แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 29: ปีศาจนักเชิดมนุษย์ (1)

               พรึ่บ! ตึ้ง!

               Aka Manah หรือปีศาจนักเชิดมนุษย์ ได้สะบัดสองมือหนาเข้าหากัน ทันใดนั้นร่างอันไร้วิญญาณจำนวน 20 ศพที่ถูกแขวนอยู่บนเพดานจึงร่วงหล่นลงมายังพื้นระเบียงชั้นล่าง คอยโอบล้อมผู้เป็นนายประดุจดั่งข้ารับใช้ แต่ละร่างถูกพันด้วยลวดสีแดงเส้นบางจนมองตาเปล่าแทบไม่เห็น เชื่อมโยงตามข้อต่อส่วนต่าง ๆ แล้วมาบรรจบตรงปลายนิ้วมือทั้งสิบของผู้ควบคุม

               จากนั้นจึงเริ่มเกริ่นคำสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและเชื่องช้า

               “จงเริงระบำ เหล่าหุ่นเชิดของข้า”

               “โอ้วววว!”

               เหล่าบรรดาศพส่งเสียงคำรามออกมาอย่างไม่เป็นภาษามนุษย์ แม้ว่าพวกเขาจะสิ้นลมหายใจไปแล้วก็ตาม เนื่องจาก Aka Manah ใช้เวทมนตร์ในการควบคุมร่างไร้วิญญาณโดยส่งผ่านทางลวดสีชาด เชื่อมต่อเข้ากับไขสันหลังแล้วถ่ายทอดกระแสประสาทไปยังสมอง ทำให้สามารถขยับอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้ราวกับมีชีวิต ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาอริศัตรูเพื่อเปิดฉากการต่อสู้

               “คนตายไปแล้วยังจะใช้ศพมาเป็นหุ่นเชิดอีกเรอะไอ้กะโหลกวัว!”

               อาเธอเรียแผดเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ พลางใช้สองแขนปัดป้องเหล่าซากศพที่กำลังรุกคืบเข้าหาเธอด้วยวิชามวยหวิงชุน เหวี่ยงข้อเท้าซัดช่วงล่างให้ล้มลง จากนั้นเคลื่อนย้ายศอกขวากับหมัดซ้ายซัดใส่ร่างใหญ่ที่ไร้ลมหายใจ ตามด้วยสไลด์เท้าขวากระแทกลงบนพื้นจนเกิดแรงส่ง ผลักให้อีกฝ่ายกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตรปะทะเข้ากับผนังอาคารดัง “ตู้ม!” ทั้งที่เธอไม่ได้ใช้เทคนิคลำนำสัประยุทธ์เลยด้วยซ้ำ

               ฉึบ ฉัวะ สวบ!

               ฮิคาริชักคาตานะออกจากฝัก ตัดร่างอันไร้วิญญาณที่อยู่เยื้องขวามือหรือเป้าหมายแรกขาดสะบั้นเป็นสองท่อน ถัดมาพลิกแขนนำมืออีกข้างจับปลายด้าม เหวี่ยงคมดาบฟันศัตรูตัวถัดไปที่อยู่ทางด้านซ้าย แล้วยื่นสองแขนให้ปลายแหลมเสียบเข้ากลางอกซากศพตัวที่สาม ก่อนจะปิดท้ายด้วยการหมุนตัวศัสตราวุธบิดทวนเข็มนาฬิกา ตัดขวางเฉียงลงไปเบื้องล่างขวาสยบคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วจนเลือดสาดกระเซ็น

               “ย้ากกกกก!”

               อิทสึกิส่งเสียงฮึกเหิมพลางใช้สองมือจับด้ามคาตานะเอาไว้ให้มั่น แล้วฟาดฟันคมดาบใส่ศัตรูลงในแนวดิ่ง สลับกับนำปลายคมจ้วงแทงใส่ร่างอันปราศจากลมปราณเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว ศีรษะของเหล่าหุ่นเชิดบางตัวถูกผ่าครึ่งเป็นสองซีก บ้างก็หัวหลุดออกจากบ่าด้วยแรงเหวี่ยงมหาศาล ในรูปแบบการโจมตีด้วยวิชาเคนโด้

               “X Sword Skill – Fang of Crescent! (เขี้ยวแห่งเสี้ยวจันทรา) ”

               ซูมมมมม ครืนนนนน!

               ออเดรย์ใช้ดาบเล่มใหญ่สีดำนิลทั้งสองเล่มสะบัดออกซ้ายขวาอย่างพร้อมเพรียง ก่อกำเนิดเป็นคลื่นอากาศพุ่งออกมาจากศัสตราวุธราวกับเขี้ยวหรือดวงจันทร์เสี้ยว ประสานไขว้กันในรูปแบบกากบาท ฉีกร่างเหล่าซากศพเกือบทั้งหมดให้ขาดเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยความเร็วเหนือเสียง ทะลุผนังอาคารปะทะเข้ากับม่านพลังซึ่งคลาร่าได้ทำการร่ายปกคลุมเอาไว้ ทำให้ Aka Manah แทบไม่เหลือหุ่นเชิดไว้ปกป้องตนเอง

               “ทั้งสามคนรีบถอยออกมาเร็วเข้า ตอนนี้แหละปิดฉากได้เลย!”

               จิ้งจอกสาวส่งเสียงแจ้งเตือนให้แก่สมาชิกแนวหน้า แล้วประกาศคำสั่งให้เหล่าผู้ใช้คาถาอาคมซึ่งอยู่ในแนวหลังเริ่มทำการโจมตีใส่ Aka Manah ทันที ไม่รอช้าเลวอน สเตฟาเนีย และโมนิก้ารีบขยับปากร่ายมนตราขั้นสูง พร้อมทั้งชี้ปลายไม้กายสิทธิ์หรือด้ามไม้กวาดแม่มดไปยังศัตรู ปลดปล่อยพลังเวทซัดใส่ปีศาจอย่างไร้ซึ่งปรานี

               “Ամպրոպ! [Amprop (อสนีบาตพิฆาต) ] ”

               “Pluvia maledictionis! (พิรุณแห่งคำสาปแช่ง) ”

               “Hastam in iustitia! (หอกแห่งการพิพากษา) ”

               ——เปรี้ยงเปรี้ยง สวบสวบสวบ!!

               ทั้งลำแสงสายฟ้าสว่างวูบวาบ เข็มแห่งสายฝนสีใสซึ่งเคลือบแฝงไปด้วยพิษ รวมถึงลำแสงศัสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ ได้พุ่งปะทะใส่เป้าหมาย เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณภายในอาคาร เหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสรีบยกแขนขึ้นมาบังใบหน้าเพื่อไม่ให้ฝุ่นควันพัดเข้าดวงตาสักพักหนึ่ง จนกระทั่งเหตุการณ์เริ่มสงบลง วัตสันจึงเริ่มเกริ่นซักถามถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นดังนี้

               “ส… สำเร็จไหมทุกคน!?”

               “…ยังหรอกขอรับ”

               อิทสึกิเอ่ยทัดทานพลางทำหน้าคิ้วขมวดจ้องมองศัตรูอย่างหวาดระแวง ท่ามกลางหมอกควันและไอน้ำที่กำลังปกคลุม สถานการณ์ดูเหมือนจะได้เปรียบ อย่างไรก็ดีการต่อสู้ของอาเธอเรีย ฮิคาริ อิทสึกิ และออเดรย์ซึ่งเป็นทีมแนวหน้าไม่อาจเข้าถึงตัวปีศาจนักเชิดมนุษย์ได้เลย หรือแม้กระทั่งการโจมตีด้วยเวทมนตร์จากเลวอน โมนิก้า และสเตฟาเนียก็ยังไร้ผล

               Aka Manah ใช้เหล่าซากศพที่ถูกฉีกขาดมาเป็นเกราะกำบังล้อมรอบตนเอาไว้เพื่อลดความเสียหาย มิหนำซ้ำร่างและอวัยวะซึ่งถูกคมดาบฟาดฟันตัดสะบั้น ก็กลับมาสมานตัวคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็วด้วยลวดสีแดง ราวกับซอมบี้ซึ่งฟื้นคืนชีพจากความตาย

               “เปล่าประโยชน์ อย่าได้ดิ้นรนให้เสียเวลาเลย” อมนุษย์ร่างแกร่งกล่าวเย้ยหยัน

               “เดี๋ยวสิยะ แบบนี้มันไม่ขี้โกงเกินไปหน่อยเหรอ!?”

               ฮิคาริเกริ่นพึมพำพลางจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจ พร้อมทั้งสะบัดคาตานะออกทางด้านข้างเพื่อให้คราบเลือดซึ่งเกาะอยู่บนแผ่นดาบกระเซ็นออกไป ในขณะที่อาเธอเรียได้ยกสองมือบางขึ้นมาอยู่ในระดับกลางอกเพื่อตั้งท่าต่อสู้ พร้อมทั้งเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบใจเย็น

               “ถ้าไม่ทำลายศพให้สิ้นซากก็เปล่าประโยชน์งั้นสินะ แต่จะด้วยวิธีไหนเนี่ยสิ”

               “ระวังตัวด้วย อีกฝ่ายจะเริ่มโจมตีแล้ว!”

               ออเดรย์ส่งเสียงเตือนเมื่อ Aka Manah เริ่มเคลื่อนไหว ทางด้านปีศาจนักเชิดมนุษย์เองก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้เหล่าจอมเวทฝึกหัดมีเวลาปรึกษาหารือ โดยขยับปลายนิ้วมือทั้งสิบพลางสะบัดแขนทั้งสองข้าง ควบคุมร่างอันไร้วิญญาณจำนวน 20 ศพให้ขยับพุ่งเข้าไปหาเหล่าอริศัตรูอย่างรวดเร็ว

               “แฮ่~~~~~~!!”

               บรรดาหุ่นเชิดส่งเสียงคำรามพลางแยกเขี้ยวทำท่าจะกัดใส่ ออเดรย์ ฮิคาริ อิทสึกิ และอาเธอเรีย จึงต้องชะงักตัวถอยออกห่างเล็กน้อยเพื่อหลบการจู่โจม ก่อนจะเข้าปะทะโจมตีสวนกลับคืนไป ระหว่างนั้นเองเทพสุนัขหนุ่มที่กำลังใช้ดาบคาตานะฟาดฟันเหล่าซากศพอยู่ก็ได้พูดจาติดตลกขึ้นมา

               “เจ้าพวกนี้อย่างกับซอมบี้เหมือนในหนังสยองขวัญเรื่อง H.O.T.D. เลยนะขอรับ!”

               “หนวกหูน่าเจ้าหมาโอตาคุ ที่แน่ ๆ อย่าโดนพวกมันกัดเชียวล่ะ!”

               ฮิคาริแจ้งเตือนเหล่าสมาชิกทีม Order of the Dragon ให้รับทราบ ทั้งที่ตนเองยังคงใช้ดาบต่อสู้กับเหล่ากองทัพที่ไร้ซึ่งลมหายใจอย่างทุลักทุเล โดยขยับฝีเท้าเคลื่อนไหวคอยหลบหลีกคมเขี้ยวของพวกมันด้วยความไม่ประมาท

               ทว่าในช่วงวินาทีเดียวกันนั้นเอง Aka Manah ได้แบ่งไพร่พลออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกคอยปะทะต่อกรกับเหล่าแนวหน้าจำนวน 12 ร่าง และส่วนที่เหลือได้กระโจนพุ่งเข้าใส่แนวหลังหมายจะทำร้ายพวกเลวอนเพื่อให้ทุกคนเกิดความไขว้เขว

               “แย่ล่ะสิ!”

               ออเดรย์เห็นท่าไม่ดีเมื่อปีศาจนักเชิดหุ่นเริ่มใช้ลูกไม้ดังกล่าว แต่ก็ไม่อาจปลีกตัวเข้าไปช่วยเหลือสมาชิกในแนวหลังได้เนื่องจากเหล่าซากศพคอยหาทางแว้งกัด ไม่ว่าจะใช้ดาบตัดแขน ขา หรือศีรษะของพวกมันให้ขาดสักกี่ครั้ง ก็ยังกลับมาต่อตัวสมานกันได้ดังเดิม หากพลาดท่าแม้เพียงนิดเดียว นั่นหมายถึงพวกเธออาจต้องโดนคมเขี้ยวของศัตรูฝังเข้าร่างเป็นแน่

               “ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวพวกเราจะจัดการทางนี้เอง!”

               โมนิก้าส่งเสียงตอบกลับเพื่อให้พวกฮิคาริยังคงมีสมาธิในการต่อสู้ จากนั้นแม่มดสาวผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนจึงเริ่มเปิดฉากตวัดไม้กายสิทธิ์ร่ายคาถาขั้นสูง โจมตีใส่กองกำลังเหล่ามนุษย์หุ่นเชิดด้วยท่าทีสั่นสู้ โดยมีเลวอนและสเตฟาเนียคอยยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธออีกแรง

               การเปลี่ยนกลยุทธ์นั้นทำให้สถานการณ์ในตอนนี้พลิกผันอย่างสิ้นเชิง ทุกคนต่างถูกเบี่ยงเบนความสนใจ แทนที่จะพุ่งเป้าไปยัง Aka Manah เพื่อมองหาจุดอ่อนของมัน ทว่าในขณะที่เหล่าพ่อมดแม่มดวัยเยาว์กำลังต่อสู้ศัตรูอย่างเอาเป็นเอาตาย ซากศพจำนวนแปดร่างซึ่งประจันหน้ากับพวกเลวอนก็ได้แบ่งแยกกำลังพลออกเป็นจำนวนส่วนหนึ่ง อาศัยจังหวะทีเผลอพุ่งเข้าหาหน่วยสนับสนุนอย่างวัตสันกับเวสน่าแบบไม่ให้ทันตั้งตัว

               “แฮ่~!!”

               “วัตสัน! ซิสเตอร์!”

               เด็กหนุ่มรูปงามผมสีขาวโพลนรีบหันไปแจ้งเตือนแก่พวกพ้อง ในขณะที่นักพรตสาวยกสองแขนขึ้นมาบังใบหน้าพลางหลับตาปี๋ด้วยท่าทีหวั่นสะพรึงกลัว โชคดีที่พ่อมดนักปรุงยาจอมทะเล้นไม่ได้ทำตัวนิ่งนอนใจ เขาเร่งคว้าไม้กายสิทธิ์จากเสื้อฮู้ดขึ้นมาแล้วร่ายคาถาโจมตีใส่ศัตรูโดยพลัน

               “Spiritus! (ลมสลาตัน) ”

               ซูมมมม!

               ร่างของมนุษย์เชิดถูกสายลมพัดปลิวไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่งหลายสิบเมตร เมื่อพ้นจากภัยอันตรายแล้ว วัตสันจึงหันไปพูดปลอบให้เวสน่าคลายกังวลใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่นสมดั่งชายชาตรี

               “ไม่ต้องห่วงนะซิสเตอร์ ฉันจะเป็นคนปกป้องเธอเอง!”

               “ข… ขอบคุณมากนะคะ ได้โปรดระวังตัวด้วย”

               นักพรตสาวเกริ่นซาบซึ้งในน้ำใจ ทำให้เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างลำพองใจ แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้เขาจำเป็นต้องรับมือกับซากศพที่ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งร่างซึ่งกำลังจะพุ่งเข้ามาโจมตีใส่ โมนิก้าจึงรีบส่งเสียงเตือนทั้งที่ตัวเธอเองกำลังวุ่นวายต่อกรกับศัตรูอยู่เช่นกัน

               “วัตสันอย่ามัวเหม่อสิคะ!”

               “เฮ้ย!?”

               กว่าที่วัตสันจะหันมาตั้งรับก็สายเกินไปเสียแล้ว ศพอีกหนึ่งร่างได้พุ่งกระโจนเข้ามาตะลุมบอน กระชากกระเป๋าสะพายพาดไหล่สีน้ำตาลของพ่อมดหนุ่มออก ก่อนจะกระโดดส่งมอบให้ Aka Manah รับไว้ครอบครอง ซึ่งในช่องเก็บสัมภาระมีทั้งยาฟื้นฟูพลังเวท ยาเพิ่มสมรรถภาพพละกำลังรวมไปถึงยารักษาบาดแผลและโรคภัยต่าง ๆ เพื่อให้ผองเพื่อนใช้ในกรณีฉุกเฉิน

               โดยหลังจากแย่งชิงเป็นอันสำเร็จ ปีศาจนักเชิดมนุษย์ก็ได้พูดเย้ยหยันใส่เขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

               “ข้าขอรับไปล่ะ”

               “ไอ้เวรเอ๊ย นั่นมันกระเป๋าใส่ยาของฉัน รีบส่งคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”

               พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาชี้นิ้วสบถอย่างเดือดดาล รีบง้างไม้กายสิทธิ์พร้อมทั้งก้าวเท้าเตรียมวิ่งฝ่าแนวหลัง โดยที่ไม่สนว่าตนเองอาจต้องได้รับภัยอันตราย อาเธอเรียซึ่งกำลังใช้ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเท้าเปล่าโจมตีศัตรูในแนวหน้า จึงพลันส่งเสียงห้ามปรามพรรคพวกของตนทันที

               “ช่างมันก่อนเถอะน่า ตอนนี้นายต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้กับซิสเตอร์นะ เพราะงั้นอย่าเข้ามาใกล้ทางนี้เด็ดขาด!”

               ทันใดนั้นร่างอันไร้วิญญาณอีกตนหนึ่งได้แยกเขี้ยวพุ่งเข้าวัตสันจากทางขวามือ โดยอยู่ห่างจากจุดนี้ไม่เกินสองเมตร

               “แฮ่~!!”

               “ซวยแล้วเรา!”

               ความคิดชั่ววูบของวัตสันได้ผุดขึ้นมา คาดว่าตนคงไม่รอดชีวิตเป็นแน่ โชคดีที่สเตฟาเนียรุดหน้าเร่งฝีเท้าเข้ามา ใช้ไม้กวาดแม่มดด้ามยาวซึ่งร่ายพลังเวทปกคลุมเอาไว้ ฟาดฟันใส่ลำตัวศัตรูอย่างจังเสียงดัง “ผัวะ!” ส่งผลทำให้ซากศพตัวดังกล่าวกระเด็นถอยหลังกลับไป

               “ส-สเตฟก้า ทำไมถึงได้…!?” วัตสันรีบหันมาจ้องมองเด็กสาวอย่างท่าทีแปลกใจหลังจากเลิกตื่นตระหนกได้ไม่นาน

               “แทนที่จะถามหาเหตุผลจากฉัน ช่วยเอาเวลาไปคุ้มกันความปลอดภัยให้กับซิสเตอร์จะดีกว่านะคะ”

               “อ… โอ้ว แต๊งกิ้ว”

               บุรุษหนุ่มมาดทะเล้นกล่าวซาบซึ้งในน้ำใจ ก่อนจะหันหลังวกกลับไปหาเวสน่าเพื่อทำหน้าที่คุ้มครองแก่นักพรตสาวต่อ ถึงแม้สเตฟาเนียจะไม่ได้ให้คำตอบชัดเจน แต่ก็พอจะรู้เหตุผลอยู่แก่ใจว่าทำไมเธอถึงเข้ามาช่วยชีวิตเขา เพราะความเป็นเพื่อนที่คบหากันมาอย่างเนิ่นนานนั่นเอง แม้ว่าในยามปกติแล้วสองคนนี้มักจะพูดจาแว้งกัดอยู่เป็นประจำก็ตาม

               “กรรรรร!”

               การโจมตีแนวหลังของฝ่ายศัตรูยังไม่จบลงแต่เพียงเท่านี้ มนุษย์เชิดของ Aka Manah อีกหนึ่งร่างได้แยกกลุ่มกระโจนเข้าหาคลาร่า เด็กสาวร่างเล็กผมทรงทวินเทลสีส้มที่กำลังยืนร่ายคาถาคอยควบคุมม่านพลังอยู่ตรงบริเวณหน้าประตู เธอเผยสีหน้าอากัปกิริยาตื่นตระหนกพลางหลับตาปี๋ แต่ยังคงแน่วแน่ประคองสติเอาไว้จนถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เวทมนตร์หยุดทำงาน

               เลวอนซึ่งอยู่ห่างจากตัวเธอไม่มากนัก รีบเบนไม้กายสิทธิ์ชี้ไปยังซากศพตัวนั้น แล้วเปล่งเสียงร่ายคาถาอย่างฉะฉาน

               “Congelo! (คาถาแช่แข็ง) ”

               แกร๊ก ครึ่กครึ่ก…!

               ร่างของซากศพซึ่งถูกชักใยอยู่ถูกปกคลุมไปทั่วจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ แช่ผนึกเอาไว้กลางอากาศก่อนจะตกลงสู่พื้นระเบียงโดยอยู่ห่างจากเบื้องหน้าของคลาร่าประมาณสามเมตร หลังจากหยุดยั้งการลอบโจมตีสำเร็จเด็กหนุ่มจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง

               “ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม!?”

               “ดิฉันปลอดภัยดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

               คลาร่าตอบกลับด้วยรอยยิ้มโล่งใจ เมื่อรู้ว่าเลวอนยังคงให้ความสำคัญแก่เธอสำหรับแผนการในครั้งนี้

               ——เปรี้ยง!!

               “อ๊าย!!?”

               มีเสียงบางอย่างดังสนั่นกึกก้องจนหลายคนต่างสะดุ้งโหยง ออเดรย์ได้พลาดท่าถูกซากศพร่างหนึ่งเหวี่ยงขาเตะเข้าใส่สีข้างด้านซ้ายอย่างจังกระเด็นลอยกลางอากาศ กระแทกเข้ากับผนังอาคารบริเวณทางเข้าออก ใกล้กับจุดที่เลวอนและคลาร่ากำลังยืนเคียงกันอยู่เกิดเสียงดัง “ตู้ม!” ส่งผลให้จิ้งจอกสาวกระอักเลือดล้มลงไปนอนกับพื้นพร้อมดาบสีดำนิลคู่ใจ

               “แค่กแค่ก…!”

               “ออเดรย์!/คุณออเดรย์!”

               บรรดาผองเพื่อนส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วง เลวอน คลาร่า วัตสัน และเวสน่า รีบเข้าไปดูอาการของสหายหญิงผู้เคราะห์ร้ายพร้อมทั้งทรุดเข่าประคองร่างบาง ในขณะที่โมนิก้า สเตฟาเนีย อิทสึกิ ฮิคาริ และอาเธอเรียเองก็อยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน ทว่าเนื่องจากยังมีเหล่าซากศพคอยโจมตีใส่จึงไม่อาจละทิ้งหน้าที่ได้ ตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมอย่างที่เห็น

               “ทำใจดี ๆ เอาไว้ อย่าหลับเชียวนะ!”

               วัตสันส่งเสียงเรียกเพื่อให้ออเดรย์ยังคงสติ พลางใช้มือล้วงกระเป๋าตามเสื้อโค้ตกับกางเกงตน ค้นหาสิ่งของบางอย่างด้วยความร้อนรนใจ โชคดีที่เด็กหนุ่มรอบคอบแบ่งหลอดน้ำยาจำนวนหนึ่งพกติดตัวเอาไว้ เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วจึงหยิบยารักษาอาการบาดเจ็บขึ้นมา เปิดจุกฝาไม้คอร์กออกแล้วเริ่มป้อนของเหลวสีแดงเข้าไปในปากของแม่มดสาวอย่างช้า ๆ

               ส่วนเวสน่ายกมือซ้ายกุมจี้สร้อยคอไม้กางเขนสีทอง แล้วนำมืออีกข้างวางประทับบนหน้าท้องของออเดรย์ที่กำลังนอนหายใจรวยริน จากนั้นเปล่งวาจาร่ายคาถา “Misericordias Domini (พระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า) ” เพื่อทำการรักษา ร่างของทั้งสองคนปรากฏแสงออร่าอันอบอุ่นอยู่เป็นเวลาหลายสิบวินาที ก่อนจะค่อย ๆ มอดดับลงกลับคืนสู่สภาวะปกติ

               ด้วยความช่วยเหลือจากนักพรตหญิงและพ่อมดหนุ่มนักปรุงยา จึงทำให้จิ้งจอกสาวพ้นขีดอันตราย แม้ว่าสภาพของเธอในตอนนี้จะยังอ่อนแรงเจ็บช้ำอยู่บ้างก็ตาม เหล่าผองเพื่อนเห็นดังนั้นจึงพากันถอนหายใจโล่งอก

               ในระหว่างนั้นเองเสียงอันแหบแห้งของปีศาจนักเชิดมนุษย์ได้ดังแว่วขึ้นจากทางแนวหน้า โดยที่มันขยับปลายนิ้วมือทั้งสิบไปมาอย่างลำพองใจ

               “จงยอมแพ้แล้วกลายมาเป็นหุ่นเชิดของข้าเสียโดยดี”

               “เจ้าพวกนี้มันเลียนแบบการเคลื่อนไหวของพวกเรา แถมยังเอาวิชามวยของฉันมาใช้ทำร้ายออเดรย์อีก ก็เท่ากับว่าฉันได้ทำร้ายยัยเปี๊ยกโดยทางอ้อมเลยน่ะสิ… ชักจะมากเกินไปแล้วนะแก!” อาเธอเรียแสดงท่าทีเดือดดาลโดยยังคงยกสองแขนตั้งท่าเตรียมต่อสู้

               “ฉันเหนื่อยที่จะต้องสู้กับเจ้าพวกซอมบี้แล้วนะ อยากเข้าไปตัดคอเจ้าปีศาจบ้านั่นเต็มทนด้วย แต่ดันมีตัวเกะกะคอยขวางทางฉันอยู่ ขนาดลองใช้คาถาเปลวเพลิงเผาไหม้ซากศพก็ยังไม่เป็นผลเลย”

               ฮิคาริบ่นพึมพำ พลางนำคาตานะเก็บใส่ลงในฝักดาบตรงบริเวณเอวฝั่งซ้ายอย่างประณีต ใช้มือขวากำด้ามเอาไว้ให้กระชับแล้วอยู่ในท่าเตรียมชักอาวุธพร้อมต่อสู้ โดยกวาดสายตาจับจ้องมองเหล่าซากศพซึ่งกำลังปิดล้อมพวกตนไปด้วย อิทสึกิยังคงถือศัสตราวุธในมือหันปลายคมชี้ใส่ศัตรู ตามด้วยเกริ่นน้ำเสียงเหนื่อยหอบออกมา

               “น… นั่นสิขอรับ แต่ถ้าหากการต่อสู้ยังคงยืดเยื้อต่อไป งานนี้มีหวังพวกเราจบสิ้นแน่”

               ทางด้านโมนิก้าและสเตฟาเนียเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากไม่แพ้กัน พวกเธอต่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการใช้เวทมนตร์โจมตี อีกทั้งยังเคลื่อนไหวหลบหลีกเหล่าร่างอันไร้วิญญาณเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายใช้คมเขี้ยวเข้ากัด จนเรือนร่างเริ่มอาบเม็ดเหงื่อเปียกชุ่มเสื้อผ้า คลาร่ามองเห็นภาพรวมของสถานการณ์ทั้งหมดจึงเกิดความกังวลใจ ก่อนจะกล่าวเสนอแนะออกมา

               “ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะสลายม่านพลังเพื่อเข้าช่วยเหลือทุกคนเอง!”

               เด็กสาวผู้มีนัยน์ตาสองสีทำท่าเตรียมดีดนิ้วมือเพื่อยกเลิกคาถา ส่วนวัตสันเองก็หยิบไม้กายสิทธิ์เตรียมบุกฝ่าเข้าไป

               “ถ้างั้นฉันขอร่วมวงด้วยคน”

               “ย… อย่านะ พวกเธอไม่ได้ชำนาญในด้านการต่อสู้มากพอ ขืนยื่นมือเข้าไปยุ่งมีแต่จะเป็นภาระให้กับพวกรุ่นพี่อิทสึกิเสียเปล่า อีกอย่างคลาร่ายังต้องทำหน้าที่ควบคุมม่านพลังเอาไว้ไม่ให้เจ้าปีศาจนั่นหนีรอดไปได้ ไม่อย่างนั้นอาจมีผู้เคราะห์ร้ายตกเป็นหุ่นเชิดของมันเพิ่มขึ้นอีกแน่”

               ออเดรย์ที่นอนอยู่ใต้อ้อมแขนของเลวอนเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา วัตสันจึงทำได้แค่เพียงหน้าคิ้วขมวดแหงนคอมองดูผองเพื่อนซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ พร้อมทั้งพูดจาตัดพ้อออกมาด้วยความเจ็บใจ

               “ปัดโธ่เว้ย แล้วจะให้พวกเราทำยังไงกันเล่า ขืนปล่อยเอาไว้ต่อไปแบบนี้เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นก็คง…!”

               “…”

               วินาทีนั้นเองเลวอนได้กวาดสายตามองดูโดยรอบเพื่อหาจุดเชื่อมโยงหรือสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างของมนุษย์เชิดที่ถูกเวทมนตร์ของตนร่ายเพื่อหยุดยั้งเอาไว้ กำลังนอนแน่นิ่งบนพื้นภายใต้น้ำแข็งสีใสปกคลุมทั่วเรือนกาย และด้วยเหตุนี้เขาจึงประคองร่างของออเดรย์ส่งมอบให้แก่เวสน่า แล้วกล่าวสนทนาต่อทุกคนด้วยท่าทีสุขุมใจเย็น

               “ทุกคนช่วยดูแลออเดรย์ให้ทีนะครับ ผมขอตัวไปสำรวจซากศพที่เพิ่งโดนคาถาแช่แข็งก่อน ไม่แน่ว่าบางทีนั่นอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้พวกเราเผด็จศึกเจ้า Aka Manah ได้”

               “เอ๊ะ…? ข-เข้าใจแล้วค่ะ ระวังตัวด้วยนะคะ”

               เวสน่าตอบตกลงพลางรับร่างของออเดรย์เอาไว้ ถัดมาพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนจึงลุกขึ้นรุดหน้าไปยังศพที่ถูกแช่แข็งเพื่อค้นหาเบาะแส จนกระทั่งพบเห็นลวดสีแดงเส้นบางเฉียบซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับไขสันหลังของร่างไร้วิญญาณ โยงไปจนถึงปลายนิ้วของปีศาจนักเชิดมนุษย์แล้วห้อยผ่านโคมไฟคริสตัลบนเพดานอีกที ยากที่จะสังเกตชัดเจนหากไม่ตั้งสมาธิเพ่งเล็งให้ดี

               เพื่อความแน่ใจ เลวอนจึงหยิบมีดพับจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาตัดลวดเจ้าปัญหาเส้นนั้น จนมันขาดผึงอย่างง่ายดาย และนั่นก็ทำให้เขาฉุกคิดแผนการรับมือกับศัตรูขึ้นมาได้ ก่อนจะย้อนกลับไปสมทบกับพวกวัตสันเพื่อคอยปรึกษาหารือ วางแผนโจมตีเพื่อทำลายซากศพทั้งหมดทิ้ง

               เมื่อเลวอนอธิบายแผนการทั้งหมดให้พวกวัตสันฟัง คลาร่าจึงซักถามเพื่อยืนยันความตั้งใจของเขาอีกครั้ง

               “แน่ใจแล้วเหรอคะ?”

               “อือ นอกจากพวกอิทสึกิแล้ว คนที่พอจะเข้าไปต่อสู้ในระยะประชิดได้มีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้น… คงถึงเวลาที่ผมจะต้องใช้เจ้าสิ่งนี้แล้วล่ะ”

               บุรุษหนุ่มรูปงามตอบกลับพลางนำมือตบเข้าที่เอวฝั่งซ้ายอย่างทะนุถนอม ตรงบริเวณดังกล่าวเป็นศัสตราวุธลับชนิดหนึ่งซึ่งใช้พกติดตัวแทนดาบอัศวิน ถูกพันรอบด้วยผ้าแถบสีดำจนไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน ขณะเดียวกันวัตสันได้ขันอาสาขอเข้าร่วมแผนการจู่โจมในครั้งนี้ด้วย

               “ฉันจะช่วยสนับสนุนการโจมตีด้วยอีกแรง จะได้หยุดยั้งการเคลื่อนไหวของพวกมันทั้งหมด”

               “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นผมขอฝากพวกนายสองคนช่วยดูแลทางนี้ให้ทีนะ… แล้วก็คลาร่า รับไม้กายสิทธิ์ของผมไปใช้ก่อนสิ อย่างน้อย ๆ ก็เอาไว้ร่ายคาถาป้องกันตัวได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องคลายม่านพลังลง”

               เลวอนส่งมอบไม้กายสิทธิ์ให้กับคลาร่า อีกฝ่ายรับมันเอาไว้ก่อนจะเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา

               “ขอบคุณมากค่ะ เช่นนั้นดิฉันขอรับมันเอาไว้อย่างไม่เกรงใจนะคะ”

Options

not work with dark mode
Reset