แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 40: เที่ยวกรุงปราก (1)

               เวลา 14 นาฬิกา สมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรต่างก้าวเท้าเดินบนถนนท่ามกลางป่าทึบ หลังเสร็จสิ้นภารกิจปราบปีศาจ Aka Manah โดยอยู่ห่างจากบ้านร้างราวหนึ่งกิโลเมตร ในระหว่างนั้นเอง ฮิคาริสัมผัสได้ถึงพลังเจือจางบางอย่างจากทางเบื้องหลังจึงรีบหันกลับไปมองดู ก่อนจะเอ่ยพึมพำขึ้นมาอย่างแปลกใจ

               “กระแสจิตแบบนั้นมัน…”

               “มีอะไรรึเปล่าคะคุณฮิคาริ?”

               คลาร่าเกริ่นสงสัย ทำให้เหล่าพ่อมดแม่มดวัยที่เหลือจำต้องชะลอฝีเท้าหันไปมองตาม ซามูไรสาวจึงให้เหตุผลไปดังนี้

               “เมื่อกี้นี้ฉันสัมผัสได้ถึงกระแสจิตบางอย่างจากบ้านร้างนั่น คนแรกเปี่ยมล้นไปด้วยความเคียดแค้น ส่วนอีกคนนั้นถือครองพลังอันชั่วร้ายมหาศาล เล่นทำเอาฉันเสียวสันหลังวาบไปแว้บหนึ่งเลยล่ะ”

               “ฉันไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลยสักนิด คิดมากไปเองรึเปล่า?” วัตสันกล่าวแย้งพลางชะเง้อตัวเอียงศีรษะเพื่อเฝ้าสังเกตถึงตำแหน่งดังกล่าว แม้จะมองไม่เห็นตัวอาคารบ้านร้างในพื้นที่ป่าทึบแล้วก็ตาม

               “เพราะแบบนี้ไงนายถึงได้ไก่อ่อนที่สุดในกลุ่ม” ฮิคาริพูดจาถากถางใส่ “การสัมผัสกระแสพลังจิตของศัตรูถือเป็นหนึ่งในพื้นฐานของการต่อสู้เชียวนะ ว่าง ๆ ก็หัดฝึกให้เก่งซะบ้างสิ”

               “ก… ก็ฉันเป็นแค่นักปรุงยานี่นา ใครจะไปชำนาญสายต่อสู้เหมือนพวกเธอกันเล่า”

               “ฉันเองก็สัมผัสได้เหมือนกัน ทางที่ดีพวกเรารีบเดินทางออกจากที่นี่กันเถอะ”

               ออเดรย์เกริ่นเสนอแนะ ทุกคน (ยกเว้นวัตสันซึ่งยังคงออกอาการแง่งอนและพองแก้มใส่ฮิคาริอยู่) ผงกศีรษะเห็นพ้อง เนื่องจากรู้สึกได้ถึงแรงกดดันดังกล่าวเช่นเดียวกัน ถัดมาอิทสึกิจึงสบโอกาสแสดงความคิดเห็นดังนี้

               “ว่าแต่พวกเราจะเดินทางไปกรุงปรากกันยังไงล่ะขอรับ กว่าจะถึงที่หมายก็คงต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงจนไม่มีเวลาเที่ยวได้เต็มที่… ถ้าเช่นนั้นใช้ไม้กวาดกายสิทธิ์กันดีไหมขอรับ?”

               ฮิคาริ และวัตสันที่ได้ยินข้อเสนอดังนั้นถึงกับถอนหายใจเอือมระอา เวสน่าเร่งคัดค้านด้วยความกังวลใจโดยพลัน

               “ท… ทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ ถ้าหากประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในเมืองพบเห็นพวกเรากำลังขี่ไม้กวาดเข้าโดยบังเอิญ อาจทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกแห่งเวทมนตร์ต้องแพร่สะพัดได้นะคะ

               “ล… ลืมไปเสียสนิทเลย ขอโทษด้วยนะขอรับ” เทพสุนัขหนุ่มแสดงสีหน้าท่าทีคอตกอย่างผิดหวัง

               “อย่ากังวลไปเลยค่ะ ตราบใดที่พวกเรายังมีผู้ถือครองอุปกรณ์วิเศษหายากอยู่ด้วยทั้งคน เพราะนาฬิกาที่สเตฟก้าพกติดตัวนั้นสามารถย้อนเวลากลับไปยังอดีต รวมถึงเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อีกด้วยนะคะ”

               โมนิก้ากล่าวบรรยายสรรพคุณของไอเท็มสุดล้ำพลางยิ้มร่า อาเธอเรียรีบเผยอากัปกิริยาพร้อมน้ำเสียงตื่นเต้นทันที

               “ว้าว พูดจริงเหรอเนี่ย? แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับไทม์แมชชีนเลยน่ะสิ สุดยอด~!”

               “เฮ้อ… โดนเข้าจนได้สินะคะ ช่วยไม่ได้แฮะ”

               สเตฟาเนียถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหยิบนาฬิกาพกพาสีทองซึ่งแอบเก็บซ่อนเอาไว้จากหมวกแม่มด แล้วเริ่มเกริ่นขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทีเรียบตามปกติ

               “ในเมื่อความแตกแบบนี้ ถ้างั้นฉันจะหยิบมันขึ้นมาใช้เป็นกรณีพิเศษก็แล้วกันค่ะ แต่ก่อนอื่นทุกคนช่วยรับปากกับฉันได้ไหมคะว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร… เพราะนี่ถือเป็นไพ่ตายชิ้นสำคัญสำหรับพวกเราในยามคับขันจริง ๆ”

               เหล่าจอมเวทฝึกหัดต่างผงกศีรษะให้คำมั่นสัญญา เวสน่าจึงซักถามต่อแม่มดสาวผมสีส้มเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

               “จะดีเหรอคะคุณสเตฟาเนีย?”

               “ฉันรู้จักตรอกซอยแห่งหนึ่งในเมืองเก่ากรุงปรากซึ่งลับสายตาผู้คน พวกเราจะเคลื่อนย้ายไปยังจุดนั้นในช่วงเวลาเก้าโมงเช้าของวันนี้ เพราะงั้นสบายใจได้เลยค่ะซิสเตอร์”

               “รอช้าอะไรอยู่ล่ะ รีบวาร์ปข้ามเวลากันเลยสิ พวกเราอยากเดินกินลมชมวิวจะแย่อยู่แล้ว”

               วัตสันส่งเสียงตื่นเต้น ทว่าเลวอนกลับเกริ่นขัดจังหวะเพื่อเตือนสติต่อสมาชิกทุกคน

               “ช้าก่อนครับทุกคน ขืนพวกเราออกเดินทางในสภาพแบบนี้มีหวังได้ตกเป็นเป้าสายตาแน่ ๆ”

               “อ๊ะ นั่นสินะ ถ้าจะบอกว่าเป็นการแต่งคอสเพลย์ก็คงฟังไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ แถมอาวุธที่พวกเราถืออยู่ดันเป็นของจริงเสียด้วยสิ โดยเฉพาะคาตานะกับดาบเล่มใหญ่…”

               ฮิคาริก้มลงมองศัสตราวุธซึ่งพกแนบติดตัวมาด้วยหลังจากพูดจบ เหล่าผองเพื่อนจึงรีบสำรวจค้นหาสิ่งของส่วนตัวที่ดูท่าทางอันตรายหรือแปลกตาทันที แล้วพบว่าแต่ละคนต่างก็ถือครองไม้กายสิทธิ์ มีดสั้น ดาบยาว หรือแม้กระทั่งไม้กวาดแม่มด ยกเว้นเวสน่า อาเธอเรีย และคลาร่าเท่านั้นที่ไม่มีสิ่งเทียมอาวุธใด ๆ

               โมนิก้าจึงตัดสินใจถอดหมวกแม่มดใบใหญ่ออกจากศีรษะแล้วหงายช่องสวมใส่ขึ้น พร้อมกล่าวอาสาออกไปดังนี้

               “ในสถานที่สำคัญอย่างปราสาทปรากนั้นเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีการตรวจค้นสัมภาระของนักท่องเที่ยวด้วย พวกเราควรนำเอาอาวุธและผ้าคลุมเก็บใส่ลงในหมวกแม่มดดีกว่า… ทุกคนนำของมาฝากไว้ที่ฉันได้เลยค่ะ”

               “ฉันเองก็จะช่วยด้วยอีกแรงค่ะ/ฉันด้วย”

               สเตฟาเนีย และออเดรย์ พร้อมใจกันถอดหมวกแม่มดอเนกประสงค์ออกจากศีรษะพลางเกริ่นอาสา เพื่อแบ่งเบาภาระช่วยเหลือโมนิก้า ฮิคาริจึงเป็นตัวแทนกล่าวคำซาบซึ้งในน้ำใจต่อสามแม่มดสาว

               “ขอบใจพวกเธอมากเลยนะ ช่วยได้เยอะจริง ๆ”

               ไม่รอช้าเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสเร่งนำเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ใส่ลงไปในหมวกของแต่ละคน แม้ว่าภายนอกจะดูใบเล็กและไม่น่าบรรจุสิ่งของชิ้นใหญ่เข้าไปได้ ทว่าภายในกลับกว้างขวางไร้ซึ่งขอบเขต ด้วยเหตุนี้ขนาดและความยาวของสัมภาระจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

               เมื่อปลดศัสตราวุธและผ้าคลุมจอมเวทออกจนหมดสิ้นแล้ว เหล่ายุวชนชายหญิงทั้งสิบชีวิตในตอนนี้จึงกลายเป็นเพียงนักท่องเที่ยวธรรมดาเฉกเช่นคนทั่วไป ถัดมาสเตฟาเนีย โมนิก้า และออเดรย์จึงยกหมวกวิเศษขึ้นสวมบนศีรษะตามเดิม

               แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มหยิบนาฬิกาเวทมนตร์เรือนสีทองขึ้นมาเปิดฝา แสดงให้เห็นถึงรูปลักษณ์บนหน้าปัดซึ่งคล้ายคลึงกับนาฬิกาดาราศาสตร์ปรากอย่างชัดเจน จากนั้นจึงกล่าวเตือนผองเพื่อนให้ระมัดระวังและเตรียมความพร้อม

               “จากนี้ไปจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการวาร์ปข้ามเวลาแล้ว ขอให้ทุกคนรีบจับกลุ่มกันเอาไว้ และอย่าปล่อยมือออกจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจหลุดลอยเคว้งคว้างจนติดอยู่ในอุโมงค์แห่งกาลเวลาได้”

               เหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวรีบขยับตัวเข้าใกล้ผู้ถือครองไอเท็มเพื่อจับแขนเกาะไหล่ โมนิก้าจึงอาศัยช่วงโอกาสนี้เข้าสวมกอดแขนขวาของเลวอนเพื่อทำแต้มนำจนอีกฝ่ายสะดุ้งตกใจพอประมาณ สเตฟาเนียซึ่งยืนอยู่เคียงข้างทางฝั่งตรงข้ามเมื่อเห็นดังนั้นแล้วจึงกลัวนึกเสียหน้า เธอพลันสอดมือขวาโอบแขนซ้ายของบุรุษหนุ่มรูปงามพลางกระชับแนบแน่น ทำให้เขาต้องแก้มแดงแจ๋วางตัวแทบไม่ถูกเลยทีเดียว โดยที่ทางแม่มดสาวผมสีน้ำตาลอ่อนได้หันไปพองแก้มคิ้วขมวดใส่เพื่อนสนิทตนอย่างไม่พึงพอใจ

               “…เลวอนเอ๋ย ฉันควรนึกอิจฉาหรือควรสงสารนายดี”

               วัตสันพูดจาแซวใส่เลวอนพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม ออเดรย์ คลาร่า และเวสน่าหัวเราะเฝื่อน ส่วนฮิคาริถอนหายใจเอือมระอา ทว่าสเตฟาเนียกลับไม่สนใจต่อสิ่งรบกวนพร้อมทั้งตั้งสมาธิให้มั่นคง ใช้ปลายนิ้วหมุนเม็ดมะยมของตัวนาฬิกา เพื่อตั้งค่าวันและเวลาที่ต้องการจะย้อนกลับไป โดยเข็มชี้กับชิ้นส่วนต่าง ๆ บนหน้าปัดต่างเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งอย่างสลับซับซ้อน

               เมื่อตรวจสอบความถูกต้องเสร็จสรรพให้แน่ใจ เด็กสาวนัยน์ตาสีส้มจึงกล่าวบทอัญเชิญมนตราด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

               “ข้าแด่โครนัส เทพแห่งกาลเวลาและผู้นำเหล่ายักษ์ไททัน ได้โปรดเมตตาประทานพลัง เพื่อนำพาตัวข้าย้อนกลับไปยังสถานที่ดั่งใจมุ่งหมายโดยสวัสดิภาพด้วยเทอญ”

               ทันใดนั้นพื้นเบื้องล่างที่ทุกคนยืนอยู่พลันปรากฏรูปวงแหวนเวทขนาดใหญ่ขึ้นมาเป็นเส้นแสงสีรุ้ง มีลักษณะลวดลายคล้ายดั่งนาฬิกาดาราศาสตร์ปรากทุกกระเบียดนิ้ว พร้อมด้วยสายลมกรรโชกพัดผ่านไปมา จนปลายเส้นผมและเสื้อผ้าต่างพัดพลิ้วไหว ร่างกายส่วนล่างตั้งแต่หัวเข่าลงไปเกิดภาพบิดเบือน ได้แตกกระจายเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดเล็กนับสิบคล้าย Chiptune สร้างความประหลาดใจให้แก่พวกเลวอนเป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือมีผลกระทบใด ๆ โดยตรงก็ตาม

               สเตฟาเนียหลับตาตั้งสมาธิพลางนึกถึงภาพของสถานที่ซึ่งตนต้องการจะเดินทางไป เรียกขานนามแห่งมนตราออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉะฉาน โดยที่สองมือบางจับประคองนาฬิกาเวทมนตร์เอาไว้อย่างมั่นคง

               “Tempus itinerantur! (คาถาเดินทางข้ามกาลเวลา) ”

               ——ซูมมมมม!

               และแล้วร่างของเหล่าสมาชิกทีม Order of the Dragon ทั้งสิบชีวิตก็พลันอันตรธานหายไปจากถนนท่ามกลางป่าทึบ หลงเหลือไว้ซึ่งละอองแสงระยิบระยับเท่านั้น สิ่งที่ทุกคนพบเห็นในขณะเดินทางข้ามเวลานั้น คืออุโมงค์ขนาดมหึมาหลากหลายสีแลดูตระการตา โดยมีภาพของแต่ละเหตุการณ์ซึ่งเคยปรากฏขึ้นในอดีตวิ่งไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงวินาทีสั้น ๆ แต่นั่นก็ทำให้เลวอนและพรรคพวกตื่นตระหนกจนแทบลืมหายใจ

               ทันทีที่กระบวนการทำงานของเวทมนตร์สิ้นสุดลง เหล่าบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวก็ปรากฏตัวอยู่ในตรอกซอกลานจอดรถแห่งหนึ่งค่อนข้างลับสายตา ล้อมรอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างและคอยบดบังทัศนวิสัยจนเกิดร่มเงาปกคลุมรอบพื้นที่

               ในขณะที่ทุกคนรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยและพยายามปรับตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น สเตฟาเนียรีบปิดฝาเก็บนาฬิกาเวทมนตร์ใส่ลงไปในกระเป๋ากระโปรง แล้วหันซ้ายขวาคอยสอดส่องว่ามีใครพบเห็นพวกตนหรือไม่ เมื่อทุกอย่างดูปกติดีจึงพลันถอนหายใจโล่งอก อิทสึกิซึ่งยังคงตาลายและไม่คุ้นชินต่อสถานที่แปลกใหม่ได้เกริ่นซักถามสงสัย โดยมีเวสน่าช่วยลูบแผ่นหลังปลอบเพื่อให้อาการของเขาดีขึ้นไปพลาง

               “ว… เวียนหัวจังเลย ว่าแต่ที่นี่ที่ไหนกันขอรับ?”

               “หลังอาคารอพาร์ทเมนท์ Happy Prague ข้างโบสถ์ Bethlehem Chapel ใกล้แม่น้ำวัลตาวาค่ะ”

               สเตฟาเนียตอบกลับก่อนที่จะคลายอ้อมกอดออกจากแขนซ้ายของเลวอน โมนิก้าซึ่งกำลังแนบชิดพ่อมดหนุ่มเมื่อเห็นดังนั้นจึงแอบโล่งใจ ค่อย ๆ ผละตัวออกจากเขาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญ แล้วกล่าวเสริมรายละเอียดไปดังนี้

               “แถบย่านจัตุรัสเมืองเก่าใกล้สะพานชาร์ลส์นี่เอง ตั้งใจจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมที่ปราสาทปรากก่อนงั้นสินะคะ?”

               “ถ้างั้นถือโอกาสนี้แวะชมที่มหาวิหารเซนต์วิตุสด้วยเลยดีไหมคะ?”

               เวสน่าเสนอแนะ โมนิก้า และสเตฟาเนียผงกศีรษะเห็นพ้อง อาเธอเรียที่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของแสงตะวันซึ่งแตกต่างจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ก็พลันยกแขนซ้ายขึ้นมาเพื่อตั้งค่าหมุนเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดเสียใหม่ให้ตรงตามที่กำหนด ทว่าจู่ ๆ เธอกลับเผยสีหน้าน้ำเสียงประหลาดใจออกมาเล็กน้อยหลังจากพบเห็นสิ่งที่ผิดปกติไปจากเดิม

               “โห ตั้งใจว่าจะปรับช่วงเวลาจากบ่ายสองมาเป็นเก้าโมงเช้าด้วยตัวเองแท้ ๆ …สเตฟก้า เจ้าของวิเศษนั่นมีผลโดยตรงกับนาฬิกาของพวกเราด้วยเหรอเนี่ย ขี้โกงเกินไปแล้วนะ”

               ด้วยประโยคดังกล่าว คลาร่าและผองเพื่อนจึงหยิบยกนาฬิกาหรือสมาร์ตโฟนขึ้นมาสังเกตดูถึงช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ก่อนจะแสดงท่าทีตะลึงพรึงเพริดต่อสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แม้แต่ฮิคาริผู้ซึ่งสนใจแต่ศาสตร์วิชาแห่งตะวันออก ก็ยังมิวายต้องเอ่ยอุทานออกมาเช่นกัน

               “ม-แม้แต่นาฬิกาดิจิทัลเองก็ถูกปรับเปลี่ยนให้ตรงตามเวลาปัจจุบันด้วยเหรอเนี่ย ช่างเป็นแรร์ไอเท็มที่น่ากลัวจริง ๆ”

               “พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉัน โมนิก้า และซิสเตอร์เวสน่าจะคอยรับหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวให้เอง”

               สเตฟาเนียกล่าวสั้น ๆ ก่อนจะก้าวเท้านำทางในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่ ออเดรย์และเหล่าผองเพื่อนรีบรุดหน้าเดินตามแผ่นหลังเธอไปยังเส้นถนนตรอกซอยแคบทันที เมื่อถึงทางออกจึงพบเห็นบรรยากาศสีสันซึ่งเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผู้คนทุกเพศทุกวัยหลายสิบชีวิตต่างเดินพลุกพล่านไปมา ท่ามกลางแสงแดดยามเช้ากับท้องฟ้าสีครามอันสดใส พร้อมด้วยอากาศเย็นสบายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

               หลังจากผ่านพ้นบริเวณโบสถ์กับอาคารแหล่งที่พักอาศัยซึ่งค่อนข้างสลับซับซ้อนคล้ายเขาวงกต บรรดาหนุ่มสาววัยใสทั้งสิบชีวิตจึงมุ่งหน้าไปยังทางทิศเหนือบนฟุตพาทริมถนน Smetanovo nabrezi โดยทางด้านซ้ายมือมีแม่น้ำวัลตาวาไหลผ่านซึ่งสามารถรับชมทัศนียภาพที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งได้

               ในระหว่างเดินทาง แต่ละคนต่างสังเกตเห็นว่าสิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่นั้นล้วนมีหลังคาเป็นสีส้มอิฐ โดยถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำกรุงปรากที่มีความสวยสดงดงามตามสไตล์ศิลปะโกธิค ผสมผสานการประดับประดากับอาคารแบบโบฮีเมียหากลองมองจากที่สูงลงมา

               สมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรได้เดินทางมาถึงบริเวณสะพานชาร์ลส์ สถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคที่มีความยาวโดยรวม 621 เมตร กว้างเกือบ 10 เมตร แต่ละจุดประดับรูปปั้นนักบุญโรมันคาทอลิกนับสิบ ตั้งอยู่บนขอบกั้นริมสะพานดูเด่นตระหง่าน ส่วนปลายถนนสองฟากทั้งฝั่งเมืองเก่าและเมืองตะวันตกนั้นมีหอคอยชมวิวทิวทัศน์ปรากฏอยู่ด้วยเช่นกัน

               เนื่องจากเวลานี้ยังเป็นช่วงเช้าจึงไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมามากเท่าตอนบ่าย แต่ก็ถือได้ว่ายังคงคึกคักและเต็มไปด้วยสีสันอยู่พอสมควร โดยมีบรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแวะมาเยี่ยมชม ไม่ว่าจะเป็นซุ้มงานศิลปะกับภาพถ่ายที่ระลึกต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งซุ้มดนตรีคอยบรรเลงเคล้าคลอตรงริมสะพานชวนให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เหนือแม่น้ำวัลตาวาซึ่งกำลังไหลเอื่อยทอดยาวสุดลูกหูลูกตา

               ถึงแม้ฤดูการท่องเที่ยวจะยังอยู่ในช่วงหน้าร้อน ทว่าด้วยตำแหน่งภูมิประเทศซึ่งอยู่ทางซีกโลกเหนือส่งผลทำให้อากาศเย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าว เหมาะแก่การชวนคู่รักออกเดทเพื่อสร้างความประทับใจยิ่งนัก

               เมื่อมาเยือนถึงใจกลางสะพานข้ามลำธารเส้นใหญ่ สเตฟาเนีย โมนิก้า และเวสน่า จึงพลันชะลอฝีเท้าจับกลุ่มพูดคุยซุบซิบสั้น ๆ ก่อนจะหันมาส่งรอยยิ้มละมุนมอบให้แก่เหล่าพ่อมดแม่มดวัยเยาว์ พลางผายมือไปยังปลายทางซึ่งอยู่ตรงเบื้องหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสดังนี้

               “ยินดีต้อนรับเข้าสู่กรุงปราก เมืองแห่งความสงบและโรแมนติกค่ะ!”

 

Options

not work with dark mode
Reset