แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 36: เผด็จศึก Aka Manah (3)

               “กรรรรรรรร!”

               ปีศาจนักเชิดมนุษย์หรือ Aka Manah แผดเสียงคำรามพลางก้าวเท้ามุ่งหน้าหมายจะง้างหมัดซัดใส่บุรุษจอมดาบเวทกับเด็กสาวผู้ชำนาญวิชาอาคม ทันทีที่ต่างฝ่ายต่างอยู่ในระยะห้าเมตรลงมา สองพ่อมดแม่มดจึงรีบกระจายกำลังแยกซ้ายขวาโจมตีขนาบข้าง โดยใช้ดาบคาตานะกับไม้กวาดด้ามยาวซึ่งอาบพลังมนตราโจมตีใส่เป้าหมายอย่างไม่รีรอ

               เปรี้ยง!!

               อสูรร้ายร่างใหญ่รีบชักสองแขนขึ้นมาตั้งศอกปกป้องศีรษะตน หลังจากที่มันอ่านรูปแบบการเคลื่อนไหวของศัตรูออก อีกทั้งเสื้อสูทสีดำแกมแดงซึ่งสวมใส่อยู่มีความเหนียวทนทานเป็นพิเศษ จึงสามารถต่อต้านแรงปะทะได้ โดยที่ชุดแต่งกายหรือผิวหนังปราศจากรอยขีดข่วน ก่อนจะกล่าวเย้ยหยันอย่างพึงลำพองใจ

               “รวดเร็วจนน่าประทับใจ แต่พวกเจ้ามีแรงแค่นี้เองหรอกเรอะ!?”

               Aka Manah รีบเหวี่ยงกำปั้นขวาชกเข้าใส่เลวอนซึ่งอยู่ทางเบื้องซ้ายดัง “พลั่ก!” จนบุรุษรูปงามกระเด็นถอยหลังทั้งยืนออกห่างจากตนราวสิบเมตร เกิดแรงเสียดสีระหว่างพื้นรองเท้าคัตชูกับระเบียงไม้ฟังแล้วชวนเสียวฟัน เคราะห์ดีที่พ่อมดหนุ่มยกศัสตราวุธขึ้นมาต่อต้านการโจมตีชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ทำให้เขาไม่ได้รับแรงปะทะโดยตรง

               สเตฟาเนียอาศัยจังหวะนี้แทงด้ามไม้กวาดเล็งไปยังต้นคอของ Aka Manah ในระหว่างที่มันกำลังให้ความสนใจแก่เป้าหมายรายอื่น ทว่าเจ้าปีศาจตนนี้กลับเอี้ยวลำตัวไปทางซ้ายหลบหลีกได้แบบหวุดหวิดแม้จะถูกลอบโจมตีจากทางด้านหลัง เครื่องมือประหัตประหารซึ่งปกคลุมด้วยลำแสงสีขาวสลับเงินเชือดเฉือนเข้าที่ผิวหนังศัตรูไม่ลึกมากนักจนเลือดไหลซึมออกมา

               “ช่างรอบรู้สถานการณ์เสียจริงนะคะ” แม่มดสาวพราวเสน่ห์อุทานน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความประหลาดใจ

               “ฉลาดมากที่มองหาจุดอ่อนของข้าจนเจอ”

               อสุรกายผู้แข็งแกร่งกล่าวชมเชยก่อนจะหมุนลำตัวหันไปยังอีกฝ่าย พลางสำแดงฤทธิ์เดชตรงบริเวณเขาคู่รูปเกลียวจนส่องสว่างเพื่อปลดปล่อยด้ายเหล็กสีชาดออกมา ในขณะที่สเตฟาเนียกำลังจะก้าวเท้าถอยหลังออกห่างพร้อมยกไม้กวาดขึ้นมาป้องกัน เลวอนก็ได้เร่งพลังมนตราโบราณขั้นสูงซึ่งปกคลุมร่างตนในโหมดลำนำสัประยุทธ์ส่งไปยังคาตานะ ปรากฏแสงสีฟ้าขาวพร้อมทั้งอสนีบาต แล้วพุ่งเข้าหาบรรเลงคมดาบฟาดฟันใส่ศัตรูแบบฉับพลัน

               ——ฉึบ!!

               และนั่นก็ทำให้เส้นโลหะสีชาดขาดสะบั้นกลางอากาศโดยไม่ทันได้แตะต้องถึงตัวเธอแม้แต่ปลายเล็บ

               “โฮ่ ตัดเส้นลวดของข้าได้ด้วย!?”

               Aka Manah ส่งเสียงประหลาดใจ จังหวะเดียวกันกับช่วงที่บุรุษจอมดาบเวทคว้าร่างเด็กสาวผมสีส้มให้อยู่ในอ้อมแขนฝั่งซ้ายตนพอดี เมื่อรู้สึกตัวอีกทีทั้งคู่ก็ได้ยืนอยู่ห่างจากอสุรกายประมาณสิบเมตรแล้ว โดยที่สายตาของเหล่าพ่อมดแม่มดวัยรุ่นแต่ละคนซึ่งยืนเฝ้ามองดูสถานการณ์อยู่ ก็ยังมิอาจจับจ้องมองความเร็วเมื่อสักครู่นี้ได้ทันท่วงที

               เลวอนคลายแขนออกจากร่างของสเตฟาเนีย หันคมดาบไปยังศัตรูในลักษณะท่าจับชี้ปลายลงล่างพลางตั้งท่าเตรียมจู่โจม ก่อนจะเริ่มอธิบายถึงเหตุผลสั้น ๆ อย่างใจเย็น

               “ถึงแม้ว่าเส้นลวดของคุณจะปกคลุมไปด้วยคาถาป้องกันภัย แต่ถ้าหากเจอกับคาถาโบราณขั้นสูงเข้าหักล้างยังไงก็ไม่อาจต้านทานได้อยู่ดี เพียงเท่านี้ท่าไม้ตายของคุณก็จะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป… รวมถึงชุดสูทที่คุณกำลังสวมใส่อยู่ด้วย”

               ปึ้ด ปึ้ดปึ้ด!

               ชุดแต่งกายของอสูรผู้ชั่วร้ายปรากฏรอยขาดวิ่นตามเรือนร่างต่าง ๆ หลายสิบแห่ง พร้อมด้วยบาดแผลจนเลือดซิบไหลอาบลงมา มันแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นเพลงดาบของเลวอนเมื่อสักครู่นี้ยังไม่รุนแรงมากพอที่จะทำให้ตนสะทกสะท้านได้ ก่อนจะพูดจาข่มใส่อีกฝ่ายเสมือนกับว่าตนเองยังไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำไปเสียทีเดียว

               “อึ้ก…! ชั่วพริบตาเดียวก็ฟันเข้าได้หลายแผลเชียวเรอะ แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจไป ถ้าหากคิดว่าเส้นลวดของข้าทำได้แค่เพียงเข้ายึดครองร่างกายของคนอื่นให้กลายเป็นหุ่นเชิด หรือใช้เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเองล่ะก็ พวกเจ้าน่ะคิดผิดอย่างมหันต์”

               เลวอนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เขาพลิกหงายข้อมือขวาที่จับด้ามคาตานะขึ้น แล้วใช้ปลายลิ้นโลมเลียเลือดสีแดงสดของ Aka Manah ซึ่งเปรอะเปื้อนบนตัวดาบให้สะอาดหมดจดตามสัญชาตญาณของผีดูดเลือด ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องมองอสูรร่างใหญ่อย่างไม่ลดละ

               เมื่อสเตฟาเนียและเหล่าสมาชิกทีม Order of the Dragon เห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพ่อมดหนุ่มผู้ห้าวหาญดังนั้นจึงเริ่มรู้สึกแอบหวั่นสะพรึงกลัว โมนิก้าซึ่งกำลังยืนเฝ้ามองดูอยู่ก็ได้เอ่ยเรียกขานชื่อของเขาอย่างแผ่วเบาด้วยความกังวล

               “ค… คุณเลวอน”

               “ทุกคนรีบดื่มน้ำยาฟื้นฟูพลังเวทแล้วร่ายคาถาโจมตีสนับสนุนสองคนนั้นเร็วเข้า!”

               วัตสันทักท้วงวิ่งแจกจ่ายหลอดยาซึ่งบรรจุของเหลวสีฟ้าจากกระเป๋าสะพาย ส่งมอบให้แก่เหล่าผองเพื่อนในแนวหน้า หลังจากที่ฮิคาริ อาเธอเรีย ออเดรย์ อิทสึกิ คลาร่า โมนิก้า รับยามาแล้วก็รีบเปิดฝายกขึ้นดื่มให้หมดภายในรวดเดียว จนทุกคนสัมผัสถึงพลังเวทภายในร่างกายซึ่งได้รับการฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

               ถัดมาพ่อมดหนุ่มนักปรุงยารีบรุดหน้าไปสมทบกับเวสน่าในแนวหลัง มอบสิ่งของที่อยู่ภายในกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดให้แก่เธออย่างไม่คิดเสียดายพร้อมกล่าวคำแนะนำไปดังนี้

               “ส่วนน้ำยาที่เหลืออยู่ฉันขอยกให้ซิสเตอร์ทั้งหมด เชิญใช้ได้ตามสะดวกเลยนะ”

               “อ-เอ๊ะ ไม่ต้องหรอกค่ะ เดิมทีฉันเป็นแค่เพียงสายสนับสนุน แถมไม่ได้ชำนาญเรื่องการต่อสู้เหมือนคนอื่น ๆ อีกด้วย เพราะงั้นช่วยเก็บมันเอาไว้เพื่อทุกคนเถอะนะคะ”

               เวสน่ายกสองมือบางขึ้นมาป้องปรามอย่างเกรงใจ วัตสันแสดงสีหน้าบึ้งตึงพลางผลักกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลส่งมอบให้แก่นักพรตสาว ก่อนที่จะใช้น้ำเสียงจริงจังตำหนิใส่พอประมาณ

               “อย่าดื้อสิซิสเตอร์ สำหรับพวกเราแล้วเธอคือสายฮีลที่มีความสำคัญ แถมการร่ายคาถารักษาให้แก่สมาชิกแนวหน้าในระยะไกลเองยังต้องใช้พลังเวทมากพอสมควร เพราะงั้นฉันเลยยกยาทั้งหมดนี่ให้เธอยังไงล่ะ… พวกเราน่ะเชื่อมั่นในตัวซิสเตอร์มากพอจนกล้าที่จะฝากชีวิตเอาไว้ให้ได้เลยเชียวนะ”

               คลาร่าและสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรทุกคนผงกศีรษะเห็นพ้อง เมื่อนักพรตสาวรับรู้ถึงสายตาอันอบอุ่นจากเหล่าผองเพื่อนที่กำลังจับจ้องมาทางตนด้วยความเชื่อมั่น เธอจึงขยับนำสองมือบางโอบกอดกระเป๋าสัมภาระของวัตสันเอาไว้ให้แน่น แล้วกล่าวคำซาบซึ้งออกไปอย่างตื้นตันใจ

               “รับทราบแล้วค่ะ ฉันจะใช้มันเพื่อร่ายพลังเวทสนับสนุนให้แก่ทุกคนเอง… ขอให้โชคดีในสนามรบนะคะ!”

               พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาจอมทะเล้นแย้มสรวลละมุนละไมแก่เวสน่า ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพร้อมชูนิ้วโป้งแสดงท่าทีมาดเท่ ทว่าสีหน้าของเขานั้นไม่อาจคงความสุขุมแน่นิ่งได้อีก ในที่สุดตนก็เริ่มฉีกยิ้มแก้มปริพลางบ่นพึมพำตามลำพัง โดยที่ตัวนักพรตสาวไม่ทันสังเกต

               “หุหุหุ นาน ๆ ทีขอให้ฉันได้โชว์ความเป็นลูกผู้ชายสักหน่อยเถอะ”

               “อุหวา น่าขนลุกเป็นบ้า”

               “เกือบดูดีแล้วค่ะ ถ้าไม่ติดตรงประโยคสุดท้ายพร้อมด้วยสีหน้าแบบนั้นออกมาล่ะก็…”

               ฮิคาริ และโมนิก้า เกริ่นแซวตามลำดับพลางเหล่ตามองดูแคลนใส่วัตสัน เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีส้มจึงรีบชักสีหน้าจริงจังส่งเสียงกระแอมสั้น ๆ ก้าวเท้าเข้ารวมกลุ่มกับทุกคนแล้วชักไม้กายสิทธิ์ออกมา จากนั้นเหล่าพ่อมดแม่มดจึงเริ่มกระจายกำลังล้อมตัว Aka Manah เอาไว้พร้อมทั้งอาวุธและอุปกรณ์ครบมือ

               ในขณะที่ทางด้านปีศาจนักเชิดมนุษย์ทำได้แค่เพียงหันหน้ากวาดสายตามองดูอริศัตรูซึ่งอยู่รอบ ๆ ตน ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงแหบแห้งออกมาอย่างเอือมระอา

               “เชิญเล่นละครมิตรภาพจอมปลอมอันแสนน่าเบื่อต่อไปจนกว่าจะพึงพอใจเถิด ยังไงเสียพวกเจ้าทุกคนก็ต้องกลายมาเป็นหุ่นเชิดของข้าอยู่ดี หากยังรักตัวกลัวตายอยู่จงก้มหัวศิโรราบแก่ข้าเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะยอมให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดและรับเลี้ยงพวกเจ้ามาเป็นทาสรับใช้”

               “เฮ้ยไอ้ปีศาจเฮงซวย อยากปากแตกรึไง-!”

               อาเธอเรียรีบทักท้วงพลางกระทืบเท้าเสียงดัง “ปั้ง” ด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง แม้แต่เหล่าผองเพื่อนเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน ทว่าไม่ทันที่เธอจะพูดจบประโยคนั้นเอง…

               ——เปรี้ยง ตู้มตู้มตู้มตู้มตู้ม ปึ้ง!!

               เสียงกัมปนาทชุดใหญ่พลันสนั่นกึกก้องไปทั่วอาคาร สเตฟาเนียได้ใช้ปลายด้ามของไม้กวาดด้ามยาว ซึ่งเคลือบด้วยพลังเวทธาตุแสงและธาตุไฟฟ้าในปริมาณอันมหาศาล รัวกระหน่ำซัดใส่ปีศาจร่างใหญ่ทั้งที่ยืนอยู่ห่างกันประมาณสิบเมตรโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้เป้าหมาย โดยมีพลานุภาพรุนแรงยิ่งกว่าใช้หอกอันแหลมคมเข้าทำร้ายเสียอีก

               การโจมตีฉับพลันส่งผลทำให้ส่วนแขน ลำตัว และต้นขาของศัตรูเป็นรอยหลุมแผลเหวอะหวะนับไม่ถ้วน พร้อมทั้งควันร้อนจากการถูกแรงเสียดทาน ก่อนที่มันจะกระอักเลือดออกมาอย่างบอบช้ำ

               “แค่กแค่ก! น… นี่เจ้าทำอะไรลงไป!?”

               “ฉันโกรธแล้วนะคะ เล่นพูดจาดูถูกใส่พวกเราแบบนี้”

               สเตฟาเนียเผยสีหน้าน้ำเสียงราบเรียบโดยยังคงจ่อศัสตราวุธเล็งไปยังทิศทางข้าศึก หากแต่ลองมองดูให้ดีจะพบได้ว่าเธอนั้นออกอาการคิ้วขมวดด้วยความขุ่นเคืองพร้อมทั้งแววตาซึ่งค่อนข้างเกรี้ยวกราดพอสมควร เพราะสิ่งที่ Aka Manah กล่าวออกมาเมื่อสักครู่ถือเป็นการดูหมิ่นความรู้สึกและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเธอ

               “พ… เพิ่งเคยเห็นคุณสเตฟาเนียเดือดดาลก็วันนี้แหละค่ะ” คลาร่าอุทานพึมพำออกมาอย่างหวั่นสะพรึง

               “ว่าแต่เจ้านั่นก็ช่างถึกทนเสียเหลือเกินนะขอรับ โดนท่านสเตฟาเนียซัดใส่ถึงขนาดนี้แล้วยังแข็งใจยืนหยัดได้อีก”

               แม้แต่อิทสึกิเองยังตกตะลึงในความถึกทนของ Aka Manah ทั้งที่มันกำลังได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะทรุดเข่าลงไปนอนกับพื้น ทว่าอสูรร่างใหญ่กลับส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยใส่ทุกคนหลังจากลิ้มรสความบอบช้ำของแผลฉกรรจ์ได้ไม่นานนัก

               “วะฮะฮะฮะ โทสะเพราะเรื่องพรรค์นี้เองหรอกเรอะ เจ้าพวกมนุษย์นี่ช่างน่าสนใจเสียจริง ๆ !!”

               “เจ้าบ้านี่ยียวนกวนประสาทชะมัด ขอลงดาบสักหน่อยเถอะ!”

               ซามูไรสาวในชุดเครื่องแบบสีนิล หรือฮิคาริ แสดงอากัปกิริยาไม่พึงพอใจพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า ทำท่าดึงคาตานะออกจากฝักเตรียมปะทะใส่ศัตรูโดยสูญเสียความเยือกเย็นไปจนเกือบหมดสิ้น จิ้งจอกสาวออเดรย์ซึ่งยืนอยู่ใกล้เธอจึงรีบสไลด์เท้าเข้าไปขวาง ยกใบดาบขึ้นมาป้องปรามเอาไว้ในขณะที่ตนยังคงหันหน้าเข้าหาศัตรู แล้วจึงกล่าวตักเตือนสมาชิกทุกคนอย่างสุขุมรอบคอบ

               “อย่าไปสนใจคำยั่วโมโหของมันสิ เดี๋ยวก็เข้าทางอีกฝ่ายกันพอดี ตอนนี้ช่วยร่ายเวทมนตร์สนับสนุนการโจมตีในระยะกลางกันก่อนดีกว่า… อีกอย่างการทำงานด้วยกันเป็นทีมคือหนทางที่ดีที่สุดนะ รุ่นพี่ฮิคาริ”

               ฮิคาริได้ยินถ้อยคำตักเตือนด้วยน้ำเสียงสุภาพดังนั้น ตนจึงตัดสินใจก้าวเท้าถอยหลังกลับไปยังตำแหน่งเดิม โดยยังคงจ้องเขม็งเล็งใส่ Aka Manah อย่างไม่สบอารมณ์

               “เข้ามาเลยสิเจ้าพวกมนุษย์ จากนี้ไปจะเป็นของจริงล่ะ”

               ปีศาจนักเชิดมนุษย์กล่าวท้าทายเหล่าคู่ต่อสู้ ถอดเสื้อสูทสีดำโทนแดงซึ่งทำมาจากเส้นลวดโลหะที่เหนียวทนทานเป็นพิเศษออก แล้วทิ้งลงบนพื้นระเบียงเสียงดัง “ปึ้ง!” จนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว บ่งบอกได้เลยว่าชุดเกราะตัวนี้มีน้ำหนักมากเพียงใด โดยที่เรือนร่างของมันเผยให้เห็นสัดส่วนกล้ามเนื้อเป็นมัดพร้อมบาดแผลฉกรรจ์ชัดเจน

               เลวอน และสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลต่อการกระทำดังกล่าว ทั้งที่ชุดของมันสามารถต้านทานแรงโจมตีจากพวกตนได้เกือบทุกรูปแบบ วัตสันจึงสบโอกาสพูดจากระแหนะกระแหนใส่อีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ

               “เฮ้ ถอดเสื้อเกราะอันแสนภาคภูมิใจออกทำไมล่ะ ประมาทแบบนี้ระวังจะถึงคราวตายนะเฟ้ย”

               “ก็เพราะว่ามันหนักน่ะสิ เดี๋ยวพวกเจ้าจะได้รู้ว่าตัวข้าพลิ้วไหวกว่าที่คิด” Aka Mana เกริ่นตอบโต้อย่างไม่ยี่หระ

               อาเธอเรียตัดสินใจถอดเสื้อโค้ตแขนยาวสีเขียวออก โยนส่งให้ซิสเตอร์เวสน่าซึ่งอยู่ในแนวหลังได้รับฝากเอาไว้ เพื่อให้ตนขยับร่างกายได้อย่างสะดวก ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงห้าวหาญขึ้นมา

               “เหอะ ฉันเริ่มเบื่อคำโม้เหม็นของแกเต็มทนแล้ว… เลวอน สเตฟก้า พวกนายสองคนซัดมันให้หมอบไปเลย เดี๋ยวฉันจะคอยหาจังหวะลอบโจมตีให้เอง!”

               “ครับ!/เข้าใจแล้วค่ะ”

               เลวอน และสเตฟาเนียขานรับอย่างพร้อมเพรียง ถัดมาจึงเริ่มเปิดฉากจู่โจมใส่ปีศาจนักเชิดมนุษย์ โดยใช้แผนกระจายกำลังขนาบข้างซ้ายขวาหลอกล่อเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู ขณะเดียวกันอาเธอเรียฉวยโอกาสนี้ร่ายวิชาลำนำสัประยุทธ์ใส่ร่างตน พุ่งเข้าหาอสูรร่างใหญ่หมุนตัวกลางอากาศเหวี่ยงขาขวาฟาดใส่ท้ายทอยคู่ต่อสู้ เกิดเสียงดัง “ตู้ม!” โดยพลัน

               Aka Manah ยกแขนซ้ายขึ้นมาปัดป้องตรงบริเวณดังกล่าวพลางชำเลืองตาหันไปมองเด็กสาวผู้ห้าวหาญ ความว่องไวอันน่าเหลือเชื่อได้สร้างความแปลกใจให้แก่เหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสเป็นอย่างมาก ผิดกับรูปร่างสูงใหญ่อย่างสิ้นเชิง มิหนำซ้ำยังเกริ่นเสียงแหบแห้งออกมาทิ้งท้ายราวกับผู้มีชัย

               “พวกเจ้าเร็วได้แค่นี้เองหรอกเรอะ?”

               “ยังหรอกน่า!”

               อาเธอเรียรีบหมุนตัวถอยหลังกลับเพื่อตั้งหลัก แล้วปล่อยให้เลวอนและสเตฟาเนียจู่โจมด้วยคลื่นระลอกสอง เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนซึ่งอยู่ทางเบื้องซ้ายของศัตรูสไลด์เท้าไปยังลำตัวด้านหน้า จังหวะเดียวกับที่แม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มซึ่งอยู่ทางด้านขวาก็ได้เคลื่อนไหวไปยังทางแผ่นหลังเป้าหมาย ประสานพลังสายฟ้าโดยใช้ดาบคาตานะและไม้กวาดด้ามยาวโจมตีใส่อย่างไม่รีรอ เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องทั่วทั้งภายในอาคารราวกับอสนีบาตแหวกผ่าลงมาจากฟากฟ้า

               ทว่าอมนุษย์ร่างแกร่งกลับสะทกสะท้านได้ไม่นาน ตัดสินใจจัดการเลวอนที่อยู่ตรงเบื้องหน้าตนก่อน โดยง้างหมัดขวาซัดใส่อย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แตกต่างจากการจู่โจมในช่วงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

               บุรุษจอมดาบเวทพลันยกศัสตราวุธขึ้นมาป้องกันตัว แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดต้านทานแรงปะทะอย่างหนักหน่วงได้ จนต้องกระเด็นถอยหลังไปไกลก่อนจะกระแทกเข้ากับผนังอาคารดัง “ปึ้ง!” สเตฟาเนียรีบถอยหลังออกห่างจากอสูรผู้ชั่วช้า แล้วส่งมอบหน้าที่ให้แก่ฮิคาริ อิทสึกิ โมนิก้า ออเดรย์ คลาร่า และวัตสัน คอยร่ายเวทมนตร์จัดการศัตรูทันที

               ——ตู้มตู้ม เปรี้ยง ฉัวะ!!

               ปีศาจนักเชิดมนุษย์ถูกเหล่าลูกไฟแห่งมนตราปะทะเข้าใส่ทั่วทุกสารทิศจนชะงักการเคลื่อนไหว ก่อนจะละสองแขนลดการ์ดลงจากใบหน้าแล้วกล่าวสบถใส่ทุกคนอย่างเกรี้ยวกราดด้วยความรำคาญใจ แม้จะแค่รู้สึกแสบเคืองระคายผิวก็ตาม

               “อั้ก…!? หน็อยแน่เจ้าพวกมนุษย์ชั้นต่ำ!”

               “แต่ปีศาจอย่างแกน่ะมันสารเลวเฟ้ย!”

               อาเธอเรียสวนคำพูดกลับไปพร้อมด้วยลูกเตะเท้าขวา กระโดดลอยตัวซัดแก้ม Aka Manah จากทางด้านหลังสุดกำลังจนอีกฝ่ายเซถลา ด้วยความบันดาลโทสะอสูรร่างแกร่งจึงรีบเปลี่ยนเป้าหมาย หมุนตัวง้างหมัดซ้ายชกเข้าใส่แม่มดสาวจอมพลังหวังจะปลิดชีพ ทว่าเธอกลับม้วนตัวหลบลอดใต้หว่างขาศัตรูอย่างหวุดหวิด แล้วส่งมอบหน้าที่ให้สเตฟาเนียใช้ไม้กวาดด้ามยาวอาบอาคมกระหน่ำซัดใส่เป้าหมายต่อไป

               ตู้มตู้มตู้มตู้มตู้ม เปรี้ยง!!

               “ไม่ได้ผลหรอกนังหนู!!”

               ครั้งนี้ปีศาจผู้มีศีรษะกะโหลกวัวสามารถต้านทานการโจมตีต่อเนื่องเอาไว้ได้ แล้วตามด้วยเหวี่ยงขาขวาหมายจะซัดใส่เข้าที่ต้นคอของแม่มดสาวผมสีส้ม โชคดีที่เธอถอยหลังหลบพ้นชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ทั้งที่เท้าของศัตรูเฉียดปลายจมูกเธอราวสามเซนติเมตรเท่านั้น

               เลวอนที่ตั้งสติกลับคืนมาได้รีบลุกขึ้นจากพื้นระเบียงมุมห้อง ใช้ดาบคาตานะพุ่งชาร์จเข้าฟาดฟันกลางแผ่นหลังปีศาจจนปรากฏให้เห็นถึงสายฟ้าลูกใหญ่ เกิดรอยไหม้บนผิวหนังพร้อมด้วยบาดแผลฉกรรจ์ แล้วสลับสับเปลี่ยนให้อาเธอเรียง้างศอกขวาแทงใส่ตำแหน่งเดิมซ้ำรอยอีกที เพื่อทวีความบอบช้ำให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น

               “กรรรร!!”

               Aka Manah ส่งเสียงคำรามอย่างทุกข์ทรมาน แต่ด้วยจิตใจอันมุ่งมั่นและความบ้าบิ่นของมันจึงทำให้ตนยังคงยืนหยัดที่จะต่อสู้กับเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสแบบทุ่มสุดตัว มิได้สนใจเลยว่าตัวเองจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเพียงใด

               ทางออเดรย์และผองเพื่อนต่างก็ไม่ได้ห้ามปรามความมุทะลุของอาเธอเรีย เนื่องจากในบรรดาเหล่าสมาชิก Order of the Dragon แล้วเธอเป็นคนเดียวที่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิดมากที่สุด ครั้นจะให้คอยสนับสนุนอยู่แต่ในแนวหลัง ก็เกรงว่าจะเป็นการหยิบใช้ทักษะเด่นได้อย่างไม่ค่อยตรงจุดสักเท่าไหร่นัก

               อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวอันฉับพลันของเลวอน สเตฟาเนีย และอาเธอเรียนั้นมีความสอดคล้องประสานกันอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนแนวหลังเองต่างก็ทำงานอย่างมีไหวพริบ คอยร่ายคาถาโจมตีใส่จุดบอดเพื่อรบกวนศัตรูโดยไม่จำเป็นต้องออกคำสั่ง และใช้จุดแข็งของแต่ละคนให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อโค่นอสูรตัวร้ายอย่างเต็มกำลัง

Options

not work with dark mode
Reset