แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 39: แรงค์ที่แท้จริงของ Aka Manah

               “ไม่เอาน่ายัยบ๊อง ขืนคนเก่ง ๆ อย่างเธอพูดออกมาแบบนี้ ถ้างั้นตัวฉันเองคงก็ไม่ต่างอะไรกับส่วนเกินของทีมเลยน่ะสิ นอกจากการปรุงยารักษาคนแล้ว สิ่งที่พอจะทำได้ก็มีเพียงแค่ร่ายคาถาโจมตีขั้นพื้นฐานเท่านั้น”

               วัตสันกล่าวโทษในความสามารถของตนเอง ส่งผลทำให้เวสน่า คลาร่า รวมถึงอาเธอเรีย ฮิคาริ อิทสึกิ และออเดรย์ ซึ่งเคยเสียท่าให้แก่ปีศาจนักเชิดมนุษย์มาแล้วครั้งหนึ่งพลอยหดหู่ตามไปด้วย เลวอนที่เห็นสภาพชวนสลดของสมาชิกทีมแต่ละคนถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเผยรอยยิ้มจาง ๆ พร้อมกล่าวปลอบประโลมต่อทุกคนด้วยน้ำเสียงละมุน

               “ถ้าหากไม่ได้ซิสเตอร์เวสน่าคอยร่ายพลังเวทฟื้นฟู พวกเราก็คงไม่ได้เห็นออเดรย์ยืนอยู่ตรงนี้ และสมาชิกในแนวหน้าทุกคนอาจต้องถูกศัตรูเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

               ถ้าไม่ใช่เพราะความมีไหวพริบของคลาร่าล่ะก็ รอบ ๆ พื้นที่แห่งนี้อาจได้รับความเสียหายอย่างหนัก พวกคุณอาเธอเรียเองก็คงต้องโดนเจ้าปีศาจตนนั้นดูดพลังเวทและพลังชีวิตไปจนหมด

               ถ้าไม่ใช่เพราะความเป็นผู้นำและการตัดสินใจอย่างรอบคอบของออเดรย์ ที่สั่งให้พวกเราใช้คาถาคอยโจมตีสนับสนุนในแนวหลังตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีกองกำลังชุดสำรองไว้ช่วยเหลือพวกคุณฮิคาริในตอนที่โดนศัตรูจับตัวไป

               ถ้าไม่ใช่เพราะวัตสันและความสามารถของเขาในการปรุงยาฟื้นฟูพลังเวท เราทุกคนก็คงไม่มีพละกำลังเหลือพอที่จะโค่นล้ม Aka Manah โดยที่คลาร่าและซิสเตอร์เองอาจต้องตกอยู่ในอันตรายจากการถูกพวกซากศพเข้าทำร้าย

               ถ้าหากไม่ได้คุณอาเธอเรีย คุณฮิคาริ ออเดรย์ และอิทสึกิ ที่ยอมเสี่ยงตายคอยต่อต้าน Aka Manah ในแนวหน้า คงเป็นเรื่องยากที่พวกเราจะเผด็จศึกอีกฝ่ายได้ และการต่อสู้อาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานเป็นเท่าตัว

               ถ้าไม่ใช่เพราะความเด็ดเดี่ยวและความเห็นแก่พวกพ้องของสเตฟก้า คงเป็นไปไม่ได้แน่ที่ผมจะสามารถสังหารปีศาจตนนั้นลงได้ด้วยเพียงคมดาบเดียว

               และถ้าหากไม่ได้โมนิก้าช่วยร่ายเวทมนตร์สะท้อนการโจมตี ผมและคุณอาเธอเรียก็คงต้องโดนสว่านนั่นเจาะร่างแบบไม่ต้องสงสัย เธอน่ะได้ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ด้วยความกล้าหาญ แถมยังเอาชนะต่อความหวาดกลัวที่อยู่ภายในจิตใจได้ด้วย… เพราะงั้นได้โปรดอย่าพูดจาดูถูกตัวเองไปมากกว่านี้เลยนะ”

               “คุณเลวอน…”

               โมนิก้าเงยหน้าสบตามองเลวอนด้วยความตื้นตันใจ เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนยกมือขึ้นลูบสางศีรษะแม่มดสาวร่างบางอย่างเอ็นดู จากนั้นจึงหันไปสนทนากับทุกคนอีกครั้งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสโดยปราศจากความเสแสร้ง

               “สำหรับผมแล้วทุกคนล้วนมีความสำคัญต่อกัน จะขาดใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถอันโดดเด่นของแต่ละคน ผมและสเตฟก้า… ไม่สิ พวกเราคงไม่อาจเอาชนะ Aka Manah ได้แน่ พวกเราทุกคนไม่ต่างอะไรกับชิ้นส่วนฟันเฟือง ที่คอยขับเคลื่อนให้เข็มนาฬิกาเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงนะ”

               เหล่าสมาชิกทีม Order of the Dragon ต่างแย้มสรวลด้วยความอบอุ่นใจต่อถ้อยคำปลอบประโลม มีเพียงแค่ฮิคาริเท่านั้นที่เบือนใบหน้าหนีพอประมาณพลางชำเลืองหางตามองเลวอน ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับเขาโดยที่สองแก้มแดงระเรื่อ ทั้งที่ตัวเธอเองก็แอบรู้สึกดีใจอยู่ไม่ใช่น้อย เพียงแต่ไม่กล้าแสดงท่าทีออกมาอย่างซื่อตรง

               “เชอะ คารมคมคายเก่งแบบนี้ ฉันว่านายควรไปเป็นนักการเมืองจะดีกว่าไหม?”

               “เห็นพูดแบบนั้นแต่ที่แท้ก็แอบดีใจอยู่ใช่ไหมล่ะขอรับ… แอ๊ก!?”

               ไม่ทันที่อิทสึกิจะแซวจบ ซามูไรสาวก็พลันใช้ศอกกระทุ้งหน้าท้องเทพสุนัขหนุ่มอย่างจัง จนอีกฝ่ายเผยสีหน้าบิดเบี้ยวส่งเสียงร้องออกมา พลางยืนตัวงอยกสองมือหนากุมบริเวณดังกล่าวด้วยความจุกเสียด ออเดรย์ อาเธอเรีย คลาร่า และวัตสันจึงพากันหัวเราะคิกคักต่อท่าทีของทั้งสองคนอย่างสนุกสนาน

               ในระหว่างนั้นเองสเตฟาเนียได้ขยับเท้าเข้าใกล้เลวอน โน้มตัวลงเล็กน้อยพลางเงยใบหน้าสบสายตามองเขา จากนั้นเริ่มสนทนากับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มจางดังนี้

               “ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้เก่งกาจเหมือนพ่อมดแม่มดคนอื่น ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นทีมที่ดีเลยใช่ไหมล่ะคะ?”

               บุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนผงกศีรษะเห็นพ้องต่อถ้อยคำของแม่มดสาวจ้าวเสน่ห์ โมนิก้าซึ่งยืนดูอยู่ใกล้ ๆ ก็เริ่มทำสีหน้าคิ้วขมวดพองแก้มใส่อย่างไม่พึงพอใจพลางเหลือบสายตามองไปทางอื่น เผยให้เห็นถึงกิริยาท่าทีแง่งอนอย่างชัดเจน สเตฟาเนียเลยตัดสินใจก้าวฝีเท้าถอยหลังออกห่างจากเลวอนเพียงเล็กน้อย เนื่องจากไม่อยากจะสร้างความขุ่นเคืองให้แก่เพื่อนสนิทตน

               “ถ้างั้นฉันขอติดต่อศาสตราจารย์ยาโรสลาฟก่อนนะ ว่าแต่ใครจะเป็นคนรับหน้าที่เก็บรักษาคริสตัลก้อนนั้นดีล่ะ?”

               ฮิคาริซักถามพลางชี้นิ้วไปยังอัญมณีชิ้นใหญ่ ซึ่งตกอยู่บนพื้นระเบียงและอยู่ห่างจากพวกเธอเพียงแค่ห้าเมตร เลวอนจึงผายมือไปยังจิ้งจอกสาวพร้อมทั้งเกริ่นเสนอแนะ

               “ให้ออเดรย์เป็นคนเก็บรักษาดีกว่า ในสถานการณ์แบบนี้คนที่มีความเป็นผู้นำมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเธอแล้วล่ะ”

               “แหะ ๆ อย่าพูดจายกยอกันสิ ถ้างั้นฉันขอรับหน้าที่นี้ไปล่ะ~”

               ออเดรย์น้อมรับอาสาพลางกระดิกหูส่ายหางจิ้งจอกสีขาวอันนุ่มฟูไปมา รีบคุกเข่าก้มลงหยิบก้อนคริสตัลหลากสีขึ้นมาจากพื้นเก็บใส่ลงในกระเป๋าสะพายพาดไหล่ให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันคลาร่าได้มุ่งปรี่เข้าไปหาเลวอน ก่อนจะยื่นอุปกรณ์สื่อนำเวทมนตร์ส่งคืนให้แก่อีกฝ่ายแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ

               “คุณเลวอน ขอบคุณมากนะคะสำหรับไม้กายสิทธิ์ ช่วยฉันได้เยอะเลยล่ะค่ะ”

               “ด้วยความยินดีครับ”

               บุรุษหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันรับสิ่งของจากเด็กสาวผมทวินเทลสีส้มพร้อมมอบรอยยิ้มกลับคืนไป ระหว่างนั้นฮิคาริที่กำลังใช้สมาร์ตโฟนโทรออกทำการต่อสายกับคู่สนทนาได้สำเร็จ เธอรีบเปิดกล้องคอลวิดีโอเพื่อให้เพื่อน ๆ ทุกคนได้ยินเสียงและเห็นภาพของยาโรสลาฟอย่างทั่วถึง จากนั้นก็เริ่มกล่าวคำทักทายอย่างไม่รีรอ

               “สวัสดีค่ะศาสตราจารย์ ตอนนี้พวกเราปฏิบัติภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ”

               “ตายจริง เวลาผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมงนี่พวกเธอทำเควสเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ? ถ้างั้นฉันขอแสดงความยินดีด้วยนะที่ทุกคนทำสำเร็จ… แล้วก็ต้องขอโทษด้วยถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น”

               บุรุษผู้ทรงสง่าในชุดครุยสีกรมท่าซึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานในห้องเรียนคาบชมรม แสดงท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวชื่นชมต่อเหล่าลูกศิษย์ โดยประโยคสุดท้ายเขาได้ยิ้มเจื่อนออกมาจนเป็นที่น่าคลางแคลงใจต่อสมาชิกทุกคน อิทสึกิเห็นดังนั้นก็รีบเกริ่นซักถามอีกฝ่ายด้วยความฉงน

               “เอ๊ะ ทำไมท่านศาสตราจารย์ต้องกล่าวขอโทษพวกเราด้วยล่ะขอรับ?”

               “คือว่า พอดีก่อนหน้านี้เมื่อสิบนาทีที่แล้ว ฉันเพิ่งได้รับแจ้งมาจากหน่วยข่าวกรองของกระทรวงเวทมนตร์มาว่า ระดับความเก่งกาจของ Aka Manah นั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่แรงค์ C… แต่เป็นแรงค์ B+ ต่างหาก”

               “เอ๊ะ!? /ว้าย!? /หา!? /หน่านิ!? /What the f*ck!?”

               เหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสซึ่งกำลังมุงดูหน้าจอสมาร์ตโฟนอยู่ต่างส่งเสียงอุทานลั่นด้วยความสะพรึง ออเดรย์อ้าปากค้างตาโตด้วยความตะลึงพรึงเพริดจนไม่อาจสรรหาถ้อยคำใดมาตำหนิศาสตราจารย์จอมทะเล้นได้ ส่วนสเตฟาเนียแอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา ดูเหมือนเธอจะคาดเดาและรู้สึกตัวถึงความผิดปกติบางอย่างได้ นับตั้งแต่ตอนที่ใช้พลังทั้งหมดต่อสู้กับปีศาจนักเชิดมนุษย์ในยกแรกแล้ว

               ยาโรสลาฟยังคงกล่าวชื่นชมต่อสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรต่อไปอีกว่า

               “ให้ตายสิ นี่ถือเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของฉันจริง ๆ ใครจะไปคิดล่ะว่านักเรียนอย่างพวกเธอจะสามารถเอาชนะอสูรแรงค์ B+ ได้โดยที่ไม่ยอมถอนตัวออกจากภารกิจ แสดงว่าพวกเธอเลือกสมาชิกกลุ่มได้ดีแถมยังมีความสมัครสมานสามัคคีแน่นแฟ้นกันอีกด้วย… ขอชื่นชมจากสุดก้นบึ้งหัวใจเลย ฮะฮะฮะ”

               “ไม่ตลกเลยนะครับศาสตราจารย์! นี่พวกผมเกือบจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เลยเชียวนะ เพราะงั้นพวกเราขอใช้เวลาที่เหลืออยู่แวะเที่ยวกรุงปรากให้หนำใจหน่อยเถอะ!”

               วัตสันรีบต่อรองข้อเสนอด้วยน้ำเสียงดุดัน ทางบุรุษผู้ทรงสง่าเองก็ไม่ได้ถือสาพร้อมทั้งกล่าวอนุญาตด้วยความเห็นใจ

               “แหมได้สิ ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ที่ทำให้พวกเธอต้องพัวพันกับเรื่องเสี่ยงตาย แต่อย่าเที่ยวเพลินจนลืมเวลาที่กำหนดเชียวล่ะ… อีกอย่างเลวอนเพิ่งจะทุเลาจากอาการป่วย แถมฮิคาริเองก็เพิ่งย้ายมาใหม่เสียด้วย ถ้างั้นฉันฝากไหว้วานให้พวกเธอช่วยเป็นไกด์นำทางพาสองคนนี้แวะชมสถานที่ต่าง ๆ ทีนะ”

               “ขอบพระคุณมากครับ!/ขอบพระคุณมากค่ะ!” เหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวกล่าวรับด้วยความซาบซึ้งอย่างพร้อมเพรียง

               “เอ้อ ถ้าเป็นไปได้รบกวนช่วยแวะซื้อของฝากมาให้ฉันด้วย เที่ยวให้สนุกนะทุกคน ฮะฮะฮะ”

               “เอิ่ม…”

               คราวนี้สมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรทุกคนต่างเผยน้ำเสียงเอือมระอา ก่อนที่ยาโรสลาฟจะหัวเราะปิดท้ายพร้อมทั้งโบกมืออำลาแล้วกดวางสายการสนทนา เมื่อเสร็จสิ้นการรายงาน เลวอน วัตสัน อิทสึกิ ฮิคาริ เวสน่า ออเดรย์ สเตฟาเนีย โมนิก้า อาเธอเรีย และคลาร่า ก็ได้เร่งลงมือร่ายคาถาซ่อมแซมจุดเกิดเหตุให้กลับคืนสู่สภาพเดิม โดยที่ไม่หลงเหลือร่องรอยทิ้งเอาไว้เป็นหลักฐาน ตามด้วยดับไฟภายในห้องให้เรียบร้อย

               หลังจากจัดการทุกอย่างให้เป็นระเบียบเสร็จสิ้น ทุกคนจึงเดินทางออกจากบ้านร้างมุ่งหน้าสู่ใจกลางกรุงปราก เพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ให้คุ้มค่าเหนื่อยกับภารกิจที่เพิ่งปฏิบัติสำเร็จในวันนี้ โดยผู้ที่รับอาสาเป็นไกด์นำทางแนะนำสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในครั้งนี้ ได้แก่สเตฟาเนีย โมนิก้า และเวสน่า ซึ่งเป็นชาวเชโกสโลวาเกีย เพื่อให้เลวอนและฮิคาริเกิดความคุ้นเคยและรู้จักประเทศแห่งนี้มากยิ่งขึ้น

 

               ********************

 

               “ยังทำตัวน่ารังเกียจเหมือนเดิมเลยนะ ยัยนั่น…”

               เด็กสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีแดงฉานประดุจดั่งโลหิต ในชุดเครื่องแบบสีนิลเข้ม โดยสวมเสื้อสเวตเตอร์กับเสื้อโค้ตแขนยาวทับอีกทีคล้ายกองทหารเกียรติยศ และมีปลายใบหูแหลมเล็กน้อยแตกต่างจากผู้คนโดยทั่วไป เธอได้กล่าวน้ำเสียงอันแผ่วเบาพลางก้าวเท้าเข้ามาเยือนภายในบ้านร้างอันมืดสลัว หลังจากที่บรรดาสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรได้เดินทางออกจากพื้นที่แห่งนี้ไปราวสิบนาที

               โดยประโยคข้างต้นที่กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ เธอไม่ได้ระบุเจาะจงอย่างชัดเจนว่ากำลังหมายถึงใคร

               ในขณะเดียวกันมีบุรุษปริศนาผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำทมิฬ สวมหน้ากากกะโหลกปีศาจซึ่งฉายแววตาสีเพลิงน่าเกรงขาม ภายใต้ผ้าคลุมจอมเวทผืนใหญ่แสนรุ่มร่ามปกปิดสัดส่วนของเรือนร่างเอาไว้จนไม่อาจระบุรูปพรรณสัณฐานได้ กำลังเดินสำรวจมองดูรอบ ๆ ภายในบริเวณอาคาร ก่อนจะเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบนุ่มลึกด้วยความประทับใจ

               “โฮ่ เก็บกวาดจนไม่เหลือแม้แต่เศษซากเลยเรอะ อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะกลับมาเพื่อชิงคริสตัลก่อนแท้ ๆ ช่างเป็นลูกเจี๊ยบที่น่าสนใจเสียจริง… จากนี้ไปเด็กคนนั้นอาจจะต้องสร้างปัญหาให้กับข้าในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน”

               “ให้ฉันเข้าไปลอบสังหารเขาเลยดีไหมคะ ฝีมือระดับแค่นั้นคงไม่มีทางเอาชนะฉันในตอนนี้ได้แน่”

               เด็กสาวผมยาวสลวยสีโลหิตรีบเกริ่นอาสาเสนอตน ทว่าบุรุษชุดดำผู้ลึกลับกลับปฏิเสธพร้อมทั้งให้เหตุผลไปดังนี้

               “ยังไม่จำเป็น ขืนผลีผลามรีบลงมือตอนนี้อาจทำให้ชาวบ้านสังเกตได้ ที่สำคัญคนคนนั้นน่ะฉลาดเป็นกรดเสียยิ่งกว่าอะไรดี… บุตรีแห่งข้าเอ๋ย อีกสักพักกระทรวงเวทมนตร์จะเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว รีบออกไปจากที่นี่กันก่อนเถิด”

               “รับทราบค่ะ ท่านพ่อ”

               เธอตอบรับอย่างอ่อนน้อมและว่านอนสอนง่าย พลางหันไปจับจ้องมองดูแผ่นหลังของชายฉกรรจ์ดังกล่าวด้วยความเคารพเทิดทูน บุรุษจอมเวทผู้เป็นปริศนาได้แหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อยพร้อมทั้งกล่าวพึมพำกับตนเอง โดยที่ยุวสตรีนัยน์ตาสีอำพันไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า ภายใต้หน้ากากใบนั้นกำลังแสดงสีหน้ารูปแบบใดอยู่

               “ดูเหมือนโชคชะตากำลังเล่นตลกกับพวกเราอยู่งั้นสินะ นับตั้งแต่ตอนที่เราสองคนต่อสู้ห้ำหั่นกันเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่ต่อให้เจ้าค้นหาร่างสถิตคนใหม่มาได้ ยังไงก็ไม่มีวันเอาชนะจอมมารไซตอนผู้นี้ได้อยู่ดี วลาดแห่งวาลาเคียเอ๋ย”

               ผู้ใช้อาคมชั่วร้ายนามว่า “ไซตอน” ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเนรมิตร่างของตนให้อันตรธานหายไปจากสถานที่แห่งนี้ ทิ้งไว้แค่เพียงละอองแสงสีม่วงเข้มระยิบระยับเจือจางเท่านั้น ในขณะที่แม่มดสาวไร้นามได้หันหน้าไปยังทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื่องจากเธอสัมผัสได้ถึงตัวตนอันเบาบางของเหล่าสมาชิกประกาศิตแห่งมังกร แม้ว่าจะอยู่ในระยะห่างไกลราวหนึ่งกิโลเมตรก็ตาม

               พร้อมเปล่งเสียงที่แฝงไว้ซึ่งความเคียดแค้นออกมาอย่างแผ่วเบา

               “สักวันหนึ่งฉันจะต้องฆ่าหล่อน และทำพิธีฟื้นคืนชีพดวงวิญญาณคุณแม่ให้จงได้… ฉันจะไม่มีวันให้อภัยเด็กเลี้ยงแกะอย่างหล่อน ที่ปล่อยให้คุณแม่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวอย่างเด็ดขาด เมื่อถึงเวลานั้นเราสองคนคงได้เห็นดีกัน… เชิญมีความสุขกับพวกพ้องให้เต็มที่ก่อนวันสุดท้ายมาเยือนเสียเถอะ”

               ยุวสตรีเจ้าของเรือนผมสีโลหิตยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้วร่ายคาถา ให้ร่างพลันหายลับไปจากสถานที่อันเงียบสงัดมืดสลัว หลงเหลือไว้แค่เพียงละอองแสงสีชาดกระจายไปทั่วอากาศ โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าตัวตนของเธอและบุรุษจอมเวทไซตอนนั้นเป็นใครมาจากไหน

               บัดนี้ศัตรูอันแสนร้ายกาจของเลวอนและพรรคพวกได้เริ่มทำการเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างแล้ว

Options

not work with dark mode
Reset