แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 34: เผด็จศึก Aka Manah (1)

               เลวอนกับสเตฟาเนียได้ใช้เวลาร่วมรักและพักผ่อนด้วยกัน จนผ่านล่วงเลยผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ฤกษ์เตรียมตัวเดินทางออกจากห้องใต้ดินอันมืดสลัวเพื่อช่วยเหลือเหล่าพวกพ้องที่กำลังประจันหน้ากับ Aka Manah หรือปีศาจนักเชิดหุ่น ให้รอดพ้นจากภัยอันตรายในบ้านร้างแห่งนี้

               สองพ่อมดแม่มดวัยเยาว์ต่างสวมเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย และเตรียมอาวุธประจำตัวพร้อมเสร็จสรรพ ขณะนั้นเองดูเหมือนเลวอนจะนึกถึงแผนการอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเกริ่นเสนอแนะกับสเตฟาเนียด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพอประมาณ

               “จริงสิ ในเมื่อสเตฟก้าหยุดเวลาเอาไว้ได้ แล้วทำไมเราไม่รีบฉวยโอกาสนี้โจมตี Aka Manah ทั้ง ๆ แบบนั้นไปเลยล่ะ?”

               เด็กสาวพราวเสน่ห์ส่ายหน้าปฏิเสธเล็กน้อย นำหมวกแม่มดอเนกประสงค์สวมบนศีรษะพร้อมให้คำอธิบายไปดังนี้

               “เมื่อก่อนฉันเองก็เคยมีความคิดที่จะทำแบบนั้นอยู่เหมือนกันค่ะ สมัยตอนที่ได้นาฬิกาเวทมนตร์มาใหม่ ๆ ฉันเคยลงมือแกล้งเพื่อนคนหนึ่งโดยอุ้มร่างเธอไปยังสถานที่ไม่คุ้นตา หรือแม้กระทั่งใช้มีดสั้นลอบทำร้ายศัตรูหลังจากหยุดเวลาเอาไว้แล้ว ถึงอย่างนั้นการกระทำดังกล่าวก็ไม่อาจส่งผลต่อโลกแห่งความเป็นจริงอยู่ดี… เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น รุ่นพี่ลองใช้ดาบฟันไปที่เก้าอี้โซฟาตัวนั้นดูสิคะ”

               สเตฟาเนียชี้นิ้วไปยังเฟอร์นิเจอร์สีแดง เลวอนหันหน้าแลดูสิ่งของดังกล่าวก่อนจะวกกลับมามองคู่สนทนาอย่างแปลกประหลาดใจ อย่างไรก็ดีเขาไม่คิดที่จะซักไซ้หรือสงสัยมากไปกว่านี้ มุ่งตรงหยิบดาบคาตานะที่ปักไว้บนพื้นไม้ซึ่งยังคงส่องสว่างอยู่ขึ้นมา นำสองมือหนาจับด้ามไว้ให้มั่นพร้อมทั้งเพ่งเล็งสายตาไปยังเป้าหมาย

               จากนั้นง้างศาสตราวุธขึ้นเหนือศีรษะแล้วตามด้วย…

               ฉึบ!

               บุรุษหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันใช้ดาบฟาดฟันลงไปภายในคราวเดียวจนเก้าอี้โซฟาถูกผ่าออกเป็นสองซีก ทว่าหลังจากที่เขาละศัสตราวุธออกจากเป้าหมายเพียงไม่นานนัก วัตถุซึ่งได้รับความเสียหายเมื่อสักครู่นี้ก็พลันสมานตัวเข้าหากัน กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างน่าอัศจรรย์

               “น… นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?” เลวอนพึมพำด้วยความตะลึงพรึงเพริด

               “เนื่องจากโลกที่พวกเรากำลังอาศัยอยู่นั้น ถูกแบ่งแยกออกจากโลกแห่งความเป็นจริงกลายมาเป็นมิติคู่ขนาน เวลาซึ่งดำเนินกันอย่างไม่สัมพัทธ์ทำให้พวกเราไม่สามารถทำลายวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ได้ ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ และจะไม่มีการส่งผลกระทบใด ๆ ต่อเหตุการณ์จริงทั้งสิ้นหลังจากคลายคาถา เดิมทีเวทมนตร์บทนี้มีไว้เพื่อศึกษาเรียนรู้ และเพื่อใช้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของทุกสรรพสิ่งเท่านั้นค่ะ”

               แม่มดสาวนักปรุงยาชี้แจงอีกครั้ง แม้จะฟังดูซับซ้อน แต่สำหรับคนที่ใคร่รู้ในวิชาวิทยาศาสตร์อย่างเลวอนนั้นกลับทำความเข้าใจได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยเหตุนี้แผนการสังหารปีศาจ Aka Manah ในขณะหยุดเวลาจึงกลายเป็นหมันไปโดยปริยาย ต่อให้เป็นแนวคิดที่น่าสนใจก็ตาม

               เมื่อสองหนุ่มสาวสะพายกระเป๋าเตรียมอุปกรณ์เสร็จสิ้นแล้ว สเตฟาเนียจึงใช้ไม้กวาดด้ามยาวเนรมิตคาถาขึ้นหนึ่งบท

               “Pumilio alba (ดวงไฟแคระขาว) ”

               เพียงไม่กี่อึดใจ เบื้องหน้าของสเตฟาเนียก็เริ่มปรากฏให้เห็นถึงดวงไฟทรงกลมสีขาวขนาดเล็กเท่ากำปั้น ค่อย ๆ ส่องแสงสว่างสบายตาเพื่อคลายความมืดสลัวภายในห้องใต้ดินที่เย็นยะเยือกแห่งนี้

               “Nox (คาถาดับแสงสว่าง) ”

               เลวอนยกเลิกคาถาส่องสว่างซึ่งร่ายอยู่บนตัวดาบคาตานะ ทำให้แสงไฟมอดดับลงและกลับคืนสู่สภาวะปกติ ก่อนจะนำศัสตราวุธเก็บใส่ลงในฝักดาบข้างเอวฝั่งซ้ายมือตามเดิม ถัดมาสองหนุ่มสาวจึงก้าวเท้าเข้าไปข้างในช่องปล่องไฟขนาดใหญ่หรือจุดที่ทั้งคู่ได้ตกลงมา เพื่อย้อนกลับไปยังบนภาคพื้นดินและสมทบกับพรรคพวกของตนโดยเร็ว

               สเตฟาเนียจัดตำแหน่งไม้กวาดกายสิทธิ์ให้ลอยเหนือพื้นใกล้เคียงกับแนวระนาบ แล้วขยับยกเท้านั่งคร่อมลงบนด้ามจับระหว่างกึ่งกลาง ลักษณะดูไม่ค่อยแตกต่างจากการขับขี่รถจักรยานยนต์สักเท่าไหร่นัก เพียงแต่ไม่มีคันบังคับหรือเบาะเก้าอี้นุ่ม ๆ รองรับบั้นท้ายเท่านั้น ถัดมาจึงหันไปกล่าวต่อเลวอนเพื่อให้อีกฝ่ายได้ซ้อนท้ายขึ้นโดยสาร

               “ขึ้นมาสิคะรุ่นพี่ อย่าลืมจับตัวฉันเอาไว้ให้แน่น ๆ ด้วย”

               เลวอนสลัดความลังเลใจทิ้งไปพร้อมทั้งผงกศีรษะตอบรับ ยกเท้าขึ้นขี่ไม้กวาดซ้อนท้ายแม่มดสาว แล้วนำสองมือหนาวางลงบนบ่าร่างบางด้วยอากัปกิริยาแข็งเกร็ง จนอีกฝ่ายต้องหันมากล่าวเตือนต่อเขาด้วยความปรารถนาดี

               “ขืนจับแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้ร่วงลงมาจากไม้กวาดหรอกค่ะ มาถึงขั้นนี้แล้วจะโอบกอดเอวฉันให้แน่น ๆ เหมือนอย่างที่เราสองคนเคยทำด้วยกันบนเตียงฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะคะ”

               “ย… อย่าแซวผมสิ”

               บุรุษวัยเยาว์แก้มแดงระเรื่อด้วยความประหม่า พลางเลื่อนสองมือหนาสอดใต้วงแขนเพื่อสวมกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้ให้กระชับ จนเรือนร่างของทั้งคู่แนบชิดติดกัน ยุวสตรีจ้าวเสน่ห์เห็นดังนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะหันศีรษะไปยังเบื้องหน้าตามปกติ แล้วเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบอีกครั้งโดยแฝงไว้ซึ่งความจริงจัง

               “จะไปแล้วนะคะ”

               “อื้อ”

               สิ้นเสียงถ้อยคำขานรับจากเลวอน สเตฟาเนียจึงออกแรงใช้สองมือบางกำด้ามจับไม้กวาดเอาไว้ให้มั่น ตั้งสมาธิสูดลมหายใจเข้าให้ลึกจนเต็มปอด แล้วเปล่งวาจาร่ายคาถาออกไปอย่างเยือกเย็นเป็นการปิดท้าย

               “Praevolo (จงโบยบิน) ”

               วืด…

               ไม้กวาดที่ทั้งสองหนุ่มสาวนั่งโดยสารอยู่ค่อย ๆ ลอยเหนือพื้นมุ่งขึ้นสู่ด้านบน พร้อมออกอาการส่ายโคลงเคลงเล็กน้อย เริ่มเร่งความเร็วไปพลางในขณะที่ไต่ระดับความสูง โดยมีลูกไฟสีขาวขนาดเล็กคอยให้แสงสว่างคล้ายไฟฉายหน้ารถอีกที

               เมื่อการสั่นไหวโงนเงนเริ่มหยุดนิ่งลงจนเกิดความเสถียร แม่มดหญิงผู้น่ารักแสนซนก็ได้บังคับให้ปลายยานพาหนะตั้งเชิดหน้าขึ้น 90 องศา ส่งผลทำให้เธอและบุรุษหนุ่มรูปงามอยู่ในท่าเอนหลังขนานกับพื้นมองดูแล้วชวนน่าหวาดเสียว ไม่ทันที่เลวอนจะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ดังกล่าว ไม้กวาดด้ามยาวก็พลันพุ่งทะยานตัวขึ้นสู่เวหาทันทีราวกับรถไฟฟ้าความเร็วสูง

               ——ซูมมมมมมมม!

               “เหวอออออออออ!”

               เลวอนส่งเสียงร้องลั่น เดิมทีตัวเขาไม่ได้มีความชำนาญหรือคุ้นเคยกับการขี่ไม้กวาดอยู่แล้ว สิ่งที่พอจะทำได้ตอนนี้คือสวมกอดร่างของสเตฟาเนียเอาไว้ให้มั่นเพื่อไม่ให้ตนเองต้องพลัดตกลงไป ท่ามกลางความเร่งแรงโน้มถ่วงซึ่งคอยกดทับร่างของทั้งสองคน โดยที่ปลายเส้นผมและชุดแต่งกายต่างพัดปลิวไสวตามแรงลมไปพลาง

               “Praesidio! (คาถาคุ้มครอง) ”

               สเตฟเนียเสกคาถาป้องกันภัยขึ้นมา ปรากฏให้เห็นถึงวงแหวนเวทรูปดาวหกแฉกสีฟ้ากว้างสองเมตรอยู่ตรงเบื้องหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ตนและผู้โดยสารโดนเหล่าเศษไม้จากพื้นระเบียงซึ่งถูกแช่แข็งลอยอยู่กลางอากาศพุ่งเข้าปะทะใส่ ในขณะที่ทำความเร็วสูงสุด

               เหล่าซากเศษไม้นับสิบได้พลันสลายหายไปกลายเป็นฝุ่นหลังจากสัมผัสเข้ากับเกราะมนตรา ถึงกระนั้นกว่าที่พวกมันจะสมานตัวกลับคืนสู่รูปร่างเดิมตามปกติ สองพ่อมดแม่มดวัยใสก็ได้ทิ้งตัวห่างออกจากจุดดังกล่าวไปไกลหลายโยชน์เสียแล้ว จนกระทั่งพบเห็นแสงสว่างตรงปลายทางออก โดยเหลือเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงจุดหมายปลายทาง

               “Magica Expunga! (ลบล้างคาถา) ”

               เมื่อทะยานเข้าใกล้สู่พื้นที่ภายในห้องโถงของบ้านร้าง สเตฟาเนียก็ได้ร่ายคาถาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้เวทมนตร์หยุดเวลา ดวงไฟแคระขาว และมนตราคุ้มครองถูกยกเลิก ทุกสรรพสิ่งซึ่งถูกผนึกแช่แข็งเอาไว้กลับคืนสู่สภาวะปกติ ในท้ายที่สุดทั้งคู่จึงหลุดพ้นจากหุบเหวแห่งความมืดมิดได้สำเร็จ

               “เลวอน!/สเตฟก้า!”

               ฮิคาริและเหล่าผองเพื่อนต่างเผยสีหน้าประหลาดใจปนความรู้สึกยินดี หลังจากที่พบเห็นสองหนุ่มสาวพุ่งออกมาจากช่องโหว่ใต้ระเบียงพื้นบ้านด้วยไม้กวาดวิเศษ ขณะเดียวกันปีศาจนักเชิดมนุษย์หรือ Aka Manah กลับเผยอากัปกิริยาหวั่นวิตกพร้อมเปล่งเสียงอุทาน เพราะไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยังมีชีวิตรอดกลับมาได้โดยใช้เวลาแค่เพียงไม่ถึงสองวินาทีด้วยซ้ำ

               “บ้าน่า ได้ยังไงกัน!?”

               ในจังหวะที่อมนุษย์ร่างแกร่งกำลังตกตะลึงต่อเหตุการณ์ดังกล่าว เลวอนก็ได้ฉวยโอกาสนี้กระโดดลงมาจากไม้กวาดด้วยความสูงราวหนึ่งเมตร ปล่อยให้สเตฟาเนียบังคับยานพาหนะทำท่าพุ่งใส่เป้าหมายเพื่อดึงดูดความสนใจ โดยที่มือขวาของเธอถือมีดสั้นหมายจะตัดอะไรบางอย่างไปจากศัตรู และแล้ว…

               ฉัวะ!

               ไม่ทันที่ปีศาจกะโหลกวัวร่างมนุษย์จะยกสองแขนขึ้นมาตั้งการ์ดป้องกันตัว คมมีดก็ได้กรีดเข้าที่สายสะพายกระเป๋าของวัตสันซึ่งอีกฝ่ายกำลังสวมพาดไหล่อยู่จนขาดสะบั้น เลวอนอาศัยช่วงชุลมุนดังกล่าวเข้าแย่งชิงสัมภาระอย่างรวดเร็ว รีบเร่งฝีเท้าวิ่งหนีออกห่างจากศัตรูสุดกำลังทันที

               “เอาของข้าคืนมา!”

               Aka Manah แผดเสียงเกรี้ยวกราดพลางวิ่งไล่หลังง้างหมัดขวาหมายจะชกใส่เด็กหนุ่ม ทว่าวัตสันได้ตวัดไม้กายสิทธิ์ชี้ไปยังอีกฝ่าย เนรมิตคาถาโจมตีพื้นฐานเพื่อหยุดยั้งคู่ต่อสู้เพียงชั่วขณะ รวมถึงช่วยปกป้องสหายตนให้รอดพ้นจากภัยอันตราย

               “Sonantis tonitrui! (อัสนีวายุ) ”

               สายฟ้าและสายลมถูกปลดปล่อยออกจากปลายไม้ปะทะเข้ากับมือขวาของปีศาจนักเชิดมนุษย์ ทำให้การเคลื่อนไหวของมันหยุดชะงักและชาไปทั่วร่าง เลวอนจึงรอดพ้นจากการถูกลอบโจมตีด้านหลัง ไม่นานนักพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาจอมทะเล้นก็ได้ตะโกนใส่อสูรร้ายอย่างไม่สบอารมณ์

               “อย่าพูดบ้า ๆ เดิมทีกระเป๋าใบนี้มันเป็นของฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้วนะเฟ้ย!”

               “รับไปวัตสัน!”

               เลวอนรีบโยนกระเป๋าสะพายส่งให้ วัตสันจึงยกสองแขนโอบรับเอาไว้ ทางด้านสเตฟาเนียซึ่งกำลังขี่ไม้กวาดบินวนรอบอสูรร่างแกร่งเพื่อเป็นเป้าสายตา ก็เร่งมอบคำสั่งให้แก่คลาร่าที่ยังคงยืนร่ายคาถาม่านพลังตรงหน้าประตูอย่างไม่รีรอช้า

               “คลาร่า ช่วยลดขนาดของโดมลงแล้วกักขังเจ้านี่เอาไว้ให้หน่อยสิคะ!”

               “ข… เข้าใจแล้วค่ะ!”

               เด็กสาวร่างบางผมทวินเทลสีส้มส่งเสียงขานรับหลังจากนึกลังเลใจเพียงไม่นาน เธอนำเอาไม้กายสิทธิ์ของเลวอนเก็บใส่ลงในกระเป๋ากระโปรง ยื่นสองแขนไปยังเบื้องหน้าโดยที่ตำแหน่งมือซ้ายหงายอยู่เบื้องล่าง ส่วนมืออีกข้างอยู่เหนือด้านบนในลักษณะคว่ำ แล้วเพ่งเล็งสายตาจับจ้องมองศัตรูผ่านช่องว่างระหว่างสองฝ่ามือให้ตรงกัน

               ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเปล่งเสียงเรียกขานนามแห่งมนตราออกไปอย่างหนักแน่น

               “Compendium! (คาถาบีบอัด) ”

               ทันทีที่คลาร่าออกแรงขยับสองมือบางเข้าหากัน โดมครึ่งวงกลมสีใสขนาดใหญ่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บ้านร้างภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรก็เริ่มหดตัวลง แต่ไม่อาจเร่งรีบเพื่อบีบจำกัดวงแคบให้เร็วกว่านี้ได้เนื่องจากต้องใช้สมาธิอย่างสูง ณ วินาทีนั้นเอง Aka Manah สังเกตได้ถึงพลังเวทบางอย่างที่กำลังโอบล้อมเข้ามาหาตน จึงเปลี่ยนเป้าหมายจากสเตฟาเนียก้าวเท้าพุ่งเข้าหาแม่มดสาวนัยน์ตาสองสีอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งปลดปล่อยเส้นลวดสีแดงออกมาจากปลายเขาเพื่อโจมตีใส่เธอ

               “เสร็จข้าล่ะแม่หนู!”

               “Congelo! (คาถาแช่แข็ง) ”

               โมนิก้ากับวัตสันเข้ามาขัดขวางได้ทัน ทั้งคู่เปล่งวาจาร่ายคาถาพลางโบกสะบัดไม้กายสิทธิ์ชี้ไปยังปีศาจนักเชิดมนุษย์อย่างพร้อมเพรียง ส่งผลทำให้เกิดก้อนน้ำแข็งจับตัวเกาะตรงบริเวณขาทั้งสองข้างของอสูรร่างใหญ่ แล้วตรึงเข้ากับพื้นระเบียงเอาไว้อย่างหนาแน่นเพื่อไม่ให้ขยับเคลื่อนไหว เส้นโลหะบางสีชาดซึ่งปล่อยออกมาจากปลายเขาของมันเอง ก็ถูกหยุดยั้งเอาไว้กลางคันด้วยผลของคาถาเช่นเดียวกัน

               ——ปึ้ง!

               ในที่สุดม่านแห่งมนตราก็ได้บีบตัวเข้าหา Aka Manah สำเร็จจนมันสิ้นแรงขัดขืนไปชั่วขณะ ระหว่างนั้นสีของเส้นลวดซึ่งกำลังมัดตรึงร่างของฮิคาริ อาเธอเรีย และอิทสึกิ เริ่มซีดจางลงเนื่องจากถูกกำแพงโดมปิดกั้น ด้วยเหตุนี้ศัตรูจึงไม่สามารถส่งพลังเวทเพื่อควบคุมความหนาของด้ายแห่งเหล็กได้อีกต่อไป พลางร้องโอดครวญทนรับแรงอัดที่กระชั้นชิดเข้ามาอย่างรุนแรง

               เลวอนจึงฉวยโอกาสนี้ชักคาตานะออกจากฝักดาบในลักษณะชี้คมลงล่าง พุ่งตรงเข้าไปตัดด้ายแห่งพันธนาการสีชาดทั้งสามเส้นให้ขาดสะบั้น โดยไม่ต้องรอให้สเตฟาเนียหรือเพื่อนคนใดออกคำสั่ง

               “ช้าจริงนะเจ้าลูกแกะ!”

               “ทำได้ดีมากเจ้าหนู!”

               “มาซัดเจ้านั่นให้หมอบกันเถอะขอรับ!”

               ฮิคาริ อาเธอเรีย และอิทสึกิ ต่างหลุดพ้นจากการถูกจองจำกลางอากาศพร้อมทั้งกล่าวน้ำเสียงดีใจ ทันทีที่ปลายเท้าของทั้งสามคนแตะลงบนพื้น เวสน่าซึ่งยืนอยู่ในตำแหน่งแนวหลังจึงทำหน้าที่สนับสนุน โดยการยกสองมือขึ้นมากุมจี้ไม้กางเขนประสานกันไว้ แล้วเริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ร่ายคาถาฟื้นฟูให้แก่พรรคพวกเพื่อชดเชยพลังเวทและพละกำลังที่สูญเสียไป

               “Misericordias Domini (พระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า) ”

               ลำแสงสีทองจากเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์ได้พวยพุ่งเข้าหาและปกคลุมร่างของนักสู้แห่งแนวหน้าทั้งสามคน ส่งผลทำให้พละกำลังของซามูไรสาว ยุวสตรีจอมพลัง และเทพสุนัขหนุ่มกลับมาฟื้นฟูคืนสภาพโดยสมบูรณ์ พร้อมที่จะลุยกับศัตรูได้อีกครั้ง

               “กรรรรรรรรร!!”

               ปีศาจนักเชิดมนุษย์แผดเสียงคำราม รวบรวมพละกำลังทั้งหมดขยับร่างกายซึ่งถูกตรึงไว้อยู่กับที่โดยการสะบัดแขนขาออกทั้งสองข้าง กลุ่มก้อนน้ำแข็งกับม่านพลังจึงพลันแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ดัง “เพล้ง!!” สร้างความประหลาดใจให้แก่สมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรเป็นอย่างมาก จากนั้นอสุรกายร้ายจึงประกาศศักดาแสดงความอำมหิตใส่เหล่าคู่ต่อสู้อย่างโกรธแค้น

               “เจ้าพวกโอหัง บุกรุกเข้ามาในถิ่นข้าไม่พอ ยังบังอาจทำลายเหล่าตุ๊กตาสุดแสนน่ารักของข้าอีก วันนี้แหละข้าจะทำให้พวกเจ้ากลายเป็นศพเดินได้!!”

               “โฮ่ พูดแบบนี้ก็สวยสิ เพื่อเป็นการชดใช้ที่แกจับมัดพวกเราแล้วดูดกลืนพลังเวทไปจนเกือบหมด เพราะงั้นครั้งนี้ขอเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกหน่อยเถอะ”

               อาเธอเรียพูดจาโต้กลับอย่างไม่ยี่หระ พลางยกสองมือกำหมัดหักข้อนิ้วเกิดเสียงกรอบแกรบพร้อมที่จะพุ่งเข้าหาศัตรูได้ทุกเมื่อ โดยที่ตัวเธอ ฮิคาริ อิทสึกิ โมนิก้า และวัตสัน เริ่มจัดรูปแบบการโจมตีคอยขนาบล้อม Aka Manah เอาไว้ สเตฟาเนียจึงลดระดับความสูงลงมาจากไม้กวาดด้ามยาวเพื่อเข้าร่วมสมรภูมิด้วยอีกคน

               เนื่องจากปีศาจนักเชิดมนุษย์ไม่มีข้าบริวารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นการอาศัยจำนวนมากเข้าปะทะใส่จึงเป็นเรื่องเหมาะสม จังหวะที่ฮิคาริและผองเพื่อนต่างยืนตั้งท่าพลางจับจ้องมองอสูรชั่วผู้น่าเกรงขามคอยดูชั้นเชิง เลวอนผู้ซึ่งอยู่ห่างจากวงล้อมแนวหน้าราวสิบเมตรก็ได้เกริ่นร้องขอต่อเหล่าสหายร่วมรบดังนี้

               “จากนี้ไปผมจะร่ายเวทมนตร์โบราณขั้นสูงเพื่อใช้ลำนำสัประยุทธ์อีกครั้ง รบกวนทุกคนช่วยถ่วงเวลาศัตรูสักประมาณหนึ่งนาทีจะได้ไหมครับ!?”

               กองกำลังแนวหน้านึกลังเลใจเล็กน้อย แต่เมื่อชำเลืองสายตามองดูจึงพบว่าสีหน้าของบุรุษหนุ่มจอมดาบเวทนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าศึกในครั้งนี้ตัวเขาจะสามารถลงดาบสังหารอมนุษย์ร่างแกร่งได้อย่างแน่นอน ก่อนที่ทุกคนจะตอบรับคำขอจากอีกฝ่ายด้วยความเชื่อมั่น

               “โอ้ว!/ได้เลยค่ะ!/ตกลงขอรับ!/ค่ะ!”

               “ดูท่าทางสนุกสนานกันจังเลยนะ ให้ฉันร่วมวงด้วยคนสิ”

               ระหว่างนั้นเองจิ้งจอกสาวผมสีขาวยาวสลวย หรือออเดรย์ ก็ได้มุ่งปรี่เข้ามาสมทบรวมกลุ่มกับพวกวัตสันในแนวหน้าพลางส่งเสียงเริงร่าส่ายหางกระดิกหูไปมาเล็กน้อย หลังจากพักฟื้นร่างกายมาเป็นเวลาสักพัก โดยที่สองมือบางถือดาบสีนิลเล่มใหญ่คู่ใจของตนไว้ให้มั่นเตรียมพร้อมต่อสู้ โมนิก้าเห็นดังนั้นจึงรีบหันไปซักถามอย่างเป็นกังวล

               “อ-ออเดรย์ หายดีแล้วเหรอคะ?”

               “ถึงสภาพร่างกายตอนนี้จะยังแค่ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มากพอที่จะสตั๊นหน้าเจ้าปีศาจบ้านั่นได้สักดอกล่ะนะ!”

               จิ้งจอกสาวจอมดาบเวทตอบกลับอย่างมั่นใจ ก่อนจะกวาดสายตาข่มจิตสังหารใส่ Aka Manah จนคนรอบข้างพลอยหวาดผวาตามไปด้วย ดูเหมือนว่าเธอจะยังคงโกรธแค้นเรื่องที่อีกฝ่ายทำร้ายตนจนบอบช้ำกระอักเลือดเจียนตายอยู่ แต่ไม่ทันที่จะป่าวประกาศคำสั่งโจมตีใด ๆ คลาร่าก็ได้กล่าวอาสาก้าวเท้าเข้ามาสมทบกับกลุ่มแนวหน้าเพื่อร่วมสู้อย่างเต็มใจ

               “ในเมื่อม่านพลังได้สูญสลายหายไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นดิฉันขอทำหน้าที่สนับสนุนการโจมตีด้วยอีกแรงนะคะ”

               “โอเคเลยคุณหนู ได้กองกำลังเสริมสุดแกร่งมาช่วยแบบนี้ค่อยอุ่นใจขึ้นหน่อย”

               ฮิคาริยอมรับน้ำใจของคลาร่า พลางเลื่อนมือขวาจับด้ามคาตานะเตรียมชักดึงศัสตราวุธออกมาจากฝัก โดยยังคงจ้องเขม็งเล็งใส่ศัตรูหมายจะเอาชีวิตเสียให้ได้ ทางด้านปีศาจนักเชิดมนุษย์จึงเริ่มเปลี่ยนอิริยาบถยกสองแขนขึ้นมากำหมัดให้อยู่ในระดับอก เนื่องจากตอนนี้ตนไม่เหลือเกราะหรืออาวุธใด ๆ ไว้ใช้ป้องกันตัวเองอีกแล้วนอกจากเส้นโลหะบางสีชาดเท่านั้น

               ถัดมาจึงเริ่มพูดจาท้าทายต่อเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

               “ดี ดาหน้ากันเข้ามาให้หมด ข้าจะได้ใช้เส้นลวดยึดครองร่างของพวกเจ้าทุกคนในคราวเดียว!”

               ออเดรย์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อตั้งสมาธิให้มั่น โดยที่สองมือบางจับกระชับด้ามดาบสีดำนิลคู่เอาไว้ ก่อนจะสวมบทบาทในฐานะผู้นำแนวหน้า แล้วออกคำสั่งโจมตีอีกครั้งอย่างห้าวหาญ

               “ทุกคนลุยได้!”

               ศึกการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างเหล่านักเรียนจอมเวทกับปีศาจ Aka Manah ได้เริ่มต้นขึ้น สมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรทุกคนต่างส่งเสียงเรียกขวัญกำลังใจ รีบงัดทักษะกับอาวุธที่มีอยู่ทั้งหมดเข้าห้ำหั่นใส่อสูรร่างใหญ่ทันที

Options

not work with dark mode
Reset