แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 31: ความสัมพันธ์ลับ ๆ ในห้องลับชั้นใต้ดิน

               เลวอน และสเตฟาเนีย ได้ดำดิ่งลงสู่ชั้นใต้ดินของบ้านร้าง หลังจากที่ทั้งคู่มิอาจต้านแรงโจมตีของ Aka Manah จนพื้นระเบียงชั้นล่างซึ่งทำจากแผ่นไม้เกิดชำรุดทรุดตัวทำให้ร่วงหล่นลงมา โดยไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจุดสิ้นสุดของหุบเหวลึกแห่งนี้จะบรรจบลง ณ ที่แห่งใด

               “Retardo! (คาถาทำให้เชื่องช้า) ”

               พ่อมดหนุ่มรีบร่ายคาถาโดยใช้ดาบคาตานะเป็นอุปกรณ์สื่อนำ จนศัสตราวุธในมือส่องสว่างขึ้นมาเพียงชั่วขณะ ทำให้ความเร็วในการตกลงสู่ภาคพื้นดินของทั้งสองคนเชื่องช้าลง และมีร่างกายที่เบาหวิวเสมือนดั่งขนนก

               ขณะนั้นเองสเตฟาเนียหยิบนาฬิกาพกโบราณสีทองขึ้นมาเปิดฝา เผยให้เห็นถึงชิ้นส่วนฟันเฟืองนับร้อยภายในหน้าปัดอย่างชัดเจน ก่อนจะเอื้อมมือคว้าแขนของเลวอนกลางอากาศ แล้วรีดเร้นพลังเวทเฮือกสุดท้ายเพื่อเนรมิตเวทมนตร์บางอย่าง

               “Tempus subsisto! (เวลาเอ๋ยจงหยุด) ”

               วูบบบบบ!

               คลื่นทรงกลมสีใสคล้ายฟองสบู่ถูกแผ่ขยายออกมาจากอุปกรณ์วิเศษนี้ กระจายตัวเป็นวงกว้างครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก ส่งผลให้เสียงจากภายนอกพลันเงียบสงัดลง ส่วนเศษไม้จากพื้นระเบียงซึ่งตกลงมาตามกันก็ถูกผนึกแช่ค้างกลางอากาศเอาไว้ทั้ง ๆ อย่างนั้น

               นอกจากสองพ่อมดแม่มดคู่นี้แล้ว ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ต่างหยุดนิ่งไม่ขยับไหวติงใด ๆ ทั้งสิ้น

               ในที่สุดเลวอนและสเตฟาเนียก็ได้หย่อนเท้าแตะลงสู่พื้นชั้นใต้ดินโดยสวัสดิภาพ ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดสลัว บุรุษหนุ่มจึงถอนหายใจโล่งอกเพราะนึกว่าตนจะต้องตกลงมากระแทกพื้นอย่างจังเสียแล้ว ก่อนจะแหงนหน้ามองดูทางออกด้านบนซึ่งอยู่สูงจากจุดนี้เกือบร้อยเมตร ราวกับเป็นแสงแห่งปลายทางที่ริบหรี่ยิ่งนัก

               “มืดจังแฮะ มองอะไรไม่แทบไม่เห็นเลย” เลวอนพึมพำ

               “ขอโทษด้วยนะคะรุ่นพี่ ตอนนี้ฉันใช้พลังไปเวทหมดแล้วล่ะ” สเตฟาเนียกล่าวอย่างหมดหวัง

               “ไม่เป็นไร ทางนี้ยังมีพลังเวทเหลือพอที่จะใช้คาถาทั่วไปได้ ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะทำให้พื้นที่รอบ ๆ สว่างขึ้นมาเอง”

               เลวอนตอบกลับด้วยน้ำเสียงละมุนท่ามกลางความมืดมิด แฝงถึงความอบอุ่นฟังดูพึ่งพาได้แม้ว่าสเตฟาเนียจะมองไม่เห็นใบหน้าของคู่สนทนาอย่างถนัดก็ตาม ถัดมาบุรุษจอมดาบเวทได้ชูดาบคาตานะให้ด้ามจับอยู่สูงในระดับอก แล้วเปล่งวาจาแสดงอิทธิฤทธิ์ทันที

               “Claritas (คาถาส่องสว่าง) ”

               พรึ่บ…

               ตัวศัสตราวุธค่อย ๆ ส่องสว่างสีเหลืองนวลคล้ายแสงจากกองไฟ เพียงพอที่จะทำให้ความมืดสลัวภายในชั้นใต้ดินแห่งนี้มลายหายไปจนหมดสิ้น เริ่มมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างชัดเจน และเป็นห้องที่ไม่ค่อยกว้างขวางสักเท่าไหร่นัก

               สิ่งที่พบเห็นมีเพียงแค่ชั้นวางหนังสือกับตู้เก็บสิ่งของตรงริมห้อง กองผ้าห่มจำนวนหนึ่ง เตียงนอน เก้าอี้โซฟาเดี่ยว และเอกสารซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานเท่านั้น พื้นห้องปูด้วยแผ่นไม้อย่างเป็นระเบียบ โดยพบว่าเลวอนและสเตฟาเนียกำลังอยู่ในช่องปล่องไฟขนาดใหญ่กว้างสามตารางเมตร ซึ่งน่าจะเป็นทางเข้าออกเพียงช่องทางเดียว

               “ห้องหลบภัยใต้ดินงั้นเหรอ ไม่นึกเลยว่าจะมีของพรรค์นี้อยู่ในบ้านร้างด้วย”

               แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบแผ่วเบา พลางขยับก้าวเท้าออกจากช่องปล่องไฟเพื่อสำรวจพื้นที่ภายใน บุรุษวัยเยาว์ผู้แสนสุภาพจึงเดินตามแผ่นหลังอีกฝ่าย นำคมดาบเสียบลงในช่องว่างระหว่างรอยต่อของแผ่นไม้บนพื้นให้ตั้งตรง แล้วปล่อยให้มันทำหน้าที่ส่องสว่างต่อไป ก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนาด้วยสีหน้าท่าทีสบาย ๆ ดังนี้

               “ว่าแต่วิชาเมื่อครู่นี้สุดยอดไปเลย ถึงขนาดร่ายคาถาหยุดเวลาเอาไว้ได้ทั้งที่พลังเวทเหลือน้อยแล้วแท้ ๆ”

               “เป็นเพราะได้นาฬิกาเวทมนตร์เรือนนี้ช่วยมากกว่าค่ะ อีกทั้งชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในมีศิลานักปราชญ์บรรจุเอาไว้เพื่อเร่งพลังงานให้สูงขึ้น เลยสามารถหยุดเวลาได้อย่างสบาย ๆ โดยใส่พลังเวทลงไปแค่เพียงนิดเดียว

               ที่สำคัญนี่ไม่ใช่เป็นการหยุดเวลาอย่างแท้จริง ทุกสรรพต่างหากที่เคลื่อนไหวช้าลงกว่าพวกเราหลายเท่าตัว ฉันกับรุ่นพี่เลวอนก็แค่ขยับตัวเร็วขึ้น ณ ห้วงเวลานี้เท่านั้น สำหรับคาถาบทนี้เมื่อเราอยู่ในห้วงมิติที่ถูกสร้างขึ้นเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เวลาในโลกแห่งความเป็นจริงก็จะผ่านไปเพียงแค่หนึ่งวินาทีค่ะ”

               สเตฟาเนียอธิบายหลักการทำงานของอุปกรณ์วิเศษ พลางหยิบไอเท็มชิ้นดังกล่าวขึ้นมาแสดงให้เลวอนเห็นด้วยกิริยาท่าทีกระตือรือร้น ทางพ่อมดหนุ่มผู้แสนซื่อเองก็ตั้งใจสดับรับฟังพร้อมทั้งชมเชยนาฬิกาเวทมนตร์ของเธออย่างสนใจ

               ภายใต้กรอบสีทองของนาฬิกาเรือนนี้แสดงให้เห็นถึงหน้าปัดซึ่งแปลกตา นอกจากเข็มชี้บอกหน่วยเวลาแล้วยังมีแถบวงกลมสัญลักษณ์ประจำเดือนสิบสองราศี สลักตัวเลขอารบิกและโรมันสีทองโดยบอกเวลาแบบ 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยลวดลายภาพดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์สีโปร่งใส มองเห็นชิ้นส่วนฟันเฟืองจากข้างในได้อย่างชัดเจน

               โดยรูปลักษณ์ของอุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกถอดแบบมาจากหอนาฬิกาดาราศาสตร์ปราก (Prazsky Orloj) ตั้งอยู่ในกรุงปราก เมืองหลวงของประเทศเช็กเกีย เป็นหนึ่งในแรร์ไอเท็มหายากพอ ๆ กับศิลานักปราชญ์ และมีน้อยคนนักที่จะสามารถครอบครองเป็นเจ้าของมันได้

               สาเหตุที่สเตฟาเนียใช้คาถาหยุดทุกสรรพสิ่งเอาไว้ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เพื่อที่เธอและเลวอนจะได้มีเวลาหาทางออกจากห้องใต้ดิน ช่วยกันระดมความคิดวางแผนโค่นล้มปีศาจร้าย Aka Manah รวมถึงยื้อเวลาไม่ให้พวกวัตสันได้รับบาดเจ็บจากศัตรูในระหว่างที่ทั้งคู่ไม่อยู่อีกด้วย

               “จริงสิ ต้องขอขอบคุณรุ่นพี่มากเลยนะคะที่พุ่งตัวเข้ามาปกป้องฉันจากการโจมตีเมื่อสักครู่นี้ แต่คราวหน้าได้โปรดอย่าทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนั้นอีกเลย เพราะถ้าหากตอนนั้นคุณยกดาบขึ้นมาตั้งรับไม่ทัน งานนี้อาจมีสิทธิ์ถึงตายได้นะคะ”

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มกล่าวซาบซึ้งพร้อมทั้งพร่ำเตือนอีกฝ่าย ถึงแม้จะแสดงสีหน้าออกมาราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเธอกลับบ่งบอกถึงความห่วงใยชัดเจนจนคู่สนทนาสัมผัสถึงมันได้ ในขณะที่พ่อมดหนุ่มรูปงามตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ

               “เรื่องนั้นผมรู้อยู่แก่ใจดี แต่ก็ไม่อยากทนเห็นพวกพ้องต้องบาดเจ็บเพิ่มด้วยนี่นา เพราะงั้น…”

               “นอกจากรุ่นพี่จะทั้งใจดีและทั้งร้ายกาจแล้ว ยังเป็นคนที่บ้าบิ่นมุทะลุด้วยงั้นสินะคะ”

               “อ… อะไรกัน รู้สึกเหมือนกับว่านั่นไม่ใช่คำชมยังไงยังงั้นเลยแฮะ”

               เลวอนคิ้วขมวดพองแก้มใส่ ต่อให้อีกฝ่ายจะใช้รูปประโยคถนอมน้ำใจลดแรงกระทบกระทั่งแล้วก็ตาม เมื่อสเตฟาเนียเห็นอากัปกิริยาดังนั้นก็ถึงกับแย้มสรวลละมุนพลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ

               สำหรับเขาแล้วการได้เห็นแม่มดสาวมาดนิ่งรายนี้เปิดเผยความน่ารักสดใสออกมา ก็นับว่าหาชมได้ยากพอ ๆ กับแรร์ไอเท็มเลยทีเดียว เพราะในยามปกตินั้นเธอมีนิสัยค่อนข้างเงียบขรึมไม่ค่อยเผยรอยยิ้มให้ใครเห็นบ่อยนัก

               “ที่จริงฉันเพิ่งจะคิดแผนการโค่นล้มปีศาจ Aka Manah ขึ้นมาได้เมื่อสักครู่นี้เองค่ะ หลังจากที่ฉันยืนยันอะไรบางอย่างจนมั่นใจได้ในระดับหนึ่งแล้ว”

               สเตฟาเนียเริ่มต้นเข้าสู่ประเด็นหลัก ก้าวเท้าไปยังโต๊ะทำงานนำกระเป๋าสะพายกับไม้กวาดด้ามยาววางลงบนนั้น ตามด้วยถอดหมวกแม่มดออกจากศีรษะวางทับอีกที ก่อนจะปรี่เท้าไปยังเตียงนอนสีขาวขนาดใหญ่เพื่อนั่งพักผ่อน ในขณะที่เลวอนสละสัมภาระไว้ข้างโซฟาแล้วนั่งลงไปบนนั้นโดยที่ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันพอดี แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างสนใจ

               “จริงเหรอ? ไหนลองเล่าแผนการให้ฟังหน่อยสิ เผื่อผมพอจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง”

               “ตอนที่ฉันใช้คาถา ‘Hastam in iustitia (หอกแห่งการพิพากษา) ’ โจมตีใส่ศัตรู รุ่นพี่เองก็สังเกตเห็นเหมือนกันสินะคะ ถึงแม้ชุดแต่งกายของ Aka Manah จะทำมาจากเส้นลวดที่แข็งแรงจนยากจะใช้อาวุธตัดขาดได้ก็ตาม แต่เรื่องความทนทานและพละกำลังของเขาก็ไม่ได้ถึกทนเหมือนอย่างที่พวกเราคิด ดูจากสภาพแล้วคงน่าจะช้ำในพอสมควร”

               “หมายความว่าถ้าหากพวกเราโจมตีปีศาจตนนั้นที่เขา ต้นคอ ใบหน้า ข้อมือ และตรงบริเวณที่ไม่ใช่ชุดสูท หรือใช้พลังทางกายภาพจู่โจมใส่แบบต่อเนื่องรุนแรงเพื่อให้อีกฝ่ายช้ำใน ก็ถือว่ายังมีโอกาสเอาชนะได้ใช่ไหม?”

               พ่อมดหนุ่มรูปงามสรุปใจความสำคัญ แม่มดสาวพราวเสน่ห์จึงผงกศีรษะ แล้วกล่าวอธิบายต่อไปพลางชูสี่นิ้วมือขวาขึ้นมาเพื่อแสดงท่าทีประกอบ

               “เรื่องนั้นมันก็ใช่ค่ะ แต่พวกเรายังมีปัญหาติดค้างอยู่สี่ข้อคือ…

               หนึ่ง ปีศาจ Aka Manah สามารถควบคุมเส้นลวดเพื่อป้องกันการโจมตี บางทีเส้นโลหะนั่นอาจเสียบเข้ากับไขสันหลังของพวกเราโดยตรง เพื่อทำการเชื่อมต่อและยึดควบคุมร่างกายเอาไว้ได้…

               สอง ตอนนี้กระเป๋าน้ำยาของรุ่นพี่วัตสันตกอยู่ในมือของศัตรูไปแล้ว มีโอกาสที่เจ้าปีศาจตนนั้นจะหยิบน้ำยาขึ้นมาดื่มเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ โดยที่เราไม่ทันได้ใช้มันเลยสักหลอดเดียว…

               สาม ในสถานการณ์ตอนนี้ คนที่ชำนาญด้านการต่อสู้อย่างรุ่นพี่อิทสึกิ รุ่นพี่ฮิคาริ และอาเธอเรียถูกจับเป็นตัวประกัน ออเดรย์เองก็เพิ่งจะฟื้นตัวได้ไม่นานนัก ส่วนสมาชิกที่เหลืออย่างรุ่นพี่วัตสัน ซิสเตอร์ คลาร่า และโมนิก้าก็ไม่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด ถ้าจะให้ร่ายคาถาโจมตีในระยะไกลก็กลัวว่า Aka Manah จะใช้โล่มนุษย์มาเป็นเกราะกำบัง…”

               สเตฟาเนียหยุดพักหายใจโดยที่เธอพับนิ้วทั้งสามลงจนเหลือแค่เพียงนิ้วชี้ เลวอนจึงซักถามถึงปัญหาข้อสุดท้ายไปว่า

               “แล้วข้อที่สี่ล่ะ?”

               “สี่ คนที่พอจะต่อสู้กับศัตรูในระยะประชิดได้มีแค่ฉันกับรุ่นพี่เลวอนเท่านั้น โดยขอให้พวกโมนิก้าคอยสนับสนุนอีกที… แต่ปัญหาใหญ่สุดคือฉันได้ใช้พลังเวทไปจนหมดแล้ว และไม่ถนัดในการดูดซับพลังจากธรรมชาติเหมือนกับจอมเวทคนอื่น ๆ แค่จะขี่ไม้กวาดเหาะขึ้นไปยังทำไม่ได้เลย เว้นแต่ต้องพึ่งพาน้ำยาฟื้นฟูพลังเวทสักสี่ห้าขวด ส่วนรุ่นพี่เลวอนคงใช้เวทมนตร์โบราณขั้นสูงได้อีกไม่เกินสองสามบท ไม่งั้นร่างกายคุณอาจถึงขีดจำกัด”

               ประโยคสุดท้ายที่แม่มดสาวพูดถึงนั้นหมายถึงอาการกำเริบของเลวอนนั่นเอง ต่อให้พ่อมดหนุ่มจะรับประทานยาบำรุงร่างกายตามที่ยาโรสลาฟสั่งมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหายขาดจากโรคภัยแห่งคำสาป เป็นเพียงแค่บรรเทาอาการโดยรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น

               “ปัญหาข้อสุดท้ายสำคัญที่สุดจริง ๆ ต้องรีบแก้ไขจุดนี้ให้ได้เสียก่อน” เลวอนพูดคุยกับสเตฟาเนียอีกครั้ง “อีกอย่างผมดันขี่ไม้กวาดไม่เก่งเสียด้วยสิ เรานี่เป็นพ่อมดที่ใช้ไม่ได้เลยแฮะ… ว่าแต่สเตฟก้าไม่มีน้ำยาฟื้นฟูพลังเวทติดตัวบ้างเลยเหรอ?”

               “เห็นแบบนี้แล้วแต่ฉันถนัดการปรุงยาพิษกับยาต้องเสน่ห์มากกว่านะคะ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเคยทำยารักษาโรคแล้วแจกจ่ายให้กับผู้คนในหมู่บ้านก็เถอะ…”

               สเตฟาเนียปฏิเสธอ้อมค้อม เลวอนถึงกับเผยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่เคยนึกกล่าวโทษเธอเลย

               “ถ้าเรานั่งพักที่นี่เพื่อรอให้พลังเวทฟื้นตัวกลับคืนมาก็คงต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน โดยที่เวลาแห่งความเป็นจริงผ่านไป 10 ถึง 12 วินาที ขืนมัวชักช้าแม้เพียงวินาทีเดียว พวกอิทสึกิอาจตกอยู่ในอันตรายไปมากกว่านี้แน่ พวกเราควรทำยังไงดี…”

               “ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้พวกเราฟื้นฟูพลังเวทได้ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงนะคะ”

               “จ-จริงเหรอ แล้ววิธีที่ว่านั่นคืออะไร?”

               พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนที่กำลังนั่งกอดอกก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นั้น ถึงกับรีบเงยศีรษะขึ้นมาอย่างมีความหวัง ในขณะที่แม่มดสาวหน้าตาสะสวยเริ่มออกอาการเหนียมอายแก้มแดงระเรื่อ ขยับลุกขึ้นจากเตียงโน้มตัวเข้าใกล้ใบหน้าคู่สนทนา ก่อนจะกระซิบกระซาบน้ำเสียงแผ่วเบาที่ข้างใบหูฝั่งซ้ายของเขา

               “มาทำเรื่องลามกด้วยกันยังไงล่ะคะ เพียงแค่เราสองคน…”

               “เหวอ!?”

               เลวอนสะดุ้งตกใจรีบเอียงตัวออกห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อยด้วยท่าทีประหม่า ทางด้านสเตฟาเนียเองยังคงเผยน้ำเสียงละมุนละไมพร้อมทั้งแสดงกิริยายั่วยวน นำปลายนิ้วชี้ซ้ายแตะไปยังกลางอกของบุรุษหนุ่มผู้ใสซื่อ แล้วค่อย ๆ ลูบไล้ลงมาจนถึงบริเวณใต้สะดืออย่างไม่ขัดเขิน

               “ตกใจอะไรกันคะ ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟเคยพูดให้พวกเราฟังไปแล้วนี่นา ว่าสารคัดหลั่งของรุ่นพี่เลวอนมีสรรพคุณ สามารถดื่มเพื่อเพิ่มพูนพลังเวทให้สูงขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเลือด น้ำลาย หรือแม้กระทั่ง…”

               “ค… แค่ดื่มเลือดของผมก็พอแล้วนี่นา!”

               เลวอนชิงตัดบทไม่ให้อีกฝ่ายกล่าวถ้อยคำสุดท้ายออกมา ในขณะที่สเตฟาเนียนำมือขวาวางประทับบนบ่าร่างสูงแกร่งทางฝั่งซ้าย เลื่อนมือบางอีกข้างลูบไล้ไปยังบริเวณต้นขาของเขาแล้วเริ่มอธิบายขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าคู่สนทนาจะแสดงอากัปกิริยาเกร็งทั่วไปร่าง แต่ก็หาได้เผยทีท่าต่อต้านหรือนึกรังเกียจเธอแต่อย่างใด

               “แค่เลือดกับน้ำลายคงไม่พอหรอกค่ะ ถ้าจะให้ดื่มสองอย่างนี้คงต้องใช้ปริมาณสักหนึ่งลิตรเป็นอย่างต่ำ แต่ในขณะที่น้ำกามซึ่งเปรียบได้ดั่งต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตย่อมให้พลังเวทจำนวนมหาศาลได้ดีกว่า เพียงพอที่จะทำให้ฉันใช้คาถาโบราณขั้นสูงได้อีกสักสี่ถึงห้าบท… ถ้าได้รับมันมาจากรุ่นพี่สักหยาดหยดแล้วล่ะก็พวกเราคงมีโอกาสเอาชนะศัตรูได้แน่”

               “ไม่ได้นะ! เรื่องแบบนี้สเตฟก้าควรทำกับคนที่ตัวเองชอบเท่านั้น เพราะงั้นอย่าได้ลดตัวลงมาทำกับผู้ชายที่ไม่เอาไหนอย่างผมเลย… โดยเฉพาะพ่อมดไม่ได้ความที่ทำไม่ได้แม้แต่จะขี่ไม้กวาด…”

               เลวอนยังคงห้ามปรามพร้อมทั้งอธิบายเหตุผล เขาเบือนสายตาไปทางอื่นทั้งที่แก้มแดงระเรื่อตามประสาบุรุษหนุ่มผู้ไร้ซึ่งประสบการณ์ สเตฟาเนียที่พยายามจะชักชวนเขาถึงกับเผยสีหน้าเศร้าสร้อยปนผิดหวังก่อนจะเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบออกมา

               “ที่รุ่นพี่พยายามปฏิเสธแบบนี้ เป็นเพราะฉันมีท่าทีเหมือนผู้หญิงอย่างว่างั้นสินะคะ…?”

               “เธอไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่าเหมือนที่คนอื่นเขาพูดนินทากันสักหน่อย!”

               พ่อมดรูปงามรีบหันมาสบสายตามองแม่มดสาว พร้อมทั้งเน้นน้ำเสียงหนักแน่นไม่ให้เธอพูดจาดูถูกตนเองไปมากกว่านี้ สเตฟาเนียเห็นอากัปกิริยาดังนั้นก็ถึงกับตื้นตันใจ เมื่อรู้ว่าเขามองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอไม่ใช่แค่เพียงเปลือกนอก ก่อนจะแย้มสรวลออกมาจาง ๆ ภายใต้ใบหน้าอันเศร้าสลดเล็กน้อย

               ประโยคดังกล่าวนั้นเป็นความจริง สเตฟาเนียเป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดาที่ไม่ค่อยให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ ทว่าด้วยความที่ตนมีรูปร่างหน้าตาดีและเฉลียวฉลาด เธอจึงกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เหล่าวัยรุ่นชายต่างก็พยายามพิชิตใจมาให้ได้ แต่ช่างน่าโชคร้ายที่บรรดาบุรุษหลาย ๆ คนล้วนลงเอยด้วยการถูกเธอปฏิเสธคำสารภาพรักอยู่เสมอ

               จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากมีใครบางกลุ่มคอยสร้างข่าวใส่ร้ายป้ายสี ทำให้สเตฟาเนียต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกมองในแง่ลบด้วยน้ำมือของพวกนักเรียนหญิง ทว่าในบรรดาวัยรุ่นชายแล้ว เลวอนผู้ซึ่งใกล้ชิดเธอมากที่สุดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นย่อมรู้ถึงนิสัยเนื้อแท้เป็นอย่างดี ว่าแม่มดสาวผู้ยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าเขาตรงนี้เป็นคนอย่างไร

               ยุวสตรีผู้มีบุคลิกมาดนิ่งไม่ค่อยแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้า ติดนิสัยพูดจาขวานผ่าซาก โผงผางแต่มีความจริงใจต่อเพื่อนสนิท ดีมาสุภาพตอบ ร้ายมาก็เมินใส่หรือพูดจาถากถางให้อีกฝ่ายเจ็บแสบไปถึงทรวง ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวหรือมีเพื่อนเป็นเพศตรงข้ามเยอะเท่าที่ควร ทั้งหมดนี้คือสเตฟาเนียที่เลวอนรู้จัก

               การที่สเตฟาเนียตัดสินใจยอมทำเรื่องสำคัญกับเลวอนทั้งที่ไม่ใช่คนรักกัน เพียงเพราะต้องการพลังเวทเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย นั่นหมายความว่าตัวเขานั้นถือเป็นผู้ชายที่เธอให้การยอมรับ ยอมเปิดใจ และให้ความไว้วางใจด้วยเช่นเดียวกัน

               “ขอโทษนะสเตฟก้า ผมไม่ได้ตั้งใจจะส่งเสียงดังใส่เธอเลย”

               บุรุษจอมดาบเวทกล่าวปลอบอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิด หลังจากฉุกคิดขึ้นมาได้พร้อมทั้งสงบสติอารมณ์ เด็กสาวผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีส้มส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับเขาด้วยรอยยิ้มบาง

               “ฉันเข้าใจค่ะว่ามันเป็นเรื่องที่ฉุกละหุกเกินไป… แต่ถ้าหากรุ่นพี่ยังรู้สึกดีกับฉันอยู่ล่ะก็ ได้โปรดช่วยทำตามคำขอจากฉันสักครั้งเถอะนะคะ”

               “ทำไมสเตฟก้าถึงตัดสินใจยอมทำอะไรแบบนี้ด้วยล่ะ?”

               “ก็เหมือนกับตอนที่รุ่นพี่ได้พุ่งตัวเข้ามาช่วยฉันให้รอดพ้นจากอันตรายยังไงล่ะคะ ถ้าหากสิ่งนั้นทำให้พวกเราสองคนมีชีวิตรอดและช่วยเหลือเพื่อน ๆ ทุกคนได้ ขอเพียงแค่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรฉันก็ยอมทำให้ได้ทั้งนั้น อีกอย่างตลอดช่วงเวลาเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันเองก็เริ่มรู้สึกสนใจและอยากจะรู้จักรุ่นพี่เลวอนให้มากกว่านี้ด้วย ถ้าหากครั้งแรกของฉันตกเป็นของผู้ชายอย่างคุณล่ะก็คิดว่าคงไม่น่าจะเลวร้ายอะไรหรอกค่ะ”

               สเตฟาเนียละสองมือบางออกจากร่างสูงโปร่ง ก้าวเท้าถอยหลังกลับไปนั่งลงบนเตียงนอนตามเดิม ถอดรองเท้าบูตสีดำรัดรูปยาวเหนือหัวเข่าวางไว้บนพื้นระเบียง ลงมือปลดกระดุมเปลื้องเสื้อโค้ตออกให้เหลือเพียงแค่เสื้อเชิ้ตคอปกแขนยาวกับกระโปรงเรียบสั้น ก่อนจะขยับตัวให้อยู่ตรงกลางเตียงในท่านั่งพับเพียบ แล้วเอ่ยเชิญชวนเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

               “เข้ามาหาฉันสิคะ รุ่นพี่”

               “สเตฟก้า…”

               เลวอนส่งสายตาจับจ้องมองเด็กสาวจ้าวเสน่ห์อย่างหลงใหล ลุกขึ้นจากโซฟาปลดผ้าคลุมสีเข้มวางเอาไว้บนพำนัก มุ่งไปยังเตียงนอนโดยอยู่ห่างเพียงแค่สองถึงสามก้าว ถอดรองเท้าคัตชูไว้เคียงข้างรองเท้าบูตคู่นั้น แล้วโน้มตัวขึ้นบนเตียงขยับเข้าไปนั่งใกล้เธอ ระหว่างนั้นเองอีกฝ่ายได้เกริ่นซักถามเขาขึ้นมา

               “รุ่นพี่เชื่อมั่นในตัวพวกเรารึเปล่าคะ?”

               “แน่นอนสิ” บุรุษจอมดาบเวทผงกศีรษะอย่างไม่ลังเล

               “เพราะแบบนี้ฉันถึงได้เชื่อใจคุณยังไงล่ะ”

               “แล้วสเตฟก้าล่ะแน่ใจแล้วเหรอ?”

               คราวนี้เลวอนเป็นฝ่ายซักถามบ้าง สเตฟาเนียจึงพยักหน้าให้คำตอบกลับไปโดยปราศจากความกังวลใจ

               “แน่ใจสิคะ เชิญรุ่นพี่ทำตามใจปรารถนาเลยค่ะ”

               เมื่อทั้งสองต่างตกลงปลงใจและยินยอมที่จะทำกิจกรรมเริงรักร่วมกัน พ่อมดหนุ่มรูปงามเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนจึงขยับมือขวาเข้าไปสัมผัสเอวร่างอรชร นำมือหนาอีกข้างวางประทับบนใบหน้าอันอ่อนนุ่มของยุวสตรี แล้วใช้นิ้วโป้งแตะใต้ริมฝีปากอมชมพูอย่างทะนุถนอม สบสายตามองกันเพียงครู่หนึ่งด้วยความเหนียมอาย

               ก่อนที่เขาและเธอจะโน้มตัวเข้าใกล้ เอียงศีรษะให้กันเล็กน้อยเพื่อประทับรอยจูบอันนุ่มนวล มอบความรู้สึกดีให้แก่กันด้วยความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเกินกว่าเพื่อน ภายในห้องลับชั้นใต้ดินแสนเย็นยะเยือก ทว่ากลับอบอุ่นด้วยแสงไฟจากเวทมนตร์ซึ่งสาดส่องไปทั่วทุกบริเวณ

Options

not work with dark mode
Reset