แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 41: เที่ยวกรุงปราก (2)

 

               “โห…!”

               ออเดรย์ อิทสึกิ คลาร่า อาเธอเรีย และวัตสัน ต่างร้องอุทานอย่างประทับใจ โดยเฉพาะเลวอน และฮิคาริ ผู้ซึ่งยังไม่เคยได้สัมผัสหรือเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งนี้อย่างจริงจังมาก่อน ทั้งคู่หันซ้ายแลขวารับชมวิวทิวทัศน์รอบ ๆ ด้วยท่าทีตื่นเต้น หารู้ไม่ว่าตนนั้นได้หลงเสน่ห์กรุงปรากตั้งแต่แรกเห็นเข้าเสียแล้ว ถึงขนาดหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาถ่ายรูปเก็บความงดงาม รวมทั้งบันทึกภาพสามสาวชาวเชโกสโลวาเกียซึ่งกำลังยืนต้อนรับทุกคนอยู่ตรงเบื้องหน้าไปพลาง

               “ครั้งหน้าคงต้องเอากล้องถ่ายรูปมาด้วยแล้วล่ะ เผื่อจะได้บันทึกภาพสวย ๆ ตามมุมต่าง ๆ”

               เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนเอ่ยน้ำเสียงพึงพอใจ หลังจากที่เขาใช้โทรศัพท์มือถือเก็บภาพแห่งความทรงจำเสร็จสิ้น เวสน่าจึงเริ่มอธิบายเกร็ดความรู้ให้แก่บรรดาผองเพื่อนโดยสังเขป

               “ที่นี่คือแลนด์มาร์คจุดสำคัญของเช็กเกีย เป็นใจกลางที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองเก่ากับเมืองแห่งปราสาททางฝั่งตะวันตก ว่ากันว่าหากใครไม่ได้มาเยือนที่สะพานชาร์ลส์แห่งนี้ จะถือว่าไม่ได้มาเที่ยวในกรุงปรากนะคะ”

               “ทุกคนตามฉันมาสิคะ มาถึงสะพานชาร์ลส์ทั้งทีก็ต้องแวะชมรูปปั้นนักบุญจอห์นแห่งเนโปมุกกันสักหน่อย”

               โมนิก้ากล่าวเชิญชวนก่อนจะเร่งฝีเท้านำทางด้วยสีหน้าอากัปกิริยาร่าเริงสดใส ณ พื้นที่ซึ่งปูด้วยก้อนอิฐสีเข้มวางซ้อนกันเป็นอย่างระเบียบจำนวนนับร้อยพันชิ้น เมื่อเห็นว่าเลวอนนั้นรู้สึกประทับใจต่อสถานที่อันสวยงามแห่งนี้ โดยที่ตัวเธอเผลอลืมความรู้สึกขุ่นมัวใจเพียงชั่วขณะหนึ่ง

 

 

               จนกระทั่งเหล่าจอมเวทฝึกหัดทั้งสิบชีวิตมุ่งตรงมาถึงจุดสำคัญแห่งหนึ่งตรงริมสะพานทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นงานศิลปะประติมากรรมลอยตัวตั้งประดับประดา โดยมีบรรดานักท่องเที่ยวนิยมแวะมาเยี่ยมชมถ่ายรูปกันมากที่สุด นั่นก็คือรูปปั้นนักบุญจอห์นแห่งเนโปมุก ในลักษณะยืนประคองร่างพระเยซูซึ่งถูกตรึงด้วยไม้กางเขนบนแท่นศิลาดำ มือขวาเหน็บกิ่งต้นปาล์มสีทอง และปรากฏวงแหวนดาวห้าดวงล้อมรอบศีรษะ โมนิก้าจึงถือโอกาสนี้กล่าวบรรยายถึงประวัติความเป็นมาอย่างไม่รีรอช้า

               “ที่ทุกคนเห็นอยู่นี้คือ นักบุญจอห์นแห่งเนโปมุก หนึ่งในบรรดารูปปั้นบนสะพานชาร์ลส์ทั้งสามสิบรูปซึ่งมีความโด่งดังมากที่สุด… ในตำนานเล่าว่าวันหนึ่งท่านได้รับฟังคำสารภาพบาปจากพระราชินีนีโซเฟีย พระชายาของพระเจ้าเวนเซสลาสที่สี่แห่งแคว้นโบฮีเมีย โดยให้คำมั่นสัญญาต่อพระราชินีว่าจะเก็บถ้อยคำสารภาพบาปนี้เอาไว้เป็นความลับตลอดกาล

               เมื่อพระราชาทราบถึงเรื่องนี้จึงเดินทางมาเพื่อถามหาความจริงจากนักบุญจอห์น แต่ท่านไม่ยอมปริปากบอกสิ่งใดจึงถูกเหล่าทหารจับตัวมาทรมาน ณ ริมสะพานแห่งนี้ ก่อนจะถูกถ่วงลงในแม่น้ำวัตตาวาจนถึงแก่กรรมในที่สุด

               หลังจากนั้นนักบุญจอห์นก็ได้กลายเป็นนักบวชที่ได้รับการเคารพนับถือจากประชาชน เชื่อกันว่าถ้าหากใครนำเอามือไปลูบคลำรอยสลักรูปสตรี กับสุนัขสีทองที่อยู่บนฐานของรูปปั้นแล้วอธิษฐานขอพรไปพลาง จะทำให้ผู้นั้นสุขสมหวังดั่งใจนึกค่ะ”

               โมนิก้าผายมือไปยังรูปสลักสีน้ำตาลเข้มบนฐานประติมากรรม โดยที่ตรงกลางจารึกตัวอักษรละติน ถัดจากด้านซ้ายคืองานสลักรอยนูนรูปบุรุษปริศนาผู้หนึ่งในชุดเกราะอัศวิน กำลังลูบศีรษะสุนัขซึ่งมีผิวสีทอง อีกฝั่งหนึ่งเป็นรูปสตรีซึ่งเปล่งปลั่งไปด้วยสีกาญจนาเช่นเดียวกัน ฉากพื้นหลังเป็นสิ่งก่อสร้างคล้ายป้อมปราการ คลาร่าสังเกตถึงความแตกต่างชัดเจนตรงส่วนนั้นก็เริ่มเกริ่นน้ำเสียงประทับใจออกมาทันที

               “มีคนเข้ามาลูบคลำอยู่บ่อย ๆ จนกลายเป็นสีทองงั้นสินะคะ… น่าสนใจจังเลย~”

               “ดีล่ะ ถ้างั้นฉันจะตั้งใจอธิษฐานขอให้ตัวเองกลายเป็นไอ้หนุ่มเนื้อหอม จนมีเหล่าสาว ๆ คอยรุมล้อมทุกวันทุกคืนแบบไม่ขาดสายไปเลย~!”

               วัตสันเปิดเผยความในใจ จนอาเธอเรีย สเตฟาเนีย และโมนิก้าถึงกับส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา ฮิคาริจึงสบโอกาสนี้ทักท้วงอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำที่ปราศจากความถนอมน้ำใจ

               “เป็นคำขอที่ฟังดูไร้สาระและไม่เข้าท่าจริง ๆ เล่นบอกให้คนอื่นรู้ความในใจกันแบบนี้ รับรองว่านายหมดสิทธิ์เนื้อหอมในหมู่พวกเราอย่างแน่นอน… ต่อให้ไม่หลุดปากพูดออกมาก็เถอะ”

               “เงียบไปเลย นี่น่ะถือเป็นความฝันอันสูงสุดของเหล่าลูกผู้ชายเชียวนะเฟ้ย…! พวกนายเองก็เห็นด้วยกับฉันใช่ไหม!?”

               พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาจอมทะเล้นรีบหันไปพูดจาหว่านล้อมต่อเหล่ามิตรสหายเพศเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าอิทสึกิจะไม่เห็นพ้องต้องด้วยพร้อมทั้งโบกมือปฏิเสธ ส่วนเลวอนได้แต่ยิ้มเฝื่อนพลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย แม้นว่าภายในใจจะแอบเห็นพ้องและกำลังปรารถนาต่อสิ่งนั้นอยู่ก็ตาม

               ต่อให้เป็นเพียงแค่ความเชื่อก็ตาม แน่นอนว่าพวกเลวอนย่อมไม่พลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้ ทุกคนต่างทยอยผลัดเปลี่ยนยื่นมือเข้าไปสัมผัสกับรูปสลักสีทองทั้งสองจุด โดยเฉพาะออเดรย์ผู้ซึ่งมีนิสัยค่อนข้างซุกซนและอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว เธอยืนลูบงานศิลปะชิ้นดังกล่าวนานกว่าใครเพื่อน จนอิทสึกิและอาเธอเรียจำต้องฉุดดึงตัวจิ้งจอกสาวให้ถอยออกมาจากตรงนั้นทันที เพื่อไม่ให้เหล่านักท่องเที่ยวที่ยืนรออยู่ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้

               พ่อมดหนุ่มรูปงามผมสีขาวโพลนปลีกตัวออกจากบริเวณรูปปั้นนักบุญจอห์นแห่งเนโปมุก หลังจากที่เขาสัมผัสรูปสลักผิวสีทองจนพึงพอใจ แล้วยืนรอคอยเหล่าสหายที่เหลืออยู่ตรงริมสะพาน ไม่นานนักฮิคาริก็ได้ก้าวเท้าเข้ามาหาและยืนอยู่เคียงข้างตน ก่อนจะยื่นศอกขวาไปสะกิดร่างสูงโปร่งเพื่อเริ่มบทสนทนาหยอกล้อพลางเผยสีหน้าคิ้วขมวดใส่เล็กน้อย

               “เจ้าลูกแกะ นายเองก็แอบขอพรหวังให้ตัวเองกลายเป็นไอ้หนุ่มเนื้อหอม เหมือนอย่างที่เจ้าพ่อมดติ๊งต๊องนักปรุงยานั่นพล่ามมาด้วยใช่ไหมล่ะ? ฉันรู้ทันหรอกน่า”

               “ม-ไม่หรอกครับ ผมก็แค่…” เลวอนรีบหันมาปฏิเสธโดยละถ้อยคำสุดท้ายเอาไว้

               “ทิ้งท้ายกันแบบนี้ชักเริ่มน่าสงสัยขึ้นมาตงิด ๆ จังแฮะ รีบพูดออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” คราวนี้สตรีจอมดาบเวทเริ่มจ้องเขม็งเล็งพลางขยับใบหน้าเข้าใกล้เพื่อกดดันใส่อีกฝ่าย

               “เอ่อ… ไม่พูดไม่ได้เหรอครับ?”

               “นายไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธฉัน อย่าลืมสิว่าใครกันที่เป็นคนสอนวิชาดาบให้นาย”

               ฮิคาริกล่าวทวงบุญคุณแกมบังคับ เลวอนจึงไม่อาจเพิกเฉยคำสั่งของเธอได้ ไม่ว่าจะในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์หรือเพื่อนที่ได้รับความไว้วางใจก็ตาม เขาแอบรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยก่อนจะเกริ่นร้องขอต่ออีกฝ่ายไปดังนี้

               “คุณฮิคาริต้องสัญญากับผมก่อนนะครับ ว่าถ้าหากรับฟังแล้วจะไม่หัวเราะเยาะใส่ผมอย่างเด็ดขาด”

               “ได้สิ เว้นแต่ว่าเรื่องที่เล่ามามันฟังดูไร้สาระจริง ๆ ถึงตอนนั้นฉันจะพยายามกลั้นขำเอาไว้”

               ซามูไรสาวยอมรับข้อตกลงพลางเอนศีรษะออกห่างจากเลวอนพอประมาณ อีกฝ่ายหันหน้าจับจ้องมองรูปปั้นนักบุญจอห์นแห่งเนโปมุกซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ห่างจากตนไม่ไกลมากนัก แล้วกล่าวน้ำเสียงอันแผ่วเบาออกมาด้วยสีหน้าท่าทีคล้ายคนที่กำลังเหม่อลอย

               “ผมอธิษฐานไปว่า ‘อยากจะมีความสุขกับทุก ๆ คนให้ได้มากที่สุด ก่อนถึงช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต’ …น่ะครับ”

               “อะไรล่ะนั่น พูดเหมือนกับว่านายรู้วันตายของตัวเองยังไงยังงั้นแหละ… อ๊ะ!”

               กว่าที่ฮิคาริจะเอะใจต่อคำพูดเมื่อสักครู่นี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เธอยังคงจดจำถึงเรื่องราวเกี่ยวกับอายุขัยที่เหลืออยู่และอาการป่วยของเลวอน ซึ่งได้สดับรับฟังมาจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟในช่วงก่อนหน้านี้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นพ่อมดหนุ่มผู้แสนสุภาพยังคงแย้มสรวลเจือจาง แล้วหันมาสนทนากับอีกฝ่ายต่อไป แม้ว่าสีหน้าในตอนนี้จะแสดงให้เห็นถึงความเศร้าหมองออกมาก็ตาม

               “ฟังดูไร้สาระดีใช่ไหมล่ะครับ?”

               “เลวอน อย่าบอกนะว่านาย…!”

               ฮิคาริเผยความกังวลใจพร้อมทั้งรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยในตัวเลวอนอย่างชัดเจน ทั้งที่ในยามปกตินั้นเธอมักจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวและมีนิสัยปากไม่ตรงกับใจก็ตาม มิหนำซ้ำเรื่องอายุขัยที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารนี้เอง ก็ยังต้องถูกสั่งปิดเป็นความลับเพื่อไม่ให้เจ้าตัวล่วงรู้อย่างเด็ดขาดอีกด้วย

               ฮิคาริอดคิดมากไม่ได้เลยว่าเลวอนนั้นล่วงรู้ถึงความจริงดังกล่าวนี้ไปแล้วหรือยัง เพราะถ้าหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นมา เธอเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่อาจทำใจฝืนยิ้มหรือทนมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่กัดฟันแบกรับความทุกข์ใจทั้งหมดของเขากลับกลายเป็นตัวเด็กสาวเสียเอง

               “ไร้สาระตรงไหนกันยะ เจ้าลูกแกะบ้า…!”

 

               ********************

 

               ภายหลังจากเยี่ยมชมรูปปั้นนักบุญจอห์นเสร็จสิ้น เลวอนและผองเพื่อนจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองฝั่งตะวันตกผ่านเส้นทางสะพานชาร์ลส์ โดยที่อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังมิได้แตกต่างไปจากเมืองเก่าทางฝั่งตะวันออกสักเท่าไหร่นัก ทว่าส่วนลึกภายในเขตชุมชนนั้นกลับเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาพอสมควร

               ตรอกซอยในย่านนี้เต็มไปด้วยแหล่งที่พักอาศัยกับร้านค้าต่าง ๆ ค่อนข้างสลับซับซ้อน จะสังเกตเห็นได้ว่าบนถนนบางเส้นมีช่องทางสำหรับรถรางเพื่อรับส่งผู้โดยสาร ทว่าภาพรวมนั้นกลับให้ความรู้สึกสงบจิตสงบใจ ไม่ค่อยวุ่นวายเท่าเมืองหลวงประเทศอื่น ๆ ต่อให้มีผู้คนชุกชุมอยู่ก็ตาม

               เวสน่า โมนิก้า และสเตฟาเนีย เดินนำทางมาถึงถนน Thunovska ซึ่งมีความชันตามสภาพภูมิประเทศ เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรจึงเดินขึ้นบันได เพื่อเข้าสู่บริเวณพื้นที่นอกเขตของปราสาทปรากไปพร้อม ๆ กับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ โดยพยายามเกาะกลุ่มกันเอาไว้ไม่ให้พลัดหลง จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูทางเข้าฝั่งตะวันตกหรือ Wrestling Titans ในที่สุด

 

 

               พื้นลานกว้างถูกปูด้วยก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมผิวเรียบรูปร่างไม่สม่ำเสมอ แต่กลับวางเรียงรายซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ โดยบริเวณรอบ ๆ รายล้อมไปด้วยอาคารสีครีมสูงประมาณสี่ถึงห้าชั้น และมีมุมชมวิวทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นท้องฟ้าสีครามปลอดโปร่งและบรรยากาศภายในเมืองอย่างชัดเจน ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตา

               จุดเด่นที่สำคัญสำหรับบริเวณแห่งนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประตูทางเข้าฝั่งตะวันตกหรือ Wrestling Titans เป็นหนึ่งในสามทางผ่านหลักซึ่งประดับประดาด้วยรั้วกั้นลวดลายอันงดงาม และบนเสาปูนแต่ละต้นมีศิลปะงานสลักวางตั้งเป็นสง่า โดยเฉพาะรูปเหล่าไททันหรือคนยักษ์ทั้งสี่ตน กำลังต่อสู้อยู่ในอิริยาบถที่แตกต่างกันไปบนเสาทางเข้าทั้งสองฝั่งราวกับผู้เฝ้าทวาร

 

 

               ถัดจากจุดดังกล่าวคืออาคารสีครีม ซึ่งปูด้วยหลังคาสีอิฐตั้งเด่นตระหง่านอยู่ภายในพื้นที่ลานกว้าง และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เวสน่าจึงเริ่มอธิบายข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้โดยสังเขปดังนี้

               “เบื้องหน้าของเขตลานกว้างที่พวกเราเห็นอยู่ในตอนนี้คือปราสาทปราก หรือ Pražský hrad เคยเป็นสถานที่สำคัญของกษัตริย์เช็กในอดีต สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 870 และได้รับการบันทึกว่าเป็นปราสาทโบราณสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความยาวประมาณ 570 เมตร และความกว้างประมาณ 130 เมตรค่ะ”

 

 

               “ถ้าจำไม่ผิด ชื่อของเมืองหลวงแห่งนี้ตามสำเนียงท้องถิ่นแล้วต้องอ่านว่า ‘ปราฮา’ ใช่ไหมครับ?” เลวอนซักถาม

               “ใช่ค่ะ ตัวปราสาทปรากเองก็ถูกตั้งชื่อตามเมืองหลวงของประเทศเช็กเกียด้วยเช่นกัน” นักพรตสาวมอบคำตอบพร้อมทั้งรอยยิ้ม “ถ้างั้นจากนี้ไปเดี๋ยวฉันจะพาทุกคนซื้อบัตรเข้าชมกันนะคะ ตามมาเลยค่ะ”

               เวสน่าเชิญชวนเพื่อน ๆ มุ่งตรงไปยังจุดจำหน่ายบัตรใกล้บริเวณโบราณสถานเพื่อซื้อตั๋วเข้าชม มีอยู่ด้วยกันสองราคาคือแบบ Short Tour ที่เน้นเยี่ยมชมเฉพาะส่วนหลัก ๆ ของปราสาทเพียงแค่ราคา 250 โครูนาเช็ก กับแบบ Long Tour ที่สามารถท่องเที่ยวตามแต่ละอาคารค่อนข้างครบครันในราคา 350 โครูนาเช็ก

               อย่างไรก็ตาม ข้อดีของบัตรเข้าชมทั้งสองราคานี้สามารถใช้ได้ถึงสองวัน เนื่องจากสถานที่สำคัญแห่งนี้กว้างใหญ่และมีหลากหลายอาคาร ครั้นจะเข้าไปเยี่ยมชมแบบทุกซอกทุกมุมภายในวันเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยราคาแบบไหน ถ้าหากเลือกซื้ออย่างเหมาะสมและตรงต่อความต้องการของตนเอง ก็นับว่าคุ้มค่าไม่แตกต่างกันมากนัก

               ออเดรย์และพรรคพวกเลือกซื้อบัตรเข้าชมแบบ Short Tour โดยเน้นท่องเที่ยวเฉพาะอาคารหลัก ๆ เนื่องจากไม่มีเวลามากพอ อีกทั้งยังมีแผนที่จะเดินทางย้อนกลับไปยังเมืองเก่าเพื่อชมสถานที่สำคัญอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งสเตฟาเนีย โมนิก้า และเวสน่าต่างปิดเงียบเอาไว้เป็นความลับ เพื่อเซอร์ไพรส์แก่เลวอนและฮิคาริในภายหลัง

               โชคร้ายที่วัตสันมีเงินพกติดตัวมาไม่พอ ดังนั้นเลวอนในฐานะเพื่อนสนิทจึงช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ ทันทีที่พ่อมดนักปรุงยาจอมทะเล้นได้รับบัตรเข้าชมงานก็ถึงกับกระดี๊กระด๊าดีใจ รีบเข้าสวมกอดสหายรักพร้อมทั้งกล่าวคำซาบซึ้งอย่างไม่รีรอช้า

               “เลวอนนนนนนน! ขอบใจมากนะเพื่อนยาก ไว้ฉันจะใช้หนี้คืนนายทีหลัง!”

               “ม… ไม่เอาน่าอย่าโอเวอร์นักสิ รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”

               เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนยิ้มเจื่อนพลางห้ามปรามอีกฝ่ายด้วยท่าทีประหม่า ทำเอาพวกเพื่อน ๆ ที่มองดูอยู่ไม่อาจสะกดรอยยิ้มหรือกลั้นเสียงหัวเราะในลำคอเอาไว้ได้ ไม่รีรอช้าทุกคนจึงก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังภายในพื้นที่ปราสาทปราก โดยผ่านประตูทางเข้า Wrestling Titans ด้วยความตื่นเต้น

               เมื่อเดินเข้าไปถึงข้างใน สิ่งที่ทุกคนพบเห็นเป็นอันดับแรกก็คือภาพของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ความน่าเกรงขามจับใจของสถาปัตยกรรมส่วนหน้าค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาทีละน้อยโดยห่างแค่ไม่กี่ก้าว ยอดแหลมของหลังคามหาวิหารโบราณเต็มเปี่ยมซึ่งความสง่างาม ด้วยสถาปัตยกรรมการก่อสร้างสไตล์โกธิคฝรั่งเศสลอยสูงอยู่เหนือเชิงเทียน

 

 

               ตอนนี้เหล่าสมาชิกทีม Order of the Dragon ได้ย่างกรายเข้ามาถึงส่วนพื้นที่ภายนอกของมหาวิหารเซนต์วิตุสแล้ว โบราณสถานแห่งนี้มีความสูง 33 เมตร ฐานกว้าง 60 เมตรและยาว 124 เมตร ตัวอาคารทางเข้าประดับตกแต่งด้วยโมเสกหลากสีซึ่งมีความงดงามตระการตา แต่ละภาพมักจะประกอบกันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ และเป็นอีกหนึ่งในไฮไลท์สำคัญที่นักท่องเที่ยวต่างยืนต่อแถวเพื่อเข้าไปเยี่ยมชม

               “ที่นี่คือมหาวิหารเซนต์วิตุส สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1344 โดยเจ้าชายเวนเนสลาส เพื่ออุทิศแก่นักบุญวิตุส เป็นทั้งสถานที่เก็บพระศพของกษัตริย์โบฮีเมียหลายพระองค์ นักบุญองค์ต่าง ๆ รวมไปถึงสมบัติล้ำค่า ใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมดยาวนานเกือบหกร้อยปี กว่าจะได้ความสวยงามที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ค่ะ”

               เวสน่าชี้แจงรายละเอียดพลางผายมือไปยังศาสนสถานโบราณ ถึงแม้จะมีขนาดที่ไม่ใหญ่โตอลังการมากนัก แต่นั่นก็ทำให้ผู้ซึ่งไม่ใช่ชาวท้องถิ่นตั้งแต่กำเนิดอย่างพวกออเดรย์ ถึงกับอ้าปากค้างตะลึงพรึงเพริดได้พอสมควร

               โมนิก้า สเตฟาเนีย และเวสน่า ถือโอกาสพาเหล่าบรรดาหนุ่มสาวเข้าไปยังภายในตัวอาคาร คราวนี้บรรยากาศกลับค่อนข้างเงียบสงบและเต็มไปด้วยกิริยาสำรวมกาย แตกต่างจากผู้คนที่อยู่ภายนอกอย่างสิ้นเชิง ต่อให้มีนักท่องเที่ยวอีกหลายสิบชีวิตกำลังเดินเยี่ยมชมตามส่วนสำคัญแต่ละจุดอยู่ก็ตาม

               จากนั้นจึงมุ่งหน้าเข้าสู่ห้องโถงตรงส่วนกลางของโบสถ์ มีม้านั่งยาวหลายแถวแบ่งเป็นสองฟากฝั่ง ทอดยาวนำสายตาสู่แท่นบูชาและไม้กางเขน ซึ่งใช้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระเยซูผู้ไถ่บาปตามคติความเชื่อทางศาสนา ภายในวิหารโบราณอันขรึมขลังประดับประดาศาสนศิลป์รูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะกระจกสีในแต่ละด้านถูกวาดขึ้นโดยศิลปินชื่อดัง ซึ่งโดดเด่นงดงามและวิจิตรตระการตาหากลองแหงนศีรษะมองดูรอบทิศ

 

 

               ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของภายในมหาวิหารจากทั้งหมดห้าส่วน แต่มันก็ได้สร้างความประทับใจแก่เลวอนและผองเพื่อนอยู่ไม่น้อย ทุกคนไม่รีรอที่จะยกสองมือขึ้นมากุมประสาน แล้วหันหน้าไปยังแท่นบูชาเพื่อตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึงองค์พระเยซูคริสต์และพระผู้เป็นเจ้า ยกเว้นอิทสึกิเท่านั้นที่ยังคงยืนสำรวมสงบนิ่งเนื่องจากเขาเป็นผู้นับถือศาสนาชินโต

               เมื่อเยี่ยมชมพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ภายในมหาวิหารจนครบถ้วน โมนิก้า สเตฟาเนีย และเวสน่า จึงเดินนำทางพาทุกคนไปยังอาคารส่วนอื่นภายในปราสาทปรากให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป พร้อมทั้งหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาบันทึกภาพแห่งความทรงจำเก็บเอาไว้เท่าที่ทุกคนจะทำได้ จนกระทั่งเวลา 11 นาฬิกา เหล่าสมาชิกทีม Order of the Dragon ก็ได้ก้าวเท้าออกจากโบราณสถานโดยย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมซึ่งเคยจากมา เดินข้ามแม่น้ำด้วยสะพานชาร์ลส์มุ่งสู่เมืองเก่าฝั่งตะวันออก

Options

not work with dark mode
Reset