร้างแห่งนี้สว่างสดใสทันที จากนั้นทุกคนเร่งลงมือกวาดสายตาสำรวจสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ คอยค้นหาตำแหน่งของเป้าหมายไปพลาง

               จนกระทั่งโมนิก้าและเวสน่าได้แหงนหน้ามองบนเพดานห้องซึ่งมีความสูงราวสองชั้น นอกจากโคมไฟประดับคริสตัลที่คอยให้แสงสว่างแล้ว สิ่งที่พบเห็นคือเหล่าร่างเปลือยเปล่าอันไร้วิญญาณจำนวนนับสิบ ได้ถูกแขวนห้อยเรียงรายลงมาอย่างน่าสยดสยอง โดยถูกจัดท่าทางให้อยู่ในอิริยาบถต่าง ๆ ราวกับตุ๊กตาหุ่นเชิด ด้วยเหตุนี้สองแม่มดสาวจึงส่งเสียงกรีดร้องออกมา

               “ว้าย!?”

               เลวอนและเหล่ามิตรสหายต่างสะดุ้งตกใจ รีบแหงนหน้ามองดูข้างบนด้วยความสงสัย เมื่อความจริงถูกเปิดเผยทุกคนก็ถึงกับเผยสีหน้าท่าทีประหลาดใจปนความรู้สึกกระอักกระอ่วน แม้แต่ฮิคาริเองยังต้องร้องอุทานออกมาอย่างหวั่นเกรง

               “น-นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ศพถูกจับขึงลวดเอาไว้งั้นเรอะ…!?”

               “ทุกคนอย่าเพิ่งตกใจ ตั้งสติเอาไว้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวเจ้าปีศาจนั่นจะฉวยโอกาสตอนที่พวกเรากำลังเผลออยู่เข้าโจมตี-!”

               ——ตู้ม!!

               ไม่ทันที่จิ้งจอกสาวจะกล่าวจบ บางสิ่งบางอย่างก็ได้กระแทกลงมายังพื้นระเบียงชั้นล่างด้วยความสูงประมาณสองชั้นเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องพร้อมด้วยฝุ่นควันกระจายไปทั่วคอยบดบังทัศนวิสัย เหล่าพ่อมดแม่มดทุกคนเลิกให้ความสนใจต่อร่างอันไร้วิญญาณซึ่งห้อยอยู่บนเพดานนับสิบ หันไปจับจ้องมองเงาลูกใหญ่ภายใต้ละอองฝุ่นสีขาวด้วยความไม่ประมาททันที

               ออเดรย์ อิทสึกิ และฮิคาริ ต่างชักดาบคู่ใจของตนเองขึ้นมาพร้อมบุกเข้าประจัญบาน อาเธอเรียยกสองมือตั้งท่าเตรียมต่อสู้ เลวอน โมนิก้า และสเตฟาเนีย หยิบไม้กายสิทธิ์หรือไม้กวาดแม่มดชี้ปลายไปยังศัตรูผู้เป็นปริศนา ส่วนเวสน่า วัตสัน และคลาร่า ค่อย ๆ ก้าวเท้าถอยห่างไปยังแนวหลังเพื่อทำหน้าที่สนับสนุน โดยที่เด็กสาวนัยน์ตาสองสีพลันโบกสะบัดมือขวาเพื่อร่ายมนตราออกไป

               “Magna cupola! (คาถาม่านพลัง) ”

               วูมมมมม!

               มีคลื่นทรงกลมสีใสคล้ายฟองสบู่ปรากฏขึ้นจากแหวนกายสิทธิ์บนนิ้วชี้ขวา แล้วเริ่มขยายใหญ่โตขึ้นอย่างรวดเร็วทะลุผ่านทุกสรรพสิ่งกลายเป็นโดมขนาดยักษ์ปกคลุมพื้นที่บ้านร้าง โดยกินรัศมีเป็นวงกว้างถึงหนึ่งร้อยเมตร คอยปิดกั้นตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูหนีพ้น ที่แม้แต่ผู้ร่ายเองก็ยังมิอาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากคาถาบทนี้ได้เช่นกัน

               ชู่ว…

               สายลมพัดผ่านสลายกลุ่มควันที่ปกคลุมอยู่ ทำให้เลวอนและสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรเริ่มมองเห็นรูปลักษณ์ของศัตรูได้อย่างชัดเจน ศีรษะของมันมีรูปทรงคล้ายวัว เขาสีน้ำตาลทั้งสองข้างคดเกลียวออกไปทางด้านข้าง ปรากฏฟันเขี้ยวซี่บนอันแหลมคมไม่ต่างจากสัตว์ป่าดุร้าย ร่างกายกำยำสูงใหญ่เกินสามเมตรผิวขาวซีดเผือดมีลักษณะคล้ายคลึงมนุษย์ อยู่ในชุดสูทสีดำตัดโทนสีเลือดหมู โดยที่นัยน์ตาสีเหลืองอำพันจับจ้องมองผู้รุกรานอย่างไม่ลดละ

               Aka Manah หรือปีศาจนักเชิดมนุษย์ในตำนานของโซโรอัสเตอร์ ได้ปรากฏตัวต่อเบื้องหน้าทุกคนแล้ว

               “เหล่าเด็กน้อยผู้น่ารักและไร้เดียงสาเอ๋ย จงกลายมาเป็นหุ่นเชิดของข้าเสียเถอะ…!”

               อมนุษย์ร่างแกร่งเปล่งเสียงแหบแห้งชวนหวั่นสะพรึง ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนจากท่านั่งชันเข่าอย่างองอาจ ในขณะที่อาเธอเรีย อิทสึกิ ฮิคาริ และออเดรย์ ต่างขยับฝีเท้าถอยหลังเว้นระยะห่างเตรียมตั้งหลัก ส่วนวัตสันซึ่งอยู่ห่างจากแนวหน้าราวสิบเมตรก็ได้ส่งเสียงหวาดผวาออกมาด้วยความตื่นกลัว

               “ม… มันพูดได้ด้วย น่าขยะแขยงเป็นบ้า!”

               “ชิ…”

               ออเดรย์เดาะลิ้นพลางนำมือทั้งสองกำดาบเล่มใหญ่สีดำนิลคู่นั้นเอาไว้ให้มั่น โดยที่สายตาจับจ้องมองอสุรกายตนนั้นด้วยความกังวลใจ ถึงแม้ตัวเธอจะเคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาดมานับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม ทว่าภายหลังจากที่จิ้งจอกสาวพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมภายในอาคารแล้วก็ทำให้รู้ซึ้งขึ้นมาโดยทันทีว่า ตนนั้นได้พาเหล่าสมาชิกทีมตกลงสู่ห้วงแห่งกับดักเข้าให้เสียแล้ว

               อย่างไรก็ดีออเดรย์ยังคงตั้งสมาธิข่มความกลัวเอาไว้ได้ ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งสู้รบอย่างห้าวหาญสมกับเป็นผู้นำทีม

               “ถ้าทำตามแผนซะอย่าง รับรองว่าพวกเราต้องเอาชนะมันได้แน่… ทุกคนเริ่มโจมตีได้!!”

Options

not work with dark mode
Reset