แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 37: เผด็จศึก Aka Manah (4)

               การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสีและดุเดือด ทว่าโมนิก้ากลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี เธอตัดสินใจเก็บไม้กายสิทธิ์ใส่ลงในซอกถุงเท้าบริเวณต้นขาขวา หยิบลูกแก้วพยากรณ์สีใสออกมาจากกระเป๋าสะพาย ถือประคองด้วยมือซ้ายยื่นไปยังเบื้องหน้า หรือจุดที่พวกเลวอนกำลังห้ำหั่นกับ Aka Manah อย่างเอาเป็นเอาตาย จากนั้นจึงเปล่งเสียงร่ายคาถาออกมาด้วยจิตใจอันนิ่งสงบ

               “…Futura praedicere (คาถาพยากรณ์อนาคต) ”

               วัตถุทรงกลมสีใสเริ่มส่องสว่างแสงสีขาว ถัดมาโมนิก้าใช้สายตาจับจ้องไปยังอุปกรณ์วิเศษชิ้นดังกล่าวอย่างตั้งใจคอย มองดูเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น ฮิคาริซึ่งกำลังใช้คาตานะร่ายอาคมฟาดฟันใส่ศัตรูอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นก็พลันซักถามอีกฝ่ายอย่างสงสัยทันที

               “ท… ทำอะไรน่ะโมนิก้า จู่ ๆ ก็หยิบลูกแก้วขึ้นมา”

               “อ๊ะ คุณฮิคาริเพิ่งย้ายมาใหม่คงจะยังไม่ทราบสินะคะ ว่าคุณโมนิก้าสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ในอนาคตได้ผ่านลูกแก้วพยากรณ์ ที่สำคัญลางสังหรณ์และการทำนายของเธอนั้นแม่นยำพอสมควร เพราะงั้นอย่าเพิ่งไปรบกวนเธอตอนนี้เลยค่ะ”

               คลาร่าให้คำอธิบายก่อนจะลงมือวาดวงแหวนกายสิทธิ์โจมตีใส่อสูรร่างใหญ่ต่อไป ฮิคาริจึงสลัดข้อกังขาแล้วหันมาทำหน้าที่ใช้ศัสตราวุธอาบเปลวเพลิงฟาดฟันเป้าหมายตามปกติ ปล่อยให้แม่มดสาวร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนตั้งสมาธิทำนายอนาคต จนกว่าตัวเธอจะมองเห็นอะไรบางอย่างได้แน่ชัด

               ——เปรี้ยง!!

               “…แย่แล้ว!!”

               ไม่ทันไรนั้นเอง โมนิก้าถึงกับตาเบิกโพลงหลังจากมองเห็นภาพเหตุการณ์สำคัญบนลูกแก้ววิเศษสีใส จังหวะเดียวกันกับตอนที่เลวอนและอาเธอเรียกำลังเสียท่าจากการโจมตีของ Aka Manah ล้มลงกระแทกพื้นพอดี แม่มดนักพยากรณ์จึงรีบเก็บอุปกรณ์ลงในกระเป๋าสะพาย ชักไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาแล้วพุ่งปรี่เข้าหาพรรคพวกซึ่งอยู่ตรงแนวหน้าอย่างรวดเร็ว

               ถ้าสิ่งนี้มันทำให้ฉันสามารถร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับคุณเลวอนได้ ฉันก็จะขอลองเสี่ยงดู!

               ความรู้สึกของโมนิก้าที่มอบให้ต่อชายอันเป็นที่รักนั้น ช่างมากล้นเกินกว่าความหวาดกลัวที่กำลังเข้าครอบงำจิตใจตน ณ เวลานี้เสียเหลือเกิน

               “ไม่ได้นะ!/ยัยบ้า!/อย่าวิ่งเข้าไป!”

               ออเดรย์ วัตสัน และฮิคาริส่งเสียงห้ามปราม แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจของโมนิก้าได้อยู่ดี เลวอนกับอาเธอเรียซึ่งกำลังจะพยุงตัวลุกขึ้นมาตั้งหลัก ในระหว่างนั้นเองปีศาจผู้ชั่วช้าก็เริ่มปลดปล่อยเส้นลวดสีชาดออกมารวมตัวเข้ากับท่อนแขนทั้งสองข้างในลักษณะแหลมเกลียวประดุจสว่าน ตามด้วยง้างหมัดขึ้นเหนือศีรษะเตรียมจ้วงแทงสังหารใส่คู่ต่อสู้

               “ตายซะ!”

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีฟ้าร่างอรชรรีบสไลด์เท้าเข้าแทรก ยืนอยู่ห่างจากเบื้องหน้าของปีศาจนักเชิดมนุษย์ราวสองเมตร เพื่อเป็นโล่กำบังให้แก่เลวอนและอาเธอเรียซึ่งตกอยู่ในสภาพทุลักทุเล ก่อนจะยกไม้กายสิทธิ์ชี้ไปยังศัตรูพร้อมกล่าวขานมนตราด้วยนำเสียงฟังดูฉะฉาน

               “Maxime reflexum! (คาถาส่งสะท้อนกลับขั้นสูงสุด) ”

               ทันทีที่วงแหวนเวทมนตร์รูปดาวหกแฉกสีฟ้าลวดลายสลับซับซ้อนพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ปะทะเข้ากับหมัดแห่งสว่านโลหะสีชาดอย่างหนักหน่วง เกราะแห่งมนตราของเด็กสาวจึงพลันแตกสลายลงทันใด อาวุธอันแหลมเกลียวของอสูรจอมโฉดเองก็พังทลายไปด้วย เนื่องจากถูกพลังโจมตีของตนสะท้อนกลับคืนมาหลายเท่าตัว

               เพล้ง!! เปรี้ยง!!

               แรงอัดจากคลื่นอากาศส่งผลทำให้ร่างของ Aka Manah และโมนิก้า กระเด็นถอยหลังออกห่างจากกันกระแทกลงกับพื้นระเบียง สืบเนื่องจากการทำงานของเวทมนตร์ส่งสะท้อนขั้นสูงกับความรุนแรงทางกายภาพนั้นมีพลังทัดเทียมกันและหักล้างไปในที่สุด ด้วยเหตุนี้ต่างฝ่ายจึงไม่อาจต่อต้านยืนหยัดเอาไว้ได้

               “โมนิก้า!”

               อาเธอเรีย และเลวอน รีบพยุงตัวลุกขึ้นแล้วรุดหน้าเข้าไปหาโมนิก้าอย่างเป็นห่วง ซึ่งเด็กสาวร่างบางกำลังนอนแผ่บนพื้นระเบียงด้วยอาการมึนงงจากแรงกระแทกเมื่อสักครู่ เคราะห์ดีที่เธอไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง มิหนำซ้ำยังชะโงกศีรษะขึ้นมาส่งเสียงร้องขอให้สหายร่วมรบรีบปิดการฉากต่อสู้ลงโดยพลัน

               “ตอนนี้แหละ รีบเผด็จศึกเลยค่ะ!”

               “อะไรนะ!?”

               Aka Manah อุทานคลางแคลงใจ เร่งพลิกตัวลุกขึ้นให้อยู่ในท่านั่งชันเข่าข้างซ้ายหันกลับไปดูอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรง สิ่งที่พบเห็นอยู่ตรงเบื้องหน้านั้นคือแม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มในชุดอาภรณ์ออกศึก กำลังใช้ปลายไม้กวาดด้ามยาวเคลือบพลังเวทพุ่งตรงเข้ามาทางนี้ โดยที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยออร่าแสงสีฟ้าสดใส

               ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเกริ่นนามแห่งคาถาแบบสุดสุรเสียง

               “Hastam in iustitia! (หอกแห่งการพิพากษา) ”

               ——เปรี้ยง!!

               อสนีบาตถูกปลดปล่อยออกมาหลังจากที่ศัสตราวุธปะทะเข้าใส่ร่างของอสูร แสงวูบวาบสว่างเจิดจ้าทำให้สายตาของทุกคนพร่ามัวไปชั่วขณะ สเตฟาเนียรีดเค้นพลังเวททั้งหมดซึ่งได้รับมาจากเลวอนก่อนหน้านี้อย่างสุดกำลัง เพื่อสังหารปีศาจในตำนานแห่งโซโรอัสเตอร์ให้สิ้นชีพในคราวเดียว

               Aka Manah กรีดร้องโหยหวนท่ามกลางประกายแสงและสายลมอันบ้าคลั่ง ด้วยความร้อนจากสายฟ้าหลายพันองศากับกระแสไฟฟ้าที่แล่นผ่านเข้าสู่ร่างกายนั้นคงเพียงพอที่จะเผาย่างสดให้ตายทั้งเป็นได้ ต่อให้ไม่ใช่เวทมนตร์โบราณขั้นสูงก็ตาม

               จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบวินาที ทุกสรรพสิ่งหวนกลับคืนสู่ความสงบ เครื่องแต่งกายสีนิลที่สเตฟาเนียสวมใส่ได้แปรเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกระโปรงคอร์เซ็ทตามปกติ โดยที่แสงแห่งมนตราค่อย ๆ มลายหายไปหมดสิ้น เป็นสัญญาณว่าบัดนี้เธอได้ใช้พลังเวทและพละกำลังไปจนเกือบหมดแล้ว

               เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรลดแขนซึ่งกำลังป้องบังใบหน้าลง แล้วเบิกตาขึ้นเพื่อปรับทัศนวิสัยการมองให้คงที่ ทุกคนต่างเพ่งเล็งไปยังจุดปะทะเพื่อดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น หลังจากต้องอดทนต่อแสงอันเจิดจ้ามาเป็นเวลาพักหนึ่ง

               เมื่อกลุ่มควันสีขาวซึ่งปกคลุมอยู่ได้พลันสลายหายไปตามสายลม จึงพบเห็นร่างของปีศาจนักเชิดมนุษย์ที่เต็มไปด้วยแผลไฟไหม้ มันส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอราวกับเยาะเย้ยอำนาจแห่งความตาย จนบรรดาพ่อมดแม่มดวัยใสล้วนพากันอ้าปากค้างต่อความแข็งแกร่งของศัตรูและเริ่มเกิดความท้อแท้ภายในใจขึ้นมา

               ดูเหมือนว่าสิ่งที่แต่ละคนได้ทุ่มเทเสี่ยงชีวิตลงไปนั้นแทบจะไร้ค่าสูญเปล่าโดยทันที

               “ฮ-เฮ้ โกหกใช่ไหม ยังไม่ตายอีกเหรอเนี่ย!?”

               วัตสันส่งเสียงอุทานออกมาเป็นคนแรก โมนิก้า คลาร่า เวสน่า จ้องมอง Aka Manah ด้วยความหวั่นสะพรึง อาเธอเรียเดาะลิ้นสบถคำหยาบคายสั้น ๆ สเตฟาเนียเริ่มหายใจหอบเนื่องจากสูญเสียพละกำลังไปจนหมดสิ้น ส่วนอิทสึกิ ออเดรย์ ฮิคาริ เผยสีหน้าคิ้วขมวดเคร่งเครียดพลางถือดาบประจำตัวเตรียมเข้าปะทะใส่ศัตรูซ้ำสอง พร้อมทั้งเฝ้าดูท่าทีของเป้าหมายไปพลาง

               ในขณะที่สองมือของอสูรร่างใหญ่ซึ่งเป็นแผลไฟไหม้พุพองได้กำส่วนปลายของด้ามไม้กวาดแม่มดเอาไว้แน่น ถึงแม้ว่าภายนอกจะได้รับความเสียหายอย่างหนักก็ตาม แต่มันยังคงมีแรงเหลือมากพอที่จะสังหารเด็กสาวตรงเบื้องหน้าได้อย่างสบาย ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงแหบแห้งพูดจาข่มใส่ตามปกติ

               “เป็นกลยุทธ์ที่เหนือความคาดหมายดีนี่ แต่ก็ยังอ่อนหัด”

               “แล้วถ้าหากเจอซ้อนแผนแบบนี้ล่ะคะจะทำยังไง?”

               สเตฟาเนียโต้วาจากลับคืนไปอย่างกล้าหาญ ในขณะที่ปีศาจจอมชั่วช้าสามานย์เผยสีหน้าตื่นตระหนกทำตาเบิกโพลง หลังจากสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรงยิ่งกว่าครั้งที่ผ่านมา โดยพยายามชำเลืองตาหันกลับไปมองดูเบื้องขวา พบว่าเลวอนกำลังพุ่งกระโจนมาทางนี้พลางง้างคาตานะในลักษณะหงายคมชี้ลงเพื่อลอบโจมตี ซึ่งทั่วทั้งร่างของบุรุษหนุ่มนั้นปกคลุมไปด้วยออร่าแสงสีฟ้าขาวสว่างไสว หมายปลิดชีพศัตรูให้ได้ภายในคมดาบเดียว

               “บ-บ้าน่า!”

               อสูรร่างแกร่งเกริ่นอุทานอย่างประหลาดใจ รีบหมุนตัวเตรียมตั้งรับการจู่โจมในระยะห่างไม่ถึงหนึ่งเมตร แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว พ่อมดหนุ่มได้เข้าประชิดถึงตัวด้วยความเร็วเหนือเสียง โดยเล็งปลายคมดาบไปยังบริเวณซอกคอของเป้าหมาย วินาทีนั้นเองแม่มดสาวผมสีส้มได้แสยะยิ้มมุมปาก พร้อมปิดท้ายประโยคเป็นภาษาเช็กด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

               “Šach-mat (รุกฆาต) ”

               “Cantus Bellax: Emitto! (ปลดปล่อยลำนำสัประยุทธ์) ”

               ——ฉึก เปรี้ยง!!!

               ทันทีที่เลวอนนำปลายแหลมคมเสียบทะลุต้นคอของ Aka Manah โดยที่ตัวดาบปรากฏลวดลายสีทองคล้ายแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ก็พลันเกิดเสียงอัสนีกัมปนาทดังสนั่นกึกก้องตามด้วยแสงสีฟ้าขาวสว่างเจิดจ้าขึ้น ปกคลุมร่างของทุกคนภายในอาคารร้างแห่งนี้จนไม่อาจมองเห็นสิ่งอื่นใดได้อีก

               ภายใต้เสียงร้องอันโหยหวนสุดแสนทรมานของอสูรผู้น่าเกรงขาม อุณหภูมิของกระแสไฟฟ้าซึ่งสูงถึงหลายแสนองศาได้ถูกปลดปล่อยจากตัวศัสตราวุธ คอยแผดเผาอวัยวะภายในโดยตรงอย่างต่อเนื่อง พ่อมดหนุ่มตั้งใจจะดับเครื่องชนเพื่อโค่นล้มเป้าหมายตนนี้ชนิดเทหมดหน้าตัก และเพื่อไม่ให้ความพยายามของเหล่าสหายทั้งเก้าคนต้องสูญเปล่าอีกเป็นครั้งที่สอง

               และด้วยพลังอันรุนแรงที่ถูกปลดปล่อยออกมาระลอกใหญ่ ทำให้พวกสเตฟาเนียต้องหลับตายกแขนขึ้นมาป้องใบหน้าอีกครั้งเพื่อบดบังแสงสว่างสีขาวโพลน ทนรับคลื่นอากาศซึ่งคอยซัดกระแทกเข้ามายังร่างของแต่ละคน จนเสื้อผ้าชุดแต่งกายกับปลายเส้นผมต่างพลิ้วไสวพัดปลิวไปตามกระแสลม

               เปรี๊ยะเปรี๊ยะ ซูมมม!!

               “อ๊าาาา อ๊ากกกกกก!!”

               Aka Manah กรีดร้องเสียงแหบแห้งแทบขาดใจเป็นเฮือกสุดท้าย เปลวไฟได้โหมกระหน่ำมอดไหม้ทั่วทั้งร่างจนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งนาที แสงสว่าง สายฟ้า และสายลมจึงค่อย ๆ แผ่วจางลง ทำให้เหล่าจอมเวทฝึกหัดเริ่มมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงเบื้องหน้าได้ชัดเจนอีกครั้ง บัดนี้ร่างของอสูรผู้เป็นตำนานได้แตกสลายกลายเป็นละอองแสงระยิบระยับไปเสียแล้ว

               ปึ้ก!

               แกนกลางหรือหัวใจของมันได้ตกผลึกกลายเป็นคริสตัลหลากสีรูปทรงเหลี่ยม มีขนาดใกล้เคียงเท่าผลแตงโม คอยส่องประกายแวววาวชวนดึงดูดสายตาก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้นระเบียง ขณะเดียวกันบนฟากฟ้ายามราตรีก็พลันสว่างกลับมาทอแสงตะวันยามบ่ายตามปกติ ท่ามกลางความเงียบสงัดพร้อมฝุ่นควันที่ค่อย ๆ จางสลาย หลังจากที่ทุกคนร่วมเผชิญหน้าต่อความยากลำบากมาเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง

               “จัดการได้แล้ว… งั้นเหรอขอรับ?”

               อิทสึกิทำลายบรรยากาศความวังเวงลงด้วยการเกริ่นซักถามสงสัย วัตสันจึงตอกย้ำให้เหล่าผองเพื่อนเกิดความมั่นใจพลางชูมือขวาขึ้นศีรษะแสดงท่าทีประกาศชัยชนะทันที

               “ก็เออน่ะสิ…! ในที่สุดก็ทำสำเร็จ พวกเราทุกคนโค่นปีศาจแรงค์ C ได้แล้วเฟ้ย!”

               “เย้!/ไชโย!”

               โมนิก้า อิทสึกิ คลาร่า ออเดรย์ และอาเธอเรีย ต่างกระโดดตัวส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ เวสน่ายกสองมือบางขึ้นมากุมประสานคอยอธิษฐานให้แก่ดวงวิญญาณของปีศาจที่ได้ล่วงลับจากไปอย่างสำรวม ส่วนฮิคาริกับสเตฟาเนียถอนหายใจโล่งอก

               เลวอนนำคาตานะเก็บใส่ลงในฝักดาบอย่างประณีต ระหว่างนั้นเองออร่าสีฟ้าขาวซึ่งปกคลุมทั่วร่างได้พลันจางหายไปพร้อมด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่ ปลายเส้นผมแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนบริสุทธิ์ ส่วนสีของนัยน์ตากลับกลายมาเป็นสีอำพันตามปกติ ก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย

               บุรุษหนุ่มรูปงามยกมือขวาขึ้นมากุมหน้าอกค่อนซ้ายพลางขยำเสื้อเชิ้ตพอประมาณ เนื่องจากรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อยตรงบริเวณดังกล่าวพลางหายใจเหนื่อยหอบ เคราะห์ดีที่ร่างกายของเขายังไม่แสดงอาการกำเริบรุนแรงออกมา หากแต่ไม่ได้ยาบำรุงจากยาโรสลาฟคอยช่วยชีวิตเอาไว้ บางทีตนอาจต้องป่วยหนักจนถึงขั้นนอนซมในโรงพยาบาลเป็นแน่

               “รุ่นพี่ไหวรึเปล่าคะ?”

               สเตฟาเนียรีบรุดหน้าเข้าไปหาเลวอนด้วยความเป็นห่วง โดยยังคงสีหน้าท่าทีเรียบเฉยทั้งที่ตนเองก็รู้สึกเมื่อยล้าสาหัสไม่ต่างกัน เธอยื่นมือซ้ายเข้าหาหมายจะช่วยประคองร่าง บุรุษรูปงามจึงผงกศีรษะน้อมรับน้ำใจพร้อมแย้มสรวลจาง ๆ ยื่นมือหนาสากเข้าไปสัมผัสมือบางไว้ให้มั่นเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะกล่าวคำซาบซึ้งต่ออีกฝ่ายอย่างปลื้มปีติ

               “ขอบคุณนะสเตฟก้า ที่ตัดสินใจร่วมสู้ไปด้วยกันกับผม”

               “ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอบคุณรุ่นพี่เลวอน การโจมตีเมื่อครู่นี้นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีมากเลยล่ะค่ะ”

               คราวนี้แม่มดสาวเป็นฝ่ายเผยรอยยิ้มละมุนบ้าง พร้อมชูแขนซ้ายขึ้นเหนือศีรษะเล็กน้อยในลักษณะแบมือ พ่อมดหนุ่มรู้สึกฉงนต่อท่าทีของเธอเพียงชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่คู่สนทนาต้องการสื่อ เขาตอบรับโดยการยกมือซ้ายขึ้นมาตบประสานกันเพื่อแสดงความดีใจ รวมถึงฉลองความสำเร็จท่ามกลางเสียงเฮฮาจากเหล่ามิตรสหาย

Options

not work with dark mode
Reset